Road trip UTAH

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยห้าสิบรัฐ พื้นที่แต่ละรัฐกว้างพอ ๆ หรืออาจจะกว้างกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ 

ดังนั้น ความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศจึงมากตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ชายทะเลทั้งฝั่งแอตแลนติกและแปซิฟิก ทะเลทราย เทือกเขาสูงทอดตัวยาว ภูเขาหิมะ ทุ่งหญ้า ป่าหลากประเภท มีบริเวณอากาศร้อนชื้นไปจนถึงหนาวจัดสุดขั้วก็มี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายจึงกระจายทั่วประเทศ นักเดินทางต่างจึงมีทางเลือกเยอะมากในการปักหมุดหมายตามความชอบความต้องการ รวมถึงปริมาณเวลาว่างที่มี

  
ช่วงก่อนหน้านี้สามสี่เดือน ผมเดินทางในอเมริกาด้วยจักรยาน ปั่นท่องเที่ยวเลาะไปตามชายฝั่งทะเลแปซิฟิกในรัฐแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และรัฐวอชิงตัน อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ สลับสับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาเป็นการขับรถเที่ยวดูบ้าง พอดีรู้จักกับเพื่อนสองคนซึ่งปกติอยู่ไทย แต่กลับมาเที่ยวที่นี่ จึงเป็นเรื่องประจวบเหมาะ ชักชวนกันทำโร้ดทริป 

‘เน้ท’ เป็นคนอเมริกัน บ้านอยู่ที่โคโลราโด (และที่เชียงใหม่) ส่วน ‘เยา’ ผู้เป็นภรรยานั้นคือสาวไทย นัดแนะกันว่าจะพบกันที่บ้านพวกเขาบนเทือกเขาร็อกกี้ในรัฐโคโลราโด แล้วจะขับรถไปเที่ยวรัฐยูทาห์ซึ่งอยู่ติดกัน (พื้นที่ทางตอนกลางของสหรัฐ) 

มนต์เสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายจึงเริ่มต้นขึ้น จุดหมายปลายทางคือ อุทยานแห่งชาติอันเลื่องชื่อ อย่างอุทยานแห่งชาติ Arches National Park นั่นเอง 

จะว่าไป ส่วนตัว ผมไม่ได้รู้จักพื้นที่แถบนี้ดีเท่าไหร่นัก อารมณ์จับพลัดจับผลูได้มาเที่ยวเพราะมีเพื่อนเป็นคนแถวนี้มากกว่า ข้อดีก็คือไม่ต้องวางแผนการกินการนอน ไม่ต้องค้นหาว่าจะไปแวะเที่ยวที่ไหนบ้างระหว่างทาง สบายไปแปดอย่างสิบอย่างเพราะมีเพื่อนเป็นมัคคุเทศก์นำทางนั่นเอง


ทริปสบาย ๆ แบบไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก เห็นอะไรสวยก็จอดแวะดูแวะถ่ายรูป คนขับง่วงก็หลบริมทางงีบ คุยสัพเพเหระอะไรกันไปขณะอยู่ในรถ โดยมีวิวสวยสองข้างทางสร้างความรื่นรมย์ ยิ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้พวกต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันประชันขันแข่งสีสันสดใส สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่คนพบเห็น

ข้อดีของอเมริกาอย่างหนึ่ง คือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจัดสรรลานพักแรมกระจายอยู่ทั่วไปให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งพวกที่ขับรถบ้าน รถกระบะหรือเก๋ง นักบิดมอเตอร์ไซค์ นักปั่นจักรยาน รวมถึงคนแบกเป้ทั้งหลายด้วย นับเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง พวกเราจึงมักอาศัยพักแรมตามลานกางเต็นท์ประเภทนี้ ไม่ก็หาพื้นที่หลบมุมกางเต็นท์ด้วยบ้างเช่นกัน 

แวะเที่ยวไปเรื่อย ทำให้กว่าจะถึงจุดหมายก็ปาเข้าไปสองวัน เมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ Arches National Park คือเมืองโมอับ เป็นเมืองเล็ก แต่ความสะดวกสบายครบครันตามแบบฉบับเมืองที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านค้าร้านอาหาร (มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย) ร้านขายของที่ระลึก โรงแรมหลายระดับ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ก็มีด้วย พวกเราไม่ได้เลือกพักโรมแรม ส่วนหนึ่งเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และไหน ๆ ก็แบกเต็นท์ เครื่องนอน เตาไฟ สำรับอาหารสดอาหารแห้งกันมาเกือบเต็มคันรถ ไฉนจึงไม่หาที่พักแรมสวยๆ ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งดีกว่านอนในห้องหับกว่ากันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ

ภายในอุทยานแห่งชาติเห็นว่ามีลานพักแรมแห่งเดียวและต้องทำการจองล่วงหน้า ในขณะพื้นที่ข้างนอกโดยรอบมีลานกางเต็นท์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุบเขาเลียบไปตามแม่น้ำโคโลราโด พวกเราขับรถวนหาดู เกือบค่ำจึงได้จุดหนึ่ง ชำระเงินแล้วก็สยายข้าวของกันในจุดที่เลือกนั้น บรรยากาศดีมาก เพราะอยู่ติดแม่น้ำ มองขึ้นไปเห็นหน้าผาสูงชันตระหง่านสีน้ำตาลแดง รถราสัญจรแต่เพียงเบาบาง จึงรู้สึกสงบ อากาศเย็นเกือบหนาวทำให้ต้องใส่เสื้อกันหนาวและก่อไฟเพื่อความอบอุ่น ฝนโปรยมาบ้างเล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด หุงหาทานอาหารเย็นกันเสร็จ คุยกันต่ออีกนิดก็แยกย้ายกันมุดเต็นท์ตัวเอง

