Friday, 29 March 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

เปิดเรื่องราว ‘Genepil’ ราชินีองค์สุดท้ายแห่งดินแดนมองโกเลีย สู่แรงบันดาลใจชุดเจ้าหญิง ‘Padmé’ ในภาพยนตร์ Star Wars


อดีตราชอาณาจักรมองโกเลีย ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ สาธารณรัฐมองโกเลีย ซึ่งได้รับเอกราชจากสาธารณรัฐจีนในปี 1911 และเขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย Genepil (เกอเนอพิล) เป็นพระชายาองค์ที่ 2 ของ Bogd Khanate (Bogd Khan : ผู้ปกครองผู้ศักดิ์สิทธิ์) กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมองโกเลีย (มองโกลข่านองค์สุดท้าย) ระหว่างปี 1911 ถึง 1924 

ในปี 1921 มองโกเลียเกิดการปฏิวัติของตนเองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติรัสเซีย ทำให้ Bogd Khanate ถูกกักบริเวณในวัง ในเวลาต่อมาได้รับอิสรภาพและกลับคืนสู่สถานะเดิม แต่ก็เป็นผู้ปกครองเพียงแต่ในนามเท่านั้น 

สำหรับ Genepil เป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนาง เธอเกิดในปี 1905 ที่เมือง Tseyenpil ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมองโกเลียไม่ไกลจาก Baldan Bereeven อารามที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในมองโกเลีย 


หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินี Dondogdulam ในปี 1923 Genepil ได้รับเลือกให้เป็นพระมเหสีจากกลุ่มสตรีชาวมองโกเลียที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 20 ปี ซึ่งได้รับการเลือกโดยคณะองคมนตรีของกษัตริย์ Bogd Khanate แม้ว่าขณะนั้น Genepil ได้สมรสกับชายชาวมองโกเลียชื่อ Luvsandamba อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการเป็นพระชายาของกษัตริย์ Bogd Khanate นั้นเป็นไปในนามเท่านั้น และการอภิเษกสมรสก็จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อถูกนำตัวไปที่พระราชวัง Genepil ได้รับการบอกเล่าถึงชะตากรรมของเธอเมื่อเธอมาถึงพร้อมกับคำรับรองขององคมนตรีว่า ในไม่ช้าเธอจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้เนื่องจาก Bogd Khanate เองทรงมีสุขภาพไม่ดี


แต่ Genepil ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีได้ไม่ครบปี กษัตริย์ Bogd Khanate ก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1924 ซึ่งเป็นช่วงที่ระบอบกษัตริย์ของมองโกเลียถูกยกเลิก เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย (ระหว่างปี 1924 ถึง 1992) อันเนื่องจากการเข้ามาแทรกแซงของสหภาพโซเวียต หลังจากออกจากราชสำนักมองโกเลีย อดีตราชินี Genepil ต้องกลับไปอยู่ครอบครัวของพระนาง 


ต่อมารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียในในช่วงทศวรรษที่ 1930 ภายใต้จอมพล Khorloogiin Choibalsan ผู้นำมองโกเลียและจอมพลแห่งกองทัพประชาชนมองโกเลีย ผู้ได้รับฉายาว่า 'Stalin' แห่งมองโกเลีย' ได้ดำเนินการปราบปรามกวาดล้างบรรดาผู้เห็นต่างลัทธิคอมมิวนิสต์ตามระบบสตาลินเพื่อกำจัดวัฒนธรรมมองโกเลียและส่วนที่เหลือของระบอบการปกครองเก่า 

ปฏิบัติการอันโหดร้ายนี้ส่งผลให้บรรดาหมอผีและลามะในมองโกเลียถูกกวาดล้างไปจนเกือบหมด ประมาณการว่ามี ‘ศัตรูของการปฏิวัติ’ ระหว่าง 20,000 ถึง 35,000 รายถูกประหารชีวิตในช่วงเวลานี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 ของประชากรทั้งหมดของมองโกเลียในขณะนั้น 

และในปี 1937 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า อดีตราชินี Genepil และพรรคพวกได้ทำการรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อก่อการจลาจลโดยได้รับความช่วยเหลือจากจักรววรดิญี่ปุ่น ต่อมาเธอถูกจับกุมและประหารชีวิตในปี 1938 ในขณะที่เธอถูกประหารชีวิตนั้น เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่


ทั้งนี้ เครื่องแต่งกายของ Genepil ถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของเจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ในภาพยนตร์ Star Wars (Star Wars : The Phantom Menace) จากภาพลักษณ์ของสตรีชาวมองโกเลียในปี 1921 ซึ่งน่าจะเป็นอดีตราชินี Genepil นั่นเอง 

ซึ่งในภาพยนตร์ Star Wars เจ้าหญิง Padmé Amidala ผู้เป็นราชินีแห่ง Naboo และวุฒิสมาชิกแห่งวุฒิสภา Galactic ด้วย เธอได้แต่งงานกับ Anakin Skywalker (Darth Vader) ผู้เป็นบิดาของ Luke Skywalker ดังนั้นเธอจึงเป็นมารดาของ Luke พระเอกของภาพยนตร์ Star Wars เธอเสียชีวิตในขณะที่ให้กำเนิดลูกแฝด Luke Skywalker และ Leia Organa เธอเป็นแรงกระตุ้นให้ Anakin Skywalker เข้าไปสู่ด้านมืดของพลัง และในที่สุดกลายเป็น Darth Vader ไป

