Friday, 29 March 2024
IMPACT

Toyota เตรียมปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ แม้ประธานใหญ่จะเคย ‘ซัด’ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน ‘สร้างมลพิษ’

ช่วงหลังๆ ที่ Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Toyota ออกมาพูดในเวทีต่างๆ นั้น ม้กจะได้เห็นวิวาทะเชิงตำหนินโยบายห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการห้ามจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

อีกทั้งยังบอกอีกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนสร้างมลพิษมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงจากแหล่งที่มาของไฟฟ้าในบางพื้นที่ ล้วนมาจากก๊าซ และถ่านหิน ดังนั้นรัฐบาลทุกประเทศต้องกลับไปทบทวนว่าการใช้นโยบายลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่หากนำสมมติฐานดังกล่าวมาวิเคราะห์จะพบว่า เรื่องดังกล่าวไม่จริง เพราะแหล่งที่มาของไฟฟ้ามีหลากหลาย และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปล่อยมลพิษออกมามากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ยังขับเคลื่อนนโยบายลักษณะนี้ต่อไป โอกาสที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์จะล่มสลายก็มีสูง นอกจากนี้ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ายังราคาค่อนข้างสูง การผลักดันให้ผู้บริโภคไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ

แต่จนแล้วจนรอด ข้ออ้างต่างๆ นานา ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ Toyota ตกขบวนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยตอนนี้ก็เริ่มเห็นการกลืนน้ำลายและพ่นน้ำลายออกมาในเวลาเดียวกันของ Toyota เลยก็ว่าได้ เนื่องจากล่าสุดทางToyota ก็ได้ปล่อยโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกมาให้คนได้รับรู้ถึงการยืนในสนามรถไฟฟ้าของพี่ใหญ่แห่งวงการยานยนต์

แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับชื่อรุ่น แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่ของ Toyota จะมาในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ Ultracompact Car มีทั้งหมด 2 ที่นั่ง ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion วิ่งได้ราว 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม โดยปรับปรุงเพื่อเหมาะสมกับการวิ่งบนภูเขา รวมถึงในเมือง

ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นดังกล่าวยังออกแบบให้เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มผู้สูงอายุที่ปกติจะขับรถยนต์ขนาดเล็กกลุ่ม Kei Car เดินทางไปที่ต่างๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับรถยนต์เป็นครั้งแรก โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้จะเริ่มทำตลาดในปี 2021 ราคาราว 1.6-1.7 ล้านเยน (ราว 4.5 แสนบาท) เน้นทำตลาดในระดับองค์กร และหน่วยงานรัฐก่อน ส่วนการทำตลาดในกลุ่มบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2022

สำหรับเป้าหมายในเบื้องต้น Toyota นั้น ได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 100 คันกับกลุ่มลูกค้าองค์กร และหน่วยงานรัฐ ซึ่งหากมองจากการออกมาเปิดตัวครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะ Toyota ถูกกดดันจากหน่วยงานภาครัฐที่อยากให้ Toyota พัฒนารถยนต์ขนาดเล็กรูปแบบใหม่มาทดแทนรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้น้ำมัน สอดรับกับแผนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อยากให้มีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ที่หลังๆ เริ่มถูกจีนเข้าไปจับจองในหลายๆ ตลาดทั่วโลก รวมถึง Tesla ที่มีมูลค่าบริษัทแซง Toyota ไปอย่างน่าเจ็บใจ

นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ Toyota หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากนั้น น่าจะมาจากวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ในหลายๆ มลรัฐของสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎเกณฑ์ในเรื่องของมลพิษจนกลายเป็นแนวคิดต้นทางในการทบทวนมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์ไปทั่วโลก รวมถึงจีนเองก็พยายามในการผลักดันให้เพิ่มจำนวนการใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าทางประธาน Toyota ก็คงจะยังไม่ทิ้งและจะยังมุ่งเน้นไปยังกลุ่มรถยนต์สาย Hybrid และ Fuel-Cell อยู่เหมือนเดิม

