Thursday, 25 April 2024
สว่าง ทองดี

‘Seattle’ เมืองศูนย์รวมความหลากหลายระดับโลก มัดรวม ‘แหล่งท่องเที่ยว-กิจกรรมน่าสนใจ’ ที่ไม่ควรพลาด

ใครเคยดูหนังรักโรแมนติกเรื่อง ‘Sleepless in Seattle’ ก็จะเห็นบรรยากาศน่าอยู่น่าท่องเที่ยวของเมืองอันมีชื่อเสียงโด่งดังแห่งนี้ นอกจากนี้ ‘ซีแอตเติล’ ยังเป็นฉากประกอบในหนังอีกนับไม่ถ้วน และถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว คนไทยมักคุ้นเคยกับเมืองลอสแอนเจลีส ซานฟรานซิสโก พอร์ตแลนด์ และซีแอตเติล ซึ่งแต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะ ราวกับหยิบยื่นความแปลกใหม่ให้แก่ผู้ไปเยือนแบบไม่ซ้ำกัน


‘ซีแอตเติล’ เมืองในรัฐวอชิงตัน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดติดกับชายแดนประเทศแคนาดา หากใครอยากลองไปก็สามารถไปเยือนได้ตลอดปี ซึ่งแต่ละช่วงเวลาและฤดูก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป เช่น ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแม้จะค่อนข้างเปียกเฉอะแฉะเพราะฝนตกลงมามาก แต่ใบไม้ที่เปลี่ยนสีก็สวยงามมากพอที่จะแลกกับความเหน็บหนาวของลมฝน เรียกว่า คุ้มค่าที่มาเยือน

แม้เมืองนี้จะเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แต่ก็เดินทางสัญจรสะดวกสบาย เพราะมีทางจักรยานเชื่อมต่อทั้งเมือง ดังนั้น การเช่าจักรยานปั่นเล่นจึงเป็นกิจกรรมแสนเพลินและสามารถเก็บจุดท่องเที่ยวได้มากกว่าการเดินหลายเท่าตัว จะเลือกปั่นเลาะไปตามริมทะเล เพื่อไปยังด้านตรงกันข้ามของอ่าว หรือจะปั่นขึ้นลงเนินไปยังสวนสาธารณะต่าง ๆ ก็สามารถได้ อีกทั้งเมืองนี้เป็นเมืองที่คนใช้จักรยานเป็นพาหนะในชีวิตประจำวันหรือเพื่อสันทนาการกันค่อนข้างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งเพราะอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี 

หรือถ้าไม่ชอบเดินหรือปั่นจักรยานก็ใช้วิธีโดยสารขนส่งสาธารณะก็ได้ตามสะดวก แถมราคาไม่แพง หรือหากอยากนั่งเฟอรี่ข้ามฟากก็เป็นอีกกิจกรรมที่ทำเพลินเช่นเดียวกัน แต่ขอกระซิบบอกตรงนี้เลยว่าหากใครที่ประสงค์ใช้รถยนต์อาจจะต้องเผื่อใจกับการหาที่จอดรถ เพราะนั่นคือเรื่องยากสำหรับเมืองนี้พอควร หรือไม่ก็อาจจะเจอค่าจอดรถที่แพงหูฉี่ โดยเฉพาะย่านธุรกิจหรือย่านท่องเที่ยวทั้งหลาย

 

เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูง หรือแทบจะเรียกว่าเป็นไฮไลต์สำคัญเลย นั่นคือตลาดสดไพค์เพลส (Pike Place Market) เพราะมีของกินและของใช้ให้ช็อปอย่างเพลิดเพลิน ร้านรวงและแผงขายของเบียดกันอยู่ในตลาดแห่งนี้ มีสินค้าวางเรียงอยู่หน้าร้านอย่างเป็นระเบียบ เมื่องมองแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกอยากจับจ่ายซื้อขอ 
.
นอกจากนี้ตลาดแห่งนี้นับว่าเป็นตลาดสดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว ซึ่งโซนขายปลาจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะคนนิยมไปมุงดูและถ่ายรูปเพราะพนักงานตะโกนขายของกันอย่างออกรสออกชาติ ทำให้เกิดความสนุกทั้งคนซื้อ คนขาย และคนดู 
 

หากเดินไปอีกหน่อยจะเป็นโรงงานผลิตชีสที่ติดกระจกโดยรอบ โชว์ให้เห็นกรรมวิธีแทบจะทุกขั้นตอน ใกล้ ๆ กันเป็นห้องแถวชั้นเดียวซึ่งก็คือร้านกาแฟยี่ห้อสตาร์บัคส์สาขาแรก เปิดแต่เช้ามืด คนต่อแถวยาวตลอดวันเพื่อเช็กอิน ริมถนนมีนักดนตรีร้องรำทำเพลงเปิดหมวก มีจุดชมวิวเวิ้งอ่าวด้วย ตรอกเล็กบางแห่งมีร้านกาแฟเล็กเก๋แทรกซุกอยู่ แต่ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ร้านรวงบนถนนใหญ่เลย
 

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองนี้คือ หอคอย Space Needle ซึ่งชั้นสูงสุดมีรูปทรงคล้ายจานบินต่างดาว นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายเงินซื้อตั๋วแล้วขึ้นลิฟท์ไปได้เลย สามารถเดินได้โดยรอบ ได้วิวมุมสูงแบบ 360 องศา แต่ราคาค่าขึ้นไปชมวิวค่อนข้างแพง แต่หากใครเห็นว่าครั้งหนึ่งในชีวิตขอเก็บไฮไลต์การเที่ยวเมืองให้ครบจะยอมจ่ายเพื่อการนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า คิดเสียว่าเงินทองหาเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาพิเศษนี่สิที่ต้องหวงแหน ขึ้นหอคอยเสร็จแล้วก็สามารถเดินเล่นในสวนสาธารณะกว้าง มีลานน้ำพุสวย ดอกไม้หลากชนิด ทางเดินคดเคี้ยวลัดเลาะโดยมีงานศิลปะจัดวางตามจุดต่าง ๆ เดินเล่นเพลิดเพลิน หากใครชอบถ่ายรูปหรือเซลฟี่รับรองถูกใจเป็นแน่

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีหลากหลายให้เลือกไปเที่ยวชม เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เหมาะกับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่ต้องการสอดแทรกความรู้ด้านต่าง ๆ ให้แก่ตัวเองในขณะท่องเที่ยว เป็นวิธีเสริมประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งเลยล่ะ
 

 

จุดต่อมาที่น่าสนใจก็คือ ชิงช้าสวรรค์หรือ Seattle Great Wheel ลักษณะคล้าย London Eye และในอีกหลายต่อหลายเมืองทั่วโลกนั้นก็เป็นอีกจุดท่องเที่ยวสำคัญ นักท่องเที่ยวนิยมจ่ายเงินขึ้นนั่งชมวิวทิวทัศน์กับเพื่อนฝูง คนรัก หรือครอบครัว ในช่วงค่ำบางวันก็มีการเปิดไฟเป็นระบบแสงสีตระการตาชวนชม 

ไชน่าทาวน์ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่คุ้นชินกับอาหารตะวันตก แค่ได้ไปเดินเล่นแถวนี้ก็หาของกินรสชาติดั้งเดิมแบบเอเชีย กินแล้วถูกปากถูกลิ้น มีทั้งที่เป็นร้านอาหารหรูและร้านข้าวราดแกง อันที่จริง ไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้นที่กระจุกกันอยู่ย่านนี้ คนเชื้อชาติอื่น ๆ จากซีกโลกฝั่งตะวันออก อย่างญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนามก็อาศัยอยู่และทำมาค้าขายปะปนกัน ร้านขายของชำและซูเปอร์มาร์เก็ตที่หาวัตถุดิบจำพวกของสดของคาวมีหลายแห่ง 


