'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! RCEP ดัน ศก.อาเซียนโตเหนือปี 65 ขยายตัว 7% มูลค่ารวม 10 ล้านล้านบาท

(9 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจผลรายงานความตกลง RCEP ซึ่งทำให้การค้าไทยและประเทศสมาชิกขยายตัวร้อยละ 7.11 มูลค่าการค้ารวม 10 ล้านล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า จากผลบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ครบ 1 ปี ส่งผลให้การค้าของไทยกับประเทศสมาชิก RCEP อาทิ อาเซียน, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขยายตัว 7.11% จากปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าการค้ารวม 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 10 ล้านล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า โดยแบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.8 ล้านล้านบาท) โดยประเทศอาเซียน คือ อินโดนีเซีย, กัมพูชา และสิงคโปร์ เป็นตลาดส่งออกอันดับต้น รองลงมาเป็นเกาหลีใต้และออสเตรเลีย และการนำเข้าจากประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.7 ล้านล้านบาท) ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากบรูไนดารุสซาลาม, ออสเตรเลีย และเมียนมา เป็นอันดับต้น

นายอนุชา กล่าวว่า ประเทศที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง RCEP ในการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ เกาหลีใต้, จีน และญี่ปุ่น โดยรายการสินค้าที่ได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออก อาทิ น้ำมันหล่อลื่น, ปลาทูน่ากระป๋อง, มันสำปะหลังเส้น, ทุเรียนสด, น้ำมันรำข้าว, ผงสิ่งทอ และปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง ขณะที่ประเทศที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง RCEP นำเข้าสินค้า จากประเทศจีน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยรายการสินค้าที่ไทยใช้สิทธิประโยชน์ คือ ด้ายใยยาวสังเคราะห์, ไม้อัดพลายวูด, ชิ้นส่วนประกอบเครื่องยนต์, โพลิเมอร์ของเอทิลีนในลักษณะขั้นปฐม และองุ่นสดหรือแห้ง

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามแนวทางความตกลงที่รัฐบาลได้เจรจามา และทำให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้มีตัวเลขมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ความตกลง RCEP ประสบความสำเร็จ โดยถือเป็นความตกลงความร่วมมือทางการค้าที่มีตลาดขนาดใหญ่ มี 15 ประเทศที่เข้าร่วมตกลง และมีประชากรรวมคิดเป็น 30% ของประชากรโลก ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ในการส่งออกและการนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิก ถือเป็นการเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับสินค้าไทย