Tuesday, 13 May 2025
ECONBIZ

'สุกี้ตี๋น้อย' ปั้นแบรนด์ใหม่ 'Teenoi Express' ฝ่าดงหม่าล่าเกลื่อน ปักหมุด 'เมเจอร์รัชโยธิน' สาขาแรก 1 พ.ย.นี้ ราคาเดียว 439 บาท

เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.66) เปิดเกมรุกบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์สุกี้ชื่อดัง โดยบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด

มีสโลแกน ‘อร่อยไม่อั้น เที่ยงวันยันเช้า’ ในราคา 219 บาท ทำให้ฮิตติดลม จนแตกแขนงหลายสาขาทั้งกรุงเทพ ปริมณฑล ล่าสุดเริ่มบุกต่างจังหวัดแล้ว

ขณะที่รายได้เรียกว่าแม้จะเปิดตัวในปี 2562 หรือเพียงระยะเวลาแค่ 5 ปี แต่ก็สร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง

ปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้ 1,223 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท, ปี 2564 มีรายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท และปี 2565 มีรายได้พุ่งทะยาน 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ส่วนปี 2566 น่าจับตาเส้นทางการเติบโตทั้งรายได้และกำไร หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ปิดดีลความร่วมมือกับ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ที่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 30% คิดเป็นเงินลงทุน 1,200 ล้านบาท และทำให้กิจการสุกี้ตี๋น้อยมีมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้วางแผนเปิด 12 สาขา

ล่าสุดออกแบรนด์ใหม่ ‘Teenoi Express’ (ตี๋น้อย เอ็กซ์เพรส) สุกี้ บุฟเฟต์ อร่อยไม่อั้น ราคาเดียว 439 บาท รวมเครื่องดื่มและของหวาน ครบจบที่เดียว พร้อมเปิดให้บริการวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 นี้ ที่ ‘อเวนิว เมเจอร์ รัชโยธิน’

มีเมนูไฮไลต์ เนื้อวากิวออสเตรเลีย บริสเกต MB 6, เนื้อ Rib Eye นิวซีแลนด์, เนื้อ Oyster Blade ออสเตรเลีย, ลิ้นวัว อาร์เจนตินา, ลูกชิ้นกุ้งปั้นสด, ปลาหมึกกระดอง, กุ้งแก้ว, เต้าหู้ม้วนทอด, ไส้เป็ด, ไส้อ่อน, เซี่ยงจี๊ และอื่นๆ อีกมากกว่า 50 รายการ

ส่วนน้ำซุป-น้ำจิ้ม เป็นสูตรซิกเนเจอร์ ไม่ว่าน้ำซุปหม่าล่า, น้ำซุปดำ, น้ำซุปกระดูกหมูทงคัตสึ, น้ำซุปเห็ดหอม และน้ำซุปต้มยำ

ด้านของหวาน มีวาฟเฟิลราดซอสช็อกโกแลต/สตรอเบอร์รี่ + ไอศกรีมวานิลลา ช็อก ชิป,ไอศกรีม พร้อมของทานเล่น

เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ หลังสร้างความฮือฮาเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ ‘ข้าวแกง ตี๋น้อยปันสุข’ ในราคาเริ่มต้น 39 บาท ที่สาขาเลียบทางด่วน 1 และ ‘ตี๋น้อย ป็อปอัพ คาเฟ่’ สาขาสยามสแควร์ซอย 2

คงต้องจับตาการบุกตลาดพรีเมียมครั้งแรกของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ หลังทำตลาดมาแมส ที่ราคาเข้าถึงง่าย ใครๆ ก็กินได้ มานานหลายปี จะมีเสียงตอบรับมากน้อยขนาดไหน 

รู้จัก ‘ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล’ นักเรียนทุนแบงก์ชาติ ประกาศ!! ขอนำความรู้ที่ได้กลับมาช่วยประเทศไทย

จากรายการ THE TOMORROW ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ‘น้องไอซ์’ ปราชญ์ เทวานฤมิตรกุล เด็กไทยผู้เพียรพยายามและขอกลับมาทำงานที่บ้านเกิด หลังเรียนจบ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.66 โดยมีเนื้อหา ดังนี้…

ประวัติของ น้องไอซ์ นั้น จบระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดดอนทอง จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ในระดับมัธยมต้น จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โดยอยู่ในห้องของเด็กโครงการความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ หรือ Gifted Math และเมื่อเรียนจบ ก็ได้สอบชิงทุนและได้รับทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ไปศึกษาต่อสาขาเศรษฐศาสตร์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ น้องไอซ์ ถือเป็นเด็กสายแข่งขันที่กวาดรางวัลมามากมาย เช่น ช่วงมัธยมต้นแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง ช่วงมัธยมปลายแข่งภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ได้รางวัลเหรียญทอง และเป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิก นอกจากนี้ยังเคยแข่งขันแต่งบทร้อยกรองทั้งในระดับโรงเรียนและระดับประเทศ จากนั้นก็มุ่งมั่นสอบชิงทุน เนื่องจากมีเป้าหมายไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ต่างประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายตัวเอง และอยากเห็นโลกกว้างมากขึ้น เพื่อตามฝันของตัวเองตอนเด็ก ๆ ที่อยากเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากเท่ดี เพราะจะมีลายเซ็นตัวเองอยู่บนธนบัตร โดยเจ้าตัวมักบอกเสมอว่า “ถ้ากล้าฝันก็ต้องพยายามไปให้ถึง” ซึ่งเขาเริ่มเข้าใกล้ความฝันแล้ว