ถัดมาคือย่าน Capitol Hill อันที่จริงแต่เดิมเคยเป็นย่านพักอาศัย ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านรวง ร้านอาหาร ผับบาร์ บรรดาศิลปินมักมาซุ่มทำงานศิลปะกันที่ย่านนี้ อาคารบางหลังดูภายนอกธรรมดา แต่ภายในเป็นสตูดิโอ แกเลอรี่ และโรงงานขนาดเล็กสำหรับผลิตชิ้นงานทั้งภาพและดนตรี นอกจากนี้ ย่านนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของชาว LGBTQ อีกด้วย


 

หากใครชื่นชอบสินค้าสภาพดีราคาถูกแนะนำให้ไปเที่ยวร้านขายของมือสอง บางแห่งดำเนินกิจการโดยองค์กรการกุศลอย่าง Goodwill ซึ่งมีร้านสาขานับไม่ถ้วนอยู่แทบทุกเมืองในทุกรัฐ แค่ในเมืองนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าห้าแห่ง หาสาขาใกล้สุดได้อย่างง่ายดายด้วยการค้นในแผนที่ Google ของที่ขายส่วนใหญ่คือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า และเครื่องใช้ในครัวเรือนสภาพดี แต่ราคาถูกกว่ามือหนึ่งเกินครึ่ง 
 

 

ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเพียงน้ำจิ้มชิมลางและข้อมูลคร่าว ๆ หากใครอยากรู้ว่าซีแอตเติลมีดีอย่างที่ใครต่อใครกล่าวขานกันหรือไม่ ก็คงต้องหาโอกาสไปเที่ยวเอง ไม่แน่ เมืองนี้อาจจะกลายเป็นเมืองสุดประทับใจแห่งหนึ่งก็เป็นได้


สว่าง ทองดี
จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มต้นด้วยอาชีพด้วยการเป็นครู ควบคู่ไปกับการใช้เวลาในช่วงปิดเทอมไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สอนหนังสืออยู่เก้าปีจึงตัดสินใจลาออก และเริ่มเดินทางจริงจัง หลัก ๆ เป็นการไปด้วยจักรยาน รอนแรม ค่ำไหนนอนนั่น
 

เมืองงามในหุบเขา สำรวจเมือง ‘อันติกัว’ ในประเทศกัวเตมาลา ดื่มด่ำบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟ

“Travel isn’t always pretty. It isn’t always comfortable. Sometimes it hurts, it even breaks your heart. But that’s okay. The journey changes you; it should change you. It leaves marks on your memory, on your consciousness, on your heart, and on your body. You take something with you. Hopefully, you leave something good behind.” – Anthony Bourdain

ทางหลวงกว้างสี่เลนฉีกออกจากเมืองหลวง การจราจรคับคั่ง แม้กระทั่งเมื่อค่อย ๆ คดเคี้ยวขึ้นเขารถราก็ยังเยอะอยู่ดี คนขับรถบัสหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ชะลอความเร็ว รถแล่นผ่านโค้งเหล่านั้น ผู้โดยสารท้องถิ่นรู้วิธีเอนตัวเองให้ได้องศาเหมาะสม ในขณะนักท่องเที่ยวต่างชาติโดนแรงเหวี่ยง ไหลไปยังอีกด้านจนแทบตกจากเบาะ ไม่ใช่สิ่งที่น่าตระหนกตกใจแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเรื่องชวนหัวแทน 

ปลายทางครั้งนี้ คือเมืองงามในหุบเขาแห่งประเทศกัวเตมาลา (Guatemala) โอบล้อมด้วยภูเขาไฟ ชื่อเมืองอันติกัว อันที่จริงชื่อเต็มคือ อันติกัวกัวเตมาลา (Antigua Guatemala) หมายถึงเมืองโบราณแห่งประเทศกัวเตมาลา ค่าที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าเมื่อราวห้าร้อยปีก่อน คงความเป็นศูนย์รวมทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอยู่ได้สองร้อยปี แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว จึงประสบกับหายนะทางธรรมชาตินับครั้งไม่ถ้วน 

แผ่นดินไหวในปี 1773 นับเป็นครั้งรุนแรงสุด ตึกรามพังถล่ม ได้รับความเสียหายมากจนทางการในสมัยนั้นเห็นว่าเกินกว่าจะซ่อมหรือสร้างขึ้นใหม่ จึงตกลงกันย้ายเมืองหลวงไปยังที่ราบสูงห่างออกไปราวสี่สิบกิโลเมตร ซึ่งก็คือกรุงกัวเตมาลาซิตี้ (Guatemala City) นั่นเอง

เมื่อถนนไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ก็ค่อย ๆ ลดระดับลง พลขับรถบัสคันเดิมยังฉวัดเฉวียนอย่างชินทาง ภาพภูเขาไฟเริ่มเผยให้เห็นนอกหน้าต่างรถ รูปทรงสามเหลี่ยมสมมาตรมีพลังเย้ายวนชวนให้ใจเต้นโครมครามอยากเข้าไปสัมผัสในระยะใกล้กว่านี้ ใครบางคนเคยเล่าให้ฟังว่าสามเหลี่ยมเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ทรงพลังที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่สถูป เจดีย์ทางฝั่งเอเชีย ปิรามิดทั้งที่แอฟริกาอย่างอียิปต์ และปิรามิดชาวมายาในทวีปอเมริกาทั้งหลายจึงมีลักษณะไม่ต่างจากภูเขาไฟ

การจราจรติดขัดทันทีที่ถึงบริเวณทางเข้าเมือง เมื่อหลายร้อยปีก่อนนับว่ากว้างขวางแน่นอน แต่ยุคนี้รถราเยอะ ถนนกว้างเท่าเดิมนั้นกลับแคบไปถนัด ในเมื่อขยายถนนไม่ได้ จึงต้องแก้ไขโดยการเดินรถทางเดียว ก้อนหินนำมาเรียงเป็นพื้นถนนตะปุ่มตะป่ำ กระเด้งกระดอนกันครู่หนึ่งก็ถึงท่ารถ ผู้โดยสารลงจากรถ แยกย้ายกันไปยังสถานที่ตามที่ตั้งใจไว้

เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ความสูงราวพันห้าร้อยเมตรจากระดับน้ำทะเล โอบล้อมด้วยภูเขา โดยมีภูเขาไฟสามลูกตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ลูกที่เห็นได้ชัดกว่าใคร คือภูเขาไฟอะกวา (Volcan Agua) อีกลูกที่คนนิยมเดินเทร็กขึ้นไปยังปากปล่องของมัน คือภูเขาไฟอะคาเตนังโก (Volcan Acatenango) จุดประสงค์หลักก็เพื่อชมการประทุในระยะใกล้ของภูเขาไฟโฟยโก (Volcan Fuego) ซึ่งอยู่ใกล้กันนั่นเอง

แม้จะคล้ายกับเมืองเก่าสไตล์โคโลเนียลอื่น ๆ แต่เอกลักษณ์ซึ่งแตกต่างมาก คืออาคารหลายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบสถ์เก่าแก่ซึ่งกระจายกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในเมืองนั้นอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง เป็นอนุสรณ์สถานซึ่งอนุรักษ์ไว้ให้คงลักษณะเช่นนั้น โดยไม่มีการสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงพลังรุนแรงแห่งธรรมชาติ คนที่เห็นจะได้เข้าใจอดีตของที่นี่ ดีกว่ากลบร่องรอยด้วยตึกใหม่ซึ่งคล้ายของเดิมมากกว่ากันเป็นไหน ๆ