ทั้งนี้ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งรับบทโดย Natalie Portman สวมชุดสีแดงสดสะดุดตาที่มีแขนเสื้อกว้างและเครื่องประดับศีรษะที่แวววาวซึ่งชวนให้นึกถึงเขาวัว ชุดนี้เป็นหนึ่งในชุดยอดนิยมของผู้ที่ชื่นชอบแต่ง Cosplay ภาพยนตร์ Star Wars มาก และนักออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ Star Wars ก็ยอมรับว่า พวกเขาได้เห็นเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของทิเบตและมองโกเลีย จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกสุนทรีย์ที่ให้ความรู้สึกแบบเอเชีย


แม้ว่า มองโกเลียจึงได้รับเอกราชจากจีนในปี 1911 ได้สำเร็จ แต่ก็ถูกแบ่ง 2 ส่วน ด้วยอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ซึ่งส่งกองทหารเข้ามายังมองโกเลียตั้งรัฐบาลใหม่แล้วบังคับให้ชาวมองโกเลียเลิกใช้อักษรมองโกเลีย โดยเปลี่ยนไปใช้อักษรสลาโวนิกที่ใกล้เคียงกับภาษารัสเซียมากกว่าแทน 

แต่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งไม่ได้ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตยังคงใช้ภาษามองโกเลียต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสคริปต์ภาษามองโกเลียดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีนจนสามารถพิมพ์ภาษามองโกเลียในเว็บไซต์ต่าง ๆ  ได้แล้ว ขณะที่ตอนนี้ชาวมองโกเลียในของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และ GDP เฉลี่ยต่อคนมากกว่าสาธารณรัฐมองโกเลียถึง 2 เท่า 

ไม่นานมานี้สาธารณรัฐมองโกลประกาศว่า จะเลิกใช้ภาษาสลาโวนิก และกลับมาเรียนรู้และใช้สคริปต์ภาษามองโกเลียที่ใช้ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีน 

สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในทิเบตและซินเจียงเช่นกัน อักษรทิเบตและอักษรอุยกูร์ทั้งหมดถูกแปลงเป็นดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีน สามารถพิมพ์บนอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นข้อพิสูจน์ว่า การที่โลกตะวันตกมักจะเอ่ยอ้างว่า รัฐบาลจีนได้ทำลายล้างวัฒนธรรมของชาวมองโกล ชาวทิเบต และชาวซินเจียง จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล 
 

‘Volkswagen’ พ่าย 'BYD' รถยนต์ขายดีในจีน แต่ยังครองแชมป์ 'แบรนด์รถยนต์ต่างชาติ’ ยอดนิยม

แม้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนแล้วก็ตาม และยังต้องสูญเสียตำแหน่งนี้ให้กับ BYD แบรนด์รถยนต์ของจีนเอง แต่ Volkswagen ก็ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับหนึ่งของจีน โดยยอดขายทิ้งห่าง Toyota แบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับสองถึงกว่า 500,000 คัน และหากรวมเอายอดขายของ Audi แบรนด์รถยนต์ต่างชาติในเครือของ Volkswagen แล้วยอดขายของสองแบรนด์รถยนต์จะพุ่งขึ้นเฉียดสามล้านคัน ยังไม่รวมแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ภายใต้ Volkswagen Group China อันได้แก่ Škoda , Bentley และ Lamborghini ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมมากกว่าสามล้านคันเลยทีเดียว

28 มีนาคม 1937 'Gesellschaft zur Vorbereitung des Deutschen Volkswagens GmbH' ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 1938 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'Volkswagenwerk GmbH' ปัจจุบัน Volkswagen เป็นบริษัทรถยนต์นานาชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก บริษัทเยอรมันแห่งนี้เป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้อ เช่น Audi, Skoda, Lamborghini, Bentley, Porsche, Bugatti, Seat และ Scania

ในจีน Volkswagen ดำเนินการภายใต้บริษัท Volkswagen Group China โดยตลาดรถยนต์จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen โดยคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen การดำเนินงานของ Volkswagen ในประเทศจีน ได้แก่ การผลิต การขาย และการบริการรถยนต์ทั้งคัน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง และ จำหน่ายและบริการรถยนต์นำเข้า ยานพาหนะที่ผลิตในประเทศและนำเข้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศจีน โดย Volkswagen Group China เป็นบริษัทร่วมทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน บริษัทเริ่มเข้ามาบุกเบิกในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 1978 และเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของจีนมายาวนานหลายทศวรรษ จีนเป็นตลาดเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Volkswagen 

การเข้าสู่ประเทศจีนของ Volkswagen เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1985 เมื่อก่อตั้ง Shanghai Volkswagen โรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทร่วมทุน โดยจีนและเยอรมนีต่างถือครองเงินลงทุนเริ่มแรกฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ภายใต้แบรนด์หลักสองแบรนด์ Volkswagen และ Skoda ครอบคลุม ตลาด A0, A, B และ SUV แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายอื่น อาทิ Santana Motor บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติสเปน และแน่นอนในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท้องถิ่น เช่น BYD (ซึ่งสามารถแซงหน้า Volkswagen ได้แล้ว) Geely หรือ Changan ฯลฯ