เพราะด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้น้องไอซ์ได้รับทุนจาก ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ ไปศึกษาต่อที่ Northwestern University ประเทศสหรัฐอเมริกา ระดับปริญญาตรี ด้านสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยขณะนี้กำลังขึ้นชั้นปี 2 ภายใต้รูปแบบการเรียนที่เจ้าตัวบอกว่าจะไม่พยายามกดดันตัวเอง ถึงแม้เวลากดดันตัวเองแล้วคะแนนจะดีขึ้นก็ตาม 

“ผมจะเรียนไปตามธรรมชาติที่เป็นไป แต่จะไม่กดดันตัวเอง เพราะถ้าเรากดดัน เช่น คาดหวังว่าต้องได้เกรด 3.9 ตลอดทุกเทอม จะทำให้เราไม่กล้าที่จะไปทำอย่างอื่น เช่น การเรียนรู้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยว่าเป็นอย่างไร การปรับตัวต่าง ๆ เป็นต้น”

ทั้งนี้ น้องไอซ์ ได้บอกว่าความแตกต่างของมหาวิทยาลัยไทยกับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาด้วยว่า มีความแตกต่างกันมากโดยเฉพาะโครงสร้างการสอน เพราะมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา เปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนในสิ่งที่อยากรู้ได้อย่างอิสระ แต่ต้องเรียนวิชาหลักของคณะให้ครบถ้วน ทว่าก็สามารถเรียนวิชาอื่น ๆ ที่อยากเรียนได้ 

“เราสามารถทำหลาย Major ได้ ซึ่งถือเป็นการเรียนแบบ ‘มิติสัมพันธ์’ เช่น เรียนเรื่องนี้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับวิชาหลักที่เราเรียนได้ เป็นต้น” 

เมื่อถามว่าอะไรคือ ความท้าทายเมื่อไปเรียนที่ต่างประเทศ? น้องไอซ์บอกว่า “มี 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.ความท้าทายเรื่องภาษา ต้องมีการไปเตรียมตัวเรียนภาษาก่อน 1 ปี 2.การจัดการเวลาเรียน เราต้อง Balance ให้ดี ทั้งเวลาเรียน ทำกิจกรรม การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ และการได้อยู่กับตัวเอง และ 3.เรื่องอาหารและโภชนาการ เนื่องจากอาหารไม่ถูกปากเหมือนเมืองไทยเลยต้องปรับตัว”

เมื่อถามถึงตัวแปรสำคัญที่ส่งเสริมน้องไอซ์ให้มาถึงจุดนี้ได้? น้องไอซ์ เผยว่า “ครอบครัว มีส่วนผลักดันเยอะมาก รวมถึง อาจารย์ และเพื่อน ๆ ฉะนั้นเมื่อเรียนจบ ผมจะตั้งใจนำความรู้มาพัฒนาประเทศไทย ซึ่งพร้อมกลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมองว่าเรียนรู้อะไรมาก็จะใช้ความรู้ที่เรียนมานั้น มาทำงานจริง ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งตอนนี้มี Project ที่น่าสนใจมากมาย เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จากการนำเข้าส่งออก เราสามารถส่งเสริมให้ไทยกลายเป็น ศูนย์กลางของการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าได้ หรือกลายเป็นผู้ผลิตเองทั้งหมด หรือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาโดยตลอด เป็นต้น”

น้องไอซ์ฝากทิ้งท้ายว่า “การเรียนหรือการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเรียนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนอะไรก็ตาม จริงๆ แล้วอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเรามองว่าเราทำไม่ได้ ถึงแม้สังคมรอบข้างบอกว่าเราทำได้ เราก็จะทำไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีความมั่นใจในตัวเอง และตั้งใจทำมันจริง ๆ ผมก็เชื่อว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จได้ครับ”

‘รัดเกล้า’ ย้ำ!! รัฐฯ ตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ร้อยละ 80 พร้อมเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้ ปชช.

