Sunday, 19 May 2024
ECONBIZ

เปิดฉาก!! ‘Motor Expo 2023’ ระดมค่ายรถ 63 แบรนด์ดัง พ่วงจัดแสดง ‘เรือ-อากาศยาน’ ห้ามพลาด 30 พ.ย.-11 ธ.ค.นี้

(29 พ.ย.66) กระหึ่มแล้ว!! งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 โดยปีนี้จัดงาน ภายใต้แนวคิด ‘ยานยนต์ : ความหมายที่มากกว่า-Mobility : Imagination and Beyond’ มีค่ายรถยนต์เข้าร่วมงานทั้งหมด 40 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ รถจักรยานยนต์ 23 แบรนด์ จาก 7 ประเทศ รวมถึงมีธุรกิจ เรือ และเพิ่มการจัดแสดงอากาศยาน ทำให้งานมีความสมบูรณ์แบบจากการแสดงยานยนต์ครบวงจรทั้งทางบก เรือ และอากาศเป็นครั้งแรก

รถยนต์ 40 แบรนด์ ได้แก่ AION, AUDI, BENTLEY, BMW, BYD, CHANGAN, FORD, GWM, HONDA, HYUNDAI,ISUZU, JEEP, KIA, LEXUS, LOTUS,MASERATI, MAZDA, MERCEDES-BENZ, MG, MINI, MITSUBISHI, MOKE, NETA, NEX, NISSAN, PEUGEOT, POCCO, PORSCHE, SMOGO, SUBARU, SUZUKI, TATA, TESLA, TOYOTA,VOLVO, WULING รวมถึงชุดแต่ง และรถยนต์จากผู้นำเข้าอิสระ ได้แก่ BMW MPERFORMANCE, CARLSSON, M’Z SPEED และ SWIFT

รถจักรยานยนต์ 23 แบรนด์ ได้แก่ ALPHA VOLANTIS, BMW, CINECO, CYCLONE, EM EV BIKE THAILAND, FELO, HANWAY, HARLEY-DAVIDSON, HONDA, I-MOTOR, KAWASAKI, LAMBRETTA, LYVA, RAPID, ROYAL ALLOY, ROYAL ENFIELD, SCOMADI,SMOGO, SOLAR, SUZUKI, TRIUMPH, YAMAHA และ ZEEHO

นอกเหนือจากนี้ ยังมีรถมือสอง 4 แบรนด์ ได้แก่ BMW PREMIUM SELECTION, JUST CAR,MERCEDES-BENZ CERTIFIED, PRE-OWNED VEHICLES และ VOLVO SELEKT รวมทั้งพื้นที่ JOIN BOAT PLATFORM โดยงาน MOTOR EXPO 2023 ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจเรือจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเรือ และการท่องเที่ยวทางน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยจัดแสดงเรือมากกว่า 10 ลำ

นอกจากนี้ ยังจัดแสดงโซนอากาศยานเป็นครั้งแรก โดยร่วมกับ สถาบันการเรียนการสอน เทคโนโลยี นวัตกรรม บริการภาคพื้น และเช่าเหมาลำรวม 14 องค์กร ได้แก่ โรงเรียนการบินไทยอินเตอร์ไฟลอิ้ง, สมาคม Blue Bird, สมาคมกีฬาทางอากาศ,สถาบันการบินพลเรือน, EASY 2018, PULSE SCIENCE, TOP Engineering, MU Space and Advanced Technology, YAMAHA, SIT, AAS, สยาม ซีเพลน, First Global Jet และ SAVIATION

สำหรับกิจกรรมคืนกำไรให้ผู้ชมทั้ง ซื้อรถ...ชิงรถ/ซื้อบัตร...ชิงรถ/ซื้อสินค้า...ชิงรถ/ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิ๊กไบค์/ชมงานผ่าน MOTOR EXPO APP ชิงรางวัล มีรายละเอียดดังนี้

‘ซื้อรถ...ชิงรถ’ เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ภายในงานมีสิทธิ์ชิงรถยนต์ NEW MG HS PHEV Dมูลค่า 1,299,000 บาท

‘ซื้อบัตร...ชิงรถ’ ผู้ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า NETA V มูลค่า760,000 บาท

‘ซื้อสินค้า...ชิงรถ’ เมื่อซื้อสินค้าภายในงานจากร้านค้าที่ร่วมรายการตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้นการจอง/ซื้อรถยนต์, รถจักรยานยนต์ และรถใช้แล้ว) มีสิทธิ์ชิงรางวัลใหญ่ รถยนต์ MITSUBISHI ATTRAGE 1.2 ACTIVE CVT A/T ราคา 529,000 บาท จำนวน 1 รางวัล

‘ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิ๊กไบค์’ เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในงาน มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์HONDA รุ่น XL750 TRANSALP 2023 มูลค่า 394,000 บาท จำนวน 1 รางวัล

‘ชมงานผ่าน MOTOR EXPO APP ชิงรางวัล’ ผู้ชิงโชคต้องลงทะเบียนใน MOTOR EXPO APPLICATION โดยกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566-31 ธันวาคม 2566 มีสิทธิ์ชิงรถจักรยานยนต์ ALPHA VOLANTIS รุ่น HORIZON300 มูลค่า 129,900 บาท จำนวน 1 รางวัล

พิเศษสำหรับผู้ชมงานมีบริการ ‘MOTOR EXPO EXCLUSIVE VISITOR’ เป็นแพ็กเกจชมงานแบบวีไอพี เพียง 700 บาท รับสิทธิพิเศษ ที่จอดรถ VIP ณ ลานจอดรถ P1 (1 คัน/1 สิทธิ์) ฟรีค่าจอด 3 ชม. พื้นที่รับรองพิเศษ EXCLUSIVE VISITOR LOUNGE บัตรเข้าชมงาน ULTIMATE VIP 2 ใบ บริการนำชมรถโดยพนักงานขายของแบรนด์ที่ลูกค้าสนใจ และซื้อสินค้าที่ระลึก MOTOR EXPO ลด 10%

ทั้งนี้ งาน ‘มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40’ จัดระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2566 ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม motorexpo.co.th,FB : MotorExpo, IG : Motorexpoth, YouTube : IMCOnlineTH, Line : Motorexpo และ Twitter : MotorExpoTH

‘นายกฯ’ เยือนสันกำแพง สร้างแรงบันดาลใจสินค้า OTOP ลั่น!! ต้องพาสู่ตลาดโลก ใต้ ‘มูลค่า-ราคา’ ที่กำหนดได้เอง

(29 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางถึงข่วงสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยได้มีชาวสันกำแพง ให้กำลังใจและมอบของที่ระลึกให้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นบ้านเกิดนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จะเดินทางมาร่วมงานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อถึงเวลาพิธีกรในงานแจ้งผู้ร่วมงานทราบว่าน.ส.แพทองธาร ส่งกำลังใจมาให้ชาวสันกำแพงทุกคนแทน เนื่องจากติดภารกิจ

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นายกฯ เดินทางมาถึงชาวสันกำแพงได้ส่งเสียงต้อนรับ พร้อมชูป้ายข้อความอาทิ "คืนศักดิ์ศรี คืนความหวัง ขอท่านนายกฯ ช่วยแก้หนี้นอกระบบ, ขอบคุณนายกฯ ทำให้มีอากาศหายใจ ‘ชาวสันกำแพงรักนายกฯเศรษฐารอเงินดิจิทัล 10,000 บาท อยู่นะจ๊ะ, รักนายกฯ เศรษฐา, ซอฟต์พาวเวอร์อำนาจแห่งความสร้างสรรค์ เพื่อสรรค์สร้างเศรษฐกิจไทย"

จากนั้น นายกฯ ได้เดินทักทายชาวสันกำแพงที่มารอต้อนรับ พร้อมถือป้ายรูปน.ส.แพทองธาร  ทำให้ชาวสันกำแพงโห่ร้องดีใจ นอกจากนี้ ชาวสันกำแพงยังระบุอีกว่า "เรารอเงินดิจิทัลอยู่นะคะ" เรียกเสียงปรบมือจากผู้มาร่วมงาน โดยนายกฯ ยิ้ม พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ และแวะทักทายถ่ายรูปเซลฟี่กับชาวบ้านที่สวมผ้าสันกำแพงมาต้อนรับ 

จากนั้นนายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์โอทอปของชาวสันกำแพง โดยช่วยหนึ่งนายกฯ ได้เขียนชื่อตนเองเป็นที่ระลึกบนร่มผ้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ชาวสันกำแพง ก่อนรับมอบร่มกระดาษสาสีแดง พร้อม ‘กางจ้อง’ ให้กับช่างภาพสื่อมวลชนเป็นที่ระลึก อย่างอารมณ์ดี