อ้างอิง: Nikkei Asia / Toyota

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

รายงานทางเศรษฐกิจของบลูมเบิร์ก ยกไทยขึ้นที่ 1 ตลาดเกิดใหม่น่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ ที่อาจทำได้ดีเกินคาดในปี 2564

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์เศรษฐกิจของ 17 ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ปี 2564 โดยใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งในนั้นมีการจัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่อันดับที่ 1

เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง (8.2 ล้านล้านบาท) และมีโอกาสอย่างมากที่จะเกิดการไหลเข้าของเงินทุนที่มีศักยภาพสูง (Portfolio inflows) ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางการเงินอื่นๆ

แม้จะมีข้อมูลตารางชี้ชัดของไทยถึงอันดับที่ไม่ดีนักในเรื่องของการล็อกดาวน์ ที่อาจส่งผลต่อความคล่องตัวต่างๆ รวมถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่แย่ที่สุด (3.9%) รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ค่อนข้างสูง (41%) เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่นำมาจัดอันดับ แต่ก็เป็นส่วนที่ต้องคอยจับตาดูเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงเท่านั้น

ขณะที่รัสเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่แม้จะมีสัดส่วนหนี้ต่ำมาก แต่อัตราการเติบโตของ GDP นั้นแย่กว่าไทยเล็กน้อย ส่วนอันดับ 3 ร่วมคือเกาหลีใต้และไต้หวัน

ส่วนอันดับรองสุดท้ายบราซิล ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุด (89%) และอันดับสุดท้ายคือจีน โดยให้เหตุผลว่า ได้รับการคาดหวังที่สูงมากอยู่แล้ว

ส่วนความกังวลอีกเรื่องคือการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ที่หลายประเทศอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในด้านการกระจายวัคซีน และหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือที่ก่อนหน้านี้เรียกว่าตลาดกำลังพัฒนา ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก

รายงานของบลูมเบิร์กฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยนำตัวชี้วัดต่างๆ ของ 17 ประเทศมาวิเคราะห์ถึงการเติบโตในปีหน้า โดยตัวชี้วัดเหล่านั้นได้มาจากทั้งการคำนวณของบลูมเบิร์กเอง รวมถึงองค์กรระดับนานาชาติอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และบริษัทเอกชนอย่าง Goldman Sachs และ Barclays ซึ่งท้ายรายงานระบุว่า เป็นความเห็นจากนักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กที่พิจารณาจากปัจจัยที่นำมาคำนวณเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ที่สามารถป้องกันแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกได้ดี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

ดังนั้น มูลค่าตลาดและผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดเกิดใหม่ จึงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และจะเป็นตัวช่วยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี


ที่มา : https://www.bloomberg.com/graphics/2020-emerging-markets-recovery-ranking

สำนักข่าวชื่อดังของโลกจากสหรัฐเมริกาอย่าง ‘CNN’ ตามติดนโยบายโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" คนเดียวก็เที่ยวได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและเชิญชวนให้เดินทางท่องเที่ยวตามสไตล์คนโสด 9 เส้นทางทั่วประเทศ

โดย CNN เผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และ "แอพพลิเคชัน Tinder" จัดทำโครงการ เส้นทางคนโสด ‘Single Journey’ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โดยนำร่อง 9 เส้นทางภาคเหนือ โดยได้เริ่มต้น 3 เส้นทางก่อน ได้แก่

1.)เส้นทางคนโสดสายมู เป็นการล่องเรือ ไหว้พระ หารัก

2.)โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก

และ 3.) โสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

ทั้งนี้ช่องทางเปิดจองให้แก่ผู้ที่สนใจนั้นจะต้องลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

