Friday, 26 April 2024
IMPACT

‘ชัยวุฒิ’ มั่นใจ ดีลควบรวม ทรู-ดีแทค ไม่ผูกขาด แจง รัฐบาลมีแค่หน้าที่ดูแลผลกระทบประชาชน

‘ชัยวุฒิ' ระบุ ทรู-ดีแทค จับมือควบรวม เรื่องปกติทางธุรกิจ เชื่อ ผูกขาดยาก แจง รัฐบาลมีแค่หน้าที่ดูแลผลกระทบประชาชน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) บริษัทแม่กลุ่มทรู และกลุ่มเทเลนอร์ บริษัทแม่ของดีแทค จะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU-Memorandum of Understanding) ทางธุรกิจระหว่างกัน ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอำนาจของตนที่จะไปกำกับดูแล ในทางธุรกิจเป็นสิทธิ์ของบริษัทที่จะวางแผนหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน หรือลดค่าใช้จ่าย เพื่อทำให้การบริการดีขึ้น

เมื่อถามว่า การควบรวมดังกล่าวจะเป็นการผูกขาดทางธุรกิจหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จะผูกขาดอย่างไร เพราะเรื่องมือถือมีการแข่งขันอยู่แล้ว และมีการกำกับดูแลโดย กสทช. ถือเป็นเรื่องปกติ ธุรกิจประเภทนี้มีหลายเจ้าผูกขาดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะลงทุนสูง ต้องมีการขอสัมปทานการใช้คลื่นความถี่ บางประเทศยังมีแค่เจ้าเดียว  ถ้ามีหลายเจ้าและต่างคนต่างลงทุนจะเป็นการสิ้นเปลือง ต้นทุนสูงขึ้น ประชาชนต้องจ่ายบริการเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการวางแผนธุรกิจ ส่วนรัฐบาลเพียงเข้าไปกำกับดูแลว่าให้บริการกี่เจ้า และจะมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างไร  

‘วรวุฒิ พรรคกล้า’ ฝาก ‘บิ๊กตู่’ แก้น้ำมันแพง ส่ง 3 กระทรวง ถกปัญหาผู้ประกอบการขนส่ง

“รองหัวหน้าพรรคกล้า” ฝาก “บิ๊กตู่” หารือ ครม. ส่งตัวแทน 3 กระทรวง รับฟังปัญหาผู้ประกอบการประท้วงราคาน้ำมันแพง หวั่นบานปลายขึ้นราคาต้นทุน กระทบประชาชน ย้ำถ้าลดภาษีสรรพสามิต รัฐต้องหารายได้อื่นมาทดแทน

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวกรณีผู้ประกอบการเตรียมหยุดเดินรถประท้วงราคาน้ำมัน โดยขอให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ โดยขอให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ ตั้งตัวแทนรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา มีโอกาสนำไปสู่การหยุดประท้วง ไม่ต้องเอารถทหารมาใช้แทน

“การให้ผู้ประกอบการไปคุยกับคนนู้นทีคนนี้ที มันดูไม่จริงใจในการแก้ปัญหา จึงเป็นปัญหาที่ต้องพูดคุยกันทุกฝ่าย เพราะภาวะผันผวนราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ใช่ปัญหาระยะสั้น แต่จะเป็นปัญหาระยะยาว หากไม่มีการจัดการ สุดท้ายผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องขึ้นต้นทุนสินค้า สุดท้ายผลกระทบจะตกอยู่กับประชาชน จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง หากปล่อยไว้ปัญหายิ่งไปกันใหญ่ จึงอยากให้สองฝ่ายไม่ว่าผู้ประกอบการหรือรัฐบาลหันหน้าเจรจากันด้วยความจริงใจ” นายวรวุฒิ กล่าว

