Sunday, 15 June 2025
ECONBIZ

อุปสรรค Landbridge 'ชุมพร-ระนอง' สารพันปัญหาจากทีมคัดค้าน สุดท้าย ECRL เชื่อม 2 ฝั่งทะเลของมาเลย์ ปาดหน้า เปิดปี 2570

(25 มิ.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ เหตุขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการ แลนด์บริดจ์ ช่วง ชุมพร-ระนอง โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“ถ้า #Landbridge ชุมพร-ระนอง มัวแต่ทะเลาะกันก็เลิกเถอะ รอไปใช้ #ECRL ของมาเลย์ เชื่อม 2 ฝั่งทะเล เปิด 2570”

“ส่วนไทย สร้างไม่ได้ กลัวผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลัวคนต่างถิ่น สารพัดปัญหา สุดท้ายข้างบ้านเสร็จก่อน รอไปใช้นะ!!”

“วันนี้ผมมาขอระบายเรื่องแผนการพัฒนา Landbridge ช่วง ชุมพร-ระนอง หน่อยครับ เพราะผ่านมากว่า 2 ปี ที่เริ่มศึกษา หาข้อมูล และหาความเป็นไปได้ จนมาถึงการทดสอบความสนใจของเอกชน ที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเส้นทาง”

“แต่!! ที่ผมได้ยินมา ทั้งในข่าว และมีคนในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า มีการตั้งทีมคัดค้านเพื่อไม่ให้โครงการเกิด โดยยกสารพัดปัญหา สิ่งแวดล้อม ไม่คุ้มค่า เรือใช้เวลานาน ไม่มีสายเรือมาใช้ต่าง ๆ นา ๆ ตั้งมอบมาคัดค้าน ให้โครงการมีความมั่นคงต่ำ และสุดท้ายเอกชนก็จะไม่สนใจเข้ามาร่วม”

“แต่คุณรู้รึเปล่า ระหว่างที่เรามัวแต่ทะเลาะกัน มาเลย์ เขาทำนำหน้าเราไปแล้วกับโครงการ ECRL (East Coast Rail Link) เชื่อม 2 มหาสมุทร ระหว่างท่าเรือ Port Klang ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย กับ Kuantan Port ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมันก็คือ Landbridge ที่เราพูดถึงกันอยู่เนี่ย!!”

“ซึ่งมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าโครงการเรายังไม่ได้ข้อสรุป และยังคัดค้านเตะขากันไปมาอยู่แบบนี้ก็ “เลิกเถอะครับ” เสียเวลา เปลืองเงิน เอาไปใช้กับ EEC เถอะ เพราะถ้าช้ากว่านี้เราก็ไม่ทัน มาเลย์แล้ว”

>> เผื่อใครยังไม่รู้จัก Landbridge พร้อมผลการศึกษาเบื้องต้น รวมทั้งโครงการ ตามลิงก์ใน
https://www.facebook.com/share/VhDoED4eksUG13mz/?mibextid=WC7FNe

>> รายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน รายการ อัปเดตประเทศไทย EP.6
https://fb.watch/opmDXJfSvl/

>> รายละเอียด MR8 Landbridge ชุมพร-ระนอง ก่อนหน้านี้
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1364108297360979&id=491766874595130

>> สรุปตำแหน่งท่าเรือน้ำลึก และเส้นทาง MR8 เชื่อม 2 ฝั่งทะเล
https://www.facebook.com/share/mXvppD6gf4wVN6Kg/?mibextid=WC7FNe

“มาดูรายละเอียด โครงการ ECRL คู่แข่งของ Landbridge ของเรากันก่อน”

“ECRL เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง รัฐบาล จีน (75%) และมาเลย์ (25%) โดยเป็นรถไฟเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งทะเล เพื่อมาแก้ปัญหาช่องแคบมะละกา ที่หนาแน่นมาก และนำสินค้าเข้าแปรรูปในประเทศก่อนส่งออกทั้ง 2 ฝั่งทะเล”

รายละเอียดเส้นทาง ระยะทางรวม 665 กิโลเมตร
- ยกระดับ 138 กิโลเมตร
- อุโมงค์ 53 กิโลเมตร
- ระดับดิน 404 กิโลเมตร
- สายทางแยก 70 กิโลเมตร

“มาตรฐานการออกแบบรถไฟ
- รถไฟราง Standard Gauge (1.435 เมตร)
- ทำความเร็วรถโดยสารสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- เป็นทางคู่ ตลอดเส้นทาง
- ติดระบบจ่ายไฟฟ้า (OCS) ตลอดเส้นทาง”

“ซึ่งล่าสุด Update ความคืบหน้า เดือนมิถุนายน คืบหน้าแล้ว 65% คาดกว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571!!”

>> ลิงก์รายละเอียดโครงการ
https://www.mida.gov.my/wp-content/uploads/2024/03/East-Coast-Rail-Link-ECRL-–-Value-Adding-Disruptor-for-National-Logistics-by-MRL_compressed.pdf?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2MDChMP1s0Db4zDglPjogg5c_TX9EVDJmMMi5zSN1JVzb5nf_1eJJugeQ_aem_CQvxFc87wf9Al93rMldtyA

>> VDO ความคืบหน้าโครงการ เดือนมิถุนายน 67
https://youtu.be/hNCcl6Po3d8?si=YPGGOuj0xVIlE3r9

“ซึ่งอีกหนึ่งความน่าสนใจของเล่นทางนี้ จะทำสายแยกมาติดกับทางรถไฟสายใต้ ของไทย (สถานีสุไหงโกลก) ซึ่งอนาคตอาจจะมีการเจรจารื้อฟื้นการเชื่อมโยงระหว่างประเทศได้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง สินค้าไทยเราต้องไปอาศัยท่าเรือมาเลย์ ในการขนส่งมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่สะดวกมากขึ้นในการรับ-ส่งสินค้าเข้าสู่ โครงการ ECRL ได้โดยตรง”

“สุดท้ายผมขอฝากถึงผู้เกี่ยวข้อง ช่วยตัดสินใจให้ชัดว่าจะเอายังไง จะทำไม่ทำ เพราะถ้าช้ากว่านี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”

