Thursday, 25 April 2024
ECONBIZ NEWS

‘พิพัฒน์’ รุกเจรจา ‘รร.ดุสิตธานี เกียวโต’  เพื่อส่งแรงงานไทย ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเพิ่ม

(8 เม.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นางสาวสดุดี กิตติสุวรรณ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น และคณะ เข้าพบ ผู้บริหารโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต เพื่อหารือความร่วมมือในการรับแรงงานไทยเข้ามาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต โดยมี นายมาโคโตะ ยามาชิตะ (Mr.Makoto Yamashita) ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต นายอัครพงศ์ เฉลิมนนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา และคณะ ร่วมให้การต้อนรับและเลี้ยงรับรอง ณ โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานได้มาพบกับท่านมาโคโตะ ยามาชิตะ ผู้บริหารของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต และขอขอบคุณที่ท่านให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และทราบว่าทางผู้บริหารมีความสนใจและตั้งใจที่จะรับแรงงานไทยเข้ามาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโตแห่งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการและการต้อนรับแบบไทย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทดุสิตธานีฯ ที่ประเทศไทยได้ยื่นขอวีซ่าให้กับพนักงานหลายคนเพื่อให้มาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต แต่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยปฏิเสธการอนุมัติวีซ่าทำให้ประสบปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ ในส่วนของกระทรวงแรงงานของไทยเอง เรามีสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นที่คอยให้ความร่วมมือในการสนับสนุนประสานงาน ให้คำปรึกษา และแนะนำการดำเนินการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แรงงานไทยสามารถเดินทางมาทำงานในญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งจากการหารือทราบว่า ผู้บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานีได้ให้ความสนใจจะจัดส่งผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค แรงงานไทยมาทำงานที่โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ซึ่งผู้บริหารกลุ่มบริษัทดุสิตธานีได้เดินทางไปศึกษาดูงานการฝึกอบรมก่อนเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นในสถานภาพการพำนักผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงาน 14 ปทุมธานี และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ทราบว่า โรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ได้ลงนามในสัญญากับองค์กร IM Japan แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคไทย โดยกรมการจัดหางานจัดส่งผ่านองค์กร IM Japan ซึ่งเริ่มทยอยจัดส่งชุดแรก จำนวน 3 รายก่อน จากนั้นจะขยายโควตาการจัดส่งเพิ่มขึ้นต่อไป

“ผมขอขอบคุณผู้บริหารของโรงแรมดุสิตธานี จังหวัดเกียวโต ที่เปิดโอกาสให้ได้มาพบปะพูดคุยและที่สำคัญให้ความสนใจในการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทย รวมทั้งขอให้พิจารณาเพิ่มการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค/แรงงานทักษะเฉพาะชาวไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยวและบริการ อาทิ ตำแหน่งพนักงานแปรรูปอาหาร ทำขนมปัง ปรุงอาหาร พนักงานโรงแรม ล่าม เป็นต้น ซึ่งจากการพูดคุยกับนายจ้างส่วนใหญ่ก็มีความพึงพอใจและชื่นชมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคชาวไทยที่มีความขยันหมั่นเพียร เชื่อฟังคำสั่ง มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ำใจ เรียนรู้งานได้รวดเร็ว มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถหลากหลาย ผลจากการหารือในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือในการเปิดตลาดแรงงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศต่อไป” นายพิพัฒน์ กล่าว

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกฯ จะไปฝึกงานในประเภทอุตสาหกรรมภาคการผลิต ภาคท่องเที่ยวและบริการ จะได้รับเบี้ยเลี้ยงระหว่างการฝึก เมื่อฝึกจบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยอีกด้วย 

ทั้งนี้ ผู้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานจัดส่งผ่านองค์กร IM Japan 

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ทำความรู้จัก ‘แร่แคดเมียม’ ราคาสูง มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ต้องการ ในอุตสาหกรรม ‘ผลิตแบตเตอรี่-ผลิตสี-ชุบโลหะ’