สำหรับใครที่เพิ่งมาเที่ยวกัวเตมาลาเป็นครั้งแรก การมาตั้งต้นการเดินทางในประเทศนี้ ณ อันติกัวนั้นนับว่าสมเหตุสมผลโดยประการทั้งปวง เพราะโดยบรรยากาศในตัวมันเองที่แสนจะผ่อนคลาย มีความปลอดภัยสูง กับบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกสารพันที่รองรับ ล้วนช่วยให้รื่นรมย์ในช่วงปรับตัวกับวัฒนธรรมใหม่ได้เป็นอย่างดี

ย่านใจกลางเมืองเก่าเหมาะสำหรับเริ่มต้นสำรวจอะไรต่อมิอะไร อาจจะเริ่มต้นที่แลนด์มาร์กสำคัญ คือซุ้มประตูสีเหลืองซานตาคาตารินา (Santa Catarina Arch) นักท่องเที่ยวมักมากระจุกกันบริเวณนี้ ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างเห็นเป็นโอกาสดีในการเสนอขายสินค้าที่ระลึกจำพวกสร้อยคอ กำไล ภาพวาด หมวก คนขายผลไม้หั่นชิ้นใส่ถุงหรือรถเข็นขายไอศกรีมทรงรถบัสฉบับย่อก็ประจำอยู่แถวนั้นด้วยเช่นกัน เวลาถ่ายเซลฟี่หรือให้ใครถ่ายภาพคู่กับสัญลักษณ์ประจำเมืองโดยมีภูเขาไฟอะกวาเป็นฉากหลังแล้วโพสต์ขึ้น ใครต่อใครบนโลกโซเชี่ยลเห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านั่นคืออันติกัว ใกล้กันนั้นคือโบสถ์ลาเมอร์เซ็ด (La Merced Church) ซึ่งก็คุมโทนผนังด้านนอกด้วยสีเหลืองและขาวเช่นกัน ข้างในเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ยกเว้นช่วงที่มีการประกอบพิธีมิสซา เพื่อเปิดโอกาสให้ศาสนิกชนได้ร่วมพิธีกันอย่างสงบเรียบร้อย เสร็จกิจกรรมทางศาสนาแล้วก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ตามปกติ

อีกจุดที่คนมักไปพักผ่อนหย่อนใจกันตลอดทั้งวัน คือสวนสาธารณะและลานน้ำพุกลางเมือง ม้ายาวกระจายตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น เหมาะสำหรับนั่งสังเกตอากัปกิริยาผู้คน บรรดานกพิราบมีความสุขกับการจิกกินอาหารที่คนโปรยลงพื้นให้ บางส่วนลงไปเกาะขอบน้ำพุ เล่นน้ำอาบน้ำกันโดยไม่ได้เกรงกลัวใครจะมาจับหรือทำร้าย นักท่องเที่ยวอุดหนุนคนเข็นขายของขบเคี้ยวเล่นประเภทถั่วชนิดต่าง ๆ ลุงช่างภาพโพลารอยด์ถือป้ายเรียกลูกค้าที่ต้องการภาพที่ระลึกแบบด่วน ๆ เวลาค่ำมักมีพวกผู้หญิงชนเผ่าเดินเร่ขายลูกโป่งติดไฟกะพริบ เด็กน้อยมักรบเร้าพ่อแม่ให้ซื้อให้ บางค่ำมีนักเป่าแซ็กโซโฟนมาเปิดหมวกบรรเลงเพลงรวมฮิตร่วมสมัยสไตล์โรแมนติกเสริมบรรยากาศการนั่งในสวนอีกด้วย 

'Café La Habana' แห่งกรุงเม็กซิโกซิตี้ คาเฟ่อายุกว่า 70 ปี ที่คนยังนิยมจนถึงปัจจุบัน

กรุงเม็กซิโกซิตี้ (Ciudad de Mexico หรือชื่อย่อคือ CDMX) คือเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก (Mexico) ซึ่งตั้งอยู่ตอนล่างสุดของทวีปอเมริกาเหนือ (North America) แต่คนมักเข้าใจผิด คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกากลาง (Central America) เพราะมีประวัติศาสตร์ร่วมและมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศในอเมริกากลางมากกว่านั่นเอง 

นับตั้งแต่การค้นพบร่องรอยทางโบราณคดีและบันทึกทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงที่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปนเข้ายึดครองตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาจนถึงปัจจุบันนั้น กรุงเม็กซิโกซิตี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโดยตลอด ผ่านช่วงขาขึ้นและขาลงนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากสงครามที่มนุษย์ด้วยกันก่อขึ้น และจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินไหวรุนแรงหลายครั้งด้วย 

ปัจจุบันนี้กรุงเม็กซิโกซิตี้นับเป็นเมืองที่สุดแสนจะไฉไลและน่าอยู่เป็นอย่างมาก และยังถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยอาณาเขตเมืองกินบริเวณกว้างหลายสิบตารางกิโลเมตร ประชากรในเมืองนี้และเมืองแถบปริมณฑลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถิติในปีค.ศ. 2022 ระบุว่ามีมากกว่า 22 ล้านคน 

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐยังได้พัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุม และมีราคาค่าโดยสารที่ประชากรในเมืองเอื้อมถึง มีการจัดทำทางจักรยานโดยเฉพาะ สวนหย่อมและสวนสาธารณะมากมาย เป็นพื้นที่ส่วนรวม ผู้คนสามารถออกมาผ่อนคลายได้ ทุกวันอาทิตย์มีการปิดถนนย่านใจกลางเมืองเพื่อให้คนออกมาวิ่ง ปั่นจักรยาน พาสัตว์เลี้ยงมาเดินหรือวิ่งออกกำลังกาย และเนื่องจากตั้งอยู่ที่ความสูงราวสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ดังนั้นสภาพอากาศจึงเย็นสบายทั้งปี ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไปอีกด้วย

ร้านรวง ร้านกาแฟ ร้านอาหารมากมายดาษดื่นกระจายตัวทุกมุมเมืองตามแบบฉบับเมืองใหญ่ มีหนึ่งร้านในนั้นที่อยู่ยงคงกระพันมา 70 ปี และยังคงได้รับความนิยมจนทุกวันนี้ คือคาเฟ่ลาฮาบานา (Café La Habana) เปิดดำเนินกิจการเมื่อปี 1952 ตั้งอยู่ตรงมุมซึ่งถนนบูคาเรลี (Bucareli Street) ตัดกับถนนโมราเลส (Morales Street) อันขวักไขว่

สถานที่แห่งนี้มีองค์ประกอบร่วมของพลังงานแตกต่าง อาจเรียกว่าคือสองขั้วตรงข้าม แต่ผสมกลมกลืนในที่เดียวกันได้อย่างน่าประหลาด 

หนึ่ง คือความเคลื่อนไหวว่องไวกระฉับกระเฉงของพนักงานหลายวัย ลุงผู้จัดการรับรายชื่อลูกค้าที่รออยู่หน้าร้าน แล้วประสานกับข้างในว่ามีตรงไหนว่างแล้วบ้าง บาริสต้ามือเป็นระวิงชงกาแฟตามออร์เดอร์แทบไม่ทัน คนครัวเร่งมือทำอาหารจากเตาลงจานชาม คนทำหน้าที่เสิร์ฟเทินถาดเดินกันคล่องแคล่ว ประหนึ่งพลังงานล้นหลามของวัยรุ่นไฮเปอร์คนหนึ่ง ซึ่งชีวิตกำลังเหมือนดอกไม้บานสะพรั่งและพร้อมพุ่งทะยานสู่อนาคต และแม้งานจะพัวพันยุ่งเหยิง แต่ก็สังเกตเห็นได้ว่าพนักงานทั้งหลายยังยิ้มแย้มแจ่มใส (ใต้หนากากสีดำแห่งยุคโควิดที่ใส่อยู่ก็ยังเห็นรอยยิ้มเหล่านั้นได้) พร้อมถามไถ่ลูกค้า “Todo bien?” (หมายถึงทุกอย่างโอเคไหม)