1.)https://sneaksdeal.com/singlejourney

2.)www.tourismthailand.org

และ 3.)Line Official @singlejourney

ความน่าสนใจของโครงการดังกล่าว ทำให้หลายทริปปิดดีลได้อย่างว่องไว โดยในส่วนของดีลคนโสดที่เปิดขายผ่านเว็บไซต์ https://sneaksdeal.com/singlejourney นั้น หลายทัวร์ได้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว เช่น ทริป Secret Island ทัวร์เกาะไข่ จ.ภูเก็ต ราคา 222 บาท ขายแล้วครบ 50 คน , รถไฟขบวนสุดท้าย 1 Day trip รถไฟลอยน้ำ 23 มกราคม ราคา 555 บาท ขายครบแล้ว 50 คน และ Secret Island เกาะลับไม่ห่างรัก 9 มกราคม พ.ศ.2564 ราคา 799 บาท โดยยังเหลือทริป Romantic พัทยา ล่องเรือยอชท์ จอดเรือรัก ราคา 2,888 บาท ซึ่งคงมีขายอยู่

ก็เรียกว่าโครงการนี้ดูจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนสำนักข่าว CNN ยังมีการการตั้งถามต่อท้ายว่า "หากคู่รักนัดพบรักกันระหว่างการเดินทางครั้งใดครั้งหนึ่ง ทางการท่องเที่ยวจะสนับสนุนฮันนีมูนในอนาคตของพวกเขาด้วยหรือไม่?"

แหม่!! อันนี้คงตอบยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนอยากให้มีภาคต่อ ซึ่งก็คงต้องตามดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเป้าหมายนั้น คาดว่าโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" จะทำให้เกิดการเดินทาง 7 ล้านคนต่อครั้ง ในช่วง 3 เดือนและเกิดเงินหมุนเวียนราว 100 ล้านบาทกันเลยทีเดียว


อ้างอิง: CNN

https://edition.cnn.com/travel/article/thailand-tinder-single-journey-intl-hnk/index.html

สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการรายงานถึงงานวิจัยของเด็กไทยในกรุงลอนดอน ที่ทำการวิจัยโดยใช้ ‘ขนไก่’ ซึ่งเป็นขยะเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร มาแปรรูปทำอาหารรสชาติระดับมิชลินสตาร์

โดยตามรายงานระบุว่า เด็กไทยดังกล่าวชื่อ ‘ศรวุฒิ กิตติบัณฑร’ อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโทสาขา Material Futuresในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังหาทุนเพื่อเดินหน้าทำวิจัยหาวิธีการแปรรูปส่วนประกอบสารอาหารที่พบใน ‘ขนไก่’ มาทำเป็นผงที่สามารถนำไปผลิตเป็นอาหารแท่งโปรตีนแบบไร้ไขมันที่กินได้

ศรวุฒิ เล่าว่า “ขนไก่มีโปรตีน และหากสามารถนำโปรตีนเหล่านี้มาทำอาหารให้ชาวโลกได้ จะช่วยลดขยะลงได้มาก โดยปัจจุบันในภูมิภาคยุโรปที่เดียวมีการทิ้งขนไก่จำนวนมากถึง 2.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ในเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคสัตว์ปีกเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าจะมีขยะขนไก่มากกว่าในยุโรปถึง 30%

สำหรับขนไก่ที่ศรวุฒินำไปแปรรูปเป็นอาหารต้นแบบนั้น มีทั้งสเต็ก และนักเก็ตไก่ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ที่ได้ทดลองชิม ที่สัมผัสได้ถึงความซับซ้อน และไม่เคยคิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหารใดๆ ได้ แต่เมื่ออาหารตัวอย่างถูกนำไปปรุง เช่น สเต็ก ก็ได้รับเสียงชื่นชมว่าราวกับเป็นอาหารจาก ‘ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์’ กันเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าไอเดียขนไก่แปรรูปนี้ เป็นอีกการต่อยอดแนวคิดแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจที่กำลังได้รับการศึกษาวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ มีเนื้อที่ผลิตจากโปรตีนพืชสำหรับกลุ่มวีแกนออกมากันบ้าง

อย่างไรก็ตาม อาหารจากขนไก่ ก็ยังถูกมองว่าเป็นอาหารจากสัตว์ คนกินมังสวิรัติหรือทานเจ อาจศีลขาดได้...