ต่อมานายกฯ เยี่ยมชมการเขียนลายบนศิลาดล ซึ่งได้มีการนำเครื่องปั้นดินเผาช้าง มาให้นายกฯ เขียนชื่อ ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำเป็นศิลาดล พร้อมอธิบายถึงลวดลายบนตัวช้าง ซึ่งมีตัว S บนตัวช้าง ซึ่งมีความหมายคือ ‘เศรษฐา’ และช้างหมายถึงความโชคดี เพื่อที่ท่านจะได้นำความสุขให้กลับมาสู่ชาวไทย และช้างตัวนี้มีความสง่างาม และภายหลังเคลือบศิลาดลแล้วจะฝากผู้ว่าเชียงใหม่ไปให้นายกฯ จากนั้นได้มอบข้าวต้มมัด โดยระบุว่า “ทำด้วยหัวใจของชาวสันกำแพงให้นายกฯ ได้ชิม”

จากนั้นนายกฯ ได้หารือแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) ด้วย Soft Power โดยนายกฯ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่เตรียมสปีดให้ 2 หน้า ซึ่งคิดว่าเป็นอะไรที่พวกท่านไม่ค่อยอยากได้ยิน เราพูดความเป็นจริงดีกว่า การที่ได้มานั่งฟังตรงนี้ ทีมงานจัดระดับงานได้ดีมาก เดินเข้ามาแล้วมาเจอพิพิธภัณฑ์ ได้มาดู พูดคุยทราบวิธีการผลิต ซึ่งแตกต่างจากหน้าทำเนียบฯ ได้มาฟังเด็กรุ่นใหม่ เยาวชน ถือเป็นนิมิตหมายอันดี และจังหวัดเชียงใหม่ก็เหมือนเมืองหลวงของเพื่อไทย 

นายกฯ กล่าวว่า การตลาดเป็นเรื่องสำคัญ เดินเข้ามาผลิตภัณฑ์สวยมาก โดยดูจากแววตาและสีหน้าทุกคนมีความตั้งใจทำงานและเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ตัวเองอย่างดีเลิศ และเข้าใจความต้องการของตลาดด้วย แต่การที่เราเข้าใจตลาดและทำสินค้าที่ดีออกมาบางครั้งทั่วโลกยังไม่ทราบถึงข้อดีผลิตภัณฑ์ ไม่เป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคนที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนี้ ได้มีการพูดคุยกับเอกอัครราชทูตไทยประจำทุก ๆ ประเทศ เน้นย้ำความสำคัญของการเป็นคู่พาณิชย์ทั้งหลาย ความสำคัญของการตลาดในต่างประเทศ ซึ่งเรามีสินค้าดีเราควรต้องเอาไปเผยแพร่ ไปขาย ไปสร้างตลาดสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เราจะมีดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงานที่ชัดเจนต่อไปนี้ จะต้องไปขายของเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องช่วยเหลือพวกท่านให้มีพื้นที่ในการแสดงสินค้า

นายกฯ กล่าวว่า ตนเคยคุยกับรัฐมนตรีอยากหาพื้นที่ในกรุงเทพฯ เพื่อจัด OTOP ให้มีโอกาสไปขายไปเผยแพร่ เหมือนกับมาทีเดียวแล้วเห็นหมด โดยคำนึงถึงรายจ่ายที่พวกท่านไม่ควรจะต้องมี ซึ่งคงจะต้องพูดคุยกัน เราจะมีการจัดสถานที่ให้ ดีไซน์หน้าร้านให้ เพื่อให้พวกท่านได้มีการมาแสดงสินค้าของพวกท่านเผยแพร่สินค้าเหล่านี้จะติดต่อไปอาจจะมีการเชิญผู้จัดต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมชมด้วย โดยเฉพาะทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำต่างประเทศ เมื่อไหร่ที่ท่านกลับมาจะได้มาดูและอาจจะต้องมีการใช้ดัชนีชี้วัด วัดความสำเร็จด้วย หากเอาเสื้อไปขายเอากระเป๋าไปขายจะต้องขายเท่าไหร่ มีช้างที่ทำจากเซรามิกจะต้องขายกี่ตัว อันนี้เป็นความหวังและเป็นความคาดหวังของรัฐบาลนี้ที่เราอยากให้มีเรื่องการตลาดเป็นเรื่องสำคัญ จนมั่นใจว่าสินค้าพวกท่านเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ แต่ยังมีการสนับสนุนด้านการตลาดเปิดตลาดน้อยไป 

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาจนเดินทางไปหลายประเทศ พยายามไปขายสินค้า ไม่ได้ขายแค่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เราอยากไปเปิดตลาดใหม่ๆ ซึ่งพวกท่านจะได้ขายสินค้าเป็นความหวังคุ้มกับแรงบันดาลใจของทุกคน รัฐบาลนี้เป็นห่วงและอยากส่งเสริมให้พวกท่านมีศักยภาพในเวทีโลก ได้มีพื้นที่บนเวทีโลก และสำหรับเรื่องของแหล่งทุนก็ถือเป็นเรื่องสำคัญจริงๆแล้วต้องเอาหลักการคิด การแข่งขันมาด้วย ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะยื่นเอาเงินให้อย่างเดียว พวกท่านก็ต้องช่วยตัวเอง ต้องมีการแข่งขัน หากสินค้าดีก็ต้องมีการแข่งขัน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องช่วยสนับสนุนให้พี่น้องมีแหล่งเงินทุนเข้าถึงได้ในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ไม่ได้ไปยืมเงินจากหนี้นอกระบบ หรือเงินนอก ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำตรงนี้ให้ได้ อีก 2 สัปดาห์ตนจะไปญี่ปุ่น เราก็จะไปนั่งดูและเชิญอาจจะต้องมีการเชิญตัวแทนผู้ประกอบการไปดูว่าเขาทำอะไรบ้าง พวกท่านทราบอยู่แล้วว่า แพ็กเกจจิ้งของประเทศญี่ปุ่นสวยมาก 

นายกฯ กล่าวว่า หลายคนอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว อยากให้อยู่ที่นี่สร้างความเจริญให้กับพื้นที่ตรงนี้เท่าที่สามารถจะทำได้ และเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องสร้างอนาคตและแรงบันดาลใจให้กับพวกท่านอยากอยู่ในพื้นที่ เพราะคงไม่มีใครรู้ประเพณีวัฒนธรรมและสินค้าของพวกเราเท่ากับทุกท่านที่เกิดและโตที่นี่ จึงอยากเป็นแรงบันดาลใจให้พวกท่านทุกคนในการที่จะทำต่อไป รวมถึงเรื่องของการดีไซน์ต้องเข้าใจถึงความต้องการตลาดโลกจึงอยากให้มีการช่วยเหลือตรงจุดนี้ ฉะนั้นการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันจะช่วยดีไซน์ให้ผลิตภัณฑ์ของพวกท่านให้ดูดีสามารถไปแข่งขันในเวทีโลกได้ เหล่านี้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องช่วยเหลือ

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้มีการสะดุดจากสถานการณ์โควิดโลก เหล่านี้ไม่สามารถการันตีได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอีก ถือเป็นการทำลายโอกาส ฉะนั้นความพร้อมทางออนไลน์มาร์เก็ตติ้งเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องทำให้พวกท่านมีความหวังและแรงบันดาลใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องหนึ่งของรัฐบาลนี้ เราเพิ่งเข้ามาบริหารจัดการได้ 2-3 เดือนก็จะพยายามกลับมาอีก ด้วยมีข้อเสนอแนะและอยากจะพาท่านไปสู่เวทีโลกในอีกหลาย ๆ ประเทศ หน้าที่ของรัฐบาลสร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านมีขวัญและกำลังใจในการที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

‘แสนสิริ’ ท็อปฟอร์ม!! กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกแตะ 4.7 พันลบ. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

(29 พ.ย.66) ปี 2566 เป็นปีของ ‘แสนสิริ’ จริง ๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การประกาศเดินหน้าลงทุน 22 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/66 ซึ่งเป็นช่วงโค้งท้ายปีที่คู่แข่งขันจำนวนหนึ่งกำลังอ่อนแรง

หากแต่ผลประกอบการ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2566) สามารถทำผลงานโดดเด่น ทำให้บริษัทพกความมั่นใจว่าจนถึงสิ้นปีนี้ แสนสิริจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

โดย ‘วิชาญ วิริยะภูษิต’ ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยผลประกอบการรอบ 9 เดือนแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปี 2565

โดยเป็นกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 3/66 จำนวน 1,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

คำอธิบายส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุน โดยเฉพาะการร่วมทุนกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น การควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งแสนสิริมีแผนพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้นในอนาคต

จุดโฟกัส คือ กำไรในงวด 9 เดือนปีนี้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 ที่มีจำนวน 4,280 ล้านบาท

สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม business direction ที่วางไว้