สัจธรรมแห่งอนิจจัง รู้จัก!! อารยธรรมซาโปเทก แห่งมอนเต อัลบาน อีกหนึ่งความเฟื่องฟูก่อนสูญหายตามกาลเวลา

อนุสรณ์สถานและโบราณสถานทั้งหลายเป็นหลักฐานสำคัญ บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมนุษยชาติในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนผ่านจากอารยธรรมหนึ่งไปสู่อีกอารยธรรม

เมื่อพูดถึงอารยธรรมเก่าแก่แห่งทวีปอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมโสอเมริกา (Mesoamerica) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางเหนืออย่างเม็กซิโก ไกลไปจนถึงประเทศคอสตาริกา เรามักจะคุ้นเคยกับอารยธรรมของชาวโอลเมก (Olmec People) ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งความเจริญของทวีปนี้ เพราะเก่าแก่กว่าใครอื่นใด ที่โดดเด่นมากด้วยในยุคถัดมา คือชาวมายา (Maya People) กับรูปแบบสังคมอันซับซ้อน รวมถึงพีระมิดมากมายของพวกเขา ไม่ก็ชาวแอซเท็ก (Aztec People) ซึ่งแผ่ขยายอำนาจได้กว้างไกลมาก เหล่านี้ล้วนได้รับการเล่าขานกันในวงกว้าง แต่ยังมีอีกชนชาติโบราณแห่งทวีปนี้ที่รุ่งเรืองไม่แพ้กันมาตั้งแต่ยุคก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในยุคไล่เลี่ยกันกับมายาและแอซเท็กเช่นกัน ครอบครองพื้นที่ยาวนานพันกว่าปี คือกลุ่มคนที่เรียกขานกันว่าชาวซาโปเทก (Zapotec People) นั่นเอง

ศูนย์กลางของอารยธรรมกับอาณาจักรซาโปเทก คือเมืองซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาความสูงราวสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ชื่อมอนเต อัลบาน พิกัดในปัจจุบันนี้คือภูเขานอกเมืองวาฮากา (Oaxaca City) อันเป็นเมืองหลวงของรัฐวาฮากาแห่งประเทศเม็กซิโก หลักฐานชี้ชัดว่าก่อร่างสร้างเมืองเมื่อราว 4-5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ได้รับการออกแบบ วางผังเมือง และก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำของสมัยนั้น เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ นับว่าเป็นโบราณสถานสำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในรัฐวาฮากา 

เชื่อกันว่าในช่วงเจริญสูงสุดนั้น ประชากรเมืองหลวงแห่งนี้เคยมีมากถึงสองหมื่นห้าพันคน โดยมีหมู่บ้านนับพันแห่งอยู่รอบมอนเต อัลบาน ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซม เปิดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าชม เป็นหนึ่งในสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อไปเที่ยววาฮากา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงไม่ถึงขั้นอยากรู้รายละเอียดทุกอย่างของมอนเต อัลบาน แต่น่าจะพากันไปเพื่อเห็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์กับตาตัวเอง เพื่อถ่ายรูปพีระมิด นอกจากนี้ข้างบนนั้นยังมองเห็นวิวของหุบเขาด้านล่างอีกด้วย ใครไปเองก็เดินอ่านป้ายตามจุดต่าง ๆ ซึ่งมีคำอธิบายคร่าว ๆ 

ส่วนคนที่ใช้บริการทัวร์ก็มักจะได้ไกด์ท้องถิ่นเดินอธิบายอะไรต่อมิอะไร ได้รสชาติและการท่องเที่ยวในแง่มุมที่ลึกซึ้งมากกว่า 

บรรดานักโบราณคดีและนักวิจัยทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม พยายามไขข้อสงสัย รวมถึงหาความเชื่อมโยงกันระหว่างอาณาจักรซาโปเทกกับอาณาจักรอื่น ๆ ทางตอนเหนืออย่างแอซเท็กและมายาซึ่งครอบครองอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนเมโสอเมริกา ได้รับความกระจ่างในหลายด้าน แต่บางเรื่องก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน

Road trip UTAH

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยห้าสิบรัฐ พื้นที่แต่ละรัฐกว้างพอ ๆ หรืออาจจะกว้างกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ 

ดังนั้น ความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศจึงมากตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ชายทะเลทั้งฝั่งแอตแลนติกและแปซิฟิก ทะเลทราย เทือกเขาสูงทอดตัวยาว ภูเขาหิมะ ทุ่งหญ้า ป่าหลากประเภท มีบริเวณอากาศร้อนชื้นไปจนถึงหนาวจัดสุดขั้วก็มี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายจึงกระจายทั่วประเทศ นักเดินทางต่างจึงมีทางเลือกเยอะมากในการปักหมุดหมายตามความชอบความต้องการ รวมถึงปริมาณเวลาว่างที่มี

  
ช่วงก่อนหน้านี้สามสี่เดือน ผมเดินทางในอเมริกาด้วยจักรยาน ปั่นท่องเที่ยวเลาะไปตามชายฝั่งทะเลแปซิฟิกในรัฐแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และรัฐวอชิงตัน อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ สลับสับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาเป็นการขับรถเที่ยวดูบ้าง พอดีรู้จักกับเพื่อนสองคนซึ่งปกติอยู่ไทย แต่กลับมาเที่ยวที่นี่ จึงเป็นเรื่องประจวบเหมาะ ชักชวนกันทำโร้ดทริป 

‘เน้ท’ เป็นคนอเมริกัน บ้านอยู่ที่โคโลราโด (และที่เชียงใหม่) ส่วน ‘เยา’ ผู้เป็นภรรยานั้นคือสาวไทย นัดแนะกันว่าจะพบกันที่บ้านพวกเขาบนเทือกเขาร็อกกี้ในรัฐโคโลราโด แล้วจะขับรถไปเที่ยวรัฐยูทาห์ซึ่งอยู่ติดกัน (พื้นที่ทางตอนกลางของสหรัฐ) 

มนต์เสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายจึงเริ่มต้นขึ้น จุดหมายปลายทางคือ อุทยานแห่งชาติอันเลื่องชื่อ อย่างอุทยานแห่งชาติ Arches National Park นั่นเอง 

จะว่าไป ส่วนตัว ผมไม่ได้รู้จักพื้นที่แถบนี้ดีเท่าไหร่นัก อารมณ์จับพลัดจับผลูได้มาเที่ยวเพราะมีเพื่อนเป็นคนแถวนี้มากกว่า ข้อดีก็คือไม่ต้องวางแผนการกินการนอน ไม่ต้องค้นหาว่าจะไปแวะเที่ยวที่ไหนบ้างระหว่างทาง สบายไปแปดอย่างสิบอย่างเพราะมีเพื่อนเป็นมัคคุเทศก์นำทางนั่นเอง


ทริปสบาย ๆ แบบไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก เห็นอะไรสวยก็จอดแวะดูแวะถ่ายรูป คนขับง่วงก็หลบริมทางงีบ คุยสัพเพเหระอะไรกันไปขณะอยู่ในรถ โดยมีวิวสวยสองข้างทางสร้างความรื่นรมย์ ยิ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้พวกต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันประชันขันแข่งสีสันสดใส สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่คนพบเห็น