ที่มา:

https://www.huffpost.com/entry/chicken-feathers-food-source_n_5fda3666c5b610200986d053?fbclid=IwAR19NVebfdMUm_irXy4u55Gh6JnpVygLMYWdBg9sPCS_Lk8RbGVQ0CoWF9E

คงต้องยอมรับว่าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ที่ปิดรับลงทะเบียนไปเรียบร้อยภายในเวลาร่วม 2 ชั่วโมง เมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เป็นตัวการันตีว่าโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายภาครัฐที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ย่อมมีทั้งคนที่สมหวังและไม่สมหวังในการได้รับสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ไม่สมหวัง รวมถึงผู้ที่อาจจะตั้งเป้าโจมตีนโยบายดังกล่าวแบบไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่เชื่อได้ว่าเฟสต่อ ๆ ไปของโครงการนี้จะต้องตามติดออกมาอีกแน่นอน

ทั้งนี้จากเฟซบุ๊กส่วนตัว "Chao Jiranuntarat" หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้โพสต์ข้อความหนึ่งออกมาเตือนสติได้อย่างน่าสนใจว่า...

"ปุจฉา: "#คนละครึ่ง ควรเป็นสิทธิที่รัฐบาลให้ประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาล"

"วิสัชนา: สิทธิ์คนจน รัฐควรให้ทุกคนที่เข้าข่าย สวัสดิการของรัฐ รัฐควรให้ขั้นต่ำ แต่คนละครึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ร้านเล็กๆ ไม่ให้ ร้านใหญ่เข้าร่วม และทุกร้านที่เข้าร่วมไม่ได้จำกัดจำนวน แต่คนที่จะได้สิทธิ์คนละครึ่งก็มีงบประมาณจำกัด ต้องหาวิธีที่ต้องมีคนต้องการและได้สิทธิ์นั้น คนที่ได้สิทธิ์ทางอื่นอยู่แล้วก็ไม่ควรได้ การลงทะเบียนอาจไม่เป็นธรรมกับบางคน แต่ก็เป็นวิธีที่กระจายมากที่สุด มีคนทุกวัยทุกท้องที่กระจายกันอยู่ ในอนาคตเมื่อรัฐมีข้อมูลของประชาชนถูกต้องมากขึ้น ก็อาจมีวิธีการที่กระจายได้ดีกว่านี้ แต่การพูดว่าแย่งกันเหมือนขอทานจากรัฐบาลเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจและเป็นการทำให้โครงการที่ได้ประโยชน์แบบนี้ถูกมองเป็นลบมากขึ้น"

"การลงทะเบียนที่ผ่านมามีปัญหาเรื่อง การส่ง SMS ซึ่งรู้ว่าเป็นข้อจำกัด ในอนาคตอาจไม่ต้องมี แต่การบอกว่า NET ไม่ดี เสียเปรียบ คนจนเสียเปรียบ ก็ต้องลองไปดูว่าคนลงทะเบียนได้เป็นคนประเภทไหนบ้าง คนรวยลงได้มากกว่าจริงหรือ การที่จะพัฒนาโครงการดีๆ แบบนี้ ไม่รั่วไหลให้นักการเมือง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ในบ้านเรา ไม่เข้าใจว่าคนที่คิดว่า แย่งกันเหมือนขอทานมีความคิดอย่างไร และหากงบรัฐมีจำกัด มีข้อเสนอแนะอย่างไรที่เป็นธรรมและกระจายได้มากที่สุด"

ททท. เคาะ 9 เส้นทางคนโสดเที่ยวทั่วประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ‘โสดสายมู - โสดสายแซ่บ - โสดสายชิลล์’ ดีเดย์ 15 ธันวาคม ปูพรม ‘จอง’ ทริปสลัดคาน

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และแอปพลิเคชัน Tinder ทำเส้นทางคนโสด ซิงเกิล เจอร์นี่ย์ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โสดซีซั่นทั่วประเทศ 9 เส้นทาง คือ

.

1.) แม่ฮ่องสอน

2.) เชียงใหม่

3.) เชียงราย

4.) ลพบุรี-สระบุรี

5.) อุดรธานี-เลย ชุมพร-สุราษฎร์ธานี

6.) ภูเก็ต

7.) พัทยา

8.) พระนครศรีอยุธยา

9.) และกรุงเทพฯ

.

โดยนำร่อง 3 เส้นทาง คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก, โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก และโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

.

