Sunday, 18 May 2025
ECONBIZ

‘สุริยะ’ ลุ้นเปิดประเทศ หนุนดัชนี MPI ขยายตัว แต่ต้องจับตาราคาน้ำมัน - ค่าเงินบาทผันผวน

กระทรวงอุตสาหกรรม เผย ดัชนีผลผลิตอุตฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.49 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ภาพรวม 9 เดือน ขยายตัวร้อยละ 6.10 ส่งออกโตต่อเนื่อง ร้อยละ 17.90

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI เดือนกันยายน 2564 กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง ประกอบกับการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนและแรงงานในภาคอุตสาหกรรม โดยสะท้อนได้จากดัชนีแรงงานอุตสาหกรรม และดัชนีการส่งสินค้าในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสำคัญที่ดัชนีแรงงานขยายตัว เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ และอุตสาหกรรมแปรรูปผักและผลไม้ เป็นต้น ส่งผลให้ภาครัฐสามารถผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจได้มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐยังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน 

ขณะเดียวกันนโยบายการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ดัชนี MPI ขยายตัวต่อไปได้ นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. จะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขดัชนี MPI ปี 2564 ใหม่อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่มีความผันผวนด้วยเช่นกัน

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน อยู่ที่ระดับ 93.72 หดตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าขยายตัวร้อยละ 7.49 โดย 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.10 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมหลักของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3/2564 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 90.43 จากสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของแรงงานในสถานประกอบการมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีแรงงานอุตสาหกรรมเดือนกันยายนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญหลายกลุ่มยังคงขยายตัว อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 10.85 แปรรูปผักผลไม้ขยายตัวร้อยละ 5.86 เครื่องปรับอากาศขยายตัวร้อยละ 9.76 และยางล้อขยายตัวร้อยละ 3.42  

แต่อย่างไรก็ตาม การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังส่งผลต่อการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนรถยนต์บางรายการ แต่ในเดือนกันยายนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยโรงงานผลิตรถยนต์ได้รับส่งมอบชิปและชิ้นส่วนรถยนต์ได้มากขึ้น ด้านสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายความเข้มงวดในการอนุมัติ ทำให้คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ 750,000 คัน ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตขยายตัวต่อเนื่องตามกัน ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศ ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้อาจส่งผลกระทบบ้างในด้านโลจิสติกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบทางการเกษตรอาจจะได้รับผลกระทบบ้างในระยะถัดไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มของการขยายตัวที่ดี โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2564 ขยายตัวร้อยละ 15.75 มูลค่า 18,424.90 ล้านเหรียญ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถังและอากาศยาน) ขยายตัวร้อยละ 17.90 มูลค่า 18,093.70 ล้านเหรียญ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ในส่วนการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวร้อยละ 16.06 ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ รวมถึงการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 43.56 ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 

โออาร์ ร่วมมือ GC ผลิตน้ำมันดีเซลสูตรพิเศษ กำมะถันต่ำเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 พร้อมจำหน่าย ในราคาเท่าเดิม ตาม พีทีที สเตชั่น กว่า 400 แห่ง ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565

นายบุญมา พลธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่จะกลับมาสูงเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โออาร์ เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว และในฐานะผู้บริหารแบรนด์สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น โออาร์ พร้อมจำหน่ายน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel) สูตรพิเศษที่มีกำมะถันต่ำเทียบเท่ากับน้ำมันยูโร 5

โดยมีค่ากำมะถันต่ำเฉลี่ยประมาณ 10 PPM ซึ่งต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด (50 PPM) ถึงประมาณ 5 เท่า ซึ่งเป็นการร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ในการกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำและนำมาผลิตเป็นน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล สูตรพิเศษที่คลังน้ำมันพระโขนงเพื่อจ่ายให้กับสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมกว่า 400 สถานี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565 รวมทั้งจ่ายให้กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานราชการ

'ซีพี' พร้อมเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร เตรียมแจกล็อตแรกวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม

โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร ตามนโยบายประธานอาวุโสเครือซีพี พร้อมเก็บเกี่ยวแล้วเตรียมแจกล็อตแรกวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 มั่นใจคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพร และเสริมภูมิคุ้มกัน