รายละเอียดรัว ๆ รายได้รวมรอบ 9 เดือนอยู่ที่ 28,047 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 70% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 40,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยเป็นรายได้รวมเฉพาะไตรมาส 3/66 ที่ 9,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 เป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง

“เป้ารายได้ทั้งปี 40,000 ล้านบาท ซึ่งงวด 9 เดือนเราบันทึกรายได้รวมไปแล้ว 28,047 ล้านบาท รายได้ที่เหลืออีก 12,000 ล้านบาท จะมาจาก backlog ของบ้านและคอนโดมิเนียมที่ขายแล้ว และกำลังทยอยส่งมอบ รวมถึงการขายโครงการใหม่ อาทิ เนีย บาย แสนสิริ และเศรษฐสิริ 5 โครงการใหม่”

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ SIRI ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ในระดับ AA และติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สะท้อนถึงแนวคิดของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)

โดยการลงทุนในหุ้นยั่งยืนนี้ เป็นเทรนด์การลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนทั่วโลกที่ใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น ควบคู่ไปกับผลประกอบการทางธุรกิจ

ไฮไลต์ยังไม่หมด ล่าสุด แสนสิริ ได้รับความไว้วางใจให้เป็น Most Valuable Real Estate Brand 2023 หรือแบรนด์อันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีมูลค่าแห่งอนาคตสูงสุดประจำปี 2023

โดยมีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของวงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 1.46 หมื่นล้านบาท

โดยเป็นความร่วมมือของบารามีซี่ กรุ๊ป (Baramizi Group) และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าแบรนด์ ด้วยชุดเครื่องมือร่วมกันคิดค้นชุดใหม่ เรียกว่า Brand Future Valuation (BFV) ที่สามารถประเมินมูลค่าแบรนด์ได้รอบด้าน ทรงพลัง และสามารถประเมินไปถึงมูลค่าแบรนด์ในอนาคต

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 20 - 24 พ.ย. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 27 พ.ย. - 1 ธ.ค. 66

ตลาดน้ำมันติดตามการประชุมกลุ่ม OPEC+ วันที่ 30 พ.ย. นี้

-ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ล่าสุด 20-24 พ.ย. 66 เพิ่มขึ้นกว่า $0.67-1.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยนักลงทุนและผู้ค้าที่ลดการถือครองสัญญาน้ำมันดิบในช่วงก่อนหน้า กลับมาเข้าซื้อเพื่อปรับสถานะการลงทุน และทำกำไร (Short Position Covering) ในตลาดล่วงหน้า

ทั้งนี้ ICE รายงานสถานะการลงทุนสัญญาน้ำมันดิบ Brent ในตลาดลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุด 21 พ.ย. 66 กลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับสถานะถือครองสุทธิ (Net Long Position) ลดลง 15,880 สัญญา จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ 155,105 สัญญา ส่วนตลาดนิวยอร์ก CFTC จะเลื่อนมารายงานในวันที่ 28 พ.ย. นี้ เนื่องจากในสัปดาห์ก่อน มีวันหยุด Thanksgiving ในสหรัฐฯ

-ตลาดติดตามการประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 30 พ.ย. 66 เลื่อนจากกำหนดการเดิมวันที่ 26 พ.ย. 66 และเปลี่ยนเป็นการประชุมออนไลน์ หลังประเทศสมาชิกในแอฟริกา อาทิ แองโกลา และไนจีเรีย ไม่ต้องการจะลดการผลิตในปี 2567 

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ Reuters คาดว่า OPEC+ จะสามารถบรรลุข้อตกลง และยังคงมาตรการลดการผลิตรวม 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2567 และซาอุดีอาระเบียจะขยายเวลาอาสาลดการผลิต 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมสิ้นสุด ธ.ค. 66 ไปจนถึงไตรมาส 1/67 หรือกลางปี 67

-สถานการณ์สงครามอิสราเอล-กลุ่ม Hamas ในฉนวน Gaza ของปาเลสไตน์ ผ่อนคลาย หลัง Hamas ปล่อยตัวประกันตามข้อตกลงหยุดยิง 4 วัน ตั้งแต่ 24 พ.ย. 66 จำนวน 3 รอบ รวม 54 ราย ขณะที่อิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์รวม 117 ราย 

ทั้งนี้ตามข้อตกลง Hamas จะปล่อยตัวประกัน 50 ราย แลกกับอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ 150 ราย และให้ส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปใน Gaza ทั้งนี้ Hamas แสดงท่าทีต้องการขยายเวลาหยุดยิงออกไป 2-4 วัน ซึ่งอาจทำให้มีการเจรจาเพิ่มเติม

-บันทึกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) เมื่อ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. 66 ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า FOMC จะหยุดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ (วันที่ 12-13 ธ.ค. 66) 

อย่างไรก็ตาม FOMC ยังไม่แสดงท่าทีจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูงเหนือระดับเป้าหมาย ที่ 2% จากปีก่อน

‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ เปิดตัว ‘บรรจุภัณฑ์กระดาษ’ ครั้งแรกในไทย ลดใช้พลาสติก 204 กก.ต่อปี หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่รักษ์โลก

(29 พ.ย.66) บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ด้วยการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ใหม่ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์กระดาษเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ชูจุดเด่น อร่อย รักษ์โลก เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยมี ‘AjiPanda’ ทำหน้าที่เป็น Brand Ambassador หรือทูตสื่อสารความอร่อยจากธรรมชาติ เพื่อส่งต่อความ กินดีมีสุข และช่วยดูแลโลกไปด้วยพร้อมๆ กัน

นับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ ในฐานะผู้นำและเจ้าตลาดเครื่องปรุงรส ที่ได้เพิ่มรูปแบบบรรจุภัณฑ์ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ ซึ่งซองผลิตจากกระดาษ FSC เพื่อทดแทนการใช้พลาสติก ทำให้สามารถช่วยลดการใช้พลาสติกได้ 204 กิโลกรัมต่อปี โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารให้ได้ 50% ภายในปี พ.ศ. 2568 รวมถึงลดขยะพลาสติกเป็น 0 ภายในปี พ.ศ. 2573

ด้านกระดาษที่นำมาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ เป็นกระดาษรักษ์โลก ซึ่งได้รับการรับรองจาก FSC หรือ Forest Stewardship Council เพราะมีที่มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์หรือป่าที่มีการจัดการดูแลอย่างรับผิดชอบ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ว่า ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ ทุกซองผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ด้านดีไซน์ของซองกระดาษ มีการออกแบบใหม่ให้มีความสดใส เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย โดยใช้ภาพลายเส้นสีแดงของ ‘AjiPanda’ (อายิแพนด้า) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ คือมีความรักในการทำอาหาร สนุกกับการได้กินอาหารที่อร่อย ชอบใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและอยู่เคียงข้างกับทุกคน พร้อมเปิดประสบการณ์ด้วยการท่องเที่ยวและลิ้มลองอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยได้เดินทางมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกที่ ‘AjiPanda’ เดินทางมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอายิโนะโมะโต๊ะในประเทศไทย เพื่อบอกเล่าเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับ ‘รสชาติอูมามิ’ หรือที่มาของความอร่อยจากผลิตภัณฑ์ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ และการร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’

ด้านโรงงานที่ใช้ผลิต ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ เป็นต้นแบบโรงงานสีเขียวของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจที่มีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การดำเนินการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย และการใช้น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งหมดนี้ ช่วยตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) เพื่อสอดรับกับนโยบาย ‘การสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมของอายิโนะโมะโต๊ะ’ (ASV) อันเป็นสิ่งที่กลุ่มบริษัทฯ ยึดปฏิบัติเสมอมา ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ในฐานะ ‘ผู้นำไปสู่การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน’ ผ่านการดำเนินการส่งเสริม ‘สุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คน’ ควบคู่ไปกับการลด ‘ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม’ ในทุกกิจกรรมทางธุรกิจ ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งกรดอะมิโน อันเป็นความเชี่ยวชาญหลักของ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ และจะไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทุกคน ‘กินดี มีสุข’ ตลอดไป

เพื่อสร้างความอร่อยและส่งเสริมสุขภาพที่ดี สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) ได้ทางสื่อออนไลน์ภายใต้กลุ่มบริษัทฯ ในทุกช่องทาง สำหรับผลิตภัณฑ์ ‘อายิโนะโมะโต๊ะ ขนาด 50 กรัม’ ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ซองกระดาษ สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ ที่ร้านค้าชั้นนำ​ทั่วประเทศ

‘ญี่ปุ่น’ ซื้อกล้วยหอมทองเมืองย่าโม 5 พันตัน กว่า 100 ลบ. หลังได้ชิมแล้วติดใจ เพราะ ‘ผลใหญ่ หวาน หอม อร่อย’