แม้ว่าตลาดรถยนต์ของจีนอยู่ในช่วงการเติบโตที่ลดลง สืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่สูงของตลาดรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2017 ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 27% ส่วนแบ่งของ SUV ในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ SUV รุ่น Teramont และ Phideon ของ Volkswagen สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญในตลาดรถยนต์จีน Teramont ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ SUV ปัจจุบันรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในจีนประมาณ 40% เป็นรถยนต์ SUV และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะแบรนด์ Volkswagen เพียงแบรนด์เดียวก็มีรถยนต์ SUV มากกว่า 10 รุ่นในตลาด SUV ภายในสิ้นปี 2020 ในปี 2018 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Tharu, Tayron, Touareg และ T-Roc ในปี 2564 Volkswagen ได้ลงทุนมากกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มรถ SUV ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำเทรนด์ของโลกและเป็นตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในปี 2018 และมียอดขายรถยนต์โดยสารระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประมาณหนึ่งล้านคันในจีน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2019 รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่างมากต่อรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของยานพาหนะอยู่ที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลจีนจึงกำหนดโควตารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในจีนที่ขายรถยนต์มากกว่า 30,000 คันในจีนต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10% 

Volkswagen กับตลาดรถยนต์สีเขียวของจีน โดย Volkswagen Anhui (ชื่อเดิม JAC-Volkswagen) เป็นการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ระหว่าง JAC Motors กับ Volkswagen ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย โดยเริ่มแรกเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ SEAT และต่อมาคือแบรนด์ Sehol ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen Anhui หลังจากที่ Volkswagen เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) ในบริษัทในปี 2020 พร้อมกับถือหุ้น 50% ใน JAG (บริษัทแม่ของ JAC) ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของในข้อตกลงมูลค่าหนึ่งพันล้านยูโร บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา e-Mobility ที่จะให้บริการแก่ Volkswagen Group ทั้งหมดในประเทศจีน Volkswagen กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม MEB ของ Volkswagenโดยมีกำลังการผลิต 350,000 คันต่อปีภายใต้บริษัท ควบคู่ไปกับโรงงานระบบแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท VW Anhui Components ที่ถือหุ้นทั้งหมด 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนเพิ่มอีก 23.1 พันล้านหยวน (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน Volkswagen Anhui ซึ่งประกอบด้วย 14.1 พันล้านหยวนสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนา และเกือบ 9.1 พันล้านหยวนในระยะแรกของฐานการผลิตในเหอเฟย ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์) ในศูนย์กลางแห่งใหม่ของจีนที่เรียกว่า 100% TechCo เพื่อการพัฒนา นวัตกรรม และการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบ โรงงานดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเมืองเหอเฟย ใกล้กับ Volkswagen Anhui ด้วยจำนวนพนักงาน 2,000 คน โดย Volkswagen มีแผนที่จะผสานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และส่วนประกอบเข้ากับการจัดซื้อ ซึ่งจะทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่สั้นลงประมาณ 30% คาดว่าจะ "มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลแบรนด์ Volkswagen ในอนาคตที่จะเปิดตัวในปี 2567

หลายสิบปีมาแล้วที่ Volkswagen เป็นรถ Taxi ยอดนิยมในจีน

กลับมาดูบ้านเราแม้จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์มากมายหลายแบรนด์ทั้งค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศรองรับเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มรถยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากพลังงานสันปดาบมาเป็นพลังไฟฟ้าแล้ว แต่จนทุกวันนี้บ้านเราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์แห่งชาติเลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่สุดแล้วจะมีนักลงทุนชาวไทยได้คิดที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบรนด์ไทยให้ได้ใช้กันในอนาคต
 

‘กองทัพสหรัฐฯ’ เตรียมย้ายกำลัง ‘นาวิกโยธิน’ กว่า 4,000 นาย หลังตั้งฐานทัพบน ‘เกาะโอกินาวา’ ไปยัง ‘เกาะกวม’ ภายในปี 2024

สำนักข่าว KYODO รายงานว่า จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าการย้ายกำลังนาวิกโยธินที่ประจำการในฐานทัพบนเกาะโอกินาวากว่า 4,000 นาย ไปยังเกาะกวมสามารถเริ่มได้ในปี 2024 ตามที่วางแผนไว้ โดยระบุถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการก่อสร้างฐานทัพดังกล่าวในดินแดนแปซิฟิกของสหรัฐฯ เพื่อรองรับทหารนาวิกโยธินดังกล่าว หลังจากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างฐานทัพบนเกาะกวน อันเนื่องจากข้อจำกัดจากการระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างแรงงานจากประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการร่วมภูมิภาค Marianas กล่าวว่าการก่อสร้างฐาน ‘เต็มรูปแบบอีกครั้ง’

พล.ร.ต. Benjamin Nicholson ผู้บัญชาการกองกำลังร่วมภูมิภาค Marianas ของกองทัพสหรัฐฯ ขณะให้สัมภาษณ์ที่เกาะกวมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2022

การก่อสร้างค่าย Blaz ได้รับงบประมาณร่วมจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นภายใต้แผนการจัดกำลังพลปี 2006 ซึ่งส่วนหนึ่งพยายามลดกำลังทหารสหรัฐฯ ในฐานทัพบนเกาะโอกินาวา จังหวัดทางตอนใต้ของญี่ปุ่นอันเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น ในปี 2012 ทั้งสองประเทศกล่าวว่ากำลังนาวิกโยธินประมาณ 9,000 นาย จากทั้งหมดประมาณ 19,000 นาย ฐานทัพบนเกาะโอกินาวาจะถูกย้ายออกจากญี่ปุ่นไปยังเกาะกวมและมลรัฐฮาวาย

พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz

ทั้งนี้ พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการฐานนาวิกโยธินบนเกาะกวม กล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกแรก ๆ ที่จะแล้วเสร็จ ได้แก่ ฐานทัพ ค่ายทหาร และห้องครัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มการโยกย้ายบุคลากรมาจากฐานทัพบนเกาะโอกินาวา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้พูดคุยในขณะที่สำนักข่าว Kyodo และสำนักข่าวอื่น ๆ มีโอกาสได้เห็นโครงการเหล่านี้โดยตรง ซึ่งดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สื่อญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในฐานทัพบนเกาะกวมนับตั้งแต่กองกำลังนาวิกโยธินเปิดใช้งานฐานทัพบางส่วนในเดือนตุลาคม 2020 โดยเรียกฐานทัพดังกล่าวว่า ‘ค่าย Blaz’ ได้มีพิธีซึ่งตั้งชื่อค่ายอย่างเป็นทางการ มีการเชิญตัวแทนของกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ได้มีขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมาตามชื่อของ พลจัตวา Vicente ‘Ben’ Blaz ชาวเกาะกวมผู้ซึ่งเคยเป็นสส.ของดินแดนในสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย

พ.อ. Christopher Bopp ผู้บัญชาการค่าย Blaz กำลังแก้ไขป้ายต้อนรับ
หลังจากไต้ฝุ่น Mawar ถล่มเกาะกวมในเดือนพฤษภาคม 2023

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้าง โดยญี่ปุ่นให้การสนับสนุนมากถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีดับเพลิง และสถานบำบัดภายในฐานทัพดังกล่าว ชาวเกาะกวมบางส่วนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกองกำลังนาวิกโยธินขนาดใหญ่ โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมบนเกาะแห่งนี้ แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้ว่าการเกาะกวมและตัวแทนชุมชน 

พล.ร.ต. Nicholson กล่าวว่า นาวิกโยธินที่ย้ายเข้ามาใหม่อาจพบว่า วัฒนธรรม ภาษา และสกุลเงินของกวมมีความใกล้เคียงสหรัฐฯ บ้านเกิดมากกว่าในญี่ปุ่น และจะเป็นการง่ายกว่าสำหรับทหารเหล่านั้นในการติดต่อกับผู้คนในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเดินทางออกจากฐานทัพในช่วงวันหยุด คาดว่า กำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ ชุดแรกจะย้ายจากญี่ปุ่นไปยังฐานทัพนาวิกโยธินที่เพิ่งเปิดใช้งานใหม่บนเกาะกวมในช่วงปลายปี 2024 นี้

‘จีน’ เตือน ‘สหรัฐ’ หลังตั้งกำแพงกดดันทุกทาง ชี้!! ผลลัพธ์ไม่สวย ซ้ำจะย้อนทำร้ายตัวเอง

ไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้เพิ่มความพยายามในการต่อต้านและกดดันในหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่การของบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการ ‘แข่งขันกับจีน’ และเพิ่มการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับไต้หวัน ไปจนถึงการพยายามชักชวนให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียให้เข้าสู่ข้อตกลง เพื่อการจำกัดการส่งออกด้านเทคโนโลยีให้กับจีน 

โดยทางจีนได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมระบุว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลเสียต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กระทั่งลามไปทั่วโลก

Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้งบประมาณของสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ถูกนำไปจัดสรรใช้เป็นทุนเพื่อ ‘เอาชนะจีน’ และติดอาวุธให้กับภูมิภาคไต้หวันของจีน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค.) Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ย้ำว่า การแข่งขันไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของจีน ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และการแข่งขันระหว่างประเทศสำคัญ ๆ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จีนและสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะ ‘เอาชนะจีน’ ไม่ใช่การแข่งขันที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่เป็นการแข่งขันที่เลวร้าย โดยสหรัฐฯ วางกับดักคู่แข่งไว้ทุกดอก Wang 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวเสริมว่า “มันกลายเป็นการพนันที่ไม่มีข้อจำกัด ซึ่งทำให้ผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนของทั้งสองประเทศและแม้แต่อนาคตของมนุษยชาติกลายเป็นเดิมพัน และมันจะผลักดันเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ไปสู่การเผชิญหน้าและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ”

คำของบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ประกอบด้วยเงินทุนบังคับจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์ในช่วงห้าปี เพื่อ ‘ใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เราจัดการเพื่อเอาชนะจีนให้ได้’ คำของบประมาณยังรวมถึง ‘คำขอเงินทุนครั้งแรก’ จำนวน 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มเติมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะมอบให้กับไต้หวัน 

รายงานของสื่อแห่งหนึ่งระบุ เมื่อวันอังคาร (12 มี.ค.) ว่า Wang ยังกล่าวถึงการคัดค้านอย่างแข็งขันของจีนต่อความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และเกาะไต้หวัน และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะติดอาวุธให้กับเกาะแห่งนี้ 

“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียว และหยุดแทรกแซงกิจการภายในของจีน จีนจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนอย่างแน่วแน่และมั่นคง” เขากล่าว

Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากการของบประมาณแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้เพิ่มความพยายามที่เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการปราบปรามทางเทคโนโลยีต่อจีนให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ในขณะที่นำคณะผู้แทนธุรกิจของสหรัฐฯ ไปยังฟิลิปปินส์ Gina Raimondo รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ‘จะทำทุกวิถีทาง’ เพื่อปราบปรามความสามารถทางเทคโนโลยีของจีน 

ตามรายงานของ Bloomberg โดย Raimondo ได้ประกาศที่ฟิลิปปินส์ว่า บริษัทสหรัฐฯ เตรียมประกาศการลงทุนมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในฟิลิปปินส์ ตามรายงานของ Reuters รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการขยายการค้าและการลงทุนในฟิลิปปินส์ยังขยายไปถึง ‘ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่ใหญ่กว่า’ อีกด้วย แม้ว่าเธอจะย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ได้พยายามแตกแยกกับจีนก็ตาม