(13 ต.ค. 66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน ซึ่งกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง เดินหน้าแก้ไขปัญหา และลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อย ตลอดจนให้ความรู้ทางการเงิน และพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับการทำงานตามนโยบายรัฐบาลในอนาคต ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายและย้ำถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน โดยให้ดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า เพื่อเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล ธนาคารออมสินจึงได้จัด โครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันนวมินทรมหาราช วันที่ 13 ตุลาคม 2566 มาตรการแก้ไขหนี้ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อลูกหนี้รายย่อยธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากการผ่อนชำระ และลูกหนี้บางส่วนที่มีสถานะ NPLs จากผลกระทบดังกล่าว โดยจะเปิดให้เข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

สำหรับมาตรการแก้ไขหนี้ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยสินเชื่อธนาคารออมสิน ด้วยการให้พักชำระเงินต้นและให้ทางเลือกจ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่ 25% - 100% แล้วแต่กรณี ตามเงื่อนไขธนาคารและสถานะของลูกหนี้แต่ละรายเมื่อสามารถผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไขของมาตรการ ธนาคารจะยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระก่อนเข้ามาตรการให้

รวมถึงลูกหนี้ที่มีสถานะ NPLs อยู่ก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ธนาคารจะชะลอกระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์ ไม่ขายทอดตลาด และไม่ฟ้องล้มละลาย แล้วแต่กรณี โดยให้ผ่อนชำระได้สูงสุด 10 ปี และคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามเงื่อนไขธนาคาร ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการ สามารถติดต่อธนาคารออมสินสาขาเจ้าของบัญชีเงินกู้ หรือสาขาที่สะดวกได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566

“รัฐบาลผลักดันนโยบายไปสู่การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา พลิกฟื้นเศรษฐกิจ และยกระดับชีวิตประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมความพร้อมดำเนินมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและยั่งยืน ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนคลี่คลายขึ้นได้ในระยะต่อไปโดยมีเป้าหมายที่จะลดหนี้ภาพรวมให้ลดลงอยู่ในระดับที่ยั่งยืน หรือต่ำกว่า 80% ต่อจีดีพี” นางรัดเกล้า กล่าว

ปตท. สนับสนุนการบริหารจัดการ ‘ปัญหาน้ำท่วม’ พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ส่งมอบอุปกรณ์ และบริการสำหรับระบบซ่อมบำรุงเชิงพยากรณ์

เมื่อเร็วๆ นี้ นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทน ปตท. ส่งมอบอุปกรณ์และบริการสำหรับระบบซ่อมบำรุงเชิงพยากรณ์ และการเฝ้าติดตามสภาพเครื่องจักรจาก บริษัท พี ดิคเตอร์ จำกัด (P-DICTOR) เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่การติดตั้งแล้วเสร็จ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้แก่ นายปวินท์สรรค์ กัลยาณพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานระบบควบคุมน้ำ สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการนำความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมด้าน Predictive Maintenance and Machine Monitoring ของกลุ่ม ปตท. มาสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลการสั่นสะเทือนและทำนายการหยุดทำงานล่วงหน้าของเครื่องสูบน้ำ ณ สถานีสูบน้ำกรุงเกษม เขตบางรัก ที่เป็นจุดสำคัญในการสูบน้ำกรณีเกิดน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน เพื่อช่วยให้สำนักการระบายน้ำฯ สามารถป้องกันและแก้ไขอุปกรณ์ให้มีความพร้อมใช้งาน ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุง ตลอดจนช่วยให้บริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กลุ่ม ปตท. ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องใน ‘วันนวมินทรมหาราช’ 13 ตุลาคม 2566

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรม

ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ‘วันนวมินทรมหาราช’ 13 ตุลาคม 2566 พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กลุ่ม ปตท. และพนักงานเข้าร่วมพิธีฯ ณ อาคารสำนักงานใหญ่ ด้วย ปตท. สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งพระองค์เปรียบดั่งพระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ทรงมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลด้านพลังงานในหลายโครงการ อาทิ การผลิตพลังงานทดแทนจากแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นรูปธรรม ทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตพลังงานใช้ได้เอง ลดการพึ่งพานำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่ง ปตท. น้อมนำแนวพระราชดำริหลักแนวคิดมาเป็นภารกิจหลักในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ก้าวตามรอยพระยุคลบาทสืบต่อไป

‘พิมพ์ภัทรา’ ขานรับนโยบายรัฐบาล ยกระดับภาคอุตฯ เสริมแกร่งศักยภาพและมาตรฐาน ‘อุตฯ EV - AI’

เร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานในปีงบประมาณ 2567 ที่ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยตามนโยบายรัฐบาล และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะมาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ เน้นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ ได้แก่ EV อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ AI ฮาลาล และ Soft power ซึ่งคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถนำเม็ดเงินมาสู่ภาคอุตสาหกรรมของไทยได้เป็นอย่างดี โดยตั้งเป้าหมายไว้ 600 มาตรฐาน 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. เตรียมขออนุมัติแผนการกำหนดมาตรฐานในปีงบประมาณ 2567 รวม 600 มาตรฐาน ในการประชุมบอร์ด สมอ. ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 ที่สามารถจัดทำมาตรฐานได้ 478 มาตรฐาน ทั้งนี้ ให้เร่งผลักดันมาตรฐานที่เป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก่อน เช่น มาตรฐานสถานีชาร์จรถไฟฟ้า สาธารณะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานอาหารฮาลาล AI เครื่องมือแพทย์ BCG และหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น

“ภายหลังที่บอร์ดให้ความเห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. เสนอแล้ว จะเร่งรัดให้ สมอ. ดำเนินการจัดทำมาตรฐานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อก้าวสู่ความเป็นอุตสาหกรรม 4.0 และคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน” นายวันชัยฯ กล่าว