เมื่อวันที่ 28 พ.ย.66 ที่ผ่านมาที่ห้องประชุมลำตะคอง โรงแรมแคนทารี่ จังหวัดนครราชสีมา นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วย นายสยาม สิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา, นายฉันทพันธ์ ปัญจมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว, MRS.PIMJAI MATSUMOTO กรรมการผู้จัดการ บ.พีแอนด์เอฟ เทดโน จำกัด ผู้นำเข้าญี่ปุ่น และนายสมศักดิ์ แสงรัมย์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกล้วยหอมตำบลสุขไพบูลย์ หัวหน้าส่วนราชการ พาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา-จ.ขอนแก่น หอการค้าฯ ภาครัฐ ภาคเอกชน พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทอง อ.เสิงสางฯ ร่วมพิธี

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ได้ทำพิธีเซ็นสัญญาซื้อกล้วยหอมทองระหว่างคณะตัวแทนผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกล้วยหอม ต.สุขไพบูลย์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา โดยมีการเซ็นสัญญาซื้อปริมาณ 5,000 ตัน มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท เป็นการช่วยขยายช่องทางในการจำหน่ายกล้วยหอมทองให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกล้วยหอมตำบลสุขไพบูลย์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่จะได้นำผลผลิตกล้วยหอมในพื้นที่ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า พิธีเซ็นสัญญาในครั้งนี้ เกิดขึ้นตามการผลักดันภายใต้นโยบายกระทรวงพาณิชย์ โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้กับกลุ่มเกษตรกร โดยใช้การทำงานเชิงรุก และบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์ รวมทั้งให้เร่งใช้ประโยขน์จากผลของการเจรจา FTA ที่มีอยู่ มาใช้ในการผลักดันให้มีปริมาณการส่งออกของสินค้าไทยสู่ตลาดโลกได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

โดยประเทศไทยเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์จาก กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น JTEPA ซึ่งยกเว้นภาษีให้กล้วยจากประเทศไทยถึง 8,000 ตันอยู่แล้ว และที่ผ่านมาเราเองก็ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่ถึงครึ่งของโควต้า จึงเป็นโอกาสอันดีในการเร่งผลักดันเชิงรุกผ่านช่องทางดังกล่าวนี้ จนสามารถสร้างผลลัพธ์เร่งด่วน Quick win ภายใน 100 วัน ด้วยยอดขายได้ถึง 100 ล้านบาทได้สำเร็จ

สำหรับที่มาของการเซ็นสัญญาสั่งซื้อกล้วย จำนวน 5,000 ตัน ของผู้ซื้อชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้ นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว กล่าวว่า หลังจากที่ได้จับมือทำงานบูรณาการร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมาเพื่อมุ่งขยายตลาดกล้วยไทยในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ตนก็ได้นำผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วยชาวญี่ปุ่นลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อพัฒนาเทคนิคการปลูกให้กล้วยในพื้นที่มีคุณภาพ และปริมาณตามความต้องการของตลาดญี่ปุ่นโดยทันที

นอกจากนี้กล้วยหอมของไทยนั้น เป็นพันธุ์กล้วยหอมทอง ซึ่งนอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ในปัจจุบันไทยยังเป็นแหล่งผลิตที่ยังคงเหลืออยู่แห่งเดียวในโลก ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดขายในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดี และเมื่อได้พาคณะผู้ซื้อชาวญี่ปุ่นไปเยี่ยมชม และลองชิมผลผลิตกล้วยหอมทองนั้น ต่างก็ได้รับความพอใจอย่างมาก จนตกลงทำสัญญาซื้อขายในทันที

นายสมศักดิ์ แสงรัมย์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกล้วยหอมตำบลสุขไพบูลย์ กล่าวว่า ตนในฐานะประธานกลุ่มฯ รู้สึกดีใจและภูมิใจที่กล้วยหอมทองจากอำเภอเสิงสาง ได้ส่งไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่กล้วยหอมในพื้นที่ถูกนำไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ผลผลิตกล้วยหอมของกลุ่มฯ นั้น จำหน่ายเฉพาะภายในประเทศ โดยตนเชื่อมั่นว่ากล้วยหอมจากอำเภอเสิงสางนั้นจะถูกใจคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เนื่องจากผลผลิตลูกใหญ่ หวาน หอม อร่อย ซึ่งจากการเซ็นสัญญาซื้อกล้วยหอมจากตัวแทนประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ด้านนายสยาม สิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมานั้นเป็นแหล่งผลิตกล้วยหอมทองใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีพื้นที่เพาะปลูกกล้วยหอมทองมากถึง 1,350 ไร่ ให้ปริมาณผลผลิตถึง 8,100 ตันต่อปีและทางจังหวัดนครราชสีมาก็เตรียมส่งเสริมในด้านการขยายพื้นที่การผลิตกล้วยหอมทองในพื้นที่ แต่ขณะนี้ยังคงต้องมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของกล้วยหอมทองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นต้องการ

'เซ็นทรัล เวสต์วิลล์' จัดเต็มเปิดตัวศูนย์การค้าสุดยิ่งใหญ่ ตอกย้ำแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่านราชพฤกษ์ 29 พ.ย. นี้

(29 พ.ย. 66) ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ เปิดให้บริการอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ เวลา 11.00 น. วันที่ 29 พ.ย. ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘West at Its Best - ดีที่สุดให้ทุกชีวิตสุดดี’ พร้อมเป็นแลนด์มาร์กใหม่แห่งกรุงเทพฯ ตะวันตก เตรียมปลุกย่านราชพฤกษ์ให้คึกคักอีกครั้ง และพลาดไม่ได้กับงานฉลองเปิด Grand Opening รักษ์โลกครั้งแรกในไทย ที่อัดแน่นด้วยไฮไลต์พิเศษมากมาย

พร้อมโชว์พิเศษจากโบว์-เมลดา นักแสดงสาวชื่อดัง พร้อมโปรฯ และส่วนลดจากร้านค้า-แบรนด์ในเครือกลุ่มเซ็นทรัล และร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ รถยนต์ TOYOTA รุ่น Corolla Cross Hybrid HEV Premium และ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ZEEHO AE6+

นอกจากนี้ยังยกขบวนแบรนด์ดังกว่า 300 ร้านค้า และกว่า 80 ร้านอาหารดัง เยอะและครบที่สุด ตอบทุกเจนเนอเรชั่น

การผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่ของกลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลที่มาในคอนเซ็ปต์ใหม่ ‘Central Factory’ เน้นงานลอฟท์ในการออกแบบ และใช้วัสดุ Reuse ทั้งโครงเหล็กและงานไม้ รวมถึงการออกแบบให้มีแสงธรรมชาติเข้าถึงมากที่สุด พร้อมด้วย Tops Food Hall, Power Buy, B2S, Supersports และ OfficeMate

Best Dining Destination ดีที่สุดในย่าน สัมผัสประสบการณ์ความอร่อยกับกว่า 80 ลิสต์ร้านดังแบบ All-Day Dining ไม่ต้องเข้าเมืองอีกต่อไป ทั้งอาหารไทย เอเชีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิวชั่นและเฮลตี้คาเฟ่ และขนมหวาน อาทิ ร้านดังเครือไอเบอรี่: ทองสมิทธิ์, รส’นิยม, โรงสีโภชนา, อันเกิม-อันก๋า, ปรายระย้า ซิกเนเจอร์, ลิ้ม เหล่า โหงว, Nana Coffee Roaster ร้านกาแฟสเปเชียลตี้ที่เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า, Cath Kidston Tearoom, Mil Toast House, Nam Nam Pasta and Tapas, Yakiniku Like, Nice Two Meat U, Saemaeul (แซมาอึล) เป็นต้น

Family & Edutainment Hub สำหรับทุกคนในครอบครัว ได้แก่ SkyRise Adventure ผจญภัยบนเส้นเชือกกับ Rope course ที่ใหญ่ที่สุดในไทย, Kiztopia ครั้งแรกในไทย กับสนามเด็กเล่นในร่มขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ ตื่นตากับนวัตกรรมใหม่ของโรงภาพยนตร์ Westville Cineplex

เกาะติดเทรนด์แฟชั่นกับ Best Style Destination กว่า 70 แบรนด์ดัง อาทิ Uniqlo, Muji คอนเซ็ปต์ใหม่, Pandora, LUSH, Skechers เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมี Beauty & Wellness กับ 15 สถาบันความงามชั้นนำ อาทิ Matsumoto Kiyoshi เป็นต้น

ยกระดับความฟิตสำหรับคนแอคทีฟและใส่ใจสุขภาพ กับ JETTS Black - Premium Fitness แห่งเดียวในย่าน และแบรนด์ Sports Fashion ครบครัน อาทิ Adidas, Puma, Vans, Skechers, Le Coq Sporsac