สำหรับเส้นทางนำร่องแรก คือ โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก โดยททท. ร่วมกับบริษัท แกรนด์เพิร์ล จำกัด จัดทริปล่องเรือ ขอพร ไหว้พระ 9 วัด กับหมอช้าง “ทศพร ศรีตุลา” เล่าถึงเคล็ดลับการไหว้พระขอพร และดินเนอร์กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ จำนวนจำกัด 100 คน ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถลุ้นเข้าร่วมทริปผ่านกิจกรรมของพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ได้แก่  แฟนเพจ Sneakout แอปพลิเคชัน Tinder

ส่วนเส้นทางที่ 2 โสดสายแซ่บ เกาะลับไม่ห่างรัก ร่วมกับ เลิฟ อันดามัน จัดปาร์ตี้ริมทะเล ชมคอนเสิร์ต ณ เกาะไข่ จังหวัดภูเก็ต ราคาพิเศษ 222 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 9 ม.ค.64 และเส้นทางโสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปิดโบกี้รถไฟลอยน้ำ เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี (วันเดียวกลับ) ชมวิว ถ่ายรูป และรับประทานอาหารกลางเขื่อน ราคาพิเศษ 555 บาท สำหรับ 50 คนแรก ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2564

ตั้งการ์ดท่าไหน? ในยุคโควิด-19 "เฟส 2" บทเรียนอดีตสะท้อนรัฐห้ามปิดเมืองหมด และผู้ประกอบที่ควร "ลดดีกรี" โกยแต่ "รายได้ - กำไร"

ได้เสียววาบ ๆ กันอีกรอบ อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์กันเลยก็เป็นได้ หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 ระลอกใหม่ในไทย ระลอกนี้เริ่มมาจากแดนเหนือ และเริ่มแพร่กระจายแบบไม่รู้จะคุมอยู่แค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ เริ่มเล็ดหลุดมากรุงเทพฯ เรียบร้อย

เรื่องโรคยังไงก็ต้องปล่อยหน้าที่ให้ทางการจัดการไป แต่ถ้าหันกลับมามองในแง่ของธุรกิจที่เหมือนกำลังจะกลับมาจะทำยังไงต่อไป ถ้าโควิด - 19 คัมแบ็คอีกรอบ

ลองมาตั้งสมมติฐานกันดูว่า หากโควิด - 19 กลับมาระบาดรอบสองแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจไทย จะรับมือกันอย่างไรต่อ? และจะยังมีแรงยกการ์ดตั้งรับไหวไหม? ที่สำคัญงวดนี้รัฐบาลควรจะหามาตรการใดมารับมือ?

"หากดูจากบทเรียนล็อกดาวน์รอบแรก"

กุญแจสำคัญของล็อกดาวน์รอบแรก ธุรกิจจะกลับมาดูธุรกิจตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะมีเวลามากขึ้น จากการที่โควิด - 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก โดย 3 เรื่องที่สามารถกลับมานั่งนิ่ง ๆ แล้วทบทวนตัวเอง คือ รายได้ / ต้นทุน และกำไร

     - อย่างรายได้ ถ้าอยากให้กลับมีเหมือนเดิม ก็ต้องเข้ามาดูลูกค้าว่ากลุ่มไหนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจของเรา ต้องจับไว้ให้มั่น ไม่ใช่จับมันทุกกลุ่มเหมือนก่อนไหม

     - อย่างต้นทุน ถ้าอยากให้ลดลง ก็ต้องทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ไม่จำเป็น ลดลง บางสายงานจำเป็น ไม่จำเป็น ต้องโยกย้ายคนไหม ค่าใช้จ่ายไหน ไม่จำเป็นบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อาจจะต้องตัด

     - อย่างกำไร ถ้าอยากให้มากขึ้น ก็ต้องมีเวลากลับเข้ามาดูว่าธุรกิจส่วนไหนที่เราจะสามารถทำอะไรให้ได้มากขึ้น หรือขยายไปเป็นธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อยุคโควิด - 19 เช่น ร้านอาหาร ก็เปลี่ยนตัวเองจากขายหน้าร้าน มาส่งเดลิเวอรี่อย่างเดียว