สำหรับข้อเสนอลดภาษีสรรพสามิตลงอีก 5 บาทต่อลิตร ตรึงราคาน้ำมันดีเซลบี 7 ให้อยู่ที่ 25 บาท รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า เป็นแนวทางที่อาจทำได้ แต่คำถามอยู่ที่รัฐบาลจะเอาภาษีหรือรายได้ส่วนอื่นมาชดเชยอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องระยะสั้น เพราะระยะยาวเชื่อว่าอัตราการบริโภคน้ำมันและความผันผวนของโลก ทั้งความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน อัตราการใช้พลังงานหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายหลายประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพราคาน้ำมันในระยะยาว รัฐบาลต้องหามาตรการมาดูแลจริงจัง ไม่เช่นนั้นผู้บริโภคคือประชาชน จะเป็นผู้เดือดร้อน

รู้จักร้าน 60 Plus Bakery & Cafe โครงการดีๆ ที่เดินหน้าด้วยพลังของผู้พิการ

60 Plus Bakery & Cafe 

แค่เห็นชื่อผ่าน ๆ ก็คงพอทราบว่าเป็นร้านขายเบเกอรี่และขนมทั่ว ๆ ไป

หากแต่สาเหตุที่ทำให้ 60 Plus Bakery & Cafe เป็นสินค้าและบริการที่ไม่ธรรมดา จนต้องหยุดดู!! เพราะทั้งหมดที่ทำขึ้นในร้านนี้ เกิดขึ้นโดยคนพิการและออทิสติก!!

60 Plus Bakery & Cafe เป็นร้านเบเกอรี่คาเฟ่ อยู่ใกล้ ๆ โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งปัจจุบันได้เปิดเป็นศูนย์ฝึกอาชีพสอนงานครัวและงานบริการแก่ผู้พิการ ซึ่งอันที่จริงแล้ว 60 Plus+ Bakery & Cafe เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดทำขึ้น เพื่อช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้คนพิการและออทิสติก โดยขนมทั้งหมดในร้านจะอยู่ภายใต้การดูแลจากร้าน Yamazaki อีกทีหนึ่ง

ที่นี่มีคุณคริส ‘คริสโตเฟอร์ เบญจกุล’ อดีตพระเอกหนุ่มอนาคตไกล ที่ชีวิตต้องพลิกผัน หลังลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจนตนเองถูกจักรยานยนต์เมาแล้วขับชน จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและร่างกายของพระเอกหนุ่มก็กลับมาไม่สมบูรณ์ 100% ซึ่งปัจจุบันเขาได้รับหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ให้กับมูลนิธิ APCD แห่งนี้อีกด้วย 

ความเจ๋งของร้าน 60 Plus+ Bakery & Cafe ไม่ใช่แค่ศูนย์ฝึกอบรมผู้พิการ รวมถึงสินค้า/บริการจากผู้พิการเท่านั้น แต่ที่นี่จะให้โอกาสแก่ผู้พิการและออทิสติก ได้เข้าไปทำงานประจำยังร้าน Yamazaki สาขาต่าง ๆ ที่ต้องการคนและสะดวกต่อการเดินทางของผู้ที่จะไปประจำตำแหน่งนั้น ๆ เมื่อมีทักษะที่ดีพอ

ส่วนตำแหน่งที่แต่ละคนได้รับนั้นก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม อย่างเช่น ผู้พิการทางหูก็สามารถทำขนมได้ หรือผู้พิการทางขาก็สามารถมาทำงานเป็นแคชเชียร์ได้เช่นกัน หรือบางคนก็อาจจะสามารถทำได้หลายตำแหน่ง หมุนเวียนกันไปขึ้นอยู่กับความต้องการในขณะนั้น

‘ก้าวไกล’ ค้าน ควบรวม ‘ทรู’ - ‘ดีแทค’ จี้ องค์กรกำกับดูแล กล้ายุติทุนใหญ่ผูกขาด

พรรคก้าวไกล คัดค้านการควบรวมบริษัทให้บริการเครือข่ายมือถือ ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’ จี้ องค์กรกำกับดูแล ต้องกล้าหาญ ยุติการผูกขาดของทุนใหญ่ ปกป้องผู้บริโภค 

ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นคัดค้านกรณีการควบรวมระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย อย่างทรูคอร์ป และ โทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น โดยตั้งคำถามว่า การควบรวมนี้เป็นการผูกขาดหรือครอบงำตลาดหรือไม่