ข้อดีของอเมริกาอย่างหนึ่ง คือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจัดสรรลานพักแรมกระจายอยู่ทั่วไปให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งพวกที่ขับรถบ้าน รถกระบะหรือเก๋ง นักบิดมอเตอร์ไซค์ นักปั่นจักรยาน รวมถึงคนแบกเป้ทั้งหลายด้วย นับเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง พวกเราจึงมักอาศัยพักแรมตามลานกางเต็นท์ประเภทนี้ ไม่ก็หาพื้นที่หลบมุมกางเต็นท์ด้วยบ้างเช่นกัน 

แวะเที่ยวไปเรื่อย ทำให้กว่าจะถึงจุดหมายก็ปาเข้าไปสองวัน เมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ Arches National Park คือเมืองโมอับ เป็นเมืองเล็ก แต่ความสะดวกสบายครบครันตามแบบฉบับเมืองที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านค้าร้านอาหาร (มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย) ร้านขายของที่ระลึก โรงแรมหลายระดับ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ก็มีด้วย พวกเราไม่ได้เลือกพักโรมแรม ส่วนหนึ่งเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และไหน ๆ ก็แบกเต็นท์ เครื่องนอน เตาไฟ สำรับอาหารสดอาหารแห้งกันมาเกือบเต็มคันรถ ไฉนจึงไม่หาที่พักแรมสวยๆ ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งดีกว่านอนในห้องหับกว่ากันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ

‘พอร์ตแลนด์’ เอย จงอย่าหยุด ‘เพี้ยน’ (Keep Portland weird)

‘พอร์ตแลนด์’ (Portland) ถือเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรียงนามกระฉ่อนทั่วโลกมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นอีกเมืองฮิพแห่งรัฐโอเรกอนอย่างมากด้วย 

สังเกตได้จาก เมืองนี้ เต็มเปี่ยมไปชาวเมืองที่มีแนวคิดในการดูแลสิ่งแวดล้อมและแสดงออกได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันยังเป็นเมืองต้นแบบอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาในการสร้างและจัดการระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุม

...เราจะพบเห็นทางจักรยานที่ถูกสร้างให้คนสัญจร ออกกำลังกาย รวมไปถึงปั่นไปทำงานก็ได้ 

...อีกทั้งเมืองนี้ ยังเต็มไปด้วยสวนสาธารณะที่เอื้อให้คนได้ใช้พื้นที่สีเขียวร่วมกันสำหรับพักผ่อน แถมยังมีการจัดการขยะรีไซเคิลอย่างเป็นระบบด้วยนะ

...Portland ยังเป็นศูนย์รวมคนหลายกลุ่มหลากประเภท ตั้งแต่ฮิพสเตอร์แต่งกายแลดูเรียบๆ แต่แอบติดหรูแบรนด์เนม ดูเนิร์ดใส่แว่นตา แต่ก็โคตรเท่ประมาณนั้น หรือจะเป็นเด็กฮิพย้อมผมสีฉูดฉาดตัดกับผิวสีขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยสักประหนึ่งขนเอาสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมาไว้บนผิวหนัง พวกฮิปปี้ซึ่งนิยมสวมเสื้อผ้าวินเทจและดูดปู๊นเป็นเนืองนิจก็มี ถ้าจะให้คูลต้องถกกันด้วยหลักปรัชญาตะวันออก

...นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มคนเฉพาะที่บ้ากาแฟขึ้นสมองก็มากองกันอยู่ที่นี่ ร้านกาแฟคลื่นที่สามที่สี่มากมายชนิดทำ Coffee Shop กันไม่หวาดไม่ไหว

...โรงผลิตเบียร์คราฟต์เบียดตัวในย่านท่องเที่ยวกินดื่มแข่งกับร้านขายกัญชา

...แพทย์แผนตะวันออกได้รับความนิยมพอๆ กับโรงพยาบาลฝรั่ง

...ช่างสักตามร้านที่เห็นได้ทั่วไปทำเงินเป็นกอบเป็นกำ บางเจ้าถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนการสักก็มี

...ศิลปินทุกแขนงทั้งแบบสร้างผลงานขายเป็นเรื่องเป็นราวกับศิลปินริมถนนผสมปนเปกันอยู่ในหม้อหลอมใบนี้ 

…กลุ่ม LGBTQ ก็มีพื้นที่ยืนในสังคมได้อย่างค่อนข้างเสรี 

...ร้านอาหาร ผับ บาร์ ฟู้ดทรักมากมายขายอาหารและเครื่องดื่มทุกสัญชาติบนโลกใบนี้ เรียกว่าใครอยากกินเมนูประเทศอะไรเมืองนี้ประเคนให้ได้หมด 

...แถมยังขึ้นชื่อว่ามีความหนาแน่นของสถานเริงรมย์ประเภทคลับโชว์เปลื้องผ้ามากที่สุดในอเมริกาอีกด้วย

...นอกจากนี้ ในส่วนของย่านใจกลางเมือง ก็มีพลเมืองรวมๆ กันอยู่ร่วมครึ่งล้าน แต่เมื่อรวมชานเมืองโดยรอบนับหัวก็จะได้ราว 3 ล้านคน โดยผสมผสานไปด้วยความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติเป็นเงาตามตัวด้วย แต่แน่นอนคนขาวยังคงเป็นประชากรหลัก พวกตะวันออกกลางและอาหรับก็มีบ้าง ในขณะที่เม็กซิกันและคนเชื้อสายละตินค่อนข้างมากและมักไปกระจุกกันอยู่แถว Hillsboro ซึ่งอยู่ชานเมืองด้านตะวันตก จนคนล้อกันว่าเป็น Hillburito ส่วนพวกเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, จีน, เกาหลี, ไทย, ลาว ทั้งหลายต่างไปรวมกันอยู่แถว Happy Valley ซึ่งอยู่ค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง จึงสังเกตได้ว่าแนวถนนหมายเลข SE 82 มักเต็มไปด้วยร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติผิวเหลือง

ความหลากหลายต่างมิติทั้งสภาพแวดล้อมและเชื้อชาติดังกล่าวข้างต้น มันเลยเป็นที่มาว่าทำไม Portland ถึงดูจะกลายเป็นเมืองเพี้ยนๆ มากพอตัว 

แต่เชื่อไหมว่า ชาวเมืองบางส่วนเห็นความเพี้ยนที่ผสมปนเปเหล่านี้ ว่าเป็นจุดเด่น แถมดูจะภูมิอกภูมิใจ ถึงขั้นเขียนประโยคขึ้นผนัง Keep Portland weird หรือแปลให้เข้าง่ายก็คง “พอร์ตแลนด์เอ๋ย จงอย่าหยุดเพี้ยน” 

แต่ในมุมที่ควรยอมรับต่อการถอยห่าง Portland มันเริ่มหนักข้อขึ้น โดยเฉพาะช่วงปีหลังๆ มานี้เกิดการแตกขั้วทางความเห็นเกี่ยวกับการเมืองค่อนข้างรุนแรง ประจวบเหมาะกับโรคอุบัติใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจเมืองระส่ำระสายไปพักใหญ่ จนกลายสถานประกอบการต้องพังลงไป

Random ชีวิตที่ ‘ซานฟรานซิสโก’ (San Francisco) 