(8 เม.ย.67) แร่แคดเมียม เป็นแร่โลหะ มักพบปะปนในสายแร่สังกะสี ตะกั่ว และทองแดง แม้จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ก็เป็นที่ต้องการใน 3 อุตสาหกรรม คือ
• การผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟซ้ำได้ หรือแบตเตอรี่แบบนิเกิล-แคดเมียม (Ni-Cd) ซึ่งชาร์จซ้ำได้มากและจ่ายกระแสไฟได้สูงกว่าแบตเตอรี่ลิเทียม รวมถึงสามารถใช้งานได้ทั้งในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงและต่ำ แต่มีข้อเสียคือ ความจุพลังงานน้อยกว่าแบตลิเทียมและเสียความจุหากชาร์จไม่ถูกวิธี รวมถึงเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
• การชุบโลหะเนื่องจากแคดเมียมมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนสูง จึงสามารถนำไปชุบเคลือบโลหะอื่นเพื่อป้องกันสนิมหรือการกัดกร่อน รวมถึงมีแรงเสียดทานต่ำจึงนิยมใช้เคลือบชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีการเสียดสี เช่น เฟือง ลูกปืน ฯลฯ อีกทั้งยังอ่อนตัวทำให้เคลือบชิ้นงานที่พื้นผิวซับซ้อนได้ง่าย
• การผลิตสีซึ่งเม็ดสีจากแคดเมียมจะให้สีเหลืองสด สีส้ม และสีแดง ซึ่งทดทานต่อแสงและการกัดกร่อนของสารเคมี

ด้วยความต้องการในภาคอุตสาหกรรมนี้ทำให้ราคาและมูลค่าตลาดแคดเมียมโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยตามข้อมูลของ Statista เมื่อปี 2023 ราคาเฉลี่ยของแคดเมี่ยมในสหรัฐอเมริกาอยูที่ 4.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากราคา 3.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ในปี 2022 และรายงาน 360 Industry Research  ประเมินว่าตลาดแคดเมียมโลกเมื่อปี 2021 มีมูลค่า 41.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเติบโตเป็น 47.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027 สอดคล้องกับรายงานของ Reports and Data ที่คาดว่าตลาดแคดเมียมจะเติบโตเฉลี่ย 4.28% ต่อปีไปจนถึงปี 2030

ส่วนตลาดแคดเมียมในเอเชียตะวันออกนั้น indexbox.io รายงานว่าตลาดเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2021-2022 หลังการหดตัวต่อเนื่องในช่วง 4 ปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้งานค่อนข้างทรงตัว

กากจากการทำเหมืองเป็นแหล่งแคดเมียมหลัก
ทั้งนี้ แคดเมียมที่มีการซื้อขายในตลาดโลกและใช้ในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาจาก 2 แหล่ง คือ ผลพลอยได้ของการทำเหมืองแร่สังกะสี เหมืองตะกั่ว เช่นเดียวกับกากแคดเมียมที่พบลักลอบขนย้ายในประเทศไทย ซึ่งเป็นกากแร่ที่เหลือจากการทำเหมืองสังกะสี-ถลุงโลหะสังกะสีของบริษัทเบาด์ แอนด์ บียอน จำกัด (มหาชน) ที่เดิมถูกฝังกลบในบ่อกักเก็บกากแร่ไปแล้ว ส่วนอีกแหล่งจะมาจากการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ที่มีแคดเมียมอยู่

อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคานี้มีความผันผวนสูง เนื่องจากหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรมต่างพยายามลดการใช้งานแคดเมียมลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

โดยอัตรายจากแคดเมียมต่อมนุษย์นั้นเกิดเมื่อรับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายใน 2 ช่องทาง คือ การหายใจเอาไอซึ่งจะเกิดเมื่อได้รับความร้อน 321 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือฝุ่นของสารนี้ รวมถึงจากควันบุหรี่เข้าไป และการกินทั้งโดยตรงและกรณีปนเปื้อนในอาหาร

เมื่อแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายจะไปสะสมที่หมวกไต ทำให้ไตสูญเสียการทำงาน และอาจทำให้เกิดไตวายเรื้อรัง และเป็นพิษต่อกระดูก โดยทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน มีความผิดปกติของกระดูกสันหลังทำให้ร่างกายโก่งเตี้ยลง และมีอาการปวดกระดูกรุนแรงโดยเฉพาะที่กระดูกสะโพก ซึ่งเป็นอาการของโรคอิไต-อิไต

จนกระทั่งเข้าสู่อาการระยะสุดท้าย ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด การเผาผลาญผิดปกติ โดยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภาวะไตวาย

ค่ายแดนซามูไร ใช้กลยุทธ์ รถไฮบริดราคาต่ำล้าน สกัดดาวรุ่ง รถอีวีจีน เน้นข้อดี ‘ราคาไม่แพง-กินน้ำมันน้อย-ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ’