“การควบรวมครั้งนี้ จะทำให้บริษัทใหม่นั้นกลายเป็นผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งทันที และมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เมื่อวัดจากจำนวนเลขหมาย ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการควบรวมนี้จะทำได้โดยไม่เป็นการผูกขาด หรือครอบงำตลาดได้อย่างไร และหากดีลนี้สำเร็จจะเกิดผลอย่างไรกับผู้บริโภค และคู่แข่ง”

ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นว่า หน่วยงานใดจะเป็นผู้กำกับดูแล เพราะแม้ พรบ.แข่งขันทางการค้า จะถูกยกเว้น หากอุตสาหกรรมนั้นมีกฎหมายกำกับดูแลเฉพาะอยู่แล้ว เช่น กรณีนี้เป็นอุตสาหกรรมโทรคมนาคมย่อมจะอยู่ภายใต้กำกับของ กสทช. ซึ่งควรจะเป็นไปตามประกาศของ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ในข้อ 8

อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ถือใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเป็นบริษัทลูก (ทรูมูฟ - ดีแทคไตรเน็ต) แต่บริษัทที่จะควบรวมเป็นบริษัทแม่ (ทรูคอร์ป - โทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น) นี่อาจกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกรณีนี้จะหลุดจากมือ กสทช. ไปสู่การขออนุญาตต่อบอร์ดแข่งขันทางการค้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะตามประกาศหลักเกณฑ์การควบรวมของ กสทช. นั้นเข้มงวดกว่าของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า แถมยังระบุหลักเกณฑ์ที่เป็นตัวเลขชัดเจนไว้อีกด้วย

‘อลงกรณ์’ ปลื้ม ผลงานประกันรายได้ชาวนา ดันเงินหมุนเวียนนับล้านล้านบาท 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็น 1 ใน 5 พืชเศรษฐกิจหลัก ภายใต้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ได้แก่ ข้าว, มันสำปะหลัง, ยางพารา, ปาล์ม, น้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ “ไม่ใช่ภาระแต่เป็นธุระของรัฐบาล” ในการบริหารนโยบายให้สำเร็จตามที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นโครงการที่เกษตรกรพึงพอใจมากที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาล

เพราะสามารถสร้างหลักประกันรายได้ (Universal basic income) จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในช่วงที่เกิดความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตร จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจวิกฤตไปทั่วโลก ซึ่งนี่ถือเป็นนโยบายเรือธง (Flagship policy) ของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาล

สำหรับโครงการประกันรายได้ชาวนาเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition period) ของการปฏิรูปภาคเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าว 5 ปี (2563-2567) ที่เริ่มมาแล้วตั้งแต่ปี 2563 ขับเคลื่อนด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ตั้งแต่… 

‘ต้นน้ำ’ การผลิตมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนพัฒนาพันธ์ุสร้างมาตรฐานเชื่อมโยง 

‘กลางน้ำ’ การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม 

และ ‘ปลายน้ำ’ การตลาดแบบออนไลน์/ออฟไลน์ ทั้งตลาดในและต่างประเทศตามโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต

“โครงการนี้ได้ช่วยพัฒนาฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและครอบครัวเกือบ 30 ล้านคน ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแรงงานและการจ้างงานมากที่สุด อีกทั้งเป็นฐานรากสำคัญของประเทศ ทำให้สามารถรักษาการผลิตสินค้าเกษตรสร้างรายได้ในการส่งออกให้กับประเทศของเราจนเป็นอันดับต้นของสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (มองในมุมของการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการนำรายได้เข้าประเทศ) ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่และภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว มีตัวเลขการส่งออกที่ลดลง

“ประการสำคัญ คือ เงินประกันรายได้ที่เกษตรกรได้รับ เกิดจากการทำงานแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน จากหยาดเหงื่อแรงกาย ไม่ใช่การแจกจ่ายแบบให้เปล่า (Free rider) จำนวนหลายแสนล้านบาทเหมือนโครงการอื่น ๆ ของรัฐ”

นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ภาคเกษตรในรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ กำลังนำภาคเกษตรกรรมเข้าสู่มิติใหม่โดยเฉพาะเกษตรอัจฉริยะแนวทางเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ที่ใช้บิ๊กดาตา (Big Data) และดิจิทัลเทคโนโลยี (Digital Technology) รวมถึงการทำเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งพัฒนาขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5,000 แปลง รวมพื้นที่กว่า 6 ล้านไร่ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรรวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน เน้นการบูรณาการความร่วมมือทำงานเชิงรุกกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคเกษตรกร ด้วยการสร้างกลไกเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อขับเคลื่อนด้วยแนวทางใหม่ ๆ ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตร...