'ดร.ปิติ' ชี้!! ไม่ใช่แค่ 'อิสราเอล-ปาเลสไตน์' แต่ทั่วโลกยังมีจุดขัดแย้งอีกมากมายที่รอปะทุ

(12 ต.ค.66) รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความถึงปมขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่อีกหลายจุดทั่วโลก ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

นอกจาก อิสราเอล-ปาเลสไตน์ แล้ว ทั่วโลกยังมีจุดปะทุความขัดแย้งครั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อีกมากมาย

สุดสัปดาห์ที่แล้ว ในเมียนมา ค่ายผู้อพยพในรัฐคะฉิ่นติดพรมแดนจีนก็พึ่งถูกทำลาย 

ในหนังสือเล่มใหม่ของผม ปิติ ศรีแสงนาม และ จักรี ไชยพินิจ ยังคาดการณ์จุดปะทุทั่วโลกที่ไทยต้องจับตาไว้อีกหลายแห่งอาทิ

1. NATO vs รัสเซีย: สงครามเย็นที่ไม่สิ้นสุด
2. เอเชียใต้: ดินแดนแห่งตัวแปรของภูมิรัฐศาสตร์
3. แอฟริกา: กาฬทวีปที่ถูกมองข้าม
4. ตะวันออกกลาง: ทางแยกของแผนที่โลก
5. คาบสมุทรเกาหลี: ภูมิรัฐศาสตร์เก่าในบริบทใหม่ (บทความพิเศษโดย เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korean Association of Thai Studies : KATS))
6. ช่องแคบไต้หวัน: การช่วงชิงพื้นที่ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
7. ทะเลจีนใต้: เขตอิทธิพลของจีนกับประเด็นพิพาทของอาเซียน, และ
8. Zomia: จากดินแดนแห่งเทือกเขาสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์การเมืองในเมียนมา

สั่งซื้อได้แล้วนะครับ หนังสือเล่มใหม่ของผม

Amidst the Geo-Political Conflicts #สมรภูมิพลิกอำนาจโลก

ผู้เขียน : ปิติ ศรีแสงนาม, จักรี ไชยพินิจ Chakkri Chaipinit

ทดลองอ่าน https://bit.ly/3PWGEfm

>> นอกจากนี้ ท่ามกลางสมรภูมิความขัดแย้งทั่วโลก ท่ามกลางการปะทะของสามขั้วอำนาจที่จะเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ ไทยของเราควรอยู่ตรงไหน และอยู่อย่างไร?

Amidst the Geo-Political Conflicts สมรภูมิพลิกอำนาจโลก ว่าด้วยสถานการณ์ในจุดปะทุทางการเมืองโลก ณ ปัจจุบัน ได้แก่ รัสเซีย-ยูเครน ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียใต้ คาบสมุทรเกาหลี ช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และดินแดนเทือกเขาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Zomia) โดยจะวิเคราะห์ให้เห็นว่า สามขั้วอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา จีน และโลกมุสลิม เข้าไปมีบทบาทกับการเมืองภายในอย่างไร และเพราะเหตุใดทั้งสามถึงต้องการช่วงชิงการมีอิทธิพลเหนือพื้นที่เหล่านี้

ร่วมทำความเข้าใจความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ผ่านเลนส์ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ และร่วมขบคิดถึงการวางนโยบายต่างประเทศของไทยในอนาคต เพื่อรู้เท่าทันในวันที่ระเบียบโลกจะพลิกผันไปจากเดิม

สั่งซื้อได้ที่ https://www.matichonbook.com/p/4664/amidst-the-geo-political-conflicts-สมรภูมิพลิกอำนาจโลก.html

รวมทั้งภาคแรกของ Series "Amidst" อย่าง 

Amidst the New World Order #ไทยในระเบียบโลกใหม่

ผู้เขียน : รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม

ทดลองอ่าน: https://bit.ly/3UQqpRn

อ่านมหาอำนาจ วางยุทธศาสตร์เพื่อ “ปรับ” เมื่อโลก “เปลี่ยน” ภายใต้โลกใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม

>> ขณะที่ดุลอำนาจของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในภาวะถดถอย จีนทะยานขึ้นเป็นผู้กุมอนาคตทางการค้าและเทคโนโลยี ผู้เล่นอื่นๆ ในสนามภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจโลกก็พร้อมขยับเพื่อก้าวกระโดด

Amidst the New World Order ไทยในระเบียบโลกใหม่ โดยรองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม ชวนสำรวจและทำความเข้าใจโลกที่พลิกผันจากการกระชากเปลี่ยนครั้งใหญ่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง 

ร่วมกำหนดตำแหน่งแห่งที่ บทบาท ท่าทีและ “อนาคต” ของชาติที่คาดหมายและคาดหวังให้เป็นจริง

สั่งซื้อได้ที่ https://www.matichonbook.com/p/4034/amidst-the-new-world-order-ไทยในระเบียบโลกใหม่.html