เมื่อวานนี้ 7 เม.ย.67 Business Tomorrow รายงานว่า มหกรรมการจัดแสดงยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ BANGKOK INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 ในโค้งสุดท้ายของเกมยานยนต์บนพื้นที่จัดแสดง ผลปรากฎว่า ยอดจองรถ 11 วันที่ผ่านมา ก็คือ วันที่ 25 มีนาคม -4 เมษายน 2567 มีจำนวน 29,449 คัน โดย 10 ลำดับแรก คือ

1. Toyota 5,579 คัน
2. Honda 2,983 คัน
3. MG 2,164 คัน
4. CHANGAN 1,812 คัน
5. MITSUBISHI 1,647 คัน
6. IZUSU 1,635 คัน
7. GWM 1,608 คัน 
8. GAC AION 1,506 คัน 
9. NISSAN 1,374 คัน
10. NETA 1,282 คัน

ทั้งนี้มีบางแบรนด์ดังโดยเฉพาะ BYD เลือกที่จะไม่รายงานผลในตอนนี้ โดยจะรายงานในการรวมผลวันสุดท้าย

ไฮไลท์คงจะเป็น Toyota ยักษ์ใหญ่จากแดนซามูไรที่คราวนี้ยังคงยกทัพชิงตลาด ณ งานมอเตอร์โชว์ 2024 โดยยังคงชนะราบคาบไปที่ยอดจองกว่า 5.5 พันคัน ซึ่งหนีห่างเพื่อนร่วมประเทศอย่าง Honda ไปราว 2.5 พันคัน และที่สามตามมาด้วยแบรนด์จีนอย่าง MG ที่แม้จะมีดราม่าใหญ่ที่มีผู้ใช้มาประกาศเรียกร้องกลางงานถึงปัญหาที่ได้รับจากแบรนด์ 

การเดินเกมของค่ายญี่ปุ่นครั้งนี้คือ การนำเสนอรถยนต์แบบไฮบริด โดยนำสองโมเดลใหม่น่าจับจองอย่าง YARIS CROSS และ COROLLA CROSS ที่เป็นรถยนต์รูปแบบไฮบริดที่มีราคาที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 7.8 แสนกว่าบาท ทำให้การครอบครองเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น อีกทั้งรถยนต์ไฮบริดมีความน่าสนใจกว่ารถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องกังวลสาธารณูปโภคสนับสนุนแบบที่ชาร์จของอีวี หรือการกินน้ำมันที่น้อยกว่ารถยนต์สันดาป 

Toyota ยังกล่าวในงานแถลงข่าวมอเตอร์โชว์ว่า พวกเขายังเลือกเส้นทางการนำเสนอสินค้าหลากหลายรูปแบบโดยมองถึงการทำอีวีในอนาคต แต่ก็ยังคงนำเสนอพลังงานเก่า พลังงานไฮบริด และมองถึงความเป็นไปได้ในการสนับสนุนพลังงานไฮโดรเจนเพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ในส่วนของเกมราคาของฝั่งจีนกลับอาจเป็นการเดินหมากผิดที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนอาจชะงักลงไปบ้าง แม้ยอดของฝั่งจีนจะขยับขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังถูกพี่ใหญ่อย่าง Toyota ทิ้งห่าง และท่าทีของยักษ์ใหญ่อย่าง BYD ที่ใครต่างมองว่าจะเข้ามาท้าชนเจ้าตลาดอย่างญี่ปุ่น กับมีท่าที ‘ดูเชิง’ ด้วยการเปลี่ยนกลยุทธ์การรายงานรายวันเป็นรวมยอดวันเดียว ทำให้ทั้งหลายสำนักรวมถึงนักเลงรถยนต์บนโลกออนไลน์ต่างเคลือบแคลงท่าทีนี้ว่า BYD อาจจะไม่มั่นใจยอดขายหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม Motor Expo 2023 ปลายปีที่ผ่านมา Toyota ครองแชมป์ไปที่ 7,245 คัน ตามด้วยอันดับ 2 Honda 6,149 คัน ส่วนอันดับ 3 ก็ไล่ที่สองมาแบบหายใจลดต้นคออย่าง BYD ที่ 6,119 คัน มาดูกันว่าในวันสุดท้ายของการจัดแสดงนี้ ชาติไหนจะเข้าป้าย แล้วจะทิ้งห่างไปได้มากแค่ไหนกัน

เรียบเรียงจาก กรังปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล, Motor Expo 2023, Toyota

‘ธ.กสิกรไทย’ ปรับปรุงแอปฯ K PLUS กดเงินไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ‘ธ.กรุงเทพ’ แค่สแกน QR Code แล้วกดยืนยัน ใช้ได้แล้ววันนี้ ฟรีค่าธรรมเนียม