‘ดีป้า’ คิกออฟ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ ดัน ‘หาบเร่’ ต้องเก๋ในโลกออนไลน์

ดีป้า เปิดตัวโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ พร้อมเดินหน้าติดอาวุธดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย นำร่องพื้นที่ 6 จังหวัด ครอบคลุมผู้ประกอบการ 30,000 ราย เล็งขยายการรับรู้สู่ปริมณฑล 4 จังหวัด และเตรียมเดินหน้าเฟส 2 อีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ หวังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลได้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน โดยมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ของตนเองได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค โดยปรับเปลี่ยนสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่ง ดีป้า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จึงได้ดำเนินโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ เพื่อยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ให้สามารถปรับเปลี่ยนทุกการซื้อ-ขายสู่ระบบออนไลน์ ปรับทุกไลฟ์สไตล์สู่สังคมไร้เงินสด พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 โดยคาดว่า การดำเนินงานในเฟสแรกจะช่วยสร้างรายได้มากกว่า 300 ล้านบาท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย สามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ สร้างโอกาสทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและจัดส่งสินค้า พัฒนาสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เริ่มดำเนินการในพื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครสวรรค์ นครปฐม ชัยนาท สิงห์บุรี และลพบุรี ครอบคลุมผู้ประกอบการ จำนวน 30,000 ราย ตั้งเป้าขยายการรับรู้สู่ปริมณฑลเพิ่ม 4 จังหวัด

ย้อนอดีตวันคนโสด 11.11.2018 จากอาลีบาบา ยอดขาย 2 ชั่วโมง แซง ‘เซเว่นฯ’ ไทยขายทั้งปี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พอพูดถึงวันที่ 11 เดือน 11 หรือที่เรียกกันว่า 11.11 นั้น ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่การซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ยักษ์ใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada เพราะทั้ง 2 แบรนด์ต่างงัดกลยุทธ์ด้านการตลาดที่หลากหลาย มาดึงจูงใจลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า ผ่านแพลตฟอร์มตัวเอง อาทิ การลดกระหน่ำ, ตัดราคา 50% หรือจะเป็นแจกโค้ดส่วนลด ส่งสินค้าฟรี และโปรโมชันอื่น ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ

แต่ทราบหรือไม่ว่าการทำการตลาดในวัน 11.11 นั้นมีที่มาจากอะไร

จุดเริ่มต้น 11.11 นั้นเริ่มขึ้นจากความนึกสนุกของนักศึกษาชายจากมหาวิทยาลัยนานกิง ประเทศจีน ในยุค 90 ที่เขาเกิดไอเดียนำเลข 1 ที่สื่อความหมายถึงความโดดเดี่ยว คนเดียว มาเรียงต่อกัน 4 ตัว เป็น 11.11 จนกลายเป็นเทศกาล ‘กวงกุ่ยเจี๋ย’ (光棍节) หรือ ‘เทศกาลคนโสด’ ซึ่งงานนี้ก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะกลายเป็นวันที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปทั่วประเทศ

11.11 เริ่มแพร่หลาย และกลายเป็นอีกการตลาดที่ร้อนแรงภายใต้วิถีชีวิตของผู้คนชาวจีนที่เป็นโสดมากขึ้น และมีบุตรน้อยลง การตลาดจาก ‘วันคนโสด’ หรือ ‘Single’s Day’ จึงสอดคล้องกับพฤติกรรมของเหล่าคนโสดที่ไม่ต้องง้อและพร้อมสู่ขอของขวัญชิ้นพิเศษให้กับตัวเองได้ในวันนี้

เพียงแต่การจะเดินทางไปช็อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้าเพียงคนเดียว ก็อาจจะดูเป็นการทำร้ายความรู้สึกตัวเองเกินไป!!