ทีนี้ถ้าโควิด -19 รอบ 2 มา แล้วเกิดมันหนักจนรัฐต้องปิดประเทศอีกรอบ บอกเลยว่า...งวดนี้หนักแน่นอน!! เพราะจากข้อมูลในช่วงล็อกดาวน์ที่มีการประเมินจากศูนย์วิจัยต่าง ๆ พบว่า

     - ระบบเศรษฐกิจต้องสูญเสียรายได้ในประเทศประมาณ 1.5 หมื่นล้านต่อวัน

     - เมื่อเอา 30 วันคูณเข้าไป ก็ตก 4.5 แสนล้านต่อเดือน

     - และถ้าเอา 10 เดือนคูณเข้าไป ก็จะสูญเสียไป 4.5 ล้านล้านต่อปี

ฉะนั้นหากเกิดเหตุขึ้นอีก ตัวเลขนี้ก็จะเกิดตาม และจะไม่มีอะไรไปทดแทนได้อีกเลย ถ้าต้องล็อกดาวน์นานมากขนาดนั้น

"รัฐต้องวางหมากให้แม่น" การ์ดที่ภาครัฐต้องตั้ง คือ ดูแลทรัพยากร รวมถึงรายได้ธุรกิจภายในประเทศ หากต้องมีการล็อกดาวน์ ก็ควรล็อกแค่เฉพาะส่วน และปล่อยในบางส่วน เช่น พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในกรุงเทพ อย่าง ราชประสงค์ สยาม เยาวราช สีลม สุขุมวิท หากจะต้องเลือกล็อก ก็ต้องล็อกเฉพาะบางจุดของพื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายในพื้นที่นั้น ๆ ไม่ควรปิดทั้งหมด

ขณะเดียวกันต้องเลือกผ่อนปรนบางธุรกิจที่สามารถกระตุ้นภาคการจับจ่ายไว้ด้วย โดยเฉพาะร้านอาหาร เพราะหากปิดทั้งหมด การจะกลับมาแบบเฟสแรกนี่คงยากมาก ๆ ไหนจะในแง่มูลค่าเศรษฐกิจ ไหนจะในเรื่องพนักงาน และคนทำงานด้วย โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขคนตกงานที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด - 19

มีการคาดการณ์ตัวเลขพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 8 ล้านกว่าคน ตัวเลขนี้ไม่ว่าจะชดเชยยังไง ก็ถมกันไม่หมด เพราะไม่ใช่แค่การสูญเสียเชิงมูลค่าเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีการสูญเสียมูลค่าทางใจที่ยากกู้คืนกลับ พูดง่าย ๆ คือ ในประเทศไม่ควรล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ถ้าปิดประเทศ ไม่ให้ต่างประเทศเข้ามา อันนี้ ควรทำ!!

...ทีนี้หันกลับมามองภาคผู้ประกอบธุรกิจจะรับมือไหวไหม ถ้าโควิดระบาดจริง ๆ ?

ในที่นี้มี 3 สิ่งที่อยากให้ผู้ประกอบการลองคิด การตั้งการ์ดของผู้ประกอบการอาจจะเริ่มที่การกลับมาดูแลตัวเองเท่านั้น และในส่วนของ "รายได้" และ "กำไร" คงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว คือ จัดการ "ต้นทุน" ให้เข้ม ต้องกลับมาทำให้องค์กร "ผอม" เพื่อให้ต้นทุนต่ำลง...นี่คือสิ่งแรกที่ต้องทำ!!

ต่อมา...ถ้าผ่านวิกฤตินี้ไปได้ จนไปถึงกลางปีหน้า อาจจะเห็นหลาย ๆ ผู้ประกอบการที่เคยทำธุรกิจหนึ่ง เปลี่ยนไปทำอีกธุรกิจหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ แบบที่บางธุรกิจหันมาทำหน้ากากอนามัยขาย หรือบางธุรกิจ เช่น โรงแรม มาทำอาหารขายไปเลย...นี่คือสิ่งต่อมาที่ควรทำ !!