หรือไปซื้อที่ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 28 วันที่ 12-23 ตุลาคม 2566 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธ J47 Matichon Book - สำนักพิมพ์มติชน

‘ชาดา’ สนับสนุนเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 เชื่อ!! จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่แท้จริง

(12 ต.ค.66) ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการควบคุมอาวุธปืนเถื่อนว่า หากพบการครอบครองอาวุธปืนเถื่อนต้องจับกุมอยู่แล้ว โดยอาจจะออกกฎเพิ่มเติมหลังจากนี้ ตนยังไม่สามารถตอบรายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะอยู่ระหว่างการดูระเบียบตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. 2490 ยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่เก่ามาก ควรมีการปรับปรุงแก้ไข แต่ต้องไปว่ากันในระบบของรัฐสภา ทางกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการให้กฎหมายมีความครอบคลุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

นายชาดา กล่าวว่า การควบคุมอาวุธปืนในครั้งนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ในระดับหนึ่ง เพราะจะมีมาตรการคุมเข้มยิ่งขึ้น เช่น การซื้อขายกระสุนปืนจะต้องมีใบ ป.3 ด้วย และมีข้อกำหนดว่าจะสามารถถือครองได้กี่นัด อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องมีการแก้กฎหมายร่วมด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล นายชาดา กล่าวว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ คาดว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะจะรวบรวมรายชื่อจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมร่วมด้วย ขอให้ประชาชนใจเย็นๆ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะสามารถส่งรายชื่อได้สิ้นเดือน ต.ค.นี้ 

เมื่อสอบถามว่ามีความกังวลจังหวัดใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า จ.นครปฐมเพราะมีการยิงกันบ่อย แต่ก็มีอีกหลายจังหวัด

เมื่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้างที่นายชาดาได้ให้เบอร์ส่วนตัว เพื่อให้ประชาชนติดต่อแจ้งเรื่องได้ นายชาดา กล่าวว่า วันนึงโทรมาเป็น 100 สาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของบุคคลในพื้นที่ มีทั้งเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เลยก็จะดำเนินการให้ ซึ่งทางอธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) ก็จะส่งเรื่องให้กับผู้ว่าฯ และตำรวจดำเนินการจับกุมต่อไป เช่น บ่อนการพนัน สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที เพราะเป็นความผิดเฉพาะหน้า ไม่ต้องรอรวบรวมรายชื่อ

เมื่อถามถึงกรณีที่จะมีการอนุญาตเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. นายชาดา กล่าวว่า ตนเห็นด้วย และควรทำมานานแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งการเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมแต่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว หลายๆ ประเทศก็เปิดกัน มองว่าเป็นคนละเรื่องกับความมั่นคง แต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการความปลอดภัยหลังจากนี้นั้น เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดูแลตลอดเวลาอยู่แล้ว

‘กระทรวงพลังงาน-ปตท.’ จัดงานนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ มอบรางวัลศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 38 เนื่องในวัน ‘วันนวมินทรมหาราช’

(12 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติวันนวมินทรมหาราชและงานมอบรางวัลศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 38 พร้อมด้วย นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ปตท. ณ PTT Art Gallery @ หอศิลป์ ณ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ

นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวว่า ปี 2566 นี้ นับเป็นปีแรกที่มีการประกาศให้ทุกวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีเป็น ‘วันนวมินทรมหาราช’ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเฉพาะเรื่องราวของ ‘พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย’ ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้น้อมนำแนวพระราชดำริสู่การพัฒนาพลังงานมาจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อมั่นว่า ผู้ที่ได้เข้าชมผลงานในนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ จะได้ร่วมน้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และได้รับแรงบันดาลใจผ่านผลงานศิลปะทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกผลงานชิ้นเอกของศิลปินแห่งชาติมาร่วมจัดแสดง ผลงานจากเยาวชนจากโครงการรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านงานศิลปะ หัวข้อ ‘Energy For All’ กระทรวงพลังงาน และผลงานจากโครงการศิลปกรรม ปตท. ที่ผ่านมา 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เปิดเผยว่า ในปี 2529 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า ‘อัครศิลปิน’ ซึ่งเป็นปีแรกที่ ปตท. จัดประกวดศิลปกรรม จึงได้กำหนดหัวข้อ ‘ในหลวงของเรา’ และได้กำหนดหัวข้อที่เกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 อย่างต่อเนื่อง อาทิ 84 พรรษา มหาราชาภูมิพล ของขวัญแด่พระราชา พลังงานกับชีวิตไทย เป็นต้น  