และที่นี่ยังเป็นศูนย์การค้าแรกที่ชวนสมาชิก 4 ขา มาใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีจุด Pet-Friendly Landmark พื้นที่รวมกว่า 1,000 ตร.ม. รวบรวม Pet Facilities ที่ครบครันมากที่สุด ทั้งร้านอาหาร Pet-Friendly 17 ร้านดังในโซน Semi-Outdoor ทั้งหมด และโซน Buddy Yard ที่เปิดให้พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น ออกกำลัง พร้อมด้วยสินค้าและบริการครบครันที่ร้าน Pet ‘n Me Flagship store

นอกจากนี้ ภายในงานยังพบกับงานฉลองเปิดศูนย์การค้าสุดยิ่งใหญ่ Grand opening รักษ์โลกครั้งแรกในไทย เตรียมไฮไลต์พิเศษมากมาย อาทิ ร่วมฉลองเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ โดย โบว์-เมลดา และ แคน-อติรุจ พร้อมชู 5 ไฮไลต์

• The Soul of Nature การแสดง Immersive Art Installation ผ่านม่านน้ำตกสูงกว่า 20 เมตร สวยงามตระการตา

• ต้นคริสต์มาสหิรัณย์ราชพฤกษ์ และ Christmas Craft Market พบกับต้นคริสต์มาสที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ที่ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดเชียงราย (ดอยตุง) นำทรัพยากรหมุนเวียนมาใช้ในการสร้างสรรค์งานประติมากรรมต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ใจกลางศูนย์ ออกแบบและผลิตโดยดอยตุง

พร้อมพบกับของขวัญไม่ซ้ำใคร กับงานคราฟต์สุดคูล สินค้าแฮนด์เมดสุดเก๋ไก๋ ที่รวบรวมเอาไว้ให้ชอปแบบจัดหนักจัดเต็ม พร้อมชมงานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านของชุมชน และกิจกรรม DIY

• The Sweet Sensation Dining Zone เติมความหวานให้ชีวิต นำทัพขนมหวานมาฮีลใจทุกคน แบบ Immersive กับ Art Installation รถขนมหวานขนาดใหญ่ ถูกใจสายคอนเทนต์ สายถ่ายรูปแน่นอน

• The Spirit on Track: Ride and Charge เพลิดเพลินไปกับการแกว่งชิงช้าพลังงานสะอาด เพื่อขยับปีก และปั่นไฟให้กับผีเสื้อ สร้างความสว่างไสว ให้กับ Art installation ไปพร้อมกับชาร์จแบตเตอรี่ให้โทรศัพท์ สามารถอัด Clip ขณะปั่นจักรยานแล้ว Post ลงบน Social Media ติด Hashtag #Centralwestville #Rideandcharge เพื่อรับบัตรทดลองเข้าใช้ Jeffs Fitness ฟรี

• The AR of Nature ชวนสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติได้ใกล้ชิดกว่าที่เคย ผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำ  
ขาชอปห้ามพลาด! เตรียมพบโปรโมชันชอปทุกวันรับสิทธิ์ลุ้นได้ทุกวัน รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรับ Toyota Corolla Cross HEV Premium มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ZEEHO AE6+ เมื่อชอปครบ 1,000 บาท, รับฟรีกระบอกน้ำรักษ์โลก Limited Edition Tumbler จำนวน 1 ใบ เมื่อชอปครบ 5,000 บาท, Top Spenders ชอปสะสมสูงสุดตลอดแคมเปญ (100,000 บาทขึ้นไป) รับฟรีกระเป๋าสานรักษ์โลกนกแก้วโม่ง

และระหว่าง 29 พ.ย. -17 ธ.ค. 66 ซื้อสินค้าแบรนด์ร้านค้าแฟชั่นภายในศูนย์การค้าฯ ที่ร่วมรายการ ครบ 4,000 บาท รับฟรี E-Voucher มูลค่า 400 บาท สำหรับสมาชิก The1 : รับคะแนนสูงสุด 4 เท่า ชอปสะสมร้านค้าที่ร่วมรายการ 10,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่ม 2,000 คะแนน แลก 100 คะแนน ลด 100 บาท ร้านค้าแบรนด์ดังทั้งกินและชอป

ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ ภายใต้คอนเซปต์ ‘West at Its Best’ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในย่านกรุงเทพฯ ตะวันตก สะท้อนความมุ่งมั่นของเซ็นทรัลพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิต ไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม จะเปิดอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 นี้ ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/CentralWestville

‘สุริยะ’ ไฟเขียว ‘ทางด่วน-มอเตอร์เวย์’ วิ่งฟรี 7 วัน อำนวยความสะดวก ปชช. ตั้งแต่ 28 ธ.ค. - 3 ม.ค.67

(28 พ.ย. 66) ที่กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม เรื่องแนวทางการเตรียมความพร้อมการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วม ว่า ในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะเตรียมลงพื้นที่โครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 เส้นทางปากช่อง-สีคิ้ว-ขามทะเลสอ ตรวจสอบความเรียบร้อยเรื่องความปลอดภัย และเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ก่อนเปิดให้บริการในช่วงปีใหม่ 2567 รวมถึงจะมีการพิจารณาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ 2567 แก่พี่น้องประชาชน จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมร่วมกันให้บริการพิเศษแก่พี่น้องประชาชน ประกอบด้วย ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง ได้แก่ มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-เมืองพัทยา) และมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 (สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ถนนกาญจนาภิเษก ตอนบางปะอิน-บางพลี และตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน) โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น. เป็นเวลา 7 วัน

การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น. เป็นเวลา 7 วัน 

การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น. เป็นเวลา 2 วัน

การเปิดใช้มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 จาก ปากช่อง-เลี่ยงเมืองนครราชสีมา เปิดให้บริการ 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ระยะทาง 77.493 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อเท่านั้น และมีจุดบริการห้องน้ำ 1 จุด คือ ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว กม. ที่ 147 ทั้งทิศทางขาเข้าและขาออก การเปิดให้ทดลองวิ่งฟรีบนมอเตอร์เวย์หมายเลข 81 (บางใหญ่-กาญจนบุรี) ช่วงด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก-ด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 50 กิโลเมตร

“ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ผมขอให้พี่น้องคนไทยมีความสุข เดินทางด้วยความระมัดระวัง และมีความปลอดภัย โดยกระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะอำนวยความสะดวก และดูแลประชาชนในทุกมิติ ตามนโยบายคมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” นายสุริยะ กล่าว

‘สุกี้ตี๋น้อย’ ถอด ‘น้ำซุปกระดูกหมูทงคตสึ’ ออกจากเมนู ขอปรับสูตรใหม่ และจะกลับมาพร้อมรสชาติที่ดียิ่งขึ้น

เรียกว่าเป็นประเด็นในช่วงที่ผ่านมาพอควร สำหรับ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ หนึ่งในบุฟเฟต์ยอดฮิตของคนทุกกลุ่มวัย หลังจากทางแบรนด์ได้ผุด ‘น้ำซุปกระดูกหมูทงคัตสึ’ ออกมา เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้า แต่ดูเหมือนว่ารสชาติจะไม่เป็นทางถูกปากเท่าไหร่นัก

ล่าสุด (28 พ.ย. 66) เพจ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ได้ออกแถลงข้อความถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุข้อความดังนี้

เรียน ผู้มีอุปการคุณทุกท่าน

เนื่องจากทางร้านสุกี้ตี๋น้อยได้รับข้อติชมในเรื่อง ‘น้ำซุปกระดูกหมูทงคตสึ’ เข้ามา จึงขอยุติการเสิร์ฟก่อนกำหนด จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 29 พ.ย. 2566 เป็นสิ้นสุดทันที

โดยทางร้าน สุกี้ตี๋น้อย ขอนำข้อติชมนี้ไปพัฒนาปรับปรุงสูตรน้ำซุปกระดูกหมูทงคตสึ ให้ดียิ่งขึ้น และจะนำกลับมาใหม่ภายในเดือน ธ.ค. 2566 สุกี้ตี๋น้อย ขออภัยในความไม่สะดวก

‘ซีพี’ ผนึก ‘อัลเตอร์วิม’ รุกธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร สานต่อภารกิจปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2593

(28 พ.ย.66) เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยบริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (ALTERVIM) ธุรกิจในเครือฯ ด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน เปิดตัว ‘Total Clean Energy Solution’ โครงการต้นแบบการจัดการพลังงานสะอาดแบบครบวงจร นำร่องที่สถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดซึ่งถือเป็นภารกิจครั้งสำคัญ ในการสนับสนุนยุทธศาสตร์เป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้ได้ภายในปี 2593

เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับประชาคมโลกในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ได้มากที่สุด โดยภายในงานมีนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้เกียรติเข้าร่วมงาน พร้อมด้วยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้เปิดงาน และนายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของอัลเตอร์วิม เป็นผู้กล่าวรายงานโครงการ รวมทั้งผู้บริหารในเครือซีพี และกลุ่มธุรกิจในเครือฯ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ สถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะ ‘โลกร้อน’ คือ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของโลก เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความตระหนักในประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นภารกิจสำคัญในกระบวนการสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเครือฯ จึงได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral ภายในปี 2573 

