Monday, 19 May 2025
ECONBIZ NEWS

'มดดำ' แฉ!! พิษแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ดาราซูเปอร์สตาร์ เสียหายกันเยอะกับคดีนี้

‘มดดำ’ อ่านข่าว ‘พิ้งกี้’ แล้วพูดไม่ออก ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ เพราะพิ้งกี้รับละครอยู่ 4 เรื่อง แต่บอกดาราโดนเพียบ พิษแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ไล่ชื่อจะตกใจ มีดาราที่น่าสงสารที่สุด

กรณีศาลอาญาไม่ให้ประกันตัวนางเอกชื่อดัง ‘พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช’ กับแม่ ฐานฉ้อโกงประชาชนคดี Forex-3D ส่งตัวเข้าเรือนจำทันที พร้อมพวกอีก 16 คน ซึ่งกลายเป็นข่าวช็อกของวงการบันเทิงในวันนี้ (18 ส.ค.)

รายการแฉ วันที่ 18 ส.ค. มดดำ คชาภา ตันเจริญ ก็ได้พูดถึงประเด็นนี้ โดยเผยว่า ถ้ายังจำกันได้ เป็นคดีที่ ‘จ๊ะ นงผณี มหาดไทย’ โดนคนเดียว 20 ล้าน ช่างแต่งหน้าทำผมในวงการบันเทิงโดนกันหมด รวมทั้งช่างแต่งหน้าของ ‘เอมมี่ มรกต แสงทวีป’ ก็โดนไปหนึ่งแสน

พร้อมเผยว่าแรกๆ ได้เงินจริง จุดเริ่มต้นใช้นายแบบหลายๆ คน มีดารานักแสดงเข้าไปเกี่ยวข้องมากมาย Forex-3D กลายเป็นที่พูดถึง จนวันนึงทุกอย่างค่อยล่มสลาย เจ้าของบริษัทโดนจับไปแล้ว ตลอดระยะเวลา มีคนพูดถึงว่าพิ้งกี้อาจโดนจับด้วย เพราะพี่ชายพิ้งกี้เคยทำงานกับ Forex-3D แต่ไม่รู้ว่าพิ้งกี้น่าจะเป็นผู้ลงทุน ไปหาคนมาร่วมลงทุนแล้วจะได้เงินนี้คืน แรกๆ ลงทุน 100 ได้คืน 120 บาท ซึ่ง Forex คือการกินส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน

พร้อมเผยว่าเป็นข่าวที่ช็อกและตกใจ ครั้งหนึ่งพิ้งกี้เคยมาตอบประเด็นนี้ในรายการแฉ และตนก็ถามว่าจากที่มีเงินเก็บ อยู่ดีๆ ไม่เหลืออะไรเลย รู้สึกยังไง ตอนนั้นพิ้งกี้ตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะเหมือนล้มไปถึงจุดต่ำสุด แล้วเดี๋ยวจะดีขึ้นมา เหมือนลูกบาส เด้งไป ยิ่งแรงก็กระเด้งขึ้นสูง ไม่ได้หมายถึงเราต้องสำเร็จแต่คือเรื่องที่มนุษย์ต้องเผชิญ มองเป็นเรื่องธรรมดา

🔎ส่อง 8 กลยุทธ์เด็ด พัฒนาสินค้าใหม่ ให้โดนใจลูกค้า❤ ✨

🔎ส่อง 8 กลยุทธ์เด็ด พัฒนาสินค้าใหม่ ให้โดนใจลูกค้า❤ ✨

1.) ประโยชน์ใช้สอย
2.) ความสวยงาม
3.) คุณภาพของผลิตภัณฑ์
4.) ราคาขายและต้นทุนการผลิต
5.) ความปลอดภัยในการใช้งาน
6.) ความแข็งแรงทนทาน
7.) การบำรุงรักษา 
8.) การบริการ

‘CPN’ ผนึก ‘ปตท.-อีโวลท์’ ทุ่ม 200 ล้าน ผุดที่ชาร์จรถอีวีในเซ็นทรัล 37 แห่งทั่วปท.