27 ตุลาคม 2564 นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) เปิดเผยว่า โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร มีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามนโยบายของประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือสังคม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพรไทยและใช้เสริมภูมิคุ้มกัน ในยามที่ขาดแคลนสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยจัดให้มีการปลูกฟ้าทะลายโจรบนเนื้อที่ 100 ไร่ที่ฟาร์มแสลงพัน และฟาร์มคำพราน จ.สระบุรี 

สถานีวิจัยแสลงพัน ของกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือซีพี ซึ่งได้เริ่มปลูกในวันแม่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันได้ทยอยเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรภายใต้ชื่อ “ปันปลูก” โดยจะแจกฟรีแก่ชุมชน สถานพยาบาล องค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางได้ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของแผ่นดิน และเป็นการร้อยเรียงความดีเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ สอดคล้องตามค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือซีพีอีกด้วย

โครงการปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ มีที่ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี แบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกตั้งอยู่ที่ฟาร์มแสลงพัน บนเนื้อที่ 30 ไร่ และอีกแปลงอยู่ที่ฟาร์มคำพราน บนเนื้อที่ 70 ไร่ โดยใช้ต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 1 ล้านต้นจาก 6 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปราจีนบุรี สุโขทัย กาญจนบุรี อุบลราชธานี และ พิจิตร โครงการนี้ผ่านการศึกษาวิจัยทั้งเรื่อง พันธุ์ ลักษณะดินที่เหมาะสม ปริมาณน้ำ ที่พืชต้องการ ขั้นตอนการเพาะปลูกที่เหมาะสม ทั้งเทคนิควิธีการจัดการแปลง อายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ให้ปริมาณสารสำคัญสูง โดยศึกษาร่วมกับเกษตรกรคนเก่งจากทุกพื้นที่ และมีเป้าหมายที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรที่สนใจ

รฟท. เปิดเวทีซาวเสียงชวนนักลงทุนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งส่วนหลัก-ต่อขยาย รวม 6 เส้นทาง

นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ครั้งที่ 1 โครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ จัดทำเอกสารประกวดราคาและการดำเนินงาน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เพื่อนำเสนอความเป็นมาและวัตถุประสงค์ ขอบเขตการศึกษาภาพรวมของโครงการ ตลอดจนแนวทางการลงทุนและความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนของภาคเอกชน และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำไปประกอบการศึกษาและจัดทำโครงการ ให้มีความเหมาะสม ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ รฟท. ได้ดำเนินการศึกษาเพื่อจัดแผนการเดินรถเบื้องต้นที่ตอบสนองความต้องการในการเดินทาง ครอบคลุมการเดินรถไฟทุกประเภท ที่จำเป็นจะต้องใช้ทางวิ่งร่วมกัน โดยพิจารณาการจัดช่วงการเดินรถ (Time Slot) เพื่อไม่เกิดความซ้ำซ้อน โดยแบ่งรูปแบบการเดินรถไปตามลักษณะการดำเนินโครงการเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 

ระยะที่ 1 โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยรูปแบบการเดินรถของโครงการจะมีช่วงที่ให้บริการขนานกับเส้นทางการเดินรถของ รฟท. ในส่วนของรถธรรมดาและรถชานเมืองบริเวณช่วงสถานีดังกล่าว

ระยะที่ 2 โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ส่วนต่อขยาย ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต, ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช, ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา, ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง โดยในระยะการเปิดส่วนต่อขยายช่วงต่าง ๆ อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินรถชานเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ ของ รฟท. บางส่วนในช่วงสถานีที่ให้บริการซ้ำซ้อนกับสถานีของโครงการ หรืออาจจะจอดให้บริการที่สถานีเชื่อมต่อหลักเท่านั้น

ระยะที่ 3 โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ส่วนต่อขยาย เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ การเดินรถจะเป็นการให้บริการระบบรถไฟชานเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเต็มรูปแบบ โดยมีสถานีศูนย์กลางร่วมกับ รฟท. ที่สถานีกลางบางซื่อ ซึ่งโครงการจะมาช่วงต่อการให้บริการรถชานเมืองจากการรถไฟฯ ทั้งหมด

ทั้งนี้โครงการได้ดำเนินการศึกษา ทบทวน วิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจและการเงิน โดยผลการวิเคราะห์แสดงสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมระหว่างรัฐและเอกชน ดังนี้... 