'กฤชนนท์' ลงพื้นที่สายสีแดงจัดแผน 'เพิ่มรถสาธารณะ-จุดจอดรถ' แย้ม!! นโยบายรถไฟฟ้า 20 ตลอดสาย หนุนผู้ใช้บริการพุ่งเกินคาด

(25 มิ.ย. 67) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการผลักดัน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองนายกรัฐมนตรี โดยนำร่อง 2 โครงการ คือ 

1.โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 10 สถานี และช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน 4 สถานี

2. โครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ จำนวน 16 สถานี ซึ่งขณะนี้มีประชาชนเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

โดยจากการลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีรังสิต โดยได้มีการเจรจากับประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ระบบขนส่งเสริม หรือ Feeder System ยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะด้านของรถสาธารณะ และสถานที่จอดรถยนต์บริเวณสถานี ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานได้จัดทำแผนและเตรียมดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ทางหน่วยงาน กรมการขนส่งทางบก ได้จัดเตรียมแผนเพิ่มจำนวนการเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะ โดยจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกจังหวัดปทุมธานี ภายในช่วง กรกฎาคม 2567 โดยจากแผนเบื้องต้น จะให้เอกชนเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มอีก 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 วงกลมรังสิต / เส้นทางที่ 2 รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต / เส้นทางที่ 3 รังสิต-โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส และเส้นทางที่ 4 รังสิต คลอง 7 และเตรียมเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป 

จากปัจจุบันนี้ที่มีรถโดยสารสองแถวขนาดเล็ก สีแดง และสีเขียว จำนวน 4 เส้นทาง วิ่งให้บริการตั้งแต่เปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ได้แก่ เส้นทาง 6188 รังสิต-จารุศร / เส้นทาง 1008 รังสิต-อำเภอหนองเสือ / เส้นทาง 1116 รังสิต-สถานีรถไฟเชียงราก และเส้นทาง 381 รังสิต-องครักษ์ 

นอกจากนี้ทางหน่วยงาน รฟท. ยังมีแผนที่จะปรับปรุงพื้นที่ เพื่อให้มีสถานที่จอดรถเพิ่มเป็น 200-300 คัน จากปัจจุบันที่สามารถจอดได้ 100 คัน พร้อมทั้งเร่งดำเนินการพัฒนาแผนการก่อสร้างเป็นอาคารจอดรถยนต์เพิ่มเติมต่อไป

'พีระพันธุ์' แจ้ง 'ม็อบรถบรรทุก' กฎหมายช่วยราคาพลังงานใกล้เสร็จแล้ว คาด!! เสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันในสมัยการประชุมหน้า

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประกาศเตรียมระดมพลผู้ประกอบการรถบรรทุกจัดคาราวานเพื่อนขบวนรถบรรทุกทุกภูมิภาค เข้ากทม.ในวันที่ 3 ก.ค. 67 เพื่อเรียกร้องตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ว่า ให้รอกฎหมายของตน ที่กำลังจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนรูปแบบการคิดราคาใหม่ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกำกับดูแลการค้าน้ำมัน นอกจากนี้ตนจะให้สมาคมรถบรรทุกสามารถนำน้ำมันเข้ามาได้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงโดยปริยาย เพราะราคาน้ำมันที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แบ่งคนละครึ่ง 50-50 ซึ่งราคาน้ำมันแท้ ๆ ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นภาษี ดังนั้นถ้าลดตรงนี้ไปได้น้ำมันก็ลดลง 

เมื่อถามว่า อีกนานหรือไม่ที่การยกร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสร็จสิ้นเรียบร้อย? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ตอนนี้ยกร่างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันในสมัยการประชุมหน้า”

เมื่อถามต่อว่า จะทันต่อการเรียกร้องของกลุ่ม สมาพันธ์รถบรรทุกหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “รอมาตั้ง 50 กว่าปีแล้ว ตนเข้ามายังไม่ถึงปีเลย แต่ตอนนี้กฎหมายจะเสร็จแล้ว”

เมื่อถามอีกว่า ราคาสินค้าและราคาค่าขนส่งกำลังจะขึ้นจะมีมาตรการเฉพาะหน้าออกมาก่อนหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เราก็ต้องขอความร่วมมือ แต่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องประหลาด กระทรวงพลังงานกำกับดูแลพลังงาน แต่ไม่มีอำนาจอะไรสักอย่าง กลายเป็นว่าเราต้องไปขอความร่วมมือทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เคยมีการออกกฎหมายให้กระทรวงพลังงานมีอำนาจในการควบคุมขนาดมาม่าจะขึ้นราคายังต้องขออนุญาต แต่น้ำมันไม่ต้อง”

เมื่อถามอีกว่า เรื่องดังกล่าวจะต้องพูดคุยกับนายกฯ ให้ชัดเจนหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "นายกฯ มอบหมายให้ตนดูแลอยู่แล้ว”

'สุริยะ' แย้มข่าวดี!! มอเตอร์เวย์ 'บางปะอิน-โคราช' ลุ้นเปิดทั้งเส้นต้นปี 69 อำนวยความสะดวกการเดินทาง-บรรเทาการจราจรหนาแน่นบน ถ.มิตรภาพ

(24 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - นครราชสีมา หมายเลข 6 (M6) ระยะทาง 196 กิโลเมตร (กม.) โดยความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างฯ จากข้อมูล ณ พฤษภาคม 2567 งานด้านโยธา มีความก้าวหน้า 95.20% ล่าสุดก่อสร้างแล้วเสร็จ 31 สัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 9 สัญญา 

ขณะที่งานระบบ มีความก้าวหน้า 39.86% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทาง 9 ด่าน ส่วนงานก่อสร้างที่พักริมทาง 15 แห่ง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายน 2568 และจะเปิดให้บริการบางส่วนได้ในช่วงเดือนมิถุนายน 2569 

ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะเปิดให้บริการตลอดเส้นทาง โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางภายในปี 2568 ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ยังได้สั่งการให้ ทล. เร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ M6 ช่วงหินกอง - ปากช่อง ระยะทาง 87 กม. ซึ่งเป็นช่วงที่การจราจรบนถนนมิตรภาพที่มีความหนาแน่น โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะถึงนี้ โดยในระยะแรก จะเปิดให้บริการ 1 ฝั่งจราจร 

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 เพิ่มเติมในช่วงหินกอง - ปากช่องนั้น จะทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการมอเตอร์เวย์ M6 รวมระยะทางประมาณ 164 กม. จากที่ในปัจจุบัน ทล. ได้เปิดให้ประชาชนได้บริการแล้ว ตั้งแต่ช่วงอำเภอปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. 

อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการมอเตอร์เวย์ M6 นั้น จะช่วยเพิ่มทางเลือก และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน อีกทั้งยังแบ่งเบาการจราจรหนาแน่นบนถนนมิตรภาพ ที่ในช่วงเทศกาลต่างๆ  จะมีประชาชนใช้เส้นทางดังกล่าว เดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

'กบน.' ควักเงินกองทุนฯ ชดเชยราคาดีเซลเพิ่ม  หลังปรับขึ้นราคาไม่ได้อีก เพื่อลดกระทบประชาชน

(24 มิ.ย.67) ศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาเพิ่มเงินชดเชยราคาดีเซลขึ้นอีกครั้งเป็น 2.02 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยอยู่ 1.60 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับ กบน. ไม่สามารถปรับขึ้นราคาดีเซลได้อีกแล้ว เนื่องจากเต็มเพดานที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดให้ปรับขึ้นได้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันราคาดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ทำให้ กบน. ต้องอนุมัติใช้เงินกองทุนฯ ชดเชยราคาดีเซลเพิ่มขึ้นแทน

ทั้งนี้การเพิ่มเงินชดเชยราคาดีเซลดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนฯ ต้องประสบปัญหาเงินไหลออก 178.28 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งมากกว่าเงินไหลเข้า 158.47 ล้านบาทต่อวัน ทำให้เงินกองทุนฯ ติดลบวันละ 19.81 ล้านบาท หรือประมาณ 594 ล้านบาทต่อเดือน

โดยสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ณ วันที่ 23 มิ.ย. 2567 ภาพรวมกองทุนฯ ยังคงติดลบรวม -110,743 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -63,121 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,622 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กบน. พยายามปรับขึ้นราคาดีเซลจาก 29.94 บาทต่อลิตร นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2567 เป็น 32.94 บาทต่อลิตร หรือเท่ากับปรับขึ้น รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 3 บาทต่อลิตร โดย ครม. อนุญาตให้ปรับขึ้นราคาดีเซลได้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นระหว่างวันที่ 20 เม.ย.-31 ก.ค. 2567 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาดีเซลดังกล่าว เพื่อช่วยลดภาระกองทุนฯ ในการชดเชยราคาดีเซล และหวังให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าจนบัญชีเป็นบวกในแต่ละวัน เนื่องจากต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการชำระหนี้เงินต้นก้อนแรก จำนวน 30,000 ล้านบาทในเดือน พ.ย. 2567 นี้ (จากหนี้กู้ยืมทั้งหมด 105,333 ล้านบาท) เบื้องต้น กบน. เคยระบุว่าจะพยายามทำให้กองทุนฯ มีรายรับเป็นบวกในแต่ละวันให้ได้ ภายในเดือน ต.ค. 2567 หรือในอีก 4 เดือนข้างหน้าเพื่อให้ทันต่อการชำระหนี้เงินต้นก้อนนี้

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 24 มิ.ย. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 82.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 80.76 เหรียญหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 85.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ในส่วนของค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าได้รับ ในวันที่ 24 มิ.ย. 2567 ซึ่งรายงานโดย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พบว่าค่าการตลาดดีเซลอยู่ที่ 1.87 บาทต่อลิตร ส่วนของกลุ่มเบนซินยังสูงอยู่ที่ประมาณ 3.4-3.7 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดน้ำมันตั้งแต่ 1-24 มิ.ย. 2567 อยู่ที่ 2.34 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่ควรได้ที่ 1.50-2 บาทต่อลิตร)

‘เศรษฐา’ เร่ง ‘ททท.’ ปั้นทริปเที่ยวตอบโจทย์แต่ละชาติช่วงโลว์ซีซัน ล็อกเป้า!! 'กลุ่มตะวันออกกลาง-รัสเซีย-คาซัคฯ-อินเดีย' ดีมานด์สูง

(24 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ภารกิจเช้านี้เตรียมและติดตามงาน 2 เรื่อง เรื่องแรกตนได้เชิญทาง ททท. มาเตรียมแผนการท่องเที่ยวในช่วง Q2 - Q3 ที่เป็นช่วง Low Season ของไทย 

“ผมได้ขอให้ ททท. เตรียมแพ็กเกจสำหรับแต่ละประเทศที่มีศักยภาพเพื่อจะทำแผนการท่องเที่ยวราย Segment ให้ตอบโจทย์ของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจากกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย หรือประเทศอื่น ๆ เช่น รัสเซีย, คาซัคสถาน, อินเดีย ที่มีความต้องการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงและมีความชอบเฉพาะที่แตกต่าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยว่า นอกจากนี้ยังได้พบกับ Mr. Marcus Wallenberg ประธานกลุ่มบริษัท SAAB SEB ซึ่งตนเคยพบตอนห้วงประชุม World Economic Forum ที่ Davos เพื่อติดตามประเด็นต่าง ๆ ที่เคยคุยไว้ เช่น การดึงดูดการลงทุนในไทย การเข้ามาตั้งโรงงานของ Astra Zeneca ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมแล้ว และทางบริษัทฯ จะวางแผนพบกับนักลงทุนไทย เพื่อทำงานร่วมกันระหว่างการประชุม Davos ในปีหน้า

‘สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam’ เตรียมยุติกิจการในไทย 30 มิ.ย.นี้ พร้อมให้บริการ 27 มิ.ย.วันสุดท้าย หลังดำเนินงานมา 3 ปี

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก Beam Thailand ของ บริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกประกาศถึงผู้ใช้งานในประเทศไทย ว่า Beam Thailand จะยุติกิจการในวันที่ 30 มิ.ย. 67 ขอขอบคุณลูกค้าสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากมีเครดิตการขับขี่ กรุณาใช้เครดิต Beam ภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของการให้บริการ