เซ็นทรัลพัฒนาจับมือกลุ่ม ปตท.ภายใต้แบรนด์ ‘ออน-ไอออน’ (on-ion) เดินหน้า The Future of eMobility Lifestyle อัดงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาทขยายความร่วมมือให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (on-ion EV Charging Station) ในศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนากว่า 350 ช่องจอด นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วย บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ร่วมขยายสถานีกว่า 50 ช่องจอด รวมกว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปี 2565 นี้

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อตอบรับเทรนด์ EV ที่คนไทยหันมาให้ความสำคัญต่อการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น เราจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจพลังงานรายใหญ่ ร่วมขยายสถานีฯ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 400 ช่องจอดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือว่ามากที่สุดและเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มศูนย์การค้าของไทย โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2565 ตอบรับการเดินทางในทุกๆ วัน (short haul) หรือจะเดินทางแบบเมืองเชื่อมเมือง (long haul) สะท้อนความเป็นศูนย์กลางของทุกจังหวัด ท่องเที่ยวได้จากเหนือจดใต้ ผ่าน 37 สาขา กว่า 18 จังหวัดทั่วประเทศ

สำหรับความโดดเด่นของจุดชาร์จรถไฟฟ้าในเซ็นทรัล คือ... 

1.) จุดชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey การเดินทางแบบไร้กังวล

2.) ความสะดวกสบาย ชาร์จไฟกับรถยนต์ได้ทุกแบรนด์ ทุกค่าย

3.) สถานที่และระบบชาร์จมีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง

4.) ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากกลุ่มเซ็นทรัล ส่งเสริม Eco-lifestyle Marketing ทั้งโปรโมชัน และส่วนลด เช่น ชาร์จฟรี 1 ชั่วโมงแรก เมื่อช้อปในศูนย์การค้าครบ 800 บาท สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด เฉพาะ 1 เดือนแรก เพื่อสนับสนุนการใช้รถ EV ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย และร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดตามดีมานด์ของลูกค้าในอนาคต และขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงานโดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซ CO2 ให้ประเทศไทยได้มากกว่า 5,250 ตันต่อปี 

ขณะที่ นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ได้ขยายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา รองรับการเติบโตของตลาด EV ให้พลังงานทางเลือกอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ในรูปแบบของ ‘Green Charging Network’ ผ่าน on-ion Mobile Application

BOI เผยยอดขอส่งเสริมการลงทุน 6 ด.กว่า 2 แสนลบ. พร้อมเคาะ 4 โครงการใหญ่มูลค่าหลายหมื่นล้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ รวม 4 โครงการ ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก มูลค่า 17,891 ล้านบาท จากประเทศจีน กิจการผลิตก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลค่า 18,000 ล้านบาท กิจการขนส่งทางเรือของบริษัท ฐิตติ ภูมิ จำกัด มูลค่า 4,310 ล้านบาท และบริษัท ศานติ ภูมิ จำกัด มูลค่า 4,310 ล้านบาท  

รวมทั้งได้เห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 4 ประเภท ได้แก่ 1.กิจการผลิตเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง รวมถึงการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วน และการซ่อมแซมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ผลิตเอง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ 2. กิจการซ่อมแซมเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี (ไม่จำกัดวงเงิน) 3.กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ (Additive Manufacturing) ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี และ 4.กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไมโครเทคโนโลยีในการผลิต ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี 

ทั้งนี้การเพิ่มประเภทกิจการใหม่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและการซ่อมแซมเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูงเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมในภาพรวม นอกจากนี้ การผลิตแบบ Additive Manufacturing ได้กลายเป็นแนวโน้มใหม่ในการผลิต จึงจำเป็นต้องสร้างนโยบายสิทธิประโยชน์ที่ปรับเปลี่ยนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

'บิ๊กตู่' ยินดี นักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพ EEC เร่งเดินหน้าขยายความร่วมมือด้านการลงทุนเพิ่ม