1.) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน สัดส่วนการลงทุนรัฐ 100% 
2.) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัดส่วนการลงทุนรัฐ 100% 
3.) ช่วงบางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก สัดส่วนการลงทุนรัฐ คิดเป็น 90.36% และสัดส่วนการลงทุนเอกชนคิดเป็น 9.64%
4.) ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต สัดส่วนการลงทุนรัฐ คิดเป็น 90.36% และสัดส่วนการลงทุนเอกชนคิดเป็น 9.64% 
5.) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา สัดส่วนการลงทุนรัฐ คิดเป็น 90.36% และสัดส่วนการลงทุนเอกชนคิดเป็น 9.64% 
และ 6.) ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช สัดส่วนการลงทุนรัฐ คิดเป็น 90.36% และสัดส่วนการลงทุนเอกชนคิดเป็น 9.64%

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาระยะเวลาร่วมลงทุนที่ 50 ปี โครงการฯ มีผลตอบแทนทางการเงินในภาพรวมทั้ง 6 โครงการ ดังนี้ ผลตอบแทนโครงการ -0.54% FIRR (%) คิดเป็นมูลค่า -159,154.49 NPV (ล้านบาท) คิดเป็น 0.44 B/C Ratio สำหรับรูปแบบการลงทุนที่แบ่งสัดส่วนการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนดังที่กล่าวไปข้างต้น มีผลตอบแทนทางการเงิน ดังนี้ ผลตอบแทนโครงการ 8.62 IRR (%) คิดเป็นมูลค่า 9,670.51 NPV (ล้านบาท) คิดเป็น 1.08 B/C Ratio

บอร์ด สมอ. เคาะแผนทำมาตรฐานปี 65 เห็นชอบมาตรฐานระบบเตือนภัย ป้องกันการโจรกรรม

บอร์ด สมอ. เคาะแผนจัดทำมาตรฐาน ปี’65 โฟกัส S-curve / New S-curve พร้อมเห็นชอบมาตรฐานระบบเตือนภัย เตรียมล้อมคอกป้องกันการโจรกรรม

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น โดยมีแผนแม่บทการกำหนดมาตรฐานระยะ 5 ปี (พ.ศ.2565-2569) เป็นกลไกสำคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งตนได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานให้สอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม และคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า

นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด สมอ. เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า บอร์ดได้มีมติเห็นชอบรายชื่อเพื่อจัดทำมาตรฐานในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 596 เรื่อง โดยมีแผนตามที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 240 เรื่อง ครอบคลุมมาตรฐานกลุ่ม S-curve / New S-curve กลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาตรฐานตามนโยบาย และมาตรฐานเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรฐานระบบเตือนภัย และมาตรฐานสินค้าอื่น ๆ รวม 58 มาตรฐาน รวมทั้งให้ สมอ. ควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุมอีกด้วย

'จุรินทร์' เรียกถก ส่งออกถุงมือยางมือสอง พรุ่งนี้ ย้ำ!! หากเรื่องไม่ซับซ้อน พร้อมสรุปโดยเร็ว

'จุรินทร์' เรียกประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ ส่งออกถุงมือยางมือสอง พรุ่งนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล ย้ำถ้าเรื่องไม่ซับซ้อนจะรีบสรุปโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่สื่อต่างประเทศนำเสนอเรื่องการส่งออกถุงมือยางใช้แล้วไปยังสหรัฐอเมริกา ว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายกระทรวงร่วมกัน และมีอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นเลขานุการ ซึ่งตนจะได้นัดประชุมในวันพรุ่งนี้ เวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนับหนึ่งถึงที่มาของข้อเท็จจริง พร้อมทั้งที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร และจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไร ทั้งนี้ไม่ได้มีกรอบเวลาในการดำเนินการ แต่ตนจะเร่งดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมเป็นกรรมการหาข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย

เปิดตัว 'แกร็บเพ็ท' บริการเดินทางแก่คนมีสัตว์เลี้ยง ชูจุดเด่น ‘สะดวก - ปลอดภัย - ในราคาเข้าถึงได้’