เมืองดังที่ใคร ๆ ก็รู้จัก!! อยู่ในฉากหนังมากมาย โดดเด่นสุดเห็นจะเป็นแลนด์มาร์ก “The Must” ที่ทุกคนต้องถ่ายรูปด้วยเมื่อไปถึงก็คือ “สะพานแดง Golden Gate” ทอดตัวยาวแข็งแรงอยู่ในเวิ้งอ่าวนั่นเอง แล้วก็ถ้ามีโอกาสก็นั่งรถรางทรงวินเทจเล่นชมเมือง ขึ้นลงตามถนนซึ่งบางช่วงชันมาก ต้องเรียกว่า mighty hill เลยแหละ เพราะบางจุดชันมาก แต่ก็ยังอุตส่าห์เห็นคนเมืองนี้บางคนวิ่งออกกำลังกายขึ้นลงทรมานสังขารตนเอง ประหนึ่งซ้อมขาไว้ลงแข่งมาราธอนระดับชาติก็ไม่ปาน บ้านเรือนส่วนใหญ่ปลูกสร้างบนเนินและไหล่เขา เรียงรายกันไป ความสูงไม่เกินห้าหกชั้น ยกเว้นใจกลางเมืองจริง ๆ ที่มีตึกสูงเกินสิบชั้นขึ้นไปกระจุกกันอยู่ เมืองงามเห็นวิวสวยจากหลายมุม เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองนี่ล่ะ

ครั้งหนึ่งเคยไปเยือนอิสตันบูล แล้วเผลอไปคิดถึงความคล้ายกับซานฟรานซิสโก คราวนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ก็ยังคงยืนยันความรู้สึกถึงความเหมือนที่แตกต่างของสองเมืองนี้อยู่ดี... 

ผมปั่นจักรยานเดินทางท่องเที่ยว รอนแรมแล้วร่วมเดือน เมื่อถึงซานฟรานจึงถือโอกาสพักน่อง ใช้เวลาที่เมืองนี้ห้าวัน โดยสองวันแรกพักที่บ้านเพื่อนของเพื่อน อีกสามวันย้ายไปพักที่ Adelaide hostel ถือว่าเป็นโฮสเทลราคาถูกย่านใจกลางเมือง (“ถูก” ในที่นี้ก็คือเทียบเป็นเงินไทยก็ยังตกวันละพันบาท) ได้เตียงล่างในห้องพักแบบรวมสิบเตียง ชื่อห้องนั้นคือ Alcatraz พนักงาน Reception บอกแบบนั้นตอนเช็กอิน ผมหัวเราะร่าขบขัน เพราะมันคือชื่อคุกเก่ากลางอ่าวซานฟรานนั่นเอง 

ตามสไตล์โฮสเทลโดยทั่วไป คือเขาจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้สอยร่วมกัน มีห้องนั่งเล่นนั่งทำงาน ห้องครัวที่สามารถซื้ออาหารสดมาทำเมนูโปรด ห้องน้ำห้องส้วมก็รวมเช่นกัน เพื่อนร่วมโฮสเทลประกอบด้วยคนหลายวัยหลากสัญชาติ ดูเหมือนบางคนเพิ่งมาถึงประเทศนี้และกำลังหางานทำอยู่ก็มี บ้างมาพักเพื่อออกไปปาร์ตี้ตอนกลางคืนโดยเฉพาะก็มี บางคนมาพักเพื่อรอเดินทาง ต่างคนต่างมีวัตถุประสงค์ของการเดินทางที่แตกต่างกัน  

เนื่องจากไม่ได้มีเวลาถมถืด แถมค่าครองชีพในเมืองใหญ่เช่นนี้ก็แพงหูฉี่ ผมจึงพยายามใช้เวลาให้คุ้ม ทำตัวเป็น “ทัวร์ลิสต์” เก็บรายละเอียดเมืองเท่าที่ทำได้ รู้ว่ายังไม่เข้าถึง “หัวใจ” ของเมืองนี้หรอก เพราะเมืองใหญ่แบบนี้จำเป็นต้องอยู่ให้นานมากพอจึงจะเข้าใจเขา 

การสำรวจเมืองทำแบบ Random ไม่ได้เจาะจงลงไปว่าต้องการไปไหนบ้าง แค่ “ปักหมุด” ต่าง ๆ ว่าจะไปไหนแล้วก็ปั่นจักรยานเที่ยวแบบบางทีหลงทิศหลงทางบ้าง จนถึงจุดที่ปักหมุดไว้นั่นแหละ เช่น จะไปร้านจักรยานเพราะต้องหาอะไหล่สำรอง ก็หาพิกัดใน Google Maps เอา (เจ้า Google Maps พาหลงบ้างอยู่เหมือนกัน) หรือไป Grocery Outlet เพื่อซื้ออาหารสดแห้ง หรือไปสะพาน Golden gate เพื่อหามุมถ่ายรูป หรือไป Dutch windmill ซึ่งอยู่ริมหาดสุดเมือง ประมาณนั้น 

ทำแบบนี้ก็สนุกดี เพราะไม่ต้องกะเกณฑ์กิจกรรมมากเกินจำเป็น ไปเดินแกร่วเล่นแถว Chinatown ก็สนุกดีครับ หายคิดถึงอะไรต่อมิอะไรแบบเอเชียได้เยอะเลย เอกลักษณ์ของความเป็นโลกตะวันออกยังคงโดดเด่นแม้จะมาลงหลักปักฐานฝั่งตะวันตกแล้วก็ตาม 

อย่างคุณตานั่งสีซอริมทางเท้า สินค้าประดามีล้วนแตกต่างจากสิ่งของแบบฝรั่ง ผักบุ้งผักกระเฉด สารพัดพืชผัก ปลาดุกปลาช่อน ปลาแห้งหมึกแห้งก็มี บะหมี่หลากสัญชาติ ข้าวหอมมะลิ น้ำปลา ปลาร้า พะเรอเกวียน ร้านอาหารจีน ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนามกระจุกกันอยู่ในย่านนี้ นักท่องเที่ยวเดินเบียดเสียดปะปนกับอาซิ้มอาม่าอากงทั้งหลาย เด็กหน้าตาตี๋หมวยเดินพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันปร๋อเพราะเกิดและเติบโตที่นี่  

สานฝัน ณ ‘ซานดิเอโก’ (San Diego) เมืองทะเลใกล้ LA ที่ต้องไปเยือน!!

อเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วย 50 รัฐ ซึ่งหลายรัฐเมื่อเทียบขนาดแล้วก็พอ ๆ กันหรือใหญ่กว่าประเทศไทย ส่วนใหญ่คนไทยรู้จักเพียงไม่กี่รัฐ หนึ่งในนั้นคือแคลิฟอร์เนีย โดยเมืองซึ่งขึ้นชื่อมาก ก็คือ ‘ลอสแอนเจลิส’ แต่แคลิฟอร์เนียมีดีมากกว่านั้น มีเมืองและสถานที่สวยงามน่าสนใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน 

เมืองท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนอเมริกันด้วยกันเองและคนต่างชาติ คือ เมืองพักร้อนตากอากาศริมทะเลฝั่งแปซิฟิกนาม “ซานดิเอโก” (San Diego) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่เกือบสุดปลาย ใกล้ชายแดนประเทศเม็กซิโก

เนื่องจากพิกัดอยู่ตอนใต้และติดทะเล ดังนั้นสภาพอากาศจึงค่อนข้างเอื้อต่อการอยู่อาศัยและมาพักผ่อน ไม่ร้อนหรือหนาวจัด ความชื้นฝนฟ้าก็ไม่มากด้วย จึงมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ถือว่าเป็นเมืองที่เหมาะมากสำหรับทั้งคนที่มาเที่ยวคนเดียว เป็นคู่ หรือครอบครัวที่พาลูก ๆ มาด้วย เพราะมีสถานที่และกิจกรรมหลากหลายให้ไปชมและทำกันนั่นเอง