โดยหากลูกค้าที่มีเครดิตที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง (USER PURCHASED) กรุณาใช้เครดิตเหล่านั้นภายในวันที่ 27 มิ.ย. 67 เครดิตที่ไม่ได้ใช้ภายในวันที่กำหนดจะได้รับการคืนเงินจาก Beam โดยสามารถติดต่อภายในวันที่ 10 ก.ค. 67 ได้ที่อีเมล [email protected] ส่วนเครดิตที่ได้รับจาก Beam ในรูปแบบของโปรโมชันหรือการชดเชย จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการคืนเงิน

"เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านสำหรับการสนับสนุน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ให้บริการลูกค้าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ... ขอบคุณจากใจสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนของท่าน หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในอนาคต" ข้อความจาก Beam Thailand ระบุ

สำหรับ Beam เป็นแพลตฟอร์มสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากประเทศสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยมีแอปพลิเคชัน Beam สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อปลดล็อก เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางภายในพื้นที่บริการ เปิดให้บริการครั้งแรกในไทยที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2564 ก่อนขยายบริการไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา

นอกจากนี้ ยังมีให้บริการในมหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สำหรับบริษัท บีม โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2564 ทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท มีนายอลัน จูเลียน เจียง และนายเดบ เซการ์ กันโกพาดิห์เย่ เป็นกรรมการบริษัท 

ข้อมูลการเงินมีดังนี้

ปี 2564 มีรายได้รวม 402,820 บาท ขาดทุนสุทธิ 7,113,974 บาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 11,405,235 บาท ขาดทุนสุทธิ 9,466,254 บาท
ปี 2566 มีรายได้รวม 26,476,532 บาท ขาดทุนสุทธิ 12,556,201 บาท

อนึ่ง นอกจากประเทศไทยแล้ว สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Beam ยังให้บริการในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และตุรกี

'สุชาติ ชมกลิ่น' จาก 'ก.แรงงาน' สู่ 'ก.พาณิชย์' คิดใหญ่!! ค้าขายไทยดี GDP ต่อประชากรสูง-ร่ำรวย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่งในประเด็นที่เปิดฉาก เป็นการพูดถึงบทบาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สู่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีความแตกต่างในการบริหารงานหรือไม่? อย่างไร? 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า "ผมมองว่าคล้ายกับกระทรวงแรงงาน ตรงนั้นต้องหางานให้พี่น้องประชาชนคนไทยไปทำงาน ซึ่งมีความต้องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศ ที่เราก็ต้องไปเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศในการส่งแรงงาน...

"ขณะที่เมื่อมากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องดูการเจรจาการค้า ว่าแต่ละประเทศต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน...

"อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันของธรรมชาติในแต่ละกระทรวงฯ ก็มี เช่น ในแง่ของพาณิชย์ สินค้าที่เราส่งไปมีเรื่องของการแข่งขันในระดับโลก รวมถึงมีรายละเอียดมากกว่าในเรื่องราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากบทบาทในเรื่องของแรงงาน"

เมื่อถามถึงบทบาทในปัจจุบันว่าต้องกำกับดูแลหน่วยงานใดเป็นสำคัญ? นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบหมายงานจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กำกับดูแลงานของ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า / และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 

โดยในส่วนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการเปิดประตูพูดคุยการค้าขายระหว่างประเทศ ต้องเปิดประตูให้ได้ ซึ่งนโยบายปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าหลักอยู่แล้ว แต่ตนก็พยายามส่งเสริมสินค้ารองให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการสร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่จำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการส่งออกให้ได้ รวมถึงการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากตลาดจีนเพียงอย่างเดียว เช่น อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น 

"ปัจจุบันเรามีทูตพาณิชย์ทั่วโลก 58 ประเทศ ซึ่งทูตต้องทำการบ้านให้เราว่าแต่ละประเทศมีกำลังซื้อเป็นอย่างไร เปิดตลาดใหม่ให้มากขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทย" รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริม 

ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า? นายสุชาติ เผยว่า ก็ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้าต่าง ๆ จากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วจัดทำนโยบายแผนและยุทธศาสตร์ให้มีข้อมูลรอบด้าน  

สุดท้ายกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่อบรมให้ความรู้ให้แก่บุคลากรในภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพด้านการค้าและการพัฒนา ซึ่งทุกหน่วยงานต้องคิดนอกกรอบ เหล่านี้คือภารกิจใต้หมวกผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน

เมื่อถามถึงความกังวลใจกับภารกิจในการบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ที่ค่อนข้างหนัก? นายสุชาติ กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว เป็นความ 'ใฝ่ฝัน' ของผมเลย เพราะวันหนึ่งผมเคยทำหลายภารกิจของกระทรวงแรงงานได้สำเร็จ ก็อยากทำเรื่องการค้าขายให้ประเทศไทยร่ำรวย และมี GDP ต่อประชากรสูงๆ ด้วยเช่นกัน"

เมื่อถามถึงประเด็นราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน? นายสุชาติ กล่าวว่า "เรื่องนี้ท่านภูมิธรรม ได้มอบนโยบายให้ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดีลงไปดูหลายเรื่อง ลงไปดูต้นทุนสินค้าจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร มันสูงจริงไหม ด้วยเหตุและผล และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูงกว่านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าไม่ให้ผู้ผลิตเอาเปรียบผู้บริโภค และต้องสร้างสมดุลให้ได้ เอาความจริงให้ปรากฏอย่าฟังความข้างเดียว" 

สุดท้าย นายสุชาติ ยังได้ฝากถึงกลุ่มผู้กักตุนสินค้า ด้วยว่า ไม่ควรกักตุน เพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน 

'รัดเกล้า' เผย!! 'นายกฯ-สุริยะ' มั่นใจความคืบหน้าท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3  ทุกแผนงานเสร็จทันกำหนด มิ.ย.69 พร้อมรับนักลงทุน-ลดต้นทุนขนส่งไทย

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ติดตามและเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะร่วมลงพื้นที่ และมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้แทนกิจการการค้าร่วม CNNC ร่วมให้การต้อนรับ

นางรัดเกล้า เปิดเผยอีกว่า การมาติดตามโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นการติดตามความคืบหน้าของนายกฯ หลังจากการตรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เดินทางมาตรวจ พบว่ามีความล่าช้า แต่ภายใต้การนำของนายสุริยะ ก็สามารถที่จะแก้ไขได้เหลือร้อยละ 4 และจะดำเนินการก่อสร้างได้ภายในสิ้นปีหน้า ทำให้การก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้คือเดือนมิถุนายน 2569 ซึ่งทางทีมงานมีความกระตือรือร้น และตนเองให้กำลังใจ ทุกคน พูดคุยปัญหาอย่างตรงไปตรงมา และทราบว่าการนำหินเข้ามามีปัญหา ซึ่งนายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินการต่อไปได้เพราะทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา

ด้านผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนงานที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล มีกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้รับจ้าง มูลค่างานรวม 21,320 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานถมทะเลทั้งหมดประมาณ 2,846 ไร่ หรือ 4.5 ล้านตารางเมตร งานขุดลอกร่องน้ำและแอ่งจอดเรือให้มีระดับความลึก 18.5 เมตร และงานเขื่อนกันคลื่น ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมามีความคืบหน้าเพียง 13.26%  ซึ่งหลังจากที่นายกฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามและได้มีข้อสั่งการให้ กทท. เร่งรัดการก่อสร้างให้ทันตามแผน  ทาง กทท. ได้กวดขัน ติดตามการบริหารสัญญาและควบคุมการทำงานของผู้รับจ้างตามข้อสั่งการ สามารถเร่งรัดได้เนื้องานเพิ่มขึ้นกว่า 17%

ผู้ควบคุมงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเลอีกด้วยว่า ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ดำเนินงานได้ 31.12% จากแผนปฏิบัติงาน 35.11% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะดำเนินงานอย่างเต็มที่ แต่ยังคงล่าช้ากว่าแผน 3.99% ซึ่งผู้ควบคุมงานได้จัดทำแผนเร่งรัดการปฏิบัติงาน โดยเพิ่มเครื่องจักรทางบก ทางน้ำ และแรงงานให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้สามารถขุดลอก ได้มากกว่า 2,000,000 ลบ.ม. ต่อเดือน ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ได้กำกับดูแลและควบคุมเร่งรัดการทำงานให้ผู้รับจ้างมีผลงานโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3% ต่อเดือน

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวเพิ่มเติมว่าจากปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างยังมีความล่าช้ากว่าแผนฯ   แต่ก็มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจว่าการก่อสร้างงานทางทะเลจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายในมิถุนายน 2569 รวมถึงจะไม่กระทบกับสัญญาของบริษัทเอกชนคู่สัญญาบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ที่ กทท. จะต้องมีการส่งมอบเฉพาะพื้นที่งานถมทะเลท่าเทียบเรือ F1 ปัจจุบันมีความคืบหน้าการถมไปกว่า 97% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกรกฎาคม 2567 นี้ หลังจากนั้นจะมีเวลาอีกประมาณ 1 ปีเศษ ที่จะต้องการตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ เพื่อเตรียมส่งมอบให้กับบริษัท จีพีซี ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวต่อไปว่า งานส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้โดยบริษัทไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา ที่วงเงิน 7,298 ล้านบาท ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 160 ล้านบาท กทท. สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในต้นกรกฎาคม 2567 สำหรับงานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ มูลค่า 799 ล้านบาท และส่วนที่ 4 งานจัดหาประกอบและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบประกอบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสำหรับบริหารท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2,257 ล้านบาท ทั้งสองส่วนอยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับจ้างจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปี 2567 นี้ 

“โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่จะเพิ่มขึ้น  หากโครงการแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการจะสามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 7 ล้านทีอียูต่อปี ประกอบด้วยท่าเรือ F1 จำนวน 2 ล้านทีอียูต่อปี ท่าเรือ F2 จำนวน 2 ล้านทีอียูต่อปีท่าเรือ E จำนวน 3 ล้านทีอียูต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับขีดความสามารถเดิมของท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 1 และ 2 ที่ 11 ล้านทีอียูต่อปี  จะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 18 ล้านทีอียูต่อปี  ในส่วนนี้จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟและท่าเรือชายฝั่ง รวมถึงการเชื่อมโยงการขนส่งทางรางกับท่าเรือบกให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เป็นการเพิ่มศักยภาพและรองรับการขยายตัวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศอย่างมหาศาล จะช่วยสนับสนุนให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค อีกทั้งช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศจากร้อยละ 14 ของ GDP เหลือร้อยละ 12 ของ GDP สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์มุ่งให้ไทย เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคต่อไป” นางรัดเกล้า ย้ำ

สวนน้ำดังภูเก็ต ประกาศปิดให้บริการ ‘Blue Tree Lagoon’ มีผล 1 ส.ค.นี้ เลิกจ้าง!! พนักงานกว่า 70 % เตรียมปรับแผนธุรกิจ สู่บริการด้านสุขภาพ

(23 มิ.ย.67) บลูทรี ภูเก็ต (Blue Tree Phuket) ออกแถลงการณ์ปรับแผนธุรกิจ และยุติการให้บริการสวนน้ำ Blue Tree Lagoon โดยระบุว่า

Blue Tree Phuket ขอเรียนแจ้งการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการ Blue Tree Lagoon โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป 

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การพิจารณารูปแบบการดำเนินงานอย่างรอบคอบ และความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป ของผู้ใช้บริการ

แม้ว่า Blue Tree จะมีวิสัยทัศน์อันแน่วแน่และได้ลงทุนเป็นจำนวนไม่น้อยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี 2562 แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้บริการ ส่งผลให้บริษัทฯ จำเป็นต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยนโครงสร้างและทิศทางการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ 

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างนี้ทำให้เราจำเป็นต้องยุติการว่าจ้างบุคลากรกว่า 70% ของจำนวนบุคลากรปัจจุบันบริษัทฯ ตระหนักเป็นอย่างดีถึงผลกระทบนี้รุนแรงของการตัดสินใจดังกล่าวที่จะส่งผลต่อกลุ่มบุคลากร ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้แก่ครอบครัวและนักท่องเที่ยวที่ Blue Tree Phuket ตลอดระยะเวลาการให้บริการ 

ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงมีความตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนแก่พนักงานทั้งหมดอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ Blue Tree จึงเตรียมปรับ

รูปแบบการดำเนินงานสู่แนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับบริการด้านสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิต ไปจนถึงการเชื่อมต่อทางสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้อาศัยในพื้นที่และนักท่องเที่ยว