แกร็บ เดินหน้าขยายบริการเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงด้วยการเปิดตัว ‘แกร็บเพ็ท’ (GrabPet) บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เจ้าของสามารถพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว นำร่องเปิดใช้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชู 3 จุดเด่น ‘สะดวก ปลอดภัย ในราคาเข้าถึงได้’ โดยสามารถเรียกใช้บริการได้แบบไม่ต้องจองล่วงหน้า พร้อมสร้างมั่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและพาร์ทเนอร์คนขับที่ผ่านการอบรมเป็นพิเศษ ในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 95 บาท

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาดและพันธมิตรทางธุรกิจ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า... “ตลาดสัตว์เลี้ยงถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีความน่าสนใจมาก โดยเฉพาะในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเทรนด์ของคนโสด รวมถึงกลุ่มครอบครัวเดี่ยวที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนต้องใช้ชีวิตและทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 35,000 ล้านบาท* ซึ่งรวมถึงธุรกิจให้บริการต่างๆ กับสัตว์เลี้ยงด้วย”

“ปัจจุบัน บริการการเดินทางสำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงยังมีตัวเลือกไม่มากนัก บางครั้งผู้ใช้บริการต้องจองคิวล่วงหน้าไม่สามารถเดินทางได้ทันที และมีค่าบริการค่อนข้างสูงจากการคิดราคาเหมา แกร็บมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจจากผู้ใช้บริการในกลุ่มนี้ เราจึงได้พัฒนาบริการใหม่อย่าง ‘แกร็บเพ็ท’ ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาจไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่ได้ต้องการขับรถเอง เพื่อพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การพาไปเที่ยว พักผ่อน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ไปโรงพยาบาล โดยมาพร้อม 3 จุดเด่น คือ ความสะดวกสบาย มาตรฐานความปลอดภัย และค่าบริการที่เข้าถึงได้”

คาดส่งออกทั้งปีโต 4% หลังเดือนก.ย.ยังบวก 17.1%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนก.ย. 2564 ว่า การส่งออกยังเป็นบวกอยู่ที่ 17.1% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 23,036 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งเสริม ผลักดัน และแก้ไขอุปสรรคด้านการส่งออกที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของกระทรวงพาณิชย์ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าเติบโตดี และการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้การส่งออก 9 เดือนของปีนี้ ขยายตัว 15.5% โดยประเมินว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ 4% หรือคิดเป็นมูลค่า 240,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้

นอกจากนี้ ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 22,426.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นบวก 30.3% โดยไทยยังได้ดุลการค้าในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ 609.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตัวเลขการนำเข้า 9 เดือนมียอดอยู่ที่ 197,980.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบวก 30.9% ทำให้ไทยเกินดุลการค้าช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 2,016.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แนะรัฐ! ดันท่องเที่ยว หวังศก.ไทยปีหน้ากลับมาโต 5% 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งการส่งเสริมการลงทุน เมื่อได้เปิดประเทศ ต้องหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านคน เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 65 ขยายตัวได้ถึง 5% ส่วนจีดีพีของกลุ่มค้าปลีก คาดว่าขยายตัว 2% เติบโตใกล้เคียงกับ จีดีพีของประเทศ โดยโมเดิร์นเทรด มีสัดส่วน 65% ของค้าปลีกทั้งระบบ 

ทั้งนี้ยังได้เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการโมเดิร์น เทรด ไตรมาส 3ปี 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ปรับสูงขึ้นอีกครั้งในรอบ 2 ไตรมาส โดยดัชนีรวมอยู่ที่ 47.9 ดัชนีฯในปัจจุบันอยู่ที่ 47.1 และดัชนีฯในอนาคตอยู่ที่ 48.7 เนื่องจากปลายไตรมาส 3 รัฐทยอยคลายล็อกมาตรการต่างๆ และผู้ประกอบการมองว่าค้าปลีกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนียังต่ำกว่า 50% ทั้งจากองค์ประกอบการในการคำนวณดัชนี จากรายรับ กำไร ราคาขาย จ้างงาน ต้นทุน ยังอยู่ในระดับทรงตัวหรือดีเล็กน้อย ยกเว้นจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อก แต่มีมุมมองต่อไตรมาส4 ดีขึ้น เพราะมองผลดีรัฐบาลจะคลายล็อกที่เหลือ เปิดประเทศ และแรงกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐส่งท้ายปี