ทั้งนี้เครือซีพีได้ผลักดัน สนับสนุน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ โดยยกระดับแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โครงการต้นแบบการบูรณาการการจัดการพลังงานโดยใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจร ณ สถาบันผู้นำฯ ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญสู่การเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน เป็นต้นแบบที่ดีในการใช้พลังงานสะอาด

“เครือฯ มีความมุ่งมั่นจะขยายผลโครงการบูรณาการ การจัดการพลังงานโดยใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจรไปยังทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ รวมถึงคู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเป็นแบบอย่างการพัฒนาอย่างยั่งยืนสู่ชุมชน สังคมและประเทศไทย” ซีอีโอเครือซีพี กล่าว

นายสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อัลเตอร์วิม กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องของพลังงานสะอาด และความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยอัลเตอร์วิมก็เป็นบริษัทที่ยึดมั่นในเรื่องค่านิยม 3 ประโยชน์ของท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ และมองว่าจะนำพลังงานสะอาดมาใช้อย่างไรให้ประเทศได้ประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งสร้างรูปแบบการให้บริการซึ่งสามารถให้ประชาชนเข้าถึงมากขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น ต้องมีต้นทุนที่ต่ำ เข้าถึงง่าย และมีรูปแบบการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ แล้วถึงคิดในเรื่องขององค์กรเป็นลำดับสุดท้าย

โดยโครงการต้นแบบการจัดการพลังงานสะอาดแบบครบวงจร (Total Clean Energy Solutions) ซึ่งทางอัลเตอร์วิมได้ผนึกกำลังความร่วมมือกับสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในการพัฒนาโครงการนี้ขึ้นมาจากนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่มีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นกลางในปี 2573 รวมทั้งเป็นผู้นำในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดนั้น ทางทีมงานได้ลงลึกศึกษาและร่วมมือกับทางสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการนำนโยบายมาต่อยอดเป็นโครงการจริง

นายสมบูรณ์ ขยายความถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่

1.ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 832 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 670 ครัวเรือน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.2 ล้านหน่วยไฟฟ้าต่อปี คิดเป็นการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 17,500 ตันตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นต้นน้ำในการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาด เพื่อนำมาใช้ภายในสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ทั้งหมด

2. สถานีอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยในช่วงเริ่มต้นเรามีการติดตั้งเครื่องชาร์จแบบที่เหมาะกับการใช้งานของสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ สำหรับรถที่ใช้ไฟฟ้า 100% จำนวน 4 ช่องจอด และเครื่องชาร์จที่รองรับรถไฮบริดที่ใช้ได้ทั้งน้ำมัน และไฟฟ้า จำนวน 2 ช่องจอด รวมเป็น 6 ช่องจอด ซึ่งคิดเป็น 7% จากพื้นที่ที่จอดรถทั้งหมดภายในอาคาร และมีแผนในการติดตั้งเพิ่มเติมตามสัดส่วนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้นในปีหน้า

และ 3. พัฒนาระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยปัจจุบันใช้ระบบจัดการวางแผน การผลิตกระแสไฟฟ้า ระบบตรวจติดตามประสิทธิภาพ และการจัดการงานซ่อมบำรุงรักษาของระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำในโครงการนี้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเรียลไทม์ที่พัฒนาบนเมฆ และทางอัลเตอร์วิมมีการใช้งานจริงสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 2,500 จุดทั่วประเทศไทย

สำหรับเครือซีพีได้ออกแบบการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดยได้มีการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด โดยบริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (Altervim) เป็นบริษัทพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยเป็นส่วนหนึ่งของเครือฯ ซึ่งมีปณิธานที่จะจัดหาโซลูชันแบบครบวงจรเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน (Energy Transition) และทำให้ผู้คนเข้าถึงพลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้น เช่น

การติดตั้งระบบจัดการพลังงานผ่านระบบอัจฉริยะเรียลไทม์บนคลาวด์ การติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Altervim Super Charge ทั่วประเทศกว่า 100 สถานี ผ่านการใช้เทคโนโลยีแอปพลิเคชัน Altervim Super Charge เป็นแอปที่ไว้สำหรับใช้ติดต่อสื่อสาร และควบคุมระบบสถานีจ่ายไฟฟ้า สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ปัจจุบันมีผู้ติดตั้งแอปมากกว่า 2 หมื่นรายจากผู้ใช้รถมากกว่า 7 คัน

‘การบินไทย’ เปิดบินในประเทศ 9 เส้นทาง ชดเชย ‘ไทยสมายล์’ หยุดบิน เริ่ม ธ.ค.นี้

(28 พ.ย. 66) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศในตารางบินฤดูหนาว 2566 รองรับการเดินทางและการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ จำนวน 9 เส้นทาง

โดยทำการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A320 เริ่มวันที่ 29 ตุลาคม 2566 – 30 มีนาคม 2567 ใน ตารางบินฤดูหนาวนี้

การบินไทยกลับมาเปิดเส้นทางบินในประเทศ 9 เส้นทาง มีดังนี้

1.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 35 เที่ยวบิน 
2.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 56 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 ธันวาคม 2566) 
3.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรธานี ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 21 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 ธันวาคม 2566)
4.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงราย ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
5.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)

6.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
7.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-กระบี่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 14 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
8.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 21 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)
9.) เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-นราธิวาส ทำการบินทุกวัน สัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน (เริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567)

ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รายละเอียดตารางบิน พร้อมสำรองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานขายการบินไทย

‘พีระพันธุ์’ เร่งแก้ปัญหา ‘ราคา NGV-ปั๊มไม่พอเติม’ สั่งคณะทำงานเร่งด่วนแก้ปัญหา ยัน!! 8 ธันวารู้เรื่อง

จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ได้เดินทางมายื่นข้อเสนอที่กระทรวงพลังงาน เพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาก๊าซ NGV และแก๊ส LPG ที่ราคาสูง รวมถึงประเด็นปั๊มก๊าซทยอยปิดตัว ทำให้หาสถานีบริการเติมได้ยากขึ้นนั้น ทางกระทรวงพลังงานได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาพร้อมทั้งมีการรับร้องเรียนความเดือดร้อนจากราคาค่าเชื้อเพลิง NGV ของผู้ประกอบการรถตู้ รถเมล์สาธารณะ รถบรรทุก และกลุ่มแท็กซี่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ต่อเรื่องดังกล่าว นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยย้ำว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการตั้งคณะทำงานเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวไปแล้ว และกำลังเร่งเดินงานต่อเนื่อง

โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนความเดือดร้อนจากราคาค่าเชื้อเพลิง NGV จากผู้ประกอบการรถตู้ รถเมล์สาธารณะ รถบรรทุก และกลุ่มแท็กซี่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพรถสาธารณะ เพราะราคาก๊าซที่เติมเกือบ 19-20 บาท/กิโลกรัม (กก.) นั้นกระทบต้นทุนการทำมาเลี้ยงชีพเค้าโดยตรง 

ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีการประชุมหารือต่อเนื่อง โดยได้เดินหน้าตรวจสอบข้อมูลจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมขนส่งทางบก และหลายหน่วยงาน เพื่อพิจารณาถี่ถ้วน เพื่อให้สามารถคลี่คลายปัญหาราคาก๊าซทั้ง 2 ชนิดให้อย่างเป็นธรรม และไม่เดือดร้อนกับทุกฝ่าย

นอกจากนี้ ยังได้มีการตรวจสอบจำนวนปั๊มก๊าซ ที่ยังมีบริการปัจจุบัน เทียบกับจำนวนรถโดยสารที่ใช้ก๊าซทั้งหมด เพื่อดูอัตราส่วนที่พอเหมาะ รวมถึงจัดทำแผนที่ปั๊มก๊าซให้มีการแสดงผลที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้ก๊าซเตรียมแผนการเติมการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“คณะทำงานชุดดังกล่าวจะมีคำตอบถึงแนวทางจัดการแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องเบื้องต้น ได้ในวันที่ 8 ธันวาคม 66 ก่อนที่จะเสนอมติให้หน่วยงานในการกำกับดูแลอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พิจารณาต่อไป”

‘เศรษฐา’ ประกาศสางหนี้นอกระบบคนไทย 5 หมื่นล้าน ดอกห้ามเกินร้อยละ 15 ถ้าจ่ายเกินแล้วก็เลิกแล้วต่อกัน

(28 พ.ย. 66) ที่ตึกสันติไมตรี หลังใน ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าววาระแห่งชาติ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