แม้ Blue Tree Lagoon จะยุติการให้บริการ แต่พื้นที่อื่น ๆ ภายใน Blue Tree Phuket จะยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ทางบริษัทฯ จึงใคร่ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมพักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมต่างๆของเรา ตลอดจนร่วมติดตามการเปิดตัวสิ่งอำนวยความสะดวกที่ปรับโฉมใหม่ภายในโซน Lifestyle Village อัน เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในครั้งนี้ 

โดยเตรียมพร้อมนำเสนอกิจกรรมที่หลากหลายสำหรับครอบครัว พื้นที่กิจกรรมสำหรับทุกคน ซึ่งรวมไปถึงร้านเสื้อผ้า กิจกรรมออกกำลังกายต่างๆ อาทิ ยูโด มวยไทย พร้อมพื้นที่กลางแจ้งสำหรับจัดแสดงคอนเสิร์ต ซึ่ง Lifestyle Village นี้จะกลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่สำหรับทุกคน

บริษัทฯ ขอขอบคุณอย่างยิ่ง ต่อความเข้าใจและการสนับสนุนจากแขกผู้มีอุปการคุณ และพันธมิตรทุกท่านในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

บริษัทฯ จะรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับบริการด้านสุขภาพให้ทุกท่านทราบเมื่อบริษัทฯ ได้ข้อสรุป และมีข้อมูลเพิ่มเติม โดยเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวสู่บทบาทใหม่นี้ และยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับทุกท่านที่เข้าใช้บริการ Blue Tree Phuket

ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจ และการสนับสนุนของทุกท่านเสมอมา

การปิดให้บริการสวนน้ำบลูทรี ภูเก็ต ในเดือนสิงหาคม 2567 นี้ ถือว่าปิดตำนานการดำเนินธุรกิจสวนน้ำมากว่า 4 ปี นับจาก ‘บลูทรี ภูเก็ต’ (Blue Tree Phuket) ได้เปิดบริการปลายเดือนสิงหาคม 2562 ในช่วงนั้นจัดว่าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ในภูเก็ต 

บนพื้นที่ 140 ไร่  ประกอบด้วยพื้นที่บริการด้านการพักผ่อนและศูนย์รวมกีฬาทางน้ำอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น บีชคลับ 4 ชั้น, ฟิตเนสโซน, คิดส์คลับ, ร้านอาหาร 17 ร้าน ทั้งภัตตาคารและร้านอาหาร พื้นที่ศูนย์การค้า

ไฮไลท์ของโครงการอยู่ที่ ‘บลูทรี ลากูน’ มหาสมุทรสไตล์ลากูนขนาดใหญ่กว่า 17,000 ตารางเมตรทะเลสาบสุดยิ่งใหญ่จากสหรัฐฯ ล้อมรอบด้วยชายหาดเทียมและมีกิจกรรมมากมาย อาทิ สนามเด็กเล่นน้ำ สลิปแอนด์ฟลาย (Slip N Fly) สไลด์เดอร์ยักษ์ที่น่าตื่นเต้น สแปลชโซน (Splash Zone) กิจกรรมไต่หน้าผา ฯลฯ ด้วยเงินลงทุนกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 1.5 พันล้านบาทในสมัยนั้น 

พอเปิดให้บริการไม่นานก็เกิดโควิด-19 ต่อมาก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันในธุรกิจสวนน้ำ เมื่อ พราว กรุ๊ป เปิดให้บริการสวนน้ำ ‘อันดามันดา ภูเก็ต’ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ซึ่งเป็นสวนน้ำขนาดใหญ่ 

การปรับแผนธุรกิจใหม่ ของบลูทรี จึงอาจต้องการนำพื้นที่มาพัฒนาในโปรเจ็กต์ใหม่ที่ทำรายได้ได้มากกว่าสวนน้ำนั่นเอง

‘HBO - Warner Bros.’ ชื่นชมประเทศไทย โลเคชันสุดยอด ชี้!! วิวสวยสุดปัง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว มาเดินทางตามรอย

(23 มิ.ย.67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ได้มอบหมายให้นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับ Mr.Scott Schaeffer Senior Vice President, HBO Production - The White Lotus S3 ซีรีส์กระแสดังระดับโลก และกวาดรางวัลเอมี่ อวอร์ด (Emmy Award) ซึ่งได้เดินทางเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดย Mr.Scott กล่าวว่า รู้สึกประทับใจความเป็นมืออาชีพของทีมงานไทย ได้รับการอำนวยความสะดวกจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนในพื้นที่ถ่ายทำ ทำให้การถ่ายทำประสบความสำเร็จพร้อมทั้งได้กล่าวว่า สถานที่การถ่ายทำภาพยนตร์ของประเทศไทยมีความสวยงามระดับโลก จากทัศนียภาพบนเกาะสมุย และเกาะภูเก็ต รวมทั้งเกาะต่างๆ ในอ่าวไทย การตัดสินใจเข้ามาลงทุนถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยครั้งนี้เป็นผลจากมาตรการการคืนเงิน (Incentive) เป็นหลัก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากบริษัท HBO และ Warner Bros. ว่ามาตรการการคืนเงินของไทยยังคงดีที่สุดในเอเชีย

เมื่อซีรีส์เรื่องนี้ออกฉาย จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำ สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต

นายเสริมศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยแล้ว ภาพยนตร์ต่างประเทศยังมีส่วนสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ต่างๆ ที่เป็นโลเคชั่นของภาพยนตร์ รวมถึงตามรอยนักแสดงชื่อดัง ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อปี พ.ศ. 2566 มีรายได้จากกองถ่ายต่างประเทศ จำนวนกว่า 6,753 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และในปี พ.ศ.2567 ตั้งแต่มกราคม - พฤษภาคม ในระยะเวลาเพียง 5 เดือน ประเทศไทยมีภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำโดยมีมูลค่าสูงถึง 3,416 ล้านบาท รัฐบาลเชื่อมั่นว่าด้วยความหลายหลากและสวยงามของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่สวยงาม ศักยภาพทีมงานชาวไทยที่มีประสบการณ์ทำงานกับกองถ่ายระดับโลก การอำนวยความสะดวกของหน่วยงานภาครัฐ และที่สำคัญการมีมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำ (Incentive) ในรูปแบบการคืนเงินร้อยละ 20 จะส่งผลให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศตัดสินใจเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ในปี พ.ศ. 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้ารายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ กว่า 7,500 ล้านบาท และหวังว่าจะเกิดกระแสการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ระดับโลกที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาลต่อไป