นอกจากนำผลงานรางวัลมาจัดแสดงนิทรรศการ ‘ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ’ แล้ว วันนี้ยังเป็นการมอบรางวัลให้กับศิลปินผู้ชนะการประกวดศิลปกรรม ปตท. ประจำปี 2566 ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงรุ่นประชาชนทั่วไป มีผลงานที่ได้รับรางวัลรวม 24 ผลงาน จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 831 ผลงาน ซึ่งในปีนี้จัดประกวดภายใต้หัวข้อ ‘จุดประกายความหวัง จุดพลังชีวิต’ เป็นการต่อยอดจากโอกาสพิเศษที่ ปตท. ก้าวเข้าสู่ปีที่ 45 โดยขอเชิญชวนประชาชนร่วมเข้าชมนิทรรศการระหว่างวันที่ 11 - 31 ตุลาคม 2566 โดยจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษทุกสัปดาห์ อาทิ workshop วาดภาพสีน้ำรัชกาลที่ 9 การเพ้นท์ถุงผ้าใส่ยาเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ป่วยเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และยังมีการแสดงดนตรีบทเพลงพระราชนิพนธ์ อีกทั้งทุกท่านสามารถร่วมบอกเล่าแรงบันดาลใจเรื่องราวรัชกาลที่ 9 บนโซเชียลมีเดียเพื่อรับโปสการ์ดศิลปะ Limited Edition จากศิลปินไทยชื่อดัง

ทั้งนี้ การประกวดศิลปกรรม ปตท. เป็นโครงการที่ ปตท. ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร จัดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2529 กว่า 38 ปีของโครงการศิลปกรรม ปตท. มีศิลปินร่วมส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 27,000 คน ผลงานเข้าประกวดกว่า 35,000 ชิ้น และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดไปแล้วกว่า 900 รางวัล ซึ่งนอกจากการจุดประกายสังคมผ่านงานศิลปะแล้ว สถานที่ ‘หอศิลป์ ณ บ้านเจ้าพระยา’ ยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ ปตท. ได้เข้าพัฒนาให้เป็นสถานที่ดำเนินงานเพื่อสังคมมาตั้งแต่ปี 2561 โดยจัดให้เป็น PTT Art Gallery พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะสำหรับทุกคน ทั้งงานจากโครงการศิลปกรรม ปตท. ผลงานศิลปินที่มีชื่อเสียง ผลงานจากศิลปินรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และจัดกิจกรรมเวิร์กชอปด้านศิลปะ รวมถึงยังเปิดดำเนินการ Café Amazon for chance ร้านกาแฟที่เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางการได้ยินมีส่วนร่วมในการบริการ เป็นการจุดประกายและจุดความหวังของสังคมได้อีกทางหนึ่ง

‘ไทย-ตุรกี’ หารือฟื้น FTA ลดช่องว่างการค้า เล็งเชิญผู้นำไทยเยือนตุรกีในรอบ 20 ปี

(12 ต.ค. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยหลังการหารือกับนางแซรัป แอร์ซอย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย ว่า ไทยและตุรกีเห็นพ้องกันที่จะผลักดันความตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ระหว่างกันให้ก้าวหน้า เนื่องจากที่ผ่านมามีการเจรจากันถึง 7 รอบ แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อปี 2564 จากเหตุปัจจัยภายในประเทศของตุรกี โดยไทยพร้อมและยินดีจะกลับเข้าสู่การเจรจาทันทีเมื่อตุรกีเสร็จสิ้นกระบวนการทบทวนนโยบาย ซึ่งเอกอัครราชทูตตุรกียืนยันว่าแนวทางการพิจารณาของตุรกี น่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ในช่วงต้นปี 2567 

ทั้งนี้ หากการจัดทำ FTA ร่วมกันสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศก็จะได้ประโยชน์โดยเฉพาะการลดช่องว่างดุลการค้าและด้านอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม โดยในปีนี้ไทยและตุรกีมีความสัมพันธ์ครบรอบ 65 ปีอีกด้วย

นางนลินี กล่าวว่า ตุรกีเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 19 ของโลก ไทยสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการค้าไปสู่ยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือได้ และสินค้าไทยที่จะได้รับประโยชน์จาก FTA เช่น ยานพาหนะ ตู้เย็น พลาสติกชนิดโพลิสไตลีน ผ้าทอ เมล็ดพืช อาหารฮาลาล ผลไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น 

ส่วนทางตุรกีนั้น สามารถใช้ไทยเป็นประตูการค้าไปสู่เอเชียตะวันออก อาเซียน และประเทศอื่นที่มีความตกลงการค้าเสรีกับอาเซียน โดยเฉพาะประเทศสมาชิก RCEP รวมทั้งการลงทุนใน EEC ขณะเดียวกันตุรกียังสนใจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยตุรกีมีความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน

นางนลินี กล่าวอีกว่า สำหรับบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในตุรกี เช่น CPF Indorama และ Dusit Thani ส่วนบริษัทตุรกีที่ลงทุนในไทย เช่น KOC Holding HIDROMEX Sabanci Holding เป็นต้น และทั้ง 2 ประเทศยังมีเที่ยวบินตรงระหว่างกันทั้ง Turkish Airlines และสายการบินไทยจำนวนหลายเที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยตุรกีเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศยังร่วมกันพัฒนาด้านอื่นได้อีก ได้แก่ เศรษฐกิจสีเขียว ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการจัดตั้งโรงเรียนในประเทศไทย และอยากให้ไทยพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขการนำเข้าผลไม้จากตุรกีด้วย