รุ่งเช้า ตื่นเช้า แต่ไม่รีบร้อน ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องรีบ ไม่ต้องกระหืดกระหอบ วิถีสโลว์ไลฟ์แบบนี้คู่ควรกับช่วงเวลาเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง อาหารเช้าง่ายๆ อย่างกาแฟสด บดและดริป จิบช้าๆ  กินขนมปังทาเนย แยม ไข่คนนิดหน่อย ขณะเดียวกันก็เลือกหัวข้อเบาๆ มาถกกัน รอตะวันโด่ง จึงเตรียมตัวออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ
เนื่องจากยังเป็นหน้าท่องเที่ยวอยู่ รถราจึงออกันหน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติ 

แต่ละวันทางอุทยานจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว ทำให้พวกเราชวด เพราะวันนั้นนักท่องเที่ยวเต็มแล้ว จึงจำเป็นต้องหันหลังกลับอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิ่งน่าสนใจด้านนอกอุทยาน เพราะยังคงมีเส้นทางเดินป่า (เทรล) อีกหลายจุดให้เลือกเที่ยวได้อยู่ 

พวกเราตัดสินใจเลือกเทรลที่ไม่ยากและไม่ไกล กะกันว่าเดินช้าๆ เพลินๆ คุยกันไปด้วย แวะถ่ายรูปไปด้วยสัก 3-4 ชั่วโมงกำลังดี เตรียมอาหารกลางวันและน้ำดื่มไปด้วย โดยมีนักท่องเที่ยวอื่นๆ เลือกเดินเทรลเดียวกันบ้าง ไม่หนาตาหรือเบียดเสียดแออัดให้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด 

ความงามของสถานที่ งานสถาปัตยกรรมตามธรรมชาติ ลำธารเล็กน้ำใสไหลผ่านหุบ ล้วนสร้างความเพลิดเพลิน ความงดงามหมดจดและยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมักทำให้มนุษย์กลับมาทบทวนตัวเอง ตระหนักว่าแท้จริงแล้วเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย เป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ หาได้เป็น “เจ้าโลก” แต่อย่างใดไม่ 

เดินเที่ยวจนหนำใจ ผ่านไปอีกวัน บ่ายแก่ขับรถเข้าไปเดินเล่นดูโน้นนี้ในเมืองโมอับ ค่าที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ บ้านเรือนสร้างไม่เกินสองชั้น ถนนผ่ากลางเมือง อารมณ์คล้ายเมืองคาวบอยทันสมัย ใช้เวลาพักใหญ่ก็กลับมาพักผ่อน เตรียมทำอาหารเย็นทานกัน ชีวิตที่ไม่ต้องห่วงงานหรือยุ่งกับเรื่องอะไรต่อมิอะไรชวนปวดหัวนี่ช่างดีเสียจริงๆ

รุ่งเช้าวันใหม่ ไก่ยังไม่ทันโห่ ก็รีบพากันตื่น เหตุผลเพราะไม่อยากพลาดการเข้าชมจุดท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติเหมือนเมื่อวาน หลังจากจ่ายค่าเข้าบริเวณด่านด้านหน้า ก็ขับขึ้นเขา 

แสงยามเช้าค่อยๆ ปรากฎ ภูมิทัศน์โดยรอบเริ่มชัดเจนขึ้นตามปริมาณแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ การผสมผสานกันระหว่างแสงยามเช้ากับสีแดงสดของหินทราย รวมถึงแท่งหินรูปทรงประหลาดเกิดจากการกัดกร่อนผ่านกาลเวลายาวนาน ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ผู้คนที่เห็นตกตะลึง 

อันที่จริง ชื่อของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ก็มาจากลักษณะของพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโค้งหิน (สะพานหิน) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นับรวมๆ กันได้ราวสองพันแห่ง เรียกได้ว่าปริมาณสะพานหินมากที่สุดในสหรัฐ เผลอๆ อาจจะมากที่สุดในโลกเลยก็เป็นได้ 

ทางการทำแผนที่แจกว่าสามารถไปแวะที่ไหนได้บ้างตลอดเส้นทางหลายสิบกิโลเมตรภายในอุทยาน ถ้าจะเที่ยวให้ครบคงต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์เลยทีเดียว แต่พวกเราเพียงแค่ต้องชมไฮไลต์หลักๆ จึงเลือกเพียงบางแห่ง 

นักท่องเที่ยวค่อนข้างคลาคล่ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก สมแล้วกับความอลังการที่ต้องมาเห็นด้วยตัวเองเมื่อมีโอกาส นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้มาเที่ยวให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยล่ะ 

โร้ดทริปจบลงแล้ว ผู้ร่วมทริปแยกย้ายกัน แต่พวกเรายังสัญญา ว่าจะหาโอกาสเหมาะ ๆ จัดทริปกันแบบนี้อีก สักครั้ง...สักหลาย ๆ ครั้ง


👍 ติดตามผลงาน อาจารย์สว่าง ทองดี เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/สว่าง%20ทองดี