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง Fast Fashion ตัวการใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้!! ธุรกิจเกี่ยวข้องควรตระหนัก ฟากไทยส่งเสริมผ้ารักษ์โลกแล้ว

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Fast Fashion กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก' เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ธุรกิจ Fast Fashion ได้ส่งผลให้พฤติกรรมการผลิตและการบริโภคของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 

Fast Fashion คือ การเปลี่ยนแฟชันด้วยความถี่ที่สูงมาก สมัยก่อนอาจมีการออกคอลเลคชันใหม่ปีละ 2 คร้้ง คือ Summer และ Winter Collection แต่ปัจจุบันอาจมีคอลเลคชันใหม่ทุกสัปดาห์ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการ Outsource การผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถและความต้องการซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น

ปริมาณการผลิตและการบริโภคเสื้อผ้าที่มากขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ยังคงอาศัยการใช้น้ำและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง การใช้สารเคมีที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยะเสื้อผ้าเก่าจำนวนมากที่ไม่สามารถกำจัดได้ ได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคแฟชันที่มากขึ้นและถูกลงจะเป็นประโยชน์กับทั้งผู้บริโภคในวงกว้างและผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศยากจน แต่หากปล่อยให้เป็นไปตามแนวโน้มนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของประชาคมโลกที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการเก็บภาษีเสื้อผ้า บางประเทศส่งเสริมธุรกิจเสื้อผ้าใช้แล้ว รวมทั้งธุรกิจให้ยืมเสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนในไทย ก็เป็นที่น่ายินดีที่กระทรวงมหาดไทยและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ประกอบการผ้าไทย ซึ่งเป็นคนในระดับรากหญ้าและชุมชน เข้าถึงกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของ อบก. โดยมีการคำนวณและติดเครื่องหมายรับรอง Carbon Footprint ซึ่งจะช่วยให้ผ้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกในราคาที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิตจากที่เคยใช้สีเคมีในการฟอกย้อมมาใช้สีธรรมชาติ ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนมาก 

ขณะที่ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ประกอบการผ้าไทยอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ กลไกการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย กำลังก้าวไปไกลอีกระดับ เมื่อ อบก. ได้ออกมาตรฐานโครงการใหม่ที่มีความเข้มข้นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่เรียกว่า T-VER Premium อีกด้วย

แม้ว่าการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะยากและมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เชื่อแน่ว่าคาร์บอนเครดิตของไทยน่าจะมีราคาสูงขึ้น โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการอนุมัติโครงการ T-VER Premium ขนาดใหญ่อย่างน้อย 4 โครงการ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการร่วมมือกับญี่ปุ่นที่เรียกว่า Joint Credit Mechanism-JCM เพื่อสนับสนุนให้เอกชนของ 2 ประเทศร่วมทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน T-VER Premium ของไทยอีกด้วย

'โรงงานปิดตัว-คนตกงานเพิ่ม-ราคาอาหารพุ่ง' ต่างชาติกังวล แล้วคนไทยรู้สึกบ้างหรือยัง?

จากข่าว ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ศรีนครินทร์ ของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ซึ่งตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ได้เตรียมปิดให้บริการถาวร โดยเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 20 ส.ค. 2567 หลังเปิดให้บริการพร้อมกับศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ มานานถึง 30 ปี ยักษ์ใหญ่ห้างสรรพสินค้า ปิดสาขา ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ บริหารต้นทุนดำเนินการ ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา

แต่...ข่าวการปิดโรงงาน เดือนละ 113 โรงงาน ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ย่อมไม่ใช่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 88.5 ปรับตัวลดลงจาก 90.3 ในเดือนเมษายน 2567 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีฯ พบว่า ปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ทั้งยอดขายโดยรวม ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ 

ทั้งนี้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบาง เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนรวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสินค้าชะลอลง

ขณะที่ 5 เดือนแรกปีนี้ พบว่าปิดโรงงานไปแล้ว 561 โรงงาน หรือเฉลี่ย 113 โรงงานต่อเดือน แย่ลงกว่าปีที่ผ่านมา ตกงานแล้ว 15,342 คน

ซึ่งยอดคนตกงาน น่าจะเพิ่มขึ้นสูงมากกว่านี้ ข่าวจากย่านนิคมอุตสาหกรรม โรงงานที่ยังพอประคองตัวดำเนินธุรกิจได้ เริ่มทยอยปลดคนงาน เพื่อลดค่าใช้จ่าย หลายโรงงานแล้ว 

คนตกงาน ค่าครองชีพก็ยังสูง ร้านค้าเตรียมปรับขึ้นราคาอาหาร หลังราคาก๊าซหุงต้ม ขยับขึ้น 15-20 บาท ต่อถัง ทั้งที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศตรึงราคาก๊าซ สิ้นสุด มิถุนายน 2567 หรือ สิ้นเดือนนี้ ยังไม่สิ้นสุดมาตรการตรึงราคา ก็เริ่ม ‘เอาไม่อยู่’

ข่าวอภิปราย พรบ.งบประมาณ ปี 2568 ในสภา ยังไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากนัก ยังไงงบประมาณปี 2568 ก็ต้องคลอด เพราะนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยังรออยู่ 

แต่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติให้สัมภาษณ์สื่อนอก 'บลูมเบิร์ก เทเลวิชัน' (Bloomberg Television) ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของรัฐบาลที่จะให้ปรับกรอบเงินเฟ้อและลดดอกเบี้ย ชี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจ รวมทั้ง ยังคงให้ข้อคิดเห็นท้วงติง เงินดิจิทัลวอลเล็ต ควรแจกเฉพาะกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 

ปิดท้ายด้วยข่าวตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ ปรับตัวมาแตะที่ 1,306.41 จุด มูลค่าซื้อขาย 56,556.18 ล้านบาท เด้งขึ้นมา +8.12 หลังช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ต่ำกว่า 1,300 จุด ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นไทย ที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี 

หุ้นไทย 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปลด 4.5 ล้านล้านบาท ต่างชาติเทขาย 2.97 แสนล้านบาท ตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายต่อเนื่องเกือบ 3 แสนล้านบาท กดดัน MARKET CAP ตลาดหุ้นไทยลดลงจาก 20.57 ล้านล้านบาท เหลือ 16.06 ล้านล้านบาท ลดลงไปกว่า 4.5 ล้านล้านบาท ในช่วงเวลาสั้น ๆ และ SET INDEX ยังปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า -22.1%

ต่างชาติกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย การเมืองในไทย แล้วประชาชนคนไทย เริ่มกังวลกันบ้าง หรือยัง...