"ท่านทูตตุรกีย้ำว่าไทยไม่ได้มีการเยือนตุรกีในระดับผู้นำเป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว จึงอยากเชิญนายกฯ และผู้แทนการค้าไทยไปเยือนตุรกี และยังแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ราชวงศ์ไทย รัฐบาล ภาคเอกชน NGO และประชาชนชาวไทย ให้ความช่วยเหลือตุรกีในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมาด้วย" นางนลินี กล่าว

‘ปตท.’ ผนึกกำลังวิสาหกิจชุมชน จ.แพร่ เดินหน้าปลูกป่าล้านที่ 2 ตั้งเป้า 8,000 ไร่ ในปี 66

เมื่อไม่นานมานี้ นายวรพงษ์ นาคฉัตรีย์ ผู้อำนวยการสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่ปลูก และบำรุงรักษา ปี 2566 ในพื้นที่แปลงปลูกป่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ จำนวน 8,000 ไร่ ระหว่าง ปตท. กับ วิสาหกิจชุมชนคนก้นต้อรักษ์ป่าแม่สอง ตำบลเตาปูน จำนวน 5,000 ไร่ และ วิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ส่งเสริมการปลูกป่า ตำบลห้วยหม้าย จำนวน 3,000 ไร่

โดยมี นายวิชัน ใจเขม็ง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนก้นต้อรักษ์ป่าแม่สอง ต.เตาปูน อ.สอง จ.แพร่ นายชัยณรงค์ สุปินะ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอนุรักษ์ส่งเสริมการปลูกป่า ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ และนางเยาวลักษณ์ ชูโชติ ผู้จัดการฝ่ายปลูกป่าและบำรุงรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ปตท. ร่วมลงนาม โดยมีนายศุภชัย บุญทิพย์ นายอำเภอสอง และนายสงคราม ขาวสะอาด ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ กรมป่าไม้ และนายณัฐพล ทองไหล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเตาปูน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีดังกล่าว 

ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนทั้ง 2 กลุ่ม จะดำเนินการปลูก ในปี พ.ศ. 2566 และจะร่วมกันบำรุงรักษาป่าอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 - 2575 รวมระยะเวลา 10 ปี

'ไทย' ไปต่อ!! เตรียมส่งดาวเทียมแนคแซท 2 สู่อวกาศต้นปี 67 มุ่งภารกิจเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันอุตสาหกรรมอวกาศ

เมื่อวานนี้ (11 ต.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงานแถลงข่าวพิธีส่งดาวเทียมแนคแซท 2 (KNACKSAT-2) ซึ่งเป็นโครงการดาวเทียมคิวบ์แซท (CubeSat) ขนาด 3U (30 x 10 x 10 ซม.) พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีรูปแบบเป็น Ride Sharing Platform หรือการแชร์พื้นที่ใช้สอยบนดาวเทียมร่วมกัน

โดยดาวเทียม KNACKSAT-2 มีพื้นที่ในการบรรจุเพย์โหลด (Mission Payload) หรืออุปกรณ์เพื่อปฏิบัติภารกิจถึง 7 ระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากห้วงอวกาศให้สามารถเข้าถึงอวกาศได้ง่ายขึ้น โดยใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้ได้รับการจัดสรรทุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และมีบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้ร่วมทุนในการวิจัยและพัฒนาระบบ IoT เป็นหนึ่งความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ซึ่งนอกจากใช้ประโยชน์ในภาคการศึกษาพัฒนาบุคลากรและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศแล้ว KNACKSAT-2 ยังสามารถขยายไปสู่เชิงพาณิชย์ สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจในการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

โดย มจพ. มีกำหนดนำดาวเทียม KNACKSAT-2 ออกจากประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำส่งเข้าสู่วงโคจรจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ช่วงต้นปี 2567 โดยความร่วมมือระหว่าง มจพ. บริษัท NBSPACE มหาวิทยาลัย Kyushu Institute of Technology (KYUTECH) และ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA)

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ เผย ปีนี้คนกรุงกินเจเพิ่ม 3.5% รับเทรนด์สุขภาพ หนุนเงินสะพัด 3 พันล้าน สวนกระแสต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง เหตุน้ำมันแพง

(11 ต.ค. 66) ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองว่า เทศกาลกินเจปี 66 จะเริ่มขึ้นวันที่ 15-23 ต.ค. 66 รวมเป็นเวลา 9 วัน ในปีนี้ราคาอาหารเจน่าจะยังคงปรับสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตอาหารเจหลายรายการมีแนวโน้มจะขยับขึ้นจากช่วงเทศกาลกินเจปีก่อน ได้แก่ ผักบางชนิด (อาทิ คะน้า ฟักทอง เต้าหู้) และข้าว จากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ ซึ่งกระทบกับปริมาณผลผลิต นอกจากนี้ กลุ่มโปรตีนเกษตรก็น่าจะปรับขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มในช่วงกินเจ