“ภยันตรายต่อโลก การมีส่วนร่วมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแข่งขันประเทศใหญ่ เช่น จีน ซึ่งจะมีผลรวมเป็นศูนย์ นอกจากไม่เพียงที่เป็นการเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังดึงดูดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกให้เข้าร่วมการเผชิญหน้าแบบกลุ่มมากขึ้น ในเวลาที่โลกต้องการความร่วมมือมากที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนตั้งข้อสังเกต 

นอกจากนี้ เพื่อเน้นย้ำการรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นของวอชิงตันเพื่อควบคุมจีนในการแข่งขันในประเทศใหญ่ ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังผลักดันพันธมิตรของตน รวมถึงเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ให้เข้มงวดข้อจำกัดด้าน Chip คอมพิวเตอร์กับจีน และกำลังพิจารณาเพิ่มผู้ผลิต Chip ของจีนรายอื่น อาทิ ChangXin Memory Technologies Inc เข้าสู่รายการควบคุมตามที่ Bloomberg อ้าง 

ในขณะเดียวกัน สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกากำลังเร่งร่างกฎหมายที่จะบังคับให้บริษัท ByteDance ของจีนขาย TikTok ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยม หรือเผชิญกับการแบนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ผู้เชี่ยวชาญของจีนกล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหวของวอชิงตันที่มีลักษณะเป็นการตีโพยตีพายอีกครั้งในการต่อต้านกดดันบริษัทจีน

Apple store ย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้

การต่อต้านและกดดันอย่างเข้มข้นของนักการเมืองสหรัฐฯ การรณรงค์เพื่อกดดันจีนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นภายในสหรัฐฯ รวมถึงการครอบงำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งประเทศนี้ไม่สามารถจัดการในลักษณะที่มีประสิทธิผลใด ๆ ได้ เนื่องจากการแบ่งพรรคแบ่งพวกและความผิดปกติของรัฐบาล ตามการระบุของนักวิเคราะห์ชาวจีน ที่สำคัญกว่านั้น ความพยายามดังกล่าวจะไม่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงบริษัทของสหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ไม่ใช่การเมือง จะยังคงลงทุนและดำเนินการในตลาดจีนต่อไป 

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้บริหารธุรกิจสหรัฐฯ จำนวนมากเดินทางเยือนจีนและขยายการลงทุนในจีน ข้อจำกัดทางการเมืองต่อธุรกิจของสหรัฐฯ จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทสหรัฐฯ ที่ขยายการลงทุนในจีน เช่น Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคารถึงแผนที่จะเปิดห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งใหม่ในนครเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน และอัปเกรดห้องปฏิบัติการวิจัยในนครเซี่ยงไฮ้ เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่บริษัทเพิ่งประกาศเปิดร้านใหม่ในย่านใจกลางเมืองของนครเซี่ยงไฮ้
 

ความจริงเรื่อง 'ค่าไฟฟ้า' ความถูก-แพง ที่ทำ 'ก.พลังงาน' กลุ้ม ผลพวงจากทิศทางโลก ผสมโรงบิ๊กเอกชนผูกขาดก๊าซธรรมชาติ

ปัญหาด้านสาธารณูปโภคที่เรื้อรังมายาวนานและกลายเป็นประเด็นที่บรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย มักจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประจำก็คือ 'ปัญหาราคาค่าไฟฟ้า'

แน่นอน 'ค่าไฟฟ้าแพง' เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามมาเป็นรัฐบาล แต่เรื่องราวที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ หลงลืม หรือไม่ได้ใส่ใจ ก็คือ รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่ได้เป็นผู้กำหนดทั้งอัตราค่าไฟฟ้าหลัก (ค่าไฟฟ้าฐาน ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาแล้วหลายปี) และ อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft : ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ) ค่า Ft ถูกกำหนดไว้เพื่อให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงต้นทุนที่อยู่ในค่าไฟฟ้าฐานที่อยู่เหนือการควบคุมของการไฟฟ้า คือค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐที่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นทุนคงที่ซึ่งคำนวณไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน โดยมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแล

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. อันเป็นคณะบุคคลจำนวน 7 คน (ประธานฯ 1 คน กรรมการ 6 คน ซึ่งได้รับการคัดสรรและได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน ดังนั้นการพิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าไฟฟ้า จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานที่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการทำให้ราคาต้นทุนพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถลดค่า Ft ลงอันจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนคนไทยได้

แต่เริ่มเดิมทีไทยเราผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือ พลังงานน้ำ เมื่อบ้านเมืองมีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า กอปรกับพลังงานถ่านหินที่มีอยู่ก็ลดน้อยลงไปตามการใช้งาน อีกทั้งยังก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ นอกจากนั้นแล้วการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าก็ถูกคัดค้านโดย NGO และบรรดานักอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหลาย เพราะความเจริญก้าวหน้าของประเทศนำมาซึ่งความต้องการในการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซจึงเป็นกระบวนการหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเวลาต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้

ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยมาจาก 3 แหล่ง คือ...

- ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 
- ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา 
- ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot

โดยที่ผ่านมาผู้ที่ผูกขาดจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงเจ้าเดียวของไทยก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และปัจจุบันยังคงผูกขาดก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและเมียนมา ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot นั้น ปี พ.ศ. 2567 กกพ.พึ่งจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าสามารถนำเข้าเองได้เป็นปีแรก

ในปัจจุบันราคาซื้อขาย LNG จะแตกต่างกันตามภูมิภาค ทั้งยังมีโครงสร้างราคาที่ต่างกัน ได้แก่...

- ตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือ จะใช้ดัชนีราคา Henry Hub (HH) 
- ตลาดภูมิภาคยุโรป แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ใช้ดัชนีราคา National Balancing Point (NBP) และประเภทที่ใช้ดัชนีราคา Title Transfer Facility (TTF)
- ตลาดภูมิภาคเอเชีย จะใช้ดัชนีราคา Japanese Crude Cocktail (JCC) 

นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งรูปแบบการซื้อขายออกเป็น 2 รูปแบบ คือ...

- Spot คือการซื้อ-ขาย LNG ที่มีการส่งมอบเป็นรายเที่ยวเรือ เป็นไปตามราคาตลาดในช่วงเวลานั้นๆ 
- Term Contract คือ การซื้อ-ขาย ที่มีการส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่แน่นอน โดยจะคำนวณตามสูตรราคาอ้างอิงกับดัชนีราคาน้ำมันหรือราคาก๊าซฯ ตามข้อตกลงในสัญญาซื้อ-ขาย

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับราคา LNG ในปัจจุบันก็คือ ยุโรปยกเลิกการสั่งซื้อ LNG จากรัสเซียอันเนื่องมาจากการคว่ำบาตรรัสเซียที่ทำสงครามกับยูเครน ทำให้ต้องนำเข้า LNG จากแหล่งอื่นๆ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและแอฟริกา ราคา LNG จึงมีราคาเพิ่มขึ้น อีกทั้งการนำเข้า LNG มีต้นทุนค่าขนส่งและคลังจัดเก็บ ตลอดจนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขาย LNG กอปรกับแหล่งก๊าซของ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นอ่าวไทยหรือเมียนมามีปริมาณการผลิตที่ลดลง เรื่องเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อการคำนวณพิจารณาค่า Ft ซึ่งต้องนำราคา LNG ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมานั้นไม่ว่ารัฐบาลจากพรรคไหนก็ตาม จึงไม่สามารถกำหนดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามอำเภอใจ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายของกกพ. แม้ว่าปัจจุบันภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะพยายามส่งเสริมการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานทางเลือก (Alternative energy) ไม่ว่าจะเป็นพลังงานธรรมชาติเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม หรือพลังงานน้ำ หรือพลังงานจากชีวมวล ฯลฯ ก็ตาม ต้องมีการจ่ายค่า Adder (ค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มโดยบวกเพิ่มจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติเป็นระยะเวลา 7 หรือ 10 ปี ตามประเภทของโรงไฟฟ้า) ในอดีต และปัจจุบันจ่ายค่า  FiT (Feed-in-Tariff) อันเนื่องมาจากแม้จะไม่มีต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง แต่จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของพลังจากธรรมชาติ และความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิงในกรณีพลังงานจากชีวมวล 

นอกจากนั้นแล้วไทยยังต้องมีการ 'สำรองไฟฟ้า' เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย หากเกิดเหตุฉุกเฉินจึงต้องมีการสำรองไฟฟ้าให้เพียงพอ https://thestatestimes.com/post/2023042021 และ https://thestatestimes.com/post/2023042443 

ดังนั้นราคาค่าไฟฟ้าที่กกพ.กำหนด จึงเป็นไปตามบริบทที่แท้จริงตามสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการคำนวณค่า Ft หากไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าบรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย ยังไม่มีใครกล้านำข้อมูลที่นำมาสร้างเป็นกระแส 'ค่าไฟฟ้าแพง' ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.เลยจนถึงทุกวันนี้

‘ญี่ปุ่น’ ทำแบบสำรวจ ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไปที่ดีที่สุดจาก ‘8 ตัวเต็ง’  ผลปรากฏ!! ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3


ไม่มีสิ่งใดที่กล่าวมาจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น เพราะมีโอกาสน้อยมากที่พรรคอื่น ๆ ของญี่ปุ่นจะสามารถเอาชนะพรรคเสรีประชาธิปไตย (พรรค LDP) ได้

โดยผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีพรรคที่ชนะการเลือกตั้งและมีอำนาจทางการเมืองเพียงพรรคเดียวโดยตลอด ช่วงเวลานี้แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่การจัดอันดับในค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยญี่ปุ่นอยู่ลำดับที่ 26 และสิงคโปร์อยู่ลำดับที่ 86 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของการคำนวณในการจัดลำดับของค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตย

ทั้งนี้ แบบสำรวจของ Mainichi Shimbun ในคำถามที่ว่า “ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนต่อไปได้ดีที่สุด” มีชาวญี่ปุ่นผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 1% เท่านั้นที่เลือก Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดยตัว Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่นกำลังดิ้นรนอย่างหนัก จากการสำรวจล่าสุดจาก Mainichi Shimbun สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นได้ถามคำถามกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจว่า ใครสมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่ดีที่สุดในบรรดาผู้สมัคร 8 คนจากพรรครัฐบาล (พรรค LDP) 

ซึ่งคำตอบก็คือ…

- Shigeru Ishiba อดีตเลขาธิการพรรค LDP ได้ 25%
- Yoko Kamikawa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ 12%
- Sanae Takaichi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ได้ 9%
- Shinjiro Koizumi อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ได้ 9%
- Taro Kono รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ได้ 7%
- Seiko Noda อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ได้ 2%
- Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้ 1%
- Toshimitsu Motegi เลขาธิการพรรค LDP ได้ 1% 

และไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 34%

เปิดเรื่องราว ‘Lykov’ ครอบครัวเก่าแก่ ที่หันหลังให้กับความศิวิไลซ์ เอาชีวิตรอดจากธรรมชาติหฤโหดสุดเหน็บหนาวใน Siberian 42 ปี

พื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberia (วงกลม)

Siberian ดินแดนทางเหนือสุดของทวีปเอเชียตั้งแต่เทือกเขาอูราลไปจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศรัสเซียปัจจุบัน พื้นที่ 13.1 ล้านตารางกิโลเมตร (5,100,000 ตารางไมล์) ของ Siberian ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ (ราว 77%) ของรัสเซีย และเกือบ 9% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความหฤโหดของความหนาวเย็นในฤดูหนาว ยุคอดีตสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1953 มีนักโทษทางการเมืองหลายล้านคนถูกส่งมายังค่ายกักกันและเรือนจำใน Siberian

Karp Lykov

ในปี 1936 ครอบครัว Lykovs ซึ่งเป็นสมาชิกของ Old Believers ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของ Russian Orthodox นำโดย Karp Lykov หัวหน้าครอบครัวได้หลบหนีเข้าไปในส่วนลึกมากของพื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberian เพื่อหลบหนีการปราบปรามผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาภายใต้ระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียต พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 150 ไมล์ ในพื้นที่ป่าของเทือกเขา Sayan

Karp, Agafia และ Natalia Lykov ถ่ายในปี 1978 สวมใส่เสื้อผ้าที่ได้รับมา

ครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คนใช้เวลา 42 ปีในการแยกตัวออกจากสังคมมนุษย์อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย

1. Karp Osipovich Lykov (c. 1901–16 กุมภาพันธ์ 1988) (Карп Лыков) พ่อ
2. Akulina Lykov (c. 1900–16 กุมภาพันธ์ 1961) (Акулина Лыкова) แม่
และลูก ๆ อีก 4 คน
3. Savin (c. 1927– 1981) (Савин)
4. Natalia (c. 1934–1981) (Наталия)
5. Dmitriy (1940–1981) (Дмитрий)
6. Agafia (born 1944) (Агафья)

ครอบครัว Lykov เดินเท้าเปล่า

หลังจากที่พี่ชายของ Karp Lykov ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของสหภาพโซเวียต Karp และ Akulina Lykov พร้อมลูกสองคน Savin และ Natalia ก็หลบหนีออกจากบ้านเกิดที่เมือง Lykovo (Tyumen Oblast) ไปทางตะวันออก ต่อมาพวกเขามีลูกอีก 2 คนคือ มีเด็กอีกสองคนคือ Dmitriy และ Agafia การหลบหนีของพวกเขาจบลงที่ตอนใต้ของ Siberia ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนที่ใกล้ที่สุด 250 กิโลเมตร (160 ไมล์) และอยู่ห่างจากชายแดนมองโกเลียประมาณ 160 กิโลเมตร พวกเขานำสิ่งของจำเป็นเพียงไม่กี่อย่างได้แก่ กาต้มน้ำ เมล็ดพืช กังหันล้อหมุน และส่วนประกอบของเครื่องทอผ้า

พวกเขาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าจนพัง สิ่งของดั้งเดิมหลายชิ้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นในป่า พวกเขาเปลี่ยนรองเท้าที่ชำรุดด้วยรองเท้าที่มีพื้นเป็นเปลือกไม้ และใช้ป่านที่ปลูกจากเมล็ดพืชมาทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น อย่างไรก็ตามโลหะก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เมื่อกาต้มน้ำชำรุดเสียหาย และอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนค้นหาทุกวัน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่อย่างอดอยากต่อเนื่องตลอดมา โดยส่วนใหญ่มีชีวิตรอดจากมันฝรั่งบดผสมกับเมล็ดป่านและข้าวไรย์บด ชีวิตไม่มีความแน่นอนจนพวกเขาต้องประชุมครอบครัวเป็นประจำทุกปีเพื่อหารือกันว่า ควรเพาะเมล็ดพันธุ์สำหรับปีต่อไป หรือกินเป็นอาหารเพื่อยังชีพตอนนั้น ในปี 1961 Akulina ผู้เป็นแม่ก็เสียชีวิตลงด้วยสาเหตุจากความอดอยาก สมาชิกครอบครัวแต่ละคนมีจุดแข็งและความรอบรู้ของตนเอง พวกเขาแต่ละคนจะจัดการส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเขา Dmitriy ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กที่เกิดในป่า โตพอก็ออกล่าสัตว์ บางครั้งเขาก็หายไปหลายวัน หลับนอนโดยไม่มีที่พักพิงภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด โดยไม่มีกับดักหรืออาวุธสมัยใหม่ เขาอาศัยกับดักที่ซ่อนอยู่ด้วยการขุดเอง หรือติดตามล่าเหยื่อจนในที่สุดก็จัดการได้เมื่อพวกมันอ่อนล้าหมดแรง

วันหนึ่งในปี 1978 นักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพื้นที่โล่ง เนื่องจากไม่มีบันทึกการอยู่อาศัยของมนุษย์ในบริเวณนี้ พวกเขาจึงวนเวียนอยู่สองสามครั้ง หลักฐานนั้นน่าสนใจ สวนที่ใหญ่พอที่จะสังเกตได้จากบนอากาศนั้นมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างได้ พวกเขาหาที่ลงจอดและออกเดินทางเพื่อตรวจสอบ สิ่งที่พวกเขาพบนั้นท้าทายความเชื่อมาก เมื่อไปพบกับบ้านหลังหนึ่งซึ่งต่อมาได้ถูกบรรยายไว้ว่า “ไม่ใหญ่ไปกว่าโพรง เต็มไปด้วยเขม่าดำคล้ำ และเย็นเหมือนห้องใต้ดิน คับแคบ สกปรก มีห้องเดียว พื้นปูด้วยเปลือกมันฝรั่งและลูกสน มีหญิงสาวสองคนที่แลดูกำลังหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง กลุ่มนักธรณีวิทยาต้องการมอบอาหาร ชา ขนมปัง ขนมหวาน และสิ่งอื่น ๆ ที่ Karp ชายชรารู้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เป็นสิ่งที่ลูก ๆ ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