'ส่งออก' ติดสปีด!! พ.ค.โต 7.2% แรงหนุนจากสินค้าเกษตร ชวนจับตา 'ทุเรียน' โตแรง!! มั่นใจครองแชมป์ตลาดจีน

(22 มิ.ย.67) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน พ.ค.2567 มีมูลค่า 26,219.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.2% โดยมูลค่าสูงสุดในรอบ 14 เดือน และขยายตัวเป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 960,220 ล้านบาท การนำเข้ามีมูลค่า 25,563.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.7% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 947,007 ล้านบาท เกินดุลการค้า 656.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 13,214 ล้านบาท รวม 5 เดือน ของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออก มูลค่า 120,954.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 4,298,248 ล้านบาท การนำเข้า มูลค่า 125,954.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.5% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 4,542,224 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 5,460.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 243,976 ล้านบาท

สำหรับการส่งออกที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 19.4% โดยสินค้าเกษตร เพิ่ม 36.5% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 0.8 สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง ไก่แปรรูป ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์นม ส่วนสินค้าที่ลดลง เช่น ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 4.7%

ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 4.6% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 2.4%

ทางด้านตลาดส่งออก ตลาดหลัก เพิ่ม 8% โดยสหรัฐฯ เพิ่ม 9.1% CLMV เพิ่ม 9.6% จีน เพิ่ม 31.2% แต่อาเซียน (5) ลด 0.6% และสหภาพยุโรป (27) ลด 5.4% ญี่ปุ่น ลด 1% ตลาดรอง เพิ่ม 5.1% โดยเอเชียใต้ เพิ่ม 22.4% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 14.8% รัสเซียและกลุ่ม CIS เพิ่ม 2.7% แต่ทวีปออสเตรเลีย ลด 1.4% ตะวันออกกลาง ลด 8.1% แอฟริกา ลด 19% สหราชอาณาจักร ลด 1.5% ตลาดอื่น ๆ เพิ่ม 11.5% อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 28.1%

นายพูนพงษ์กล่าวว่า เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ พลิกกลับมาเป็นบวกสูงถึง 128% โดยในนี้เป็นการส่งออก ทุเรียน 83,059.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% แสดงให้เห็นว่า ทุเรียนของไทยยังส่งออกได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีน หลังจากที่ลดลงช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้า เพราะผลผลิตปีนี้ออกล่าช้า แต่พอเดือน พ.ค. ผลผลิตมีเต็มที่ ทำให้ส่งออกได้มากขึ้น และคาดว่าเดือนต่อ ๆ ไปก็จะส่งออกได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีทุเรียนภาคใต้ ที่จะเข้ามาเสริม ทำให้มั่นใจว่าไทยยังคงเป็นแชมป์ส่งออกไปจีนเหนือคู่แข่งแน่นอน

สำหรับแนวโน้มการส่งออกเดือน มิ.ย.2567 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง และยังเป็นบวก แม้ว่าฐานเดือนเดียวกันของปี 2566 จะอยู่ในระดับสูงที่ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และตัวเลขครึ่งปี เป็นบวกแน่นอน ส่วนครึ่งปีหลัง การส่งออกยังจะเติบโตได้ดี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การค้าโลก ปัญหาเงินเฟ้อที่เบาบางลง ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ค่าระวางเรือ ที่เป็นผลลบต่อการส่งออก แต่ตัวเลขทั้งปียังมั่นใจจะขยายตัว 1-2%

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกยังคงเติบโตได้ดี แต่ภาคเอกชนมีความกังวลในเรื่องค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยค่าระวางเรือไปยุโรป เพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และเส้นทางไปสหรัฐฯ ก็เพิ่ม 2 เท่าเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นต้นทุน แต่ยังประเมินส่งออกครึ่งปี 2567 น่าจะบวกได้ 2%

‘รัดเกล้า’ เผยข่าวดี!! 'ไทย-ติมอร์' เดินหน้าส่งเสริมความสัมพันธ์รอบด้าน ร่วมลงนาม ‘Free visa’ กระชับความร่วมมือ ‘ท่องเที่ยว-ศก.-วัฒนธรรม’

(22 มิ.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์–เลสเต เดินหน้ากระชับความร่วมมือและส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ผ่านร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งได้มีการลงนามในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความมั่นคงของติมอร์ ระหว่างวันที่ 20-21 มิ.ย.ที่ผ่านมา

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ติมอร์มีความประสงค์จะจัดทำความตกลงฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประชาชนของไทยและติมอร์เพื่อการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์ ติมอร์จึงได้เสนอขอจัดทำความตกลงฯ เพื่อขอให้ฝ่ายไทยพิจารณา ซึ่งที่ประชุม ครม. (18 มิ.ย.67) ได้มีมติเห็นชอบแล้วตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ อาทิ ความตกลงฉบับนี้มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคคลสัญชาติไทยและบุคคลสัญชาติติมอร์เดินทางเข้าดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องมีการขอรับการตรวจลงตรา เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 วันนับจากวันที่ได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยคู่ภาคีว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นของตนเพื่อให้ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้จนกว่าจะถูกบอกเลิกโดยคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง

นางรัดเกล้า กล่าวอีกว่า ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการปฏิบัติตามความตกลงฉบับนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือสาธารณสุข โดยการระงับและการเพิกถอนการระงับดังกล่าวจะต้องทำโดยการบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย 30 วันล่วงหน้า เป็นต้น โดยความตกลงฯ ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะมีผลเชิงบวกต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย - ติมอร์ ในภาพรวมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนความสัมพันธ์ระดับประชาชน

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ทั้งนี้ กต. แจ้งว่า ร่างความตกลงฯ มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ร่างความตกลงฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top