ขณะที่ราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ล่าสุดเดือน ก.ย. 66 ภาพรวมเงินเฟ้อหมวดอาหารที่บริโภคในบ้านที่เติบโต 1.5%YoY และหมวดอาหารที่บริโภคนอกบ้านที่เติบโต 1.1%YoY สะท้อนให้เห็นว่า ทิศทางราคาอาหารเจทั้งที่บริโภคในบ้านและร้านอาหาร ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ ขณะที่จำนวนคนกินเจในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมอาหารเพื่อสุขภาพและการกลับมาใช้ชีวิตปกติ

อย่างไรก็ดี ด้วยทิศทางราคาอาหารเจที่มีอาจปรับสูงขึ้น ประกอบกับความกังวลต่อค่าครองชีพที่สูง และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าภาครัฐจะออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพบางส่วน อาทิ มหกรรมลดราคา แต่ผู้บริโภคยังกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมถึงรายได้ในอนาคต

ทั้งนี้ สะท้อนจากผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า คนกรุงเทพฯ ที่วางแผนจะกินเจ พยายามปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายตลอดเทศกาล โดยการลดวันกินเจลง รวมถึงเลือกใช้บริการช่องทางการจำหน่ายที่ราคาไม่สูง อาทิ ร้านอาหารตักขายข้างทางและนั่งทานในร้าน

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลกินเจปี 66 น่าจะอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท หรือขยายตัว 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากระดับราคาอาหารเจที่อาจปรับขึ้นราว 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ปริมาณการบริโภคอาหารเจโดยรวมน่าจะเติบโตเล็กน้อยหรือราว 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงไม่สนใจบริโภคอาหารเจ ถือเป็นความท้าทายต่อทิศทางการเติบโตของธุรกิจอาหารเจ ดังนั้น โจทย์สำคัญคงอยู่ที่แนวทางในการกระตุ้นยอดขายและฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นแม้อยู่นอกเทศกาลกินเจ โดยเฉพาะการชูจุดขายความคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับอาหารทั่วไป รวมถึงพัฒนาความพิเศษให้กับเมนูอาหาร เพื่อสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ดี และนำไปสู่การกลับมาซื้อซ้ำ อาทิ ใช้วัตถุดิบพรีเมียมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง (โปรตีนทางเลือก ซุปเปอร์ฟู้ด) พัฒนาเมนูแปลกใหม่ที่แตกต่างกว่าอาหารเจเดิมๆ ที่มีจำหน่ายในตลาด รวมถึงการจัดโปรโมชันหรือส่วนลดให้กับอาหารเจ ทั้งในและนอกเทศกาลกินเจ

‘AIS’ ใจป้ำ!! จับมือ ‘ททท.’ กระตุ้นท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซัน แจกฟรี 1 ล้านซิมให้นทท. ตั้งแต่ 17 ต.ค.66 จนถึง 31 มี.ค.67

(11 ต.ค.66) รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ระบุ ปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน การฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย 

ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้สะดวกสบายผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซันส่งท้ายปลายปี 2566

หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ปรัธนา ลีลพนัง ระบุ จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก 

โดยร่วมกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่าน Amazing Thailand SIM ที่มีแพ็กเกจการใช้งานและสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้กับนักท่องเที่ยว

รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับนักท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

สำหรับแคมเปญ ‘TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand’ จะมอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 - 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น

'วีระศักดิ์' ร่วมเสวนา Russian Ecological Forum ครั้งที่ 3 บรรยายหลัก กม.ขยายความรับผิดชอบของผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาไทย ได้รับเชิญให้ขึ้นอภิปรายที่กรุง มอสโก ประเทศรัสเซีย ในหัวข้อ 'หลักกฎหมายขยายความรับผิดชอบของผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์' (Extended Producers Responsibility EPR) 

การเสวนา Russian Ecological Forum ครั้งที่ 3 นี้ จัดโดยรัฐสภาและรัฐบาลรัสเซีย ในโอกาสที่ประธานาธิบดีปูตินนำหลักกฎหมายพิทักษ์สิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ออกมาใช้บังคับ เพื่อกำหนดภาระเพิ่มแก่ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าสินค้า ที่จะต้องลดปริมาณการใช้พลาสติกตั้งแต่ขั้นออกแบบ การใช้พลาสติกในการทำหีบห่อบรรจุภัณฑ์ การรับคืนภาชนะเมื่อผู้บริโภคใช้หมดแล้ว การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำกลับมาทำลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลรัสเซียที่ประสงค์จะลดปริมาณขยะและปิดเลิกหลุมฝังกลบที่เคยมีอยู่ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้

โดยบุคลากรระดับสูงที่ร่วมบนเวทีเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วยนางวิคตอเรีย อัมรามเชงโก รองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาดูมาร์ (สภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย) รองประธานวุฒิสภารัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมรัสเซีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมเบลารุส รองประธานธนาคารกลางรัสเซีย ที่ปรึกษาประธานาธิบดีรัสเซีย ประธานบริษัทวิสาหกิจขนาดใหญ่ ด้านการจัดการขยะผู้อำนวยการด้านสิ่งแวดล้อมของรัสเซีย และนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top