เมื่อวันที่ (16 ส.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเชื่อมั่นในศักยภาพของ EEC และความพร้อมในการสร้างความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มุ่งพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพต่อไป

ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับ 1 ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจากภาพรวมการลงทุนชาวญี่ปุ่นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (Board of Investment) ในปี 2564 มีมูลค่ารวม 19,445 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2565 มีมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมฯ แก่นักลงทุนญี่ปุ่นรวม 3,240 ล้านบาท 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อมูลจากสถานเอกอัครทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยพบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากศักยภาพการเติบโตของไทย ทั้งยังได้เปรียบด้านพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน มีต้นทุนจากสภาพแวดล้อม ทรัพยากรมนุษย์ สะดวกต่อการลงทุนเพิ่มและพร้อมพัฒนาในอุตสาหกรรมใหม่ สอดคล้องกับที่นักลงทุนญี่ปุ่นกล่าวถึง EEC ว่ามีศักยภาพ เหมาะสมแก่การลงทุนแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศของไทย มีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกันทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา และ เอไอเอส ผนึกกำลังต่อเนื่องพัฒนา Smart Terminal นำร่องเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ร่วมกับ เอไอเอส  นำเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนา Smart Terminal เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ระบบคมนาคมขนส่ง ด้วยนวัตกรรมใหม่ ต่อเนื่อง ช่วยเสริมการพัฒนาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเชิงพาณิชย์ที่ทันสมัย ในช่วงก่อนการสร้างและเปิดใช้อาคาร 3 ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ลำดับแห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานครในอนาคต ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารและสินค้ากับสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) หนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้นโยบาย Thailand 4.0

โดยล่าสุดได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือต่อเนื่องในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาและเสริมขีดความสามารถของท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อยกระดับสู่ Smart Terminal อย่างเต็มรูปแบบ ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ ในการเป็นประตูหน้าด่านในการเปิดประเทศ ส่งเสริมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขนส่ง คมนาคม ให้แข็งแกร่ง โดยได้รับเกียรติจาก พลเรือเอกวรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และคุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไปเอไอเอส ร่วมลงนาม พลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่า “การท่าฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ด้วยคนไทย เข้ามายกระดับการให้บริการและการบริหาร ท่ากาศยานอู่ตะเภาให้ทันสมัย เป็นอาคารผู้โดยสารอัจฉริยะ หรือ Smart Terminal  อันสอดคล้องตามแนวนโยบายดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของรัฐบาล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล เพื่อช่วยต่อยอดท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเป็นAviation Hub ในภูมิภาคนี้”

ILINK เปิดโผ กำไรไตรมาส 2/65 พุ่งแตะ 91.50 ล้านบาท จับตาคว้างานใหญ่เติม Backlog อัพไซส์ธุรกิจ

ILINK โกยรายได้ครึ่งปีแรกรวม 3,055.84 ล้านบาท พร้อมทำกำไรพีคต่อเนื่อง ล่าสุดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/65 มีรายได้รวม 1,628.32 ล้านบาท และกำไรสุทธิพุ่งแตะ 91.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.21% ด้านยอดขายธุรกิจจัดจำหน่ายโตแรง 13.08% จับตารอเดินหน้าคว้างานใหญ่เติม Backlog คาดแนวโน้มทำกำไรสูงทะลุเป้า เร่งดันทุกธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

นางสาววริษา อนันตรัมพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า “ผลประกอบการไตรมาส 2/65 ของ ILINK มีรายได้รวม 1,628.32 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37.11% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 91.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจแนวโน้มรายได้และกำไรทะลุเป้าที่ตั้งไว้ รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เติบโตอย่างทรงประสิทธิภาพ และตอบสนองกับกระแสยุคสมัยที่ขับเคลื่อนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว”