ต่อมา...ถ้ารอไม่ไหว ต้องหาแรงสนับสนุน ผู้ประกอบการธุรกิจหนึ่ง อาจจะต้องร่วมมือกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ลองหันมาดูว่าธุรกิจเรา มีสิ่งไหนเป็นคีย์ซัคเซสที่ทำได้ดี

แล้วสิ่งไหนที่เราทำได้ยากหรือไม่ถนัด แต่ผู้ประกอบการอื่น ๆ มีศักยภาพมากกว่า

แล้วผู้ประกอบการก็ควรต้องหาทางไปร่วมมือกับเขาทันที!!

เช่น เดิมเคยทำอาหารได้อร่อยมาก แต่ไม่มีสายส่งอาหาร หรือไม่มีฐานลูกค้าในพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีวิธีการกระจายไปหาผู้บริโภคได้มากพอ ก็อาจจะต้องไปคุยกับร้านค้าอื่น ที่มีสาขาหลาย ๆ จุด เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น แล้วแบ่งกำไรกัน ต้องจำไว้ว่าเวลาเจอวิกฤติ การร่วมมือ สำคัญมากกว่า การแข่งขัน ท่องไว้...อย่าเห็นแก่ตัวในยามยาก!!…นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ห้ามมองข้าม!!

ช่วงวิกฤติหลายคนมักจะพูดถึงคำว่าโอกาสใหม่ ๆ นั่นก็ใช่!! แต่ไม่ทั้งหมด

เพราะจริงๆ แล้ว โอกาสมันมาจากการเจอนวัตกรรมใหม่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจช่วงนั้น

ต้องหาให้เจอ ต้องดิ้นให้สุด...

ทางออกธุรกิจเพื่อสังคม!! กู้ที่ไหนไม่ได้...ให้มาออมสิน

แม้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) จะเป็นแนวคิดของการทำธุรกิจที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ

แต่ปัญหาสำคัญที่จะเรียกว่าปัญหาใหญ่เลยก็ว่าได้ของธุรกิจเพื่อสังคม คือ ความยากในการเข้าถึง "แหล่งเงินทุน" ที่จะนำมาใช้ต่อยอดและหมุนเวียนระบบธุรกิจ

เพราะด้วยเป้าหมายของการสร้างธุรกิจ SE โดยธรรมชาติ จะไม่ได้มองในเรื่องผลกำไรมาเป็นอันดับแรก ทางสถาบันการเงินส่วนใหญ่ จึงปล่อยกู้ให้ยาก แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจแนวนี้เติบโตในระยะยาว จึงเป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มี ธนาคารออมสิน ที่กำลังออกมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ ตามนโยบายที่ต้องการเพิ่มบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ขององค์กร

ล่าสุดธนาคารออมสิน ได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับโครงการโดยเฉพาะได้แก่ "สินเชื่อธุรกิจ ออมสินขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หรือเพื่อต่อเติมซ่อมแซมสถานที่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกิจการ" ออกมา

.

โดยสินเชื่อดังกล่าวตอบโจทย์ธุรกิจ SE ดังนี้

  • ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย มีทั้งเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MOR ต่อปี (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995%)
  • ขณะที่เงินกู้ระยะยาวให้กู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปีแรกไม่ต้องชำระเงินต้น คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ส่วนปีที่ 3-10 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของธนาคารฯ = 6.150%)

.

เงื่อนไข

  • วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้บุคคลค้ำประกันร่วมกับ บสย.
  • วงเงินกู้ 3-10 ล้านบาท ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้

.