ในปี 2009 นายหม่า-ยวิ๋น หรือ แจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ ประธานและซีอีโอของแพลตฟอร์ม ช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง อาลีบาบา (Alibaba) ที่เรารู้จักกันดี จึงเห็นช่องทางจากการตลาดคนโสดนี้ และปล่อยสุดยอดโปรโมชันขายสินค้าในวันที่ 11.11 ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าสู่วันคนโสดของจีนจนกระทั่งหมดวัน และมีโปรโมชั่นนาทีทองแทบจะทุกชั่วโมง และสามารถสร้างยอดขายสูงสุดในวันเดียวได้ถึง 52 ล้านหยวน มากกว่าที่เคยทำในช่วงเวลาปกติ 10 เท่า

จากวันนั้น 11.11 ได้กลายเป็นบ่อทองให้กับอาลีบาบาในการโกยรายได้ทางออนไลน์จากนักช็อปทั้งในจีนและต่างชาติ ขณะเดียวกันก็ได้สร้างวัฒนธรรมการช็อปปิ้งออนไลน์ในวันคนโสดนี้ให้แพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยในทุก ๆ ปี 

โดยเฉพาะในวันคนโสด 11.11 เมื่อปี 2018 ที่อาลีบาบาได้สร้างตำนานตัวเลขที่น่าตกใจ โดยสามารถโกยยอดขายในเวลา 2 ชั่วโมง ที่ว่ากันว่ามีตัวเลขยอดขายเท่ากับ 7-Eleven ไทย ขายทั้งปีกันเลยทีเดียว

ย้อนคำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-ผู้ล่วงลับ' พท. คิดให้ดี ก่อนจะ 'ปลุกผีจำนำข้าว'

คำเตือนจาก 'ดร.โกร่ง-อดีตนักเศรษฐศาสตร์-อดีตรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ' โครงการรับจำนำข้าวเปิดช่องคอร์รัปชัน ทำลายโครงสร้างตลาด ระบุรัฐบาลเสียเงินมากมาย แต่ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ได้อะไรเลย ชูประกันรายได้-จ่ายส่วนต่างส่งตรงไปยังเกษตรกร ถ้าชาวนา ผู้ใหญ่บ้าน กำนันจะโกง ก็ยังดีกว่าโรงสี ผู้ส่งออก รัฐมนตรีโกง

9 พ.ย. 64 - จากกรณีราคาข้าวตกต่ำ ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าว ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เตรียมที่จะฟื้นโครงการรับจำนำข้าวที่เคยทำไว้ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น

ล่าสุดสังคมเริ่มมีความกังวลว่าหากมีการฟื้นโครงการรับจำนำข้าวจะเกิดการคอร์รัปชันครั้งใหญ่อีกรอบ ขณะที่โซเชียลมีการแชร์ต่อบทความเรื่อง "จำนำข้าวเปิดช่องทางทุจริต ทำลายโครงสร้างตลาด" เตือนไปยังพรรคเพื่อไทย

บทความนี้เขียนโดย นายวีรพงษ์ รามางกูร หรือ "ดร.โกร่ง" นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบัน ดร.โกร่ง ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับบทความดังกล่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 โดยมีเนื้อหาดังนี้

นโยบายและมาตรการอันหนึ่งที่น่าห่วงเพราะใช้เงินเป็นจำนวนมากมีปัญหาทั้งทางทฤษฎีและการปฏิบัติ โครงการที่ว่านี้คือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด กุ้ง ฯลฯ

ฟังดูว่าจะใช้เงิน 4 แสนล้านบาท มาหมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรเหล่านี้ นโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรนี้เป็นนโยบายที่ล้มเหลวที่สุดตั้งแต่ทำกันมา ตั้งแต่ปี 2529 สูญเสียเงินละลายน้ำไปมากมาย โดยผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงมือเกษตรกรอย่างที่คิด ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับโรงสีผู้ส่งออก ลานตากมัน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพรรคพวกของนักการเมือง จึงไม่มีใครยอมเลิกโครงการนี้