โดย นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลเห็นปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมไทยมานาน และเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทยจำนวนมาก วันนี้เราจะเอาจริงเอาจัง ทำให้การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวัง และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทย ในวันนี้เราได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน และฝ่ายตำรวจที่ช่วยกำกับดูแลบังคับใช้กฎหมาย จะมาทำงานร่วมกัน แก้ไขทั้งเรื่องหนี้ และมีเรื่องของความสัมพันธ์ในระดับชุมชนที่ละเอียดอ่อน นอกจากการแก้ไขหนี้แล้ว รัฐบาลก็จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนขึ้นไปถึงระดับมหภาค ยกระดับความเป็นอยู่ ทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก

นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบได้กัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสังคมอีกหลายประการ รัฐบาลได้ประเมินจำนวนครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าเลขนี้ น่าจะประเมินไว้ค่อนข้างต่ำ และปัญหาจริงๆ น่าจะมีมากกว่านั้น คนที่ไม่ได้เป็นหนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ ต้องเจอกับความเปราะบางที่เกิดขึ้นจากหนี้สิน ที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะฝัน หรือทำตามแพสชั่นได้ ปิดโอกาสการต่อยอดไปหลายอย่าง ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังทุกภาคส่วน สำหรับตน หนี้นอกระบบถือว่าเป็น Modern World Slavery เป็นการค้าทาสในยุคใหม่ที่ได้พรากอิสรภาพ ความฝัน ไปจากผู้คนในยุคสมัยนี้

นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหานี้เรื้อรัง และใหญ่ เกินกว่าที่จะแก้ปัญหาได้โดยไม่มีภาครัฐเป็นตัวกลาง ในวันนี้รัฐบาลจึงต้องบูรณาการหลายภาคส่วนเข้ามาทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้ประชาชนกลับไปอยู่ในวงจรหนี้สินนอกระบบอีก โดยภาครัฐจะรับบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการไกล่เกลี่ยพร้อมกันทั้งหมด ดูแลทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างเป็นธรรม ตั้งแต่ต้นกระบวนการจนถึงการปิดหนี้ การทำสัญญา ที่หลายครั้งไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และกระบวนการทวงหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ต้องจัดให้ทำสัญญาที่เป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมาย พูดง่ายๆ คือ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ภาครัฐจะต้องทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อทำให้ลูกหนี้ได้มีโอกาสหายใจ มีกำลังใจพอจะดำเนินชีวิต หาเงินมาปิดหนี้ให้ได้

นายกฯ กล่าวว่า ในความตั้งใจนี้ ตนได้สั่งการในช่วงต้นเดือน พ.ย. ให้ตำรวจและมหาดไทยไปทำการบ้านมา โดยทั้ง 2 หน่วยงานต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ให้ดีกว่าในอดีตที่เคยแยกกันทำพูดให้ชัดๆ คือ การแก้หนี้นอกระบบจะต้องทำด้วยกันแบบ End-to-end ต้องมีมาตรการต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประชาชนกลับเข้าไปอยู่ในวงจรอีก และทั้งสองหน่วยงานจะต้องเข้าใจกระบวนการ ทำงานของกันและกัน ต้องทำให้กระบวนการทำงานไม่ซ้ำซ้อน มีขอบเขตหน้าที่ และความรับผิดชอบร่วมกัน ที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ จะมีการทำฐานข้อมูลกลาง นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสตั้งแต่ต้นจนจบ มีการให้เลขตรวจสอบ (Tracking ID) ที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ติดตามผลได้ มีวิธีการเข้าสู่กระบวนการหลายรูปแบบ เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน และต้องมีการสื่อสารกับประชาชนถึงความคืบหน้าต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา จะต้องมีกระบวนการถ่วงดุลระหว่างหน่วยงาน เพราะบางกรณีที่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตนก็ขอให้ทุกส่วนทำงานอย่างตรงไปตรงมา เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยให้ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน ตนขอฝากให้ทั้งสองหน่วยงานทำงานอย่างมีเป้าหมาย มีเป้าประสงค์ (KPI) ร่วมกัน และกรอบเวลาที่ชัดเจน และตนจะติดตามดูผลอย่างใกล้ชิด

นายกฯ กล่าวว่า หลังจากขั้นตอนการไกล่เกลี่ยแล้ว รัฐบาลจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ โดยกระทรวงการคลังจะเข้ามาช่วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ทั้งการช่วยปรับระยะเวลา เงื่อนไข และ กระบวนการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถชดใช้หนี้ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เบียดบังการใช้ชีวิตจนทำให้พี่น้องท้อถอย แน่นอนว่ารัฐบาลก็จะระมัดระวังไม่สร้างภาวะอันตรายทางศีลธรรม ในมาตรการการช่วยเหลือทั้งหมด การแก้ไขหนี้ในวันนี้คงไม่ใช่ยาปาฏิหาริย์ที่จะทำให้หนี้นอกระบบไม่เกิดขึ้นอีก แต่ตนมั่นใจว่า ด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ที่ดีขึ้น จนไม่จำเป็นต้องก่อหนี้อีกในอนาคต และจะเพิ่มโอกาสให้พี่น้องประชาชนรายเล็ก รายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น นอกจากหนี้นอกระบบแล้ววันที่ 12 ธ.ค.นี้ จะมีการแถลงเรื่องภาพรวมหนี้แบบครบวงจร ซึ่งจะครอบคลุมทั้งหนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบอีกครั้งนึง และตนจะทำให้โครงการนี้ช่วยปลดปล่อยพี่น้องประชาชนจากการเป็นทาสหนี้นอกระบบ ลืมชีวิตที่เคยลำบาก มีกำลัง มีแรงใจ ที่จะทำตามความฝัน นับจากนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ จะมีหลักเกณฑ์เรื่องดอกเบี้ยอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามคิดเกินร้อยละ 15 ต่อปี และต้องดูว่าตั้งแต่เป็นหนี้ไปแล้วจ่ายเงินไปแล้วเท่าไหร่ หากจ่ายเกินไปแล้วก็ต้องยกเลิกต่อกัน

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการสำรวจอย่างจริงจังหรือไม่ว่า จำนวนหนี้นอกระบบมีเท่าไหร่ และมาตรการแก้หนี้นี้เหมือนทุกอย่างจะเป็นแบบเดิมที่เคยทำกันมาแล้ว จะทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหาหนี้นอกระบบเช่นเดิมอีก นายเศรษฐา กล่าวว่า การแก้หนี้ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำแบบบูรณาการ ครั้งนี้ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายมั่นคง จะให้เจ้าหนี้มาเจรจา และกระทรวงการคลังที่จะเข้ามาช่วยเหลือ อีกทั้งยังจะมีการแก้หนี้ในระบบด้วย ตรงนี้จะเป็นอีกส่วนที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ โดยจะมีการแถลงวันที่ 12 ธ.ค. เราจะนำการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและในระบบมาประสานกัน เพื่อทำให้ประชาชนกลับมาเป็นหนี้ยากขึ้น การจะไม่ให้เป็นหนี้เลยคงลำบาก แต่เราจะทำให้เป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด

เมื่อถามว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศมีเยอะ ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอีลิท อาจไม่เห็นความชัดเจนของปัญหา นายเศรษฐา กล่าวว่า การที่เรามีวันนี้ คือ พูดคุยระหว่างฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง เชื่อว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่นำทุกภาคส่วนมาบูรณาการกัน ไม่ใช่ว่าเรามองไม่เห็น ถ้ามองไม่เห็นคงไม่มานั่งกันวันนี้ ยืนยันเรื่องนี้เราให้ความสำคัญ การยกระดับเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องสำคัญ นโยบายของรัฐบาลมีอีกหลายเรื่องที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น เราต้องเริ่มจากลดค่าใช้จ่ายก่อน ซึ่งตนทำแล้ว ทั้งลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร แต่เรื่องหนี้นอกระบบเราต้องแก้ไขอย่างจริงจัง วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในวันที่ 8 ธ.ค.จะมีการประชุมนายอำเภอและผู้กำกับทั่วประเทศ โดยจะให้นโยบาย มอบ KPI ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง จะไม่เหมือนที่เคยทำกันมา

เมื่อถามว่า คนที่ปล่อยกู้นอกระบบส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพล หากไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการการไกล่เกลี่ย จะดำเนินการอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลเราไม่ยอมรับผู้มีอิทธิพลนอกระบบ หรือเป็นมาเฟีย ตรงนี้ต้องจัดการไป บ้านเมืองมีกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยที่คิดไว้ต้องชัดเจน โดยเราจะเรียกทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้มาคุย 

ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ขอยืนยันจะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ที่รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาตินี้ ไปดำเนินการอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพต่อไป โดยเราจะใช้เครือข่ายและกลไกการทำงานที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ และใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม และได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็ง ที่เราจะใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจนี้ ที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น กระทรวงมหาดไทย ได้มีการดำเนินการผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและระดับอำเภอ โดยนายอำเภอจะมีบทบาทในฐานะประธานคณะผู้ไกล่เกลี่ยร่วมกับพี่น้องประชาชนในนามคณะผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งนายอำเภอก็ได้ใช้อำนาจหน้าที่ดำเนินการให้คู่พิพาททำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ตามเงื่อนไขของหลักกฎหมาย

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับมาตรการล่าสุดของรัฐบาลนั้น จะเป็นการต่อยอดให้เราสามารถช่วยเหลือประชาชนในเชิงรุกได้มากขึ้นผ่านศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ทางกระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนถูกข่มขู่คุกคามหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมมาลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไป ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ในศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ในที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง และในส่วนของกรุงเทพมหานคร สามารถลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขตทุกแห่ง เพื่อที่กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้แก่พี่น้องประชาชนเป็นรายๆ ไป เพราะแต่ละเคสก็มีความเฉพาะตัวที่ต่างกัน

นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการการบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าหนี้นอกระบบ ซึ่งมีพฤติกรรมข่มขู่ใช้ความรุนแรง หรือเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้น ทางฝ่ายปกครองจะประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งในส่วนนี้จะมีความสอดคล้องกับงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการอยู่ด้วย เพราะหนึ่งในกลุ่มผู้มีอิทธิพลก็คือกลุ่มเจ้าหนี้นอกระบบด้วย ถือว่า Watch List ที่เรามีอยู่ ก็จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการจับตาพฤติกรรมกัน เชื่อว่าหลังการแถลงในวันนี้ ทุกฝ่ายคงร่วมมือกันอย่างเต็มที่ และหากชุมชนช่วยกันสอดส่อง ตักเตือนให้ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เราก็น่าจะไม่ต้องมีคดีความเพิ่มขึ้นมาก และจะโฟกัสกับการแก้ปัญหาหนี้สิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ตั้งหลักได้ต่อไป 

ขณะที่ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สตช.รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมาย เราเห็นความเดือดร้อนการท้วงโดยใช้ความรุนแรง โดยมีสายด่วน 1559 เพื่อรับแจ้งปัญหา มอบหมายให้ตำรวจตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อสำรวจข้อมูลผู้ประกอบการหนี้นอกระบบทั้งหมด โดยตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 ถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 134 ราย ยึดของกลางมูลค่า 8 ล้านบาท ทั้งนี้ ผบ.ตร.พร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการติดตามผลอย่างโปร่งใส 

ส่วน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังดูแลลูกหนี้นอกระบบ ภายหลังที่ปรับโครงสร้างหรือไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีธนาคารของรัฐดูแล อย่างธนาคารออมสิน และเรามีโครงการอยู่แล้วในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งจะให้กู้รายหนึ่งไม่เกิน 50,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และอีกส่วน จะเป็นเรื่องของโครงการสินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระรายย่อยเพื่อส่งเสริมอาชีพ ซึ่งนี่จะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ให้กู้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ระยะเวลาสูงสุด 8 ปี อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความสามารถของลูกหนี้แต่ละราย นอกจากนี้ ทาง ธ.ก.ส.ก็มีโครงการเพื่อรองรับ หากใครจะนำที่ดินมาฝากขาย หรือติดจำนองที่เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ทาง ธ.ก.ส.จะมีวงเงินให้กับเกษตรกรต่อราย 2.5 ล้านบาท ในการแก้ไขเรื่องที่ดินทำกิน

"สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะดำเนินการให้ถูกกฎหมาย เรามีช่องทางให้ขออนุญาตเรื่อง pico finance ซึ่งมีผู้มาขออนุญาตแล้วพันกว่ารายทั่วประเทศ ซึ่งเรามีทุนจดทะเบียนให้ผู้ประกอบการแต่ละราย 5 ล้านบาท" นายกฤษฎา กล่าว

'โฆษก รทสช.' ขอบคุณ 'นายกฯ' สานต่อนโยบาย 'ลุงตู่' อนุมัติช่วยชาวนาไร่ละ 1 พัน เชื่อ!! ช่วยลดภาระได้มาก

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อราย จะมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (28 พ.ย.66) ว่า ขอขอบคุณรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แทนชาวนาทั้งประเทศ ที่รัฐบาลเห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา 

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่ดี ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับชาวนา เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตสูงมาก ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย หรือยาฆ่าหญ้า 

ดังนั้น การที่รัฐบาลจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา 1,000 บาท ต่อไร่ จึงถือเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับชาวนาคลายความเดือดร้อนได้บางส่วน แม้จะเป็นเงินจำนวนน้อยก็ตาม แต่ในปีต่อไปก็อยากจะให้เดินหน้าโครงการนี้ต่อช่วยเหลือชาวนาให้ได้มากกว่าไร่ละ 1,000 บาท ขอเป็นไร่ละ 2,000 บาท ถือเป็นสิ่งที่ชาวนาเรียกร้องมา จากการที่ตนได้ลงพื้นที่มีเสียงสะท้อนกลับมาขอไร่ละ 2,000 บาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสม ในการช่วยเหลือชาวนา เพื่อลดภาระให้กับเกษตรกร

สำหรับนโยบายดังกล่าวนี้ ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ภายหลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือชาวนาค่าเก็บเกี่ยวข้าว ว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในฐานะที่ตนรับผิดชอบ โดยเรื่องข้าวทางคณะกรรมการนโยบายข้าวได้ประชุมและให้ส่วนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังคุยได้สรุปและนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในวันเดียวกัน โดยเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท จำนวนทั้งหมดไม่เกิน 20 ไร่ ต่อครัวเรือน ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการนับตั้งแต่มติ ครม.ออก รอเพียงให้ ธ.ก.ส.เคลียร์รายละเอียดประชุมบอร์ด จากนั้นเกษตรกรก็จะได้รับเงินตรงนี้ต่อเนื่องไป

'พิมพ์ภัทรา' ต้อนรับ 'ฉางอาน' บิ๊กอีวียักษ์ใหญ่จากจีน ปักธงสร้างฐานผลิตพวงมาลัยขวาในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เป็นประธานในกิจกรรมการเปิดตัว 'ฉางอาน' ยานยนต์ อีวี หรือรถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์ชื่อดังจากสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้งยังเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังผลิตออกสู่ตลาดชั้นนำของโลกอย่างต่อเนื่อง โดย รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ถือเป็นสัญญาณดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยในขณะนี้ กำลังเป็นดาวรุ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์อีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นฐานการผลิตแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภายใต้ค่ายผู้ผลิตชั้นนำมากมายที่ต่างสนใจเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะกับค่ายผู้ผลิตในประเทศจีน ถือเป็นผู้เล่นที่ก้าวหน้าล้ำสมัยอย่างมาก ภายใต้ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์อื่น ๆ ทั่วโลก จนส่งผลให้ตลาดอีวีขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกใช้ยานยนต์ชนิดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวเสริมว่า สำหรับประเทศไทยในเวลานี้นั้น มุ่งให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้เดินหน้าไปด้วยกันได้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมที่ยังมีอยู่

"ในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศต่าง ๆ มากมาย จนเกิดเป็นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่หมุนเวียนอยู่ในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การขนส่ง, การผลิต, ทรัพยากร, วัตถุดิบ, แรงงาน และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เฉกเช่นเดียวกันกับประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ลำดับ 10 ของโลก ก็ต้องเดินหน้าขับเคลื่อนให้ระบบนิเวศของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ในไทยเกิดการหมุน ซึ่งถือเป็นอีกเรื่องที่ท้าทาย แต่กระทรวงอุตสาหกรรมก็มีความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมที่กำลังเป็นอนาคตของโลก"

ในโอกาสนี้ ทาง รมว.พิมพ์ภัทรา ยังได้กล่าวขอบคุณทางผู้บริหารของ 'ฉางอาน' ด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมต้องขอชื่นชมและขอบคุณการตัดสินใจของคุณจู หัวหรง และคณะ ผู้บริหาร บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล จำกัด ที่ได้ใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ลงทุน ภายใต้มูลค่าการลงทุนกว่า 8,860 ล้าน และยังทราบว่าต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรองรับความต้องการในภูมิภาค และส่งไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศใช้รถพวงมาลัยขวา...

"ดิฉันในฐานะเจ้ากระทรวงฯ ขอกล่าวคำขอบคุณและขอต้อนรับอย่างเป็นทางการ ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อมของไทย โดยหนึ่งในย่างก้าวสำคัญนี้จากฉางอานจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเทศไทยก้าวไปสู่หมายเลข 1 ของภูมิภาคในด้านการผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงทะยานสู่เป้าหมายการเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรมนี้ในโลกต่อไป" รมว.พิมพ์ภัทรา ทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top