‘เชฟดัง’ เสิร์ฟเมนูหากินยากแบบเคลื่อนที่ จนรุ่ง!! สะท้อนแนวคิดนักสู้ หลังร้านเจ๊งเพราะโควิด

เพจ ‘หลง อินเดีย’ ได้เผยเรื่องราวของเชฟดังจากโรงแรม 5 ดาว ที่จำต้องปิดร้านอาหารตัวเองลง แต่ก็ดิ้นสู้ชีวิต ด้วยการปรับใช้รถเก๋งคันจิ๋ว มาทำเป็นร้านอาหารเคลื่อนที่ ว่า…

“ไม่คิดปรับ ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน”

เชฟดังจากโรงแรม 5 ดาว จำต้องปิดร้านอาหารตัวเองลง สุดท้ายใช้รถเก๋งคันจิ๋ว ทำเป็น #ร้านอาหารเคลื่อนที่ ซะเลย

Chef Pankaj Neurkar อดีตเชฟโรงแรมหรู Grand Hyatt แห่งนครมุมไบ ที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านตัวเอง ในชื่อ ‘Khadpe’s’ ที่เสิร์ฟเฉพาะอาหาร Malvani ดั้งเดิมแท้ๆ

Malvani Food (มัลวานี) เป็นอาหารอินเดีย ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์สำคัญที่ทางใต้ของ Konkan ในรัฐมหาราษฎระ และ รัฐกัว เท่านั้น จึงเป็นอาหารที่หาทานได้ยากเช่นกัน

เชฟปังกัช ขณะนี้จำเป็นต้องปิดร้านอาหาร ทั้ง 2 แห่งของตนลงแล้ว เพราะพิษของการระบาดใหญ่ที่ผ่านมา แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขากลับเป็นคนที่ไม่คิดยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพราะเขาเชื่อว่า… #ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ หรอก

กนอ. ตั้งนิคมฯ ‘ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้’ เล็งดูดเม็ดเงินลงทุนเพิ่มในพื้นที่อีอีซี

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จับมือ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ พื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เม็ดเงินพัฒนาโครงการ 4,856 ล้านบาท รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในขณะนี้มีสัญญาณบวกชัดเจนขึ้น เห็นได้จากหลายอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับมีความสนใจการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมองว่าประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเหมาะกับการตั้งฐานธุรกิจในระยะยาว เห็นได้จากการย้ายฐานการผลิตที่เป็นผลจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ (จีน-สหรัฐฯ) ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการจากจีนและไต้หวัน ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาย้ายฐานเข้ามาแล้ว 250 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 126,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI ) 

ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและเตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development : EEC) กนอ.จึงลงนามในสัญญาร่วมดำเนินงาน กับ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ เพื่อรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve และ New S-Curve ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นการดำเนินงานในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานที่เอกชนเป็น ผู้ลงทุนพัฒนา และให้บริการระบบสาธารณูปโภค จัดเป็นนิคมอุตสาหกรรมลำดับที่ 67 โดยใช้ระยะเวลาพัฒนาโครงการประมาณ 2 ปี และจะเปิดขายพื้นที่/ให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 4 ปี   

'นายกฯ' ห่วงเกษตรกร อนุมัติเงิน 2.7 หมื่นลบ. ประกันราคา ‘มันสำปะหลัง-ข้าว/ข้าวโพด’

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกรัฐมนตรี สั่งให้มีการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาแพงอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ซึ่งราคาปุ๋ยที่มีราคาสูงตั้งแต่ต้นปี มีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าระวางเรือ และการนำเข้าจากต่างประเทศร้อยเปอร์เซ็นต์ นายกฯ จึงมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน ร่วมพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมถึงการชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอยู่

นานธนกร กล่าวว่า นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ จากสถานการณ์น้ำท่วม ราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร่งด่วน ซึ่งที่ประชุมครม.วันนี้ (25 ต.ค.) มีการอนุมัติกรอบวงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าว

ไทยหนุนข้อเสนอ จัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลของโออีซีดี สกัดบริษัทโอนย้ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ(Tax Haven) สร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี เดินหน้าตั้งกรรมการศึกษาผลกระทบ

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบผลการประชุม “The 13th Inclusive Framework on BEPS” และการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาผลกระทบของข้อเสนอการจัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) โดยมีกรอบข้อเสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล 2 แนวทางได้แก่