(8 เม.ย.67) แอปพลิเคชัน K PLUS ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เวอร์ชันล่าสุด (Version 5.18.2) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เพิ่มฟังก์ชันกดเงินไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้แล้ว หลังจากทั้งสองธนาคารได้พัฒนาบริการถอนเงินไม่ใช้บัตรข้ามธนาคารขึ้นมา

โดยขั้นตอนการถอนเงินที่ตู้ ATM ธนาคารกรุงเทพ ให้ทำตามขั้นตอนเดียวกับถอนเงินไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM กสิกรไทย โดยเลือกเมนู "ถอนเงินไม่ใช้บัตร" ที่ตู้ ATM จากนั้นสแกน QR Code บนหน้าจอตู้ ATM ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากสร้างรายการถอนเงิน โดยหากถอนเงินผ่านตู้ ATM ต่างธนาคาร ให้ตรวจสอบค่าธรรมเนียมและกดยืนยันบนแอปฯ K PLUS และกดยืนยันอีกครั้งที่ตู้ ATM ที่ทำรายการ หลักฐานการเบิกถอนเงินสดจะปรากฏในประวัติการทำรายการใน K PLUS

สำหรับค่าธรรมเนียมการถอนเงินไม่ใช้บัตรผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ โดยปกติจะมีค่าธรรมเนียมจำนวน 10 บาทต่อรายการตั้งแต่ครั้งแรก โดยค่าธรรมเนียมจะแสดงตอนทำรายการ ปัจจุบันฟรีค่าธรรมเนียมทุกรายการตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. ถึง 31 พ.ค. 2567

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพเปิดให้ผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สามารถถอนเงินไม่ใช้บัตรผ่านตู้ ATM ธนาคารกสิกรไทย โดยการระบุจำนวนเงินที่ต้องการ จากนั้นสแกนคิวอาร์โค้ดบนหน้าจอเอทีเอ็ม และรับเงินได้ทันที ผู้ใช้งานสามารถถอนเงินได้สูงสุด 50,000 บาทต่อวัน โดยค่าธรรมเนียม 10 บาท จะถูกหักจากบัญชีที่เลือก อย่างไรก็ตาม ระหว่างวันที่ 28 มี.ค. ถึง 31 ก.ค. 2567 ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว

อนึ่ง ปัจจุบันธนาคารกรุงเทพมีจำนวนตู้ ATM รวม 8,000 จุดทั่วประเทศ และมีจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking ประมาณ 10 ล้านราย ส่วนธนาคารกสิกรไทยมีจำนวนตู้ ATM รวม 9,100 จุดทั่วประเทศ และมีจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน K PLUS ประมาณ 21.7 ล้านราย

สำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 12-16 เม.ย. 2567 ธนาคารกรุงเทพจัดสรรเงินสดสำรองให้บริการลูกค้าช่วงเทศกาลสงกรานต์เพิ่มอีก 40,000 ล้านบาท ผ่านสาขาธนาคาร และตู้เอทีเอ็มอีกกว่า 8,000 จุดทั่วประเทศ พร้อมแผนดูแลการเติมเงินสดในตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในชุมชน และจุดท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นพิเศษ ส่วนธนาคารกสิกรไทย เตรียมสำรองเงินสดรวมทั้งสิ้น 30,750 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางสาขา 813 สาขาทั่วประเทศ รวม 7,950 ล้านบาท และเครื่องเอทีเอ็ม (K-ATM) 22,800 ล้านบาท แบ่งเป็นเครื่องเอทีเอ็มในเขตกรุงเทพฯ 8,300 ล้านบาท และเอทีเอ็มในเขตภูมิภาค 14,500 ล้านบาท

มองมุมใหม่!! 'จีน' ช่วยกระแทกเทรนด์ 'กางเกงช้าง' 'สร้างแบรนด์-เพิ่มมูลค่า' สินค้าไทยในตลาดโลก

(7 เม.ย.67) ศ.ดร.พัดชา อุทิศวรรณกุล คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยแฟชั่นและนฤมิตศิลป์ กล่าวถึงข้อกังวลในการเข้ามาของทุนจีนในตลาดกางเกงช้างของไทย ทำให้ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไหลไปยังประเทศจีนนั้น 

สถานการณ์นี้ไม่ควรถูกมองเป็นวิกฤต แต่เป็นโอกาส เพราะการผลิตที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงความนิยมสูง ควรมุ่งเน้นการสร้างสรรค์และเพิ่มมูลค่าเพื่อแยกแยะและยกระดับสินค้าไทยในตลาดโลก กางเกงช้างได้กลายเป็นหนึ่งในไอเท็มแฟชั่นที่สำคัญ โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่ การผลักดันกางเกงช้างจากของฝากสู่การเป็นแฟชั่นไอคอนเป็นตัวอย่างของการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสร้างสรรค์

รัฐบาลไทยสามารถใช้กางเกงช้างเป็น Soft Power โดยการนำเสนอในกิจกรรมทูตวัฒนธรรม สนับสนุนช่างฝีมือท้องถิ่น โปรโมทในเหตุการณ์แฟชั่นระดับโลก และใช้พื้นที่ดิจิทัลเล่าเรื่องราวความเป็นมาและความยั่งยืนของกางเกงช้าง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับไทยและสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมทั้งการจัดหาเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและจ้างงานคนในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับชุมชน พร้อมขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐและผู้ประกอบการ ต่อยอดให้เกิด Demand เพื่อกำไรเหล่านั้นจะกลับมาช่วยสร้างงานสู่ชุมชน และนักออกแบบรุ่นใหม่

“ในแง่ของวิชาการแล้ว การหวงแหนการผลิตกางเกงลายช้างให้จำกัด จะเป็นเพียงการสร้างองค์ความรู้แต่ไม่เกิดมูลค่าในด้านอุตสาหกรรม เมื่อผลิตได้น้อยจะกลายเป็นของสะสมไม่ใช่การเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อต่างชาติได้ช่วยเรา “กระแทก” เทรนด์ให้กางเกงช้างของไทยเป็นที่โด่งดังแล้ว เรายิ่งต้องคว้าโอกาสนี้เป็นพลังร่วมกันพัฒนาให้เติบโตมั่นคงไปอีก นักออกแบบรุ่นใหม่ควรหันมาต่อยอดตรงนี้ สร้างมูลค่า ในแง่ของลวดลาย identity ให้มีเรื่องราวและช่วยกันทำให้มีความครีเอทีฟมากขึ้นในรูปแบบต่างๆ เพื่อขยายโอกาสและขยายตลาดการใช้สอย ทำให้กางเกงช้างสามารถไปไกลได้อีก” ศ.ดร.พัดชา กล่าว

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! Q2 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว' เดินหน้าเต็มตัว ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น คลายทุกข์คนไทย ต่างชาติสนใจแห่ลงทุน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว แรงผลักเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 2' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

การเติบโตที่น่าผิดหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และต่อเนื่องมายังไตรมาสแรกของปี 2567 ทำให้หลายสำนักต้องปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาเหลือไม่ถึง 3% ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนในประเทศเป็นอย่างมาก

แต่ท่ามกลางความหดหู่และความมืดมัว เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ปรากฏขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลจะแถลงความชัดเจนของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ซึ่งถือเป็นมาตรการ Flagship ของรัฐบาลนี้ 

หลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายค้านมัวหลงประเด็นอยู่ที่เรื่องแหล่งที่มาของเงิน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน แหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะต้องมาจากเงินกู้ทั้งนั้น เพราะขณะนี้เรามีงบประมาณขาดดุล เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงต้องมาจากการกู้เงินเท่านั้น หากไม่ออกกฎหมายให้อำนาจกู้เงิน ก็อาจออกเป็นงบประมาณกลางปี ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเด็นอยู่ที่จังหวะเวลา หากออกมาได้เร็วก็จะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องแหล่งเงิน ระยะต่อไปรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาการกู้เงิน แต่ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนกล้าแตะประเด็นนี้เลย

พร้อมกันในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบาย (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่กล่าวข้างต้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะให้ดีกว่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนจากความผิดพลาดของตนเอง

แผนงาน Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฏผลชัดเจนขึ้น เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสแรก และคงจะคึกคักไปตลอดทั้งปี รัฐบาลไทยลงทุนด้านการท่องเที่ยวไปมากในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูญเสียไป รายได้ภาษีสุราที่สูญเสียจากการลดอัตราจัดเก็บภาษีสุรา ดังนั้นต้องดูแลให้นโยบายการท่องเที่ยวเกิดผลสัมฤทธิ์และสร้างรายได้กลับคืนคลัง

เชื่อมั่นว่าด้วยการผสมผสานนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการท่องเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี 2567 นี้จะเป็นปีทองของการลงทุนไทยอย่างแน่นอน