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า "ปัจจุบันทางออมสินได้มีการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมไปแล้วรวมกว่า 17 ล้านบาท และนอกเหนือจากนั้น ทางธนาคารยังได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Social Enterprise Thailand Association: SE Thailand) เพื่อช่วยสนับสนุนบริษัทสมาชิก ทั้งด้านการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ และช่วยสร้างองค์ความรู้เพื่อยกระดับกิจการให้สามารถช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย"

"MTL – BDMS - Pfizer" ผนึกกำลังยกระดับสิทธิประโยชน์ เสิร์ฟลูกค้าไทยประกัน 4 ล้านราย

ถ้าจะทำธุรกิจแบบเดินเดี่ยว (Stand Alone) สายป่านไม่ดีจริง หรือฐานลูกค้าไม่ภักดีจริง อาจจะเหนื่อยนักในยุคนี้ แม้แต่จะเป็นธุรกิจใหญ่ก็ตาม

ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา การจับมือกันทางธุรกิจ จึงเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะจับกับแบบ "ข้ามธุรกิจ" แล้วเอาความเชี่ยวชาญของแต่ละธุรกิจเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

ล่าสุด 3 บริษัทใหญ่อย่าง บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ร่วมมือกับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกโครงการใหม่ร่วมกันโดยใช้ชื่อว่า "MTL Health Buddy"

สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MTL เผยว่า "โครงการนี้เป็นการนำร่องเพื่อยกระดับระบบนิเวศน์ของวงการสุขภาพ (Health Ecosystem) ที่ลูกค้าของเมืองไทยฯ จะได้รับความสิทธิประโยชน์จากการที่เราได้ร่วมมือกับทั้ง BDMS และไฟเซอร์ โดยทาง BDMS จะทำหน้าที่ผู้ช่วยด้านสุขภาพ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ค้นหาศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ทำการนัดหมาย ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ให้กับ "ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต" กว่า 4 ล้านคน"

"ขณะเดียวกัน ทาง ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จะเข้ามาเป็นอีกทางเลือกแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ในการเข้าถึงการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และหากได้รับผลตอบรับที่ดี หลังจากนี้จะมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการเตรียมขยายสิทธิประโยชน์การรักษากลุ่มโรคอื่นๆ อีกต่อไปในอนาคต เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็ง ลำไส้ เป็นต้น"

ด้าน พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 BDMS ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริษัทฯ จะให้บริการการปรึกษาแพทย์แบบ Teleconsultation ทั้งการปรึกษาปัญหาสุขภาพจากอาการป่วย หรือการวางแผนสุขภาพเชิงป้องกัน รวมไปถึงการหา Second opinion

โดยมีทีมแพทย์จากศูนย์แห่งความเป็นเลิศ Center of Excellence ในสาขาต่างๆ ร่วมให้คำปรึกษา อาทิ โรคสมอง หัวใจ มะเร็ง กระดูก หรืออุบัติเหตุ การเจ็บป่วยที่รุนแรง ฯลฯ หากเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม จะมีการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคมะเร็ง พร้อมแนะนำการเลือกใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งได้ร่วมมือกับทางไฟเซอร์ในการให้ยามุ่งเป้าเพื่อการรักษาในระยะยาวอีกด้วย

.

ปัจจุบัน การรักษาด้วยโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy ในคนไข้ทั่วไป ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เฉลี่ยประมาณ 100,000 บาทต่อการรับยา 1 ครั้ง และบางคนต้องรับยาเดือนละหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ และหากการรักษายาวนานเป็นปี คนไข้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านบาท

.

แต่หากลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ที่มีประกันสุขภาพอีลิทเฮลท์ (Elite Health) ที่มีวงเงินความคุ้มครอง 20 - 100 ล้านบาท จะได้รับสิทธิ์ในการรักษาแบบ Targeted Therapy ทันที ส่วนลูกค้าประกันมะเร็ง (CI) อื่น ๆ แม้ไม่ได้รับสิทธิ์นี้ แต่จะได้รับสิทธิ์เป็นส่วนลดค่ายานวัตกรรมจากไฟเซอร์แทน เช่น เดือนนี้จ่าย แต่เดือนหน้าฟรีค่ายา เป็นต้น

.

Did you know

- มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง

- มะเร็งเต้านม เป็นอันดับ 2 ของยอดผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด

- ปีค.ศ.2018 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใหม่กว่า 2 ล้านคนทั่วโลก

- ยอดผู้เสียชีวิต 6.3 แสนคนทั่วโลก

- ในไทย มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 1.9 หมื่นคนต่อปี

- คนไทย เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม 5,900 คนต่อปี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top