ธุรกิจจัดจำหน่าย (Distribution) ไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 574.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการเติบโตของยอดขายในงวดนี้มีความโดดเด่นต่อเนื่องและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยสนับสนุนยังคงมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโครงข่ายพื้นฐาน โดยเฉพาะอุปกรณ์ใช้สายซึ่ง ILINK เป็นผู้จัดจำหน่ายสายสัญญาณชั้นนำของประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี และมีการรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาด จึงทำให้ลูกค้าทุกภาคส่วนเกิดความต้องการปรับปรุงระบบ และพัฒนาโครงข่ายให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมตอบโจทย์การใช้งานอย่างถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงสุด นอกจากนี้ กระแสของการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Cell) ยังมาแรงต่อเนื่อง ทำให้ในงวดนี้ยอดขายสินค้ากลุ่มสายโซล่า (Solar Cable) เติบโตขึ้น 63.41% ในขณะที่กลุ่มอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ (Networking) และกลุ่มสาย UTP (LAN Cable) เพิ่มขึ้น 22.12% และ 13.65% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามลำดับ

ธุรกิจโทรคมนาคม (Telecom) ไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการให้บริการรวม 842.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92.72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นผลสำเร็จจากการต่อยอด New S-Curve ซึ่งผลักดันรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายพุ่งแตะ 484.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 403.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยงานโครงการติดตั้งสำคัญที่รับรู้รายได้ในงวดนี้ คือ โครงการ Smart CCTV จำนวน 211.03 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีลูกค้าขนาดใหญ่เข้ามาใช้บริการโครงข่ายเพิ่มจำนวนมาก รวมถึงการขยายสาขาของลูกค้าเดิมก็ช่วยผลักดันให้รายได้จากธุรกิจนี้เติบโตดีต่อเนื่อง

‘กรมทางหลวง’ เร่งเครื่องมอเตอร์เวย์ ‘นครปฐม-ชะอำ’ ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้ เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน

'กรมทางหลวง' ใส่เกียร์เดินหน้าชวนเอกชนรวม Market Sounding ชวนลงทุนมอเตอร์เวย์ M8 ‘นครปฐม-ชะอำ’ ปูพรมเติมโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ 19 ส.ค.นี้

(15 ส.ค. 65) รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่าในวันที่ 19 ส.ค. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ทล.เตรียมจัดรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับการศึกษาความเหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 8 (M8) สายนครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 109 กิโลเมตร (กม.)

ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้า กรมทางหลวงจึงได้เชิญชวนภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และผู้สนใจ เข้าร่วมประชุมในรูปแบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ผ่าน Zoom Cloud Meetings เพื่อนำความคิดเห็นที่ได้รับ มาใช้ประโยชน์ในการศึกษาประกอบการกำหนดแนวทาง และรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการลงทุนใหม่คาดว่าจะเป็นโมเดลเดียวกับ สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และ สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว และ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) โดยรัฐลงทุนงานโยธา และ PPP ให้เอกชนลงทุนในส่วนของงานระบบ O&M ซึ่งเส้นทางนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ โดยสามารถเชื่อมกับมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และสายเอกชัย-บ้านแพ้วได้ โดยในการลงทุนจะผลักดันในเฟสแรก ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ที่เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโครงการมอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สาย

บิ๊ก 4 โรงกลั่นน้ำมัน ฟันกำไรพุ่งสูงสุด 1,000% !!

'กรณ์' เปิดข้อมูลบิ๊ก 4 โรงกลั่นน้ำมัน กำไรพุ่งสูงสุดถึง 1,000% จี้ลดค่าการกลั่น-ค่าการตลาด ต้นตอน้ำมันแพง ทำเงินเฟ้อกระทบประชาชน-ผู้ประกอบการ ทวงถาม รมว.พลังงาน มาตรการที่เคยประกาศ หายไปไหนหมด

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยผลประกอบการ 4 โรงกลั่นน้ำมัน ฟันกำไรสูงสุดกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ประกอบด้วย 1.ไทยออยล์ในไตรมาส 2 กำไรเพิ่มขึ้น +1088.9% , 2. ESSO +867.1% , 3. SPRC +825.3% , 4. BCP +199.0% และเมื่อกลับไปดูผลประกอบการไตรมาส 2 ย้อนไปสี่ปีจนถึงปี 2561 เอากำไรมารวมกัน ยังไม่ถึงครึ่งของปีนี้

จำได้ไหมครับว่า สองเดือนที่ผ่านมาโรงกลั่นรวมตัวกันพยายามบอกเราว่า #ค่าการกลั่น ไม่ได้หมายถึงกำไร? ผมว่าตัวเลขมันฟ้องชัดเจนมาก !