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งการดีพร้อม ดึงโตโยต้า นำ ‘คาราคูริ ไคเซน’ มาประยุกต์ใช้ เพื่อขับเคลื่อนการเกษตรไทย ไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่

(7 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เดินหน้าบูรณาการความร่วมมือ (DIPROM Connection) ผนึกกำลังกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เชื่อมโยงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve)สู่ชุมชน เพื่อยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่ธุรกิจชุมชนครอบคลุมทุกมิติ ดึงกลไกคาราคูริ ไคเซน (Karakuri Kaizen) เพิ่มประสิทธิภาพ
กระบวนการผลิตและลดต้นทุน หวังเพิ่มศักยภาพธุรกิจชุมชนผ่านแนวคิดชุมชนเปลี่ยน พร้อมชูต้นแบบเครื่องทุ่นแรงให้กลุ่มผู้สูงอายุ

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการมอบเครื่องลำเลียงกล้วยหอมทองให้แก่กลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด จ.ชุมพร ว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สามารถผลิตและส่งออกอาหารได้หลายประเภท อีกทั้ง ยังมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและ อาหารแปรรูปด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในระบบการผลิตภาคเกษตรเพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อกระบวนการแปรรูปในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น การพัฒนาภาคเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรมยุคใหม่ จึงมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการผลิต หรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ประกอบกับรัฐบาลเร่งหาแนวการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรผ่านนโยบายเร่งด่วนต่าง ๆ เชิงพื้นที่ รวมถึงการขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่

ที่เติมเต็มองค์ความรู้และทักษะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรให้มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะการเสริมศักยภาพภาคเกษตรไทยสู่เกษตรอุตสาหกรรมด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ตั้งแต่แต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยสนับสนุนองค์ความรู้สมัยใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติควบคู่ทักษะที่จำเป็นด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และ มีมูลค่าเพิ่ม การพัฒนากระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม การสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เร่งเดินหน้าส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง

นายภาสกร ชัยรัตน์ กล่าวว่า จากข้อสั่งการของ รมว.อุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อมได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชุมพร และได้รับทราบข้อมูลจากกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด จ.ชุมพร ผู้ผลิตและส่งออกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษไปยังประเทศญี่ปุ่น ว่าปัจจุบันได้ประสบปัญหาการลำเลียงกล้วย เนื่องจากทางกลุ่มมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และการลำเลียงกล้วยมีลักษณะที่ใช้เป็นรางลาก ซึ่งต้องใช้แรงจำนวนมากในการเคลื่อนย้าย ส่งผลให้กระบวนการผลิตเกิดความล่าช้าและไม่เป็นไปตามกำลังการผลิตที่ควรจะเป็น จึงมีความต้องการขอรับการสนับสนุนด้านกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองเพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น รวมถึงระบบการผลิต ลำเลียง และคัดแยกกล้วยหอมทองควบคู่กับการใช้แรงงานคนอีกด้วย

ดีพร้อม จึงเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ด้วยการมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) และบูรณาการความร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพรเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดผ่านโครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรมด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตกล้วยหอมทอง โดยการนำหลักการคาราคูริ (Karakuri) ซึ่งเป็นระบบกลไกอัตโนมัติที่ใช้หลักกลศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ หรือกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด อันจะช่วยผ่อนแรงการทำงานได้เป็นอย่างดี

นายภาสกร กล่าวต่อว่า ดีพร้อม ได้ร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้าฯ ในการพัฒนาระบบลำเลียงกล้วยผ่านการใช้กลไกคาราคูริ ไคเซน (Karakuri Kaizen) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การลำเลียง และทุ่นแรงขนย้ายกล้วย ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมมือกันออกแบบและพัฒนาต้นแบบเครื่องลำเลียงกล้วยหอมทอง ซึ่งใช้หลักการทำงานของคาราคุริ (Karakuri) ในการลำเลียงกล้วยจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้แรงในการลากทำให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองจากเดิมใช้ระยะเวลาการลำเลียงกล้วยหอมทอง 400 เครือ ต่อ 8 ชั่วโมง มาเป็นลำเลียงได้ 400 เครือ ต่อ 4 ชั่วโมง แทน รวมถึงสามารถลดเวลา ช่วยในการผ่อนแรงสำหรับสมาชิกกลุ่มผู้สูงอายุ และเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อการส่งออก ช่วยให้ลดต้นทุนการผลิตลงได้กว่าร้อยละ 30 – 50 ต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรในหลักสูตร “คาราคุริและการประยุกต์ใช้งาน การดูแลบำรุงรักษา” เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ดีพร้อมได้วางเป้าหมายขยายผลการบูรณาการความร่วมมือในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยังผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนทั่วประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในรูปแบบพี่ช่วยน้อง หรือ Big Brother เข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการเปลี่ยนชุมชนด้วยเครื่องมือ กระบวนการ หรือเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับระดับศักยภาพของชุมชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริม และพัฒนาทักษะการประกอบการในทุก ๆ มิติ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะสมเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม อันจะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดและขยายไปสู่ตลาดสากล รวมถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 40 ล้านบาท นายภาสกร กล่าว