เริ่มต้นชื่อก็ผิดแล้ว การรับจำนำนี้ปกติผู้รับจำนำต้องรับจำนำในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโดยคาดว่าผู้จำนำจะมาไถ่คืน แต่การรับจำนำสูงกว่าราคาตลาดก็ไม่น่าจะเรียกว่าการรับจำนำเพราะไม่มีใครมาไถ่คืนในราคาจำนำที่สูงแล้วเอาไปขายในราคาที่ต่ำในตลาด การตั้งซื้อว่าโครงการรับจำนำจึงเป็นการตั้งชื่อหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง

ในทางทฤษฎี สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศทุกตัว เราเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกของสินค้านั้น ๆ ตลาดภายในของเรากับตลาดโลกเป็นตลาดเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่มีโควตาการส่งออก ไม่มีภาษีขาออก

สินค้าเกษตรทุกตัว ยกเว้น ยางพารากับมันสำปะหลัง เช่น ข้าว จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมา คือ อินเดีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ในกรณีข้าวโพด อเมริกาเป็นผู้ผลิตมากที่สุด

ข้าวที่ขายหมุนเวียนในตลาดโลกจึงมีสัดส่วนไม่มาก มันสำปะหลังก็เหมือนกัน ผู้ผลิตรายใหญ่ คือ อินโดนีเชีย ในกรณียางพารา แม้ว่าประเทศเราจะยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังมีอินโดนีเซีย มาเลเชีย ศรีลังกา จีน และประเทศอื่น ๆ อีกมากมายผลิตด้วย

นอกจากนั้น สินค้าเกษตรทุกตัวยังมีของทดแทนกันได้เป็นคู่แข่ง เช่น ข้าว ก็มีข้าวสาลี ข้าวโพด และธัญพืชอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง เพราะถ้าข้าวราคาแพงผู้บริโภคในจีน อินเดีย และที่อื่นก็หันไปบริโภคหม่านโถว จาปาตี บะหมี่ แทนข้าวได้ ยางพาราที่ใช้ผลิตยางรถยนต์ก็มียางเทียมที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียมเป็นคู่แข่ง มันสำปะหลังก็มีพืชจำพวกแป้งอื่น ๆ เป็นคู่แข่ง

ด้วยเหตุนี้สินค้าเกษตรทุกตัว ราคาจึงถูกกำหนดโดยตลาดโลก รวมทั้งมันสำปะหลังซึ่งเราเป็นผู้ส่งออกสำคัญเพียงรายเดียวของโลก เราจึงเป็น "ผู้รับราคา" หรือ "price taker" ไม่ใช่ผู้กำหนดราคา หรือ "price maker"

นอกจากนั้นสินค้าเกษตรทุกตัวมีปริมาณออกสู่ตลาดโลกตลอดเวลา การกักตุนเพื่อเก็งกำไรไม่สามารถทำได้ หรือการกักตุนของเราก็ไม่ทำให้ราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลงเพราะจะมีผู้ผลิตรายอื่นเสนอขายในตลาดโลกแทนเราและถ้าเราเก็บไว้นาน 3-4 เดือน ก็จะมีผลผลิตใหม่ออกมาแทนที่ พอเราจะขายราคาก็จะตกทันที การกักตุน จึงมีแต่ขาดทุน นอกจากมีไว้เพื่อค้าขายปกติ

ด้วยเหตุนี้ โครงการมูลภัณฑ์กันชน ระหว่างประเทศ หรือ "International Buffer Stocks" ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลภัณฑ์กันชนดีบุก หรือแนวคิดเรื่องมูลภัณฑ์กันชนสินค้าประเภทอาหาร โดยข้อเสนอขององค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNCTAD ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงประสบความล้มเหลว ใครเก็บกักข้าวไว้ก็เท่ากับช่วยให้คู่แข่งขายได้ก่อน ราคาอาจจะดีกว่าตอนที่เราขายทีหลัง เพราะถ้ามีใครกักเก็บ ผู้ซื้อผู้ขายก็รู้ว่ายังมีข้าวรอขายอยู่ก็จะไม่ยอมซื้อในราคาแพง