 Pillar 1 เป็นการกำหนดหลักการการจัดเก็บภาษีตามมาตรฐานสากลด้วยการเก็บภาษีตามสัดส่วนการปันกำไรของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่มายังประเทศแหล่งเงินได้ โดยกำหนดสัดส่วนของกำไรที่จะต้องแบ่งให้ประเทศที่ผู้ใช้งานอยู่ในการจัดเก็บภาษี โดยพิจารณาจุดเกาะเกี่ยวทางเศรษฐกิจจากยอดรายได้จากประเทศแหล่งเงินได้ซึ่งต้องมีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านยูโร โดยแบ่งสัดส่วนการจัดเก็บภาษีไปยังประเทศผู้ใช้งานร้อยละ 25 ของส่วนกำไรที่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ และขอบเขตการจัดเก็บภาษีนั้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จะต้องมีรายได้รวมมากกว่า 20,000 ล้านยูโรและมีอัตรากำไรมากกว่า ร้อยละ 10  ของรายได้

ทั้งนี้คาดว่า Pillar 1จะสามารถนำข้อเสนอการจัดเก็บภาษีจากการปันกำไร มาบังคับใช้โดยการจัดทำความตกลงแบบพหุภาคี โดยจะเปิดให้ลงนามในปี 2565 และมีผลบังคับใช้ในปี 2566

สำหรับPillar 2 เป็นการกำหนดให้ธุรกิจมีการเสียภาษีขั้นต่ำอยู่ที่ร้อยละ 15  โดยหากมีการเสียภาษีในประเทศที่มีบริษัทในเครือไปทำธุรกิจในอัตราต่ำกว่าอัตราภาษีขั้นต่ำ ประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มเติมจากส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีที่เสียและอัตราภาษีขั้นต่ำ และขอบเขตการจัดเก็บภาษีนั้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จะต้องมีรายได้รวมตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป 

คาดว่า Pillar 2 จะสามารถนำเสนอร่างกฎหมายที่ให้แต่ละประเทศไปปรับใช้เป็นกฎหมายภายในได้ภายในปี 2565 และมีผลบังคับใช้ภายในปี  2566

ทั้งนี้OECD ได้แจ้งผลการประชุมว่า ณ ปัจจุบัน มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 136 ประเทศ จาก 140 ประเทศ ที่เห็นด้วยหรือไม่คัดค้านต่อกรอบ Revised Inclusive Framework Statement  ซึ่งรวมประเทศไทยด้วย ส่วน 4 ประเทศที่ไม่เห็นด้วยได้แก่ ศรีลังกา ไนจีเรีย เคนยา และ ปากีสถาน

อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังระบุว่า ผลของการประชุมดังกล่าว ถือว่าเป็นการปฏิรูประบบภาษีโลกในยุคดิจิทัลที่มีความคืบหน้าและมีนัยสำคัญต่อประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนย้ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ(Tax Haven) สร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี 

รวมทั้งการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี และเพื่อป้องกันประเทศต่างๆดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ โดยการแข่งขันกันลดอัตราภาษี ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดเก็บภาษีของประเทศไทย นโยบายการค้าและการลงทุนของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจในภาพรวม ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อผลกระทบของ Pillar 1 และPillar 2 กระทรวงการคลังจะได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาผลกระทบของข้อเสนอการจัดเก็บภาษีในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลของOECD

“ทีมเศรษฐกิจทันสมัย ปชป.” จี้ “คลัง” เร่งพิจารณางบ “ประกันรายได้ ปี 3” หวั่นอนุมัติช้า อาจส่งผลกระทบราคาข้าว 

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย และนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปีที่ 3 

โดยนายปริญญ์ กล่าวว่า นโยบายประกันรายได้เกษตรกรถือเป็นนโยบายหลัก 1 ในเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล และประกาศเดินหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังติดขัดอยู่ที่กระทรวงการคลังยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเรื่องงบประมาณ ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการต่อได้จึงเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในปัจจุบันที่กำลังประสบปัญหาราคาตกต่ำ

ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศที่ทำได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ แต่ประเทศไทยไม่ได้ถังแตก ไม่ได้ขาดเงินหรือขาดงบประมาณแต่อย่างใด โดยเห็นได้จากการออก พ.ร.ก.1 ล้านล้าน และพ.ร.ก.เงินกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้าน รวมไปถึงการขยับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 70% และจะมีเงินกู้เพิ่มเติมอีก เม็ดเงินเหล่านี้จึงจำเป็นจะต้องใช้ให้ทันท่วงที และตรงกับกลุ่มคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดจากวิกฤติโควิด ซึ่งรวมถึงกลุ่มพี่น้องเกษตรกรและกลุ่มผู้ส่งออกข้าวด้วย 

“เป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้ข้าวราคาตก ถ้าเราช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในระยะสั้นเหมือนที่ทำมาแล้วในโครงการประกันรายได้ ปีที่ 1 และปีที่ 2 ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ รมว.คลัง มีความเข้าใจในบริบทและกฎหมายดีอยู่แล้วว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจของรัฐมนตรีที่ต้องเซ็นอนุมัติงบประมาณให้จ่ายออกมาเป็นเงินส่วนต่างสำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรได้อย่างทันท่วงที แม้ในการอนุมัติโครงการของปีที่ 1 และปีที่ 2 จะมีความล่าช้าทำให้ต้องมีการดำเนินการจ่ายย้อนหลังอยู่บ้าง แต่สำหรับในปีที่ 3 หากมีความล่าช้าในการจ่ายเงินประกันรายได้จะส่งผลกระทบต่อราคาข้าว และกระทบข้าวที่กำลังจะออกมาในเดือนพฤศจิกายน สร้างความเจ็บปวดให้พี่น้องเกษตรกรมากขึ้นไปอีก” นายปริญญ์ กล่าว 

นายปริญญ์ กล่าวต่อว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีตัวแทนเกษตรกรจาก อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ได้ร้องเรียนถึงทีมเศรษฐกิจทันสมัย โดยขอให้ ครม. ได้เร่งดำเนินการโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปีที่ 3 การจ่ายเงินส่วนต่างล่าช้านอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องเกษตรกรแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อมาตรการคู่ขนานที่เป็นมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ภายใต้โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรกร หรือที่เรียกว่า “ค่าเก็บเกี่ยว”

ซึ่งในปีที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ จนถึงปัจจุบันเกษตรกรยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือตามโครการดังกล่าวแต่อย่างใด หากไม่จ่ายเงินประกันรายได้ จะกระทบโครงการคู่ขนานตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลลบที่เกิดเป็นห่วงโซ่ เป็นวัฎจักรที่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ กระทรวงการคลังจึงไม่ควรล่าช้าในการอนุมัติเม็ดเงิน เพื่อมาจ่ายให้ทันท่วงที และต้องเร่งทำการเบิกจ่ายให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลตามที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้กับประชาชน 
 

'ดีพร้อม' โชว์พลังคลัสเตอร์หุ่นยนต์ รวมกลุ่มฝ่าวิกฤตสร้างระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ ลดนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมเปิดทางสร้างพันธมิตรธุรกิจหุ่นยนต์ หวังดันเอสเอ็มอีไทยไปสู่ยุค 4.0 

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายผลักดัน 12 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยมีอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ 

ด้วยนโยบายดังกล่าว ‘ดีพร้อม’ จึงเร่งพัฒนาและฟื้นฟูผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวผ่านการสร้างและพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ‘คลัสเตอร์’ (Cluster) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างนวัตกรรมร่วมกัน ตลอดจนบูรณาการการทำงานระหว่างกันได้ ซึ่ง ‘ดีพร้อม’ ได้ดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน โดยมีกลไกและกระบวนการพัฒนาตั้งแต่ การกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม การพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็ง การพัฒนาธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมให้เติบโต เข้มแข็ง และยั่งยืน 

โดยเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เครื่องมือและกระบวนการอันสำคัญหนึ่งที่จะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศได้คือการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ หรือ ‘คลัสเตอร์’ ซึ่งมีจำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พัฒนามาแล้วอย่างต่อเนื่อง จำนวน 123 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และสิ่งที่น่าสนใจพบว่าเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย 11 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนเป็นการปูทางสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี 

สำหรับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก และถือเป็นก้าวสำคัญของ SMEs 4.0 คือ ‘คลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ’ ซึ่งได้รวมตัวและบูรณาการการทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2562 ประกอบด้วยธุรกิจ SMEs จำนวน 22 บริษัทมีเป้าหมายและจุดยืนร่วมกันคือการเพิ่มกำลังการผลิต การลดนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ การนำความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัทมาช่วยแก้จุดอ่อน (Pain Point) ของพันธมิตรภายในคลัสเตอร์ รวมถึงผลักดันให้ธุรกิจ SMEs มีโอกาสได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

ด้านกำลังแรงงาน และการลดต้นทุนด้านต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบันจะพบว่าการใช้หุ่นยนต์ในโรงงานของประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสถานประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้น มี SMEs จำนวนน้อยที่ใช้ระบบดังกล่าวในการจัดการกระบวนการผลิต เพราะส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้เครื่องจักร รวมถึงเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง 

“สิ่งสำคัญที่ ดีพร้อม พยายามพัฒนาและยกระดับคลัสเตอร์ให้มีความเข้มแข็งได้มุ่งเน้นทั้งการกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม เพื่อปรับเปลี่ยนแนวความคิดจากเดิมที่ต่างคนต่างทำหรือต่างคนต่างเก่ง เปลี่ยนการดำเนินงาน จากการแข่งขันเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองฝ่ายเดียวมาเป็นพันธมิตร พร้อมวิเคราะห์สถานภาพของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้ธุรกิจในคลัสเตอร์ทราบถึงระดับความสามารถในการแข่งขัน และนำสิ่งต่างๆ มาเติมเต็มได้ รวมถึงยังได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับความต้องการการพัฒนาธุรกิจ ผลักดันเวทีหรือกิจกรรมการปฏิบัติจริง ทั้งในด้านการทดสอบตลาด การพัฒนาบุคลากร การใช้เทคโนโลยี และยังติดตามความสำเร็จ และเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนากลุ่มคลัสเตอร์อื่นๆ ต่อไป”

นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ดีพร้อม ยังได้มีการติดตามผลลัพธ์ ซึ่งพบว่าสิ่งที่คลัสเตอร์หุ่นยนต์
และระบบอัตโนมัติประสบความสำเร็จ คือ มีการซื้อขายระบบเทคโนโลยีรวมถึงหุ่นยนต์ระหว่างกันคิดเป็นมูลค่า ทางเศรษฐกิจประมาณ 95 ล้านบาท หรือ 4.75 ล้านบาทต่อกิจการ พร้อมด้วยความสำเร็จของการพัฒนาระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ Low Cost Automation ซึ่งทำให้ธุรกิจในกลุ่มสามารถมีระบบอัตโนมัติช่วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตในราคาที่เอื้อมถึงได้ คืนทุนได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 12 เดือน และมีราคาที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ย 300,000 - 500,000 บาท จากปกติที่ต้องนำเข้าในราคาระดับหลักล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดีพร้อม ยังมีแนวทางในการต่อยอดให้กลุ่ม SMEs มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 

1.) การดึงกลุ่มสถานประกอบการที่มีความต้องการใช้หุ่นยนต์เข้ามาร่วมในกลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ผู้พัฒนาระบบทราบถึงความต้องการของพันธมิตร และต่อยอดสู่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น 

2.) การส่งเสริมและเชื่อมโยงผ่านกลไกด้านการเงิน พร้อมให้ความรู้กับผู้ประกอบการได้เห็นถึงสิทธิประโยชน์จากการนำหุ่นยนต์มาใช้ เช่น มาตรการด้านภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราต่ำ รวมถึงจัดทำข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอด้านการเงินสำหรับ SMEs เพื่อใช้ในการขอสินเชื่อจากกองทุนและจากธนาคารพาณิชย์

3.) จัดหาหรือดึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ / ประสบการณ์ในด้านระบบอัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์มาช่วยให้ความรู้ หรือเทคนิคสำคัญให้กับผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านที่ปรึกษา พร้อมช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

และ 4.) ส่งเสริมแผนงานด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันแม้คลัสเตอร์จะเริ่มประสบความสำเร็จในการแบ่งปัน - ซื้อขายเทคโนโลยีระหว่างกัน แต่ยังจำเป็นต้องทำให้เกิดการซื้อขายนอกกลุ่ม หรือช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้เกิดมูลค่าและการเป็นที่รู้จักที่มากขึ้นต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top