กาสิโน Chapter ใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ไว้ใจรัฐ!! ทำเพื่อประโยชน์คนไทยในวงกว้าง

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'กาสิโน Chapter ใหม่ของการท่องเที่ยวไทย' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ในที่สุดสถานบันเทิงครบวงจรก็ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแบบไร้เสียงคัดค้าน แต่กระแสคัดค้านน่าจะมาจากสังคมนอกสภา สังคมที่ท่านนายกรัฐมนตรีเรียกว่าเป็นสังคมอีแอบ

นับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Mega Project ในรอบหลายปี การท่องเที่ยวไทยพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและโบราณสถานเป็น Tourist Attractions มาโดยตลอด จนสถานที่เหล่านั้นเริ่มสึกหรอและเสื่อมทรามลงไปจากความแออัดของนักท่องเที่ยว รัฐบาลในอดีตได้รับรายได้มหาศาลจากภาคการท่องเที่ยว แต่ละเลยที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อยกระดับสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นระดับโลก

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โครงการสถานบันเทิงครบวงจร นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ใน Man-made Attractions แล้ว ยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่สากล และการท่องเที่ยวเชิง MICE (Meeting Incentive Convention and Exhibition) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่ใช้จ่ายเงินสูง และสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศอื่น ๆ มาแล้ว

แน่นอน ผลกระทบทางสังคมที่หลายฝ่ายวิตกกังวล ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ แต่ก็ไม่สมควรที่จะหวาดกลัวไปตามแรงกดดันของสังคมอีแอบ เพราะปัจจุบันสังคมไทยก็อยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นอบายมุขที่ผิดกฎหมาย การนำอบายมุขเหล่านี้ขึ้นมาบนดิน อาจทำให้รายได้ของเจ้าหน้าที่ที่รับส่วยอยู่ในปัจจุบันลดลงหรือหมดไป แต่ก็กลายมาเป็นรายได้ของรัฐบาล ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้างต่อไป

ส่วนกลุ่มเปราะบางทางสังคมซึ่งอาจได้รับผลกระทบ เชื่อว่ารัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับอยู่แล้ว และกลุ่มรากหญ้าที่ต้องการเล่นการพนันที่ถูกกฎหมายแต่ไม่สามารถเข้าถึงกาสิโนในสถานบันเทิงได้นั้น ก็สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิตอลออนไลน์เข้ามาเสริมการให้บริการและการเข้าถึงในระดับรากหญ้า แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเคร่งเครียดของรัฐบาล

ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและรายได้ไปนานหลายสิบปี ครั้งนี้จึงเป็นวาระสำคัญของประเทศที่คนไทยทุกคนจะร่วมกันผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

'ดร.ก้องเกียรติ' เตือน!! อีก 20 ปี ภาวะโลกเดือด อาจพามนุษย์ล้มตายครั้งใหญ่ ชู!! คาร์บอนเครดิต ทางออกรักษ์โลกที่มีเงินมาช่วยดึงดูดทุกภาคส่วน

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็นปัญหาโลกร้อน (Global Warming) สู่ปัญหาโลกเดือด (Global Boiling) ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 6 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ซึ่งมีหน้าที่สะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้ร้อนจัดหรือเย็นจัด หรือเปรียบเสมือนเป็นผ้าห่มคลุมโลกของเราอยู่นั่นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ได้ดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดการปล่อยควัน ปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเรื่อยมา เช่น ควันไอเสียจากรถยนต์ มลพิษที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ก๊าซเรือนกระจกที่เปรียบเสมือนผ้าห่มคลุมโลกมีความหนามาก จนมาแตะโลก จึงทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ Monster Asian Heatwave อากาศร้อนจัดอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะจังหวัดตากของประเทศไทย

นอกจากนี้ โลกร้อนยังส่งผลกระทบให้เกิดปัญหา PM 2.5 อีกด้วย เนื่องจากเมื่อสภาพอากาศร้อนจัด ฝุ่น PM 2.5 จะลอยตัวขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แต่เมื่อกระทบกับก๊าซเรือนกระจกที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น ฝุ่นก็ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ เมื่อฝุ่นนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 เมื่อหายใจเข้าไปอาจส่งผลอันตรายและเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง 

ส่วนสำคัญของปัญหาเหล่านี้ มาจากในปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก แต่ก็อยากรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งมันสวนทาง ก็เลยเกิดกฎเกณฑ์ใหม่อย่าง คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) และคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ขึ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการดำเนินกิจกรรมหรือการกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 

ปัจจุบันในระดับโลกให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยมีการจัดประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ซึ่งมีเป้าหมายใน ค.ศ. 2030 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องช่วยกันลดความหนาของก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 45%-50% ด้วยการหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปลูกต้นไม้เพื่อดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ภายใต้คำเตือนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่หากประเทศต่าง ๆ ยังนิ่งเฉย ภาวะโลกร้อนนี้ ก็จะทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นได้อีกด้วย

เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้ทุกคนไม่คิดจะทำอะไรเลย ปัญหาโลกร้อนจะเป็นอย่างไร? ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า โลกจะเย็นลงและอาจจะเกิดหายนะขึ้นได้ เช่น น้ำท่วมโลก ปรากฏการณ์พายุรุนแรง ฝุ่น PM 2.5 เพิ่มมากขึ้น จนทำให้มนุษย์ล้มตายจำนวนมาก คล้าย ๆ กับทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็เป็นได้ 

ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ ได้แนะอีกด้วยว่า หลักการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือ การนำปัญหานี้มาเป็นธุรกิจ สร้างธุรกิจรักษ์โลก ที่ได้เงิน หรือก็คือการใช้กลไก คาร์บอนเครดิต หมายถึง ถ้าเราช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือลดความหนาของผ้าห่มคลุมโลกได้เท่าไหร่ แล้วนำปริมาณนั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ด้วยการทำกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีองค์กรกลางในการตรวจสอบรับรอง จึงจะสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 

สุดท้าย ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า การรักษ์โลกต่อจากนี้ อาจไม่ใช่การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างให้เป็นธุรกิจได้จริงเสียที

‘รมว.ปุ้ย’ จี้แก้ปมกากแร่พิษหมื่นตัน จ.สมุทรสาคร สั่งระงับการขนย้าย ให้นำฝังกลบตามมาตรฐานฯ

(5 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในพื้นที่จังหวัดตาก ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากกากแร่ดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้นั้น 

ขอชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2566 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและจังหวัดสมุทรสาคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 และมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 สั่งอายัดกากแคดเมียมและกากสังกะสีดังกล่าว พร้อมทั้งสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมและกากสังกะสีเข้าสู่กระบวนการผลิต ให้ปรับปรุงแก้ไขโรงงานเก็บและดำเนินคดีทะเบียนโรงงานตามกฎหมาย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวได้รับใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมแร่สังกะสี และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม ผลิตโลหะสังกะสีแท่ง สังกะสีอัลลอย โลหะแคดเมียม และผลิตโลหะทองแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบโลหะกรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน โดยการฝังกลบ (Landfill) กากแร่ ซึ่งอยู่ในรูปของโลหะผสมกับปูนซีเมนต์และยึดเกาะกันเป็นเนื้อแน่นไว้ในบ่อเก็บกากแร่ ซึ่งปูพื้นและปิดทับด้วยวัสดุกันซึม (HDPE) และคอนกรีต ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทได้ทำการขนย้ายกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกจากโรงงานเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ โดยโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งประกอบกิจการหลอมหล่ออลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมเม็ด จากเศษอะลูมิเนียมและตะกรันอะลูมิเนียม (SCRAP AND DROSS) และได้เริ่มทำการขนย้ายกากที่บรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ถึงปัจจุบัน รวมประมาณ 13,450 ตัน

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าว พบว่า มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้อายัดกากแคดเมียม กากสังกะสี และส่วนของอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว 

ส่วนบริษัทในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เพื่อเก็บตัวอย่างกากแคดเมียม กากสังกะสี มาตรวจวิเคราะห์ และสั่งการให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการในส่วนของนำกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกนอกบริเวณโรงงาน และให้นำกลับมาดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยเร่งด่วนต่อไป

“เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา กรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดพร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top