ข้อดีอย่างแรกของซานดิเอโก ก็คือมีสนามบินนานาชาติขนาดกะทัดรัด (พอ ๆ กับสนามบินเชียงใหม่) และตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง การเข้าเมืองจึงง่ายและสะดวกรวดเร็ว มีเที่ยวบินของบางสายการบิน เช่น เจแปนแอร์ไลนส์ บินจากไทยมาลงที่นี่ (เปลี่ยนไฟลต์ที่นาริตะ) เมื่อมาถึงไม่ต้องเสียเวลาเบียดเสียดต่อแถวยาวที่ช่องตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้ซักถามมากความเหมือนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแห่งสนามบินลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสนามบินขนาดใหญ่กว่ามาก ความเสี่ยงที่จะโดนเจ้าหน้าที่เขาปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศจึงน้อยกว่ามาก ระเบียบของประเทศนี้ก็คือแม้จะมีวีซ่าอยู่ในพาสปอร์ตแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้การันตีว่าจะได้เข้าประเทศ เพราะยังคงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตรวจคนเข้าเมืองเขาล่ะ หรือหากจะเดินทางมาจากลอสแอนเจลิสก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขับรถส่วนตัวกันมาบนทางด่วนใช้เวลาแค่ราว 2-3 ชั่วโมง หรือโดยสารรถบัสรถไฟก็สะดวกมากเช่นกัน คล้ายขับรถจากกรุงเทพไปหัวหินประมาณนั้น

สำหรับที่พักนั้น คนมีสตางค์ก็จองและเข้าพักตามโรงแรมหรือโมเต็ลกันตามสะดวก แต่นักเดินทางแบกเป้ รวมถึงมนุษย์โลโซอาจจะมีทางเลือกน้อยกว่า อเมริกาไม่ได้มีวัฒนธรรมโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์เหมือนประเทศอื่นใดบนโลกใบนี้ ซึ่งแทบทุกประเทศล้วนมีอ็อปชันราคาย่อมเยานี้กันแทบทั้งนั้น ยังดีที่เมืองซานดิเอโกยังพอจะมีโฮสเทลอยู่แห่งสองแห่งให้นักท่องเที่ยวทุนต่ำเลือกพักบ้าง

“Machu Picchu” มหัศจรรย์! อารยธรรมอินคา มรดก ‘โลก’ ไม่ลืม

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น! นี่เองกระมัง ที่เป็นสาเหตุทำให้ผู้คนออกเดินทางกัน เพราะไม่ว่าจะได้เห็นภาพถ่ายหรือฟังเรื่องเล่ามากมาย อย่างไรเสียก็สู้เอาตัวเองไปอยู่ ณ สถานที่จริงไม่ได้ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ขึ้นชื่อระดับโลกและอยู่ในรายการมรดกโลกของยูเนสโกแห่งหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีโอกาสได้เยือนได้ก็นับว่ายิ่งกว่าคุ้มมาก คือ “มาชูปิกชู” นั่นเอง!! 

วิธีเดินทางง่ายที่สุด คือเดินทางไปยังเมืองกุสโก จากนั้นจับรถไฟท่องเที่ยวไปยังมาชูปิกชู (ความจริง รถไฟไปถึงเมืองเล็กอยู่ตีนเขาชื่ออากวาสกาเลียนเต แปลว่าน้ำพุร้อน) หรือถ้าประหยัดหน่อยก็นั่งรถบัสเอาก็ได้ มนุษย์ฮาร์ดคอร์ใช้วิธีเดินเท้าเทร็กกิ้งจากเมืองกุสโกเพื่อไปยังมาชูปิกชูก็มี 

ถ้าจะเปรียบเทียบกับโบราณสถานสำคัญอื่น ๆ แล้ว “มาชูปิกชู” ถือว่าอายุน้อยกว่าบรรดาพีระมิดหรือกระทั่งนครวัด เพราะสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยชาวอินคา เป็นอาณาจักรรุ่งเรืองอยู่แถบเทือกเขาแอนดีสแห่งทวีปอเมริกาใต้ เมื่อพวกล่าอาณานิคมอย่างสเปนบุกเข้ามาก็ทำลายเมืองเสียราบคาบ ผู้คนล้มตายหรือหนีเอาตัวรอด ทิ้งเมืองให้รกร้างเป็นซาก จนกระทั่งในปีค.ศ. 1911 นักสำรวจชาวอเมริกันชื่อไฮแรม บิงแฮมมาพบเข้าโดยบังเอิญ เพราะความตั้งใจเริ่มแรกคือต้องการค้นหาโบราณสถานอีกแห่งที่ชื่อว่าวิลคาบัมบาต่างหาก เขานำออกเผยแพร่สู่สาธารณะ จุดนั้นเอง ทำให้มาชูปิกชูกลับมาได้รับความสนใจอย่างเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง 

ชัยภูมิที่ตั้งมีส่วนส่งเสริมให้มาชูปิกชูเป็นดินแดนมหัศจรรย์ ค่าที่ตั้งอยู่บนภูเขาความสูงพอเหมาะพอเจาะ (เกือบสูงเท่ายอดอินทนนท์) ซึ่งเห็นวิวระดับร้อยล้านแบบพาโนรามา ด้านล่างหุบเป็นแม่น้ำและมีเมืองเล็กซึ่งมีโรงแรมร้านค้ารองรับนักท่องเที่ยวสะดวกสบาย อากาศเย็นสบาย แถมยังมีน้ำพุร้อนด้วย ช่างเพอร์เฟกต์อะไรเช่นนี้ แม้ค่าเข้าชมจะแพงโข แต่นักท่องเที่ยวก็ยอมจ่ายเงินเพียงเพื่อจะมีโอกาสได้เข้าชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

คนที่นิยมเดินหรือวิ่ง ก็จะลัดเลาะเส้นทางธรรมชาติซึ่งมีขั้นบันได เพลินมาก พักเหนื่อยเป็นระยะ ๆ แล้วเดินต่อ มีชาวบ้านดักขายน้ำดื่มน้ำอัดลมอยู่เป็นระยะ ๆ ความชันน่าจะพอ ๆ กับการเดินเทรลขึ้นดอยสุเทพ ส่วนคนที่ต้องการสบายหน่อยก็ใช้บริการรถบัส แต่อาจจะต้องต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วและรอขึ้นรถโดยสารนานหน่อย คนมหาศาลล้านแปดมากในแต่ละวัน ถึงทางเข้ามีการเช็กตั๋วเคร่งครัดประหนึ่งการตรวจคนเข้าเมือง ผู้คนก็เรียงแถวกัน ค่อย ๆ เบียดเสียดเข้าไป ผ่านจุดคอขวดจึงสามารถกระจายกันออกสู่พื้นที่กว้างขวางของอุทยานประวัติศาสตร์นี้

คนเข้าชมมากมายขนาดนี้จึงยากที่จะถ่ายรูปแบบไม่มีมนุษย์ใด ๆ เข้าร่วมฉาก จึงอาจจะดีกว่าที่จะหามุมเก๋ ๆในการถ่ายบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย บางทีตัวเราเองอาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในฉากในกล้องเสมอไปก็ได้ จริงไหม

คนที่ไปกับไกด์ก็จะได้รับฟังข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียดแต่ละจุดภายในอุทยานประวัติศาสตร์นี้ หรืออาจจะเนียนไปเงี่ยหูร่วมฟังด้วยก็ได้ในกรณีที่ไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์ แต่อยากทราบเรื่องราว อันที่จริง ปัจจุบันนี้ก็มีข้อมูลมากมายบนโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจจะตุนข้อมูลไว้ล่วงหน้าหรือหาเพิ่มเติมหลังไปเยือนเรียบร้อยแล้วก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด

ส่วนคนที่ไม่ได้สนใจที่มาที่ไป ก็เพลิดเพลินได้กับการหามุมเซลฟี่เพื่อโพสต์ขึ้นโซเชียลอวดและให้ชาวโลกพากันอิจฉาเล่น ๆ

ฟ้าจรดเกลือ “Salar de Uyuni” (ซาลาร์ เดอ อูยูนี) ‘ทะเลสาบเกลือสุดอัศจรรย์’ ที่ใหญ่และสวยที่สุดในโลก!!