ฟังว่าจะใช้เงิน 4-5 แสนล้านบาท หมุนเวียนซื้อสินค้าเกษตรมากักตุน ก็เท่ากับคิดจะปั่นราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าจะ "corner the market" ตลาดโลกข้าวมันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด จึงเป็นไปไม่ได้ คนเคยทำแล้วล้มละลายก็มีมาก ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ที่ล้มก็สืบเนื่องมาจากการพยายามปั่นตลาด หรือจะ corner ตลาดใบยาสูบ ดังนั้น เมื่อผลิตได้เท่าไร รีบส่งออกได้มากเท่าไรยิ่งดี แล้วก็ปลูกใหม่

'กรณ์' มองกรณีศึกษา SCBS เทก Bitkub เพราะสุดท้ายดิจิทัล = ธุรกิจแบงก์ยุคต่อไป

"กรณ์" ชี้ 5 สัญญาณสำคัญ อนาคตการเงิน หลังกลุ่มธนาคาร ซื้อกิจการ Crypto Exchange 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ ทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) ว่า เห็นสัญญาณบางเรื่องจากดีล Bitkub x SCBx ซึ่งการที่กลุ่มธนาคารมาซื้อกิจการ Crypto Exchange ด้วยเงินมหาศาลส่งสัญญาณสำคัญหลายข้อ คือ 

1.) เป็นการยืนยันว่า นายธนาคารมองว่า crypto เป็นส่วนสำคัญใน "อนาคตการเงิน" แน่นอน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่จะเกิดจากการ synergy ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารปัจจุบันร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารการลงทุนของนักลงทุนไทยในสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะทำให้เงินทุนหมุนเวียนในตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เมื่อนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหรือได้รับการชี้ชวนจากสถาบันการเงินเดิมที่ตนเชื่อมั่นและคุ้นเคย 

2.) แนวโน้มจากที่ในอดีตธนาคารพาณิชย์ขยายฐานธุรกิจด้วยการซื้อหรือควบรวมกันเอง จากนี้เราจะเห็นธนาคารพาณิชย์ซื้ออนาคตด้วยการลงทุนใน alternative finance (การเงินทางเลือกใหม่) ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ขาดวิสัยทัศน์หรือขาดกำลังทุนมีแนวโน้มสูญพันธุ์สูง การตอบโต้ทางการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองในเรื่องนี้ จะมีผลสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

‘สมอ.’ ลงพื้นที่หน้าด่าน สุ่มตรวจสินค้านำเข้า สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าไทย 

สมอ. ยกระดับมาตรการคุมเข้ม ป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าควบคุมที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน เตรียมลงพื้นที่หน้าด่าน สุ่มตรวจสินค้านำเข้า

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ สมอ. ยกระดับความเข้มข้นของมาตรการเชิงรุกในการนำเข้าสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศและการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่อยู่ในการควบคุมของ สมอ. ทั้ง 126 รายการ ที่มีการโฆษณาผ่านทางทีวีดิจิทัลและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ได้มาตรฐานจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยให้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น กรมศุลกากร, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อร่วมกันทำงานเชิงรุกในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในท้องตลาดอย่างเข้มงวด 

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ขานรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) อย่างเคร่งครัด เดินหน้ามาตรการคุมเข้มป้องกันไม่ให้สินค้าด้อยคุณภาพเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุมทั้ง 126 รายการ เช่น ปลั๊กพ่วง, เตาปิ้งย่าง, กระทะไฟฟ้า, หม้ออบลมร้อน, ไดร์เป่าผม, ที่หนีบผม, พัดลม, หม้อหุงข้าว, หลอดไฟ, สปอตไลต์, หลอดไฟแอลอีดี, ภาชนะจานชามเมลามีน, ของเด็กเล่น, พาวเวอร์แบงก์ และ อะแด็ปเตอร์ เป็นต้น 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top