และที่หลายคนไม่รู้ นี่คือ กำไรหลังจากที่โรงกลั่นในเครือปตท.คาดการณ์ผิด ไปขายนํ้ามันในตลาดล่วงหน้าที่ต่างประเทศไว้ถึงเกือบ 50% ของกำลังผลิตทั้งหมด ทำให้กำไรหายไปรายละเป็นหมื่นล้านบาท (แต่ประชาชนในประเทศก็ยังต้องจ่ายค่าน้ำมันราคาเต็ม!)

ปกติแล้วผู้ประกอบการมีกำไรเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่การมีกำไรที่เพิ่มขึ้นแบบผิดปกติมากถึงขนาดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากความทุกข์ร้อนของประชาชน และความเดือดร้อนของภาคธุรกิจอื่นๆ ทุกสาขา

‘ค่าการกลั่น’ เป็นสาเหตุสำคัญที่ราคาหน้าปั๊มเราสูงกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุสำคัญที่เรายังต้องใช้ #หนี้กองทุนน้ำมัน ทุกครั้งที่เราเข้าปั้ม และจะต้องใช้หนี้นี้กันไปอีกหลายปี แต่ปัญหาไม่ได้มีแค่นี้ครับ 

ตัวเลขข้างบนคือกำไรโรงกลั่น เรามาดูผลประกอบการของบริษัทค้านํ้ามันกันบ้าง
1. PTTOR +103.7%
2. PTG +20.7% (+275.3% เทียบกับไตรมาส 1 ปีนี้)

รายได้ส่วนใหญ่ของทั้งสองบริษัทมาจากการขายนํ้ามันให้พวกเรา ซึ่งก็เป็นประเด็นกังขามาตลอดว่า ‘เวลาราคาน้ำมันจากโรงกลั่นลดลง ทำไมราคาหน้าปั๊มไม่ลดตาม?’

คำตอบอยู่ที่ #ค่าการตลาด ครับ และที่ผ่านมาหลายเดือนปัญหาอยู่ที่ค่าการตลาดกรณีน้ำมันเบนซิน ไม่ว่าจะเป็น Gasohol 95 หรือ 91 วันนี้ค่าการตลาดอยู่ที่ 3บาทต่อลิตร สูงเกินเกณฑ์ปกติอย่างมาก แต่ก็ไม่เห็นว่ากระทรวงพลังงานเดือดร้อนแทนประชาชนเลย!

‘คนละครึ่งเฟส 5’ ให้ร้านค้าลงทะเบียนวันแรก ส่วน ปชช. เริ่มเปิดให้ยืนยันสิทธิ 19 ส.ค.

‘คนละครึ่งเฟส 5’ เริ่มเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนร่วมโครงการวันนี้วันแรก ขณะที่ประชาชนทั่วไปเตรียมยืนยันสิทธิ 19 สิงหาคม นี้

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ที่เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก สร้างเม็ดเงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยในวันที่ 15 ส.ค. 65 นี้ เป็นวันแรกที่กระทรวงการคลัง เปิดรับลงทะเบียนให้ผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการ จนกว่าจะประกาศปิดรับสมัคร โดยผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมมาตรการ โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว และประสงค์จะเข้าร่วมโครงการต่อไป ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” 

ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ โครงการอื่นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือสาขา หรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยฯ โดยคุณสมบัติและประเภทกิจการที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ (นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ) ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (gift voucherหรือgift card) บัตรเงินสด (cash card) และสินค้า บริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระล่วงหน้า (prepaid) ส่วนในวันที่ 17 ส.ค. 65 จะเปิดรับลงทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่ม สมัคร Food delivery Platform เฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top