ในกลุ่มคนซึ่งชื่นชอบการท่องเที่ยวผจญภัยน้อยคนนักที่ไม่รู้จักทะเลสาบเกลืออันเลื่องชื่อระดับโลก นาม “อูยูนี” Salar de Uyuni (ซาลาร์ เดอ อูยูนี) จัดว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องจัดให้อยู่ในโปรแกรมทัวร์เมื่อไปถึงประเทศโบลิเวีย ซึ่งเป็นประเทศที่จัดว่ายังดิบมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ประชากรเกือบทั้งประเทศยังคงเป็นคนพื้นเมืองแห่งเทือกเขาแอนดีส ซึ่งค่อนข้างต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างชิลี อาร์เจนตินา หรือเปรู ที่ประชากรลูกหลานคนขาวตกค้างยุคล่าอาณานิคมยังครองเมืองกันอยู่ ที่สำคัญผู้นำประเทศโบลิเวียคนปัจจุบันก็เป็นชนพื้นเมืองอีกด้วย

จะว่าสะดวกสบายก็ใช่ จะว่าลำบากก็ประมาณหนึ่ง เพราะพื้นที่โดยรอบทะเลสาบเกลือคุ้นเคยและรองรับการท่องเที่ยวได้ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ใช่ว่าไปถึงเมืองต้นทางสำหรับทัวร์ทะเลสาบเกลืออูยูนีแล้วทุกอย่างจะหรูหรา คนเดินทางยังจำเป็นต้องเตรียมใจและเผื่อใจไว้ให้กับกรณีไม่คาดฝัน ถ้าคาดหวังความสะดวกสบายทุกอย่างก็ไปเที่ยวเวนิซ ซานฟรานซิสโก หรือกรุงลอนดอนน่าจะดีกว่า

อูยูนียังคงความไกลปืนเที่ยง ให้ความรู้สึกว่าได้ผจญภัยในดินแดนอันไกลโพ้น แต่เพิ่มเติมคือยังพอจะมีความสะดวกสบายพอสมควร ดังนั้น เท่าที่มีอยู่สมควรนับว่าหรูแล้ว เพราะในพื้นที่ห่างไกลจากทุกสิ่งบนความสูงหลายพันเมตรเช่นนี้สิ่งสามัญพึงเรียกว่าเป็นสิ่งพิเศษแล้ว

เมืองที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายมักไปตั้งต้นการเที่ยวรอบทะเลสาบเกลือ คือเมืองหน้าตามอมแมมชื่อเดียวกับทะเลสาบ คือ “อูยูนี” นั่นเอง เมืองนี้ห่างจากลาปาซเมืองหลวงราว 185 ไมล์ นั่งรถตู้ก็ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง มีโฮสเทลและโรงแรมมากพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ทุนต่ำแบ็กแพ็กเกอร์ ไปจนถึงคนมีสตางค์ที่ยอมลดความสะดวกสบายพักตามโรงแรมสองดาวสามดาว ร้านอาหาร ร้านค้าที่ระลึก ผับบาร์เป็นสถานบันเทิงที่ลูกค้าคือคนต่างชาติเป็นหลัก คนท้องถิ่นเขาก็จับจ่ายและหาความบันเทิงตามแบบชาวบ้าน ตลาดและร้านค้าโดยรอบขายสินค้าที่ส่วนใหญ่น่าจะผลิตจากจีน ราคาจึงค่อนข้างถูก 

ส่วนคุณภาพว่ากันอีกเรื่อง นักเดินทางที่ต้องการประหยัดมักอุดหนุนแม่ค้าขายอาหารจำพวกทอดริมทางหรือที่ตลาดสด ได้ทั้งปริมาณและสนนราคาไม่แพงอีกด้วย การได้เดินตลาดยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้สังเกตวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ดูว่าพวกเขาแต่งกายกันอย่างไร แฟชั่นประจำถิ่นเป็นอย่างไร คนเขากินอะไร นิยมชมชอบดนตรีแบบไหนบ้าง ชอบซื้อหาจับจ่ายอะไรกันบ้าง เหล่านี้ล้วนพบได้ตามท้องถนนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดนั่นเอง 

แค่พ้นเขตเมืองก็กลายเป็นพื้นที่ทุ่งราบสูงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มวลเมฆลอยอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าเหนือเทือกเขาซึ่งมองเห็นได้แต่ไกล ในขณะที่เงาตกกระทบบนผิวน้ำเค็มตื้นเขินซึ่งเต็มไปด้วยเกลือสีขาวปริมาณมหาศาลนั้นเป็นฉากแปลกตาแบบที่ยากจะเจอในพื้นที่อื่นบนผิวโลกใบนี้ บางจุดสามารถถ่ายภาพแล้วเสมือนหนึ่งคนและพาหนะต่าง ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำ จะสรรหาความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพหลอกตาว่าคนตัวใหญ่กว่ารถยนต์หรือตามแต่ไอเดียจะบรรเจิด เรียกว่าทะเลสาบเกลืออูยูนีเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นของพวกผู้ใหญ่นิยมท่องโลกทั้งหลายล่ะ 

นักท่องเที่ยวที่ไม่มีพาหนะมักเลือกทัวร์ตั้งแต่ไปเช้าเย็นกลับ ไปจนถึงสี่ห้าวันก็มี แม้จะต้องจ่ายแพงกว่า แต่ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าในแง่ที่ไกด์กับคนขับรถรู้จักพื้นที่ดีมากพอที่จะไปแวะจอดตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่น่าสนใจทั้งหลาย พร้อมกับอธิบายที่มาที่ไปของสถานที่เหล่านั้น รู้ว่าจะต้องพาไปถ่ายรูปที่ไหนอย่างไรบ้างจึงจะได้ภาพว้าว ๆ ประเภทอวดชาวโลกได้ 

ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเอง ไม่ว่าจะปั่นจักรยาน ขับมอเตอร์ไซค์ หรือขับรถยนต์เองสามารถจัดเส้นทางสำรวจทะเลสาบเกลือได้ตามอำเภอใจ จะพักแรมบนกองเกลือหรือหมู่บ้านริมทะเลสาบที่มีบ้านพักซึ่งทำจากก้อนเกลือก็ได้ นับว่าได้ประสบการณ์สุดพิเศษ เห็นว่าเกลือมีคุณสมบัติสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ด้วย เช่นโรคหอบหืด เป็นต้น 

พื้นที่โดยรอบทะเลสาบยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เช่นสัตว์ป่าตระกูลเดียวกับอัลปาก้าและลามา (อันที่จริงถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่า “ยามา”) วิ่งเร็ว ทว่าแสนเชื่องช้าเมื่อรู้ว่าห่างจากมนุษย์มากพอ วิวทิวทัศน์เวิ้งว้างแห้งแล้ง ทุ่งหญ้าแห้งแล้งเหลืองน้ำตาล ภูเขาสูงยอดหิมะคลุมมองเห็นลิบไกล เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ทำให้อูยูนี น่ามาเยือนและค้นหาเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งหนึ่งในชีวิต หากมีโอกาส ลองจัดโปรแกรมท่องเที่ยวทวีปอเมริกาใต้ บรรจุประเทศโบลิเวียลงไปด้วย แล้วก็อย่าพลาดไปเยือนทะเลสาบเกลืออูยูนีด้วยตัวเองสักครั้งล่ะ รับรอง ไม่ผิดหวังแน่นอน! 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top