Karp กับ Agafia ลูกสาวในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1988

ยิ่งไปกว่านั้นลูก ๆ ของครอบครัว Lykov ไม่เคยพบใครเลยนอกจากพ่อแม่ของพวกเขา พวกเขารู้ว่า มีสถานที่ห่างไกลที่ผู้คนอาศัยอยู่ตามตึกสูง พวกเขาได้ยินมาว่า มีประเทศอื่นนอกเหนือจากสหภาพโซเวียต แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ห่างไกลสำหรับพวกเขามาก พวกเขาเรียนรู้ที่จะเขียนและอ่านจากแม่ และหนังสือเล่มเดียวที่พวกเขาเคยเห็นคือ พระคัมภีร์ไบเบิลและพระกิตติคุณที่พ่อแม่ของพวกเขานำติดตัวไปด้วย กลุ่มนักธรณีวิทยาได้ถอยออกจากบ้านเพื่อให้ครอบครับ Lykov  มีเวลาปรับตัวเข้ากับผู้มาเยี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เพื่อเพิ่มโอกาสเชิงบวกในการติดต่อครั้งแรก พวกเขารอให้ครอบครัว Lykovs มาหาพวกเขา ที่นั่นพวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของ Lykovs หญิงสาวทั้งสองพูดภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พวกเขาเคยได้ยินแนวคิดเกี่ยวกับเมืองและประเทศต่าง ๆ ผ่านเรื่องราวที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่สื่อการอ่านเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและพระคัมภีร์ เมื่อนักธรณีวิทยาคนหนึ่งเสนอขนมปัง หญิงสาวคนหนึ่งตอบว่า “เราไม่ได้รับอนุญาต” อันที่จริงเธอไม่เคยรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับอาหารประเภทนี้มาก่อน ความบันเทิงหลักของครอบครัวคือให้ทุกคนเล่าความฝันของตน

Agafia ลูกสาวผู้เหลือรอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและโลกก็รู้จักพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้าสู่วิถีชีวิตของพวกเขา หลังจากการค้นพบไม่นาน Savin และ Natalia ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการขาดอาหารที่รุนแรงของพวกเขา ในปีเดียวกันนั้นเอง Dmitriy ก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมหลังจากปฏิเสธที่จะรับการขนส่งทางอากาศไปยังโรงพยาบาล Karp ชายชราผู้เป็นพ่อเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปี 1988 และในปี 2022 Agafia ลูกสาวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov ยังคงอาศัยอยู่ตามลำพังในถิ่นทุรกันดารบนความสูง 2,000 เมตรที่ครอบครัว Lykov ได้มาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1936

สำรวจแสนยานุภาพทางทะเลของจีน ปี 2024 คืนชีพ ‘Liaoning’ - เครื่องบินขับไล่ พร้อมปฏิบัติการ

เรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning

‘Liaoning’ เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน ได้เริ่มดำเนินการทดสอบทางทะเล หลังจากใช้เวลาปรับปรุงซ่อมแซมใหม่มา 1 ปีเต็ม บรรดาผู้สังเกตการณ์ทางทหารกล่าวว่า การปรับปรุงซ่อมแซมที่ยืดเยื้อนี้ น่าจะทำให้เครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นใหม่ของจีนสามารถปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ได้

ขณะเดียวกัน มหาอำนาจตะวันตกกำลังติดตามการพัฒนาทางทหารของจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมองว่า จีนเป็นภัยคุกคามต่อพลังอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ มากที่สุด แท้จริงแล้ว มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อศักยภาพของจีน เช่น คลังอาวุธนิวเคลียร์ ประชากรที่มากที่สุดในโลก เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (ด้วยศักยภาพล่าสุดที่กำลังจะกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) เครือข่ายที่กำลังเติบโตผ่านโครงการ Belt & Road Initiative ของเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงถึงกัน และเทคโนโลยีเครื่องบินรบยุคที่ 5 (Gen 5 Fighter)

เครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-20

จีนซึ่งมีเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-20 มากกว่า 200 ลำ เป็นหนึ่งในสองประเทศที่มีเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ในปริมาณที่มีผลต่อพลังอำนาจทางการทหาร (อีกประเทศหนึ่งคือสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งเครื่องบินขับไล่ F-22 และ F- 35) แม้ว่า J-20 จะเป็นจุดเด่นของฝูงบินยุคที่ 5 ของจีน แต่จีนก็กำลังทำงานอย่างแข็งขันเพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ FC-31 ซึ่งมีรุ่นที่สามารถปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเครื่องบินได้ที่เรียกว่า เครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35

เรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning และเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35 (ภาพมุมบนซ้าย)

ผู้เชี่ยวชาญของจีนวิเคราะห์เกี่ยวกับการที่มีรายงานว่า สหรัฐฯ ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปยังหน้าประตูบ้านของจีนมากขึ้น จนทำให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ต้องมีเรือบรรทุกเครื่องบินที่มีขีดความสามารถมากขึ้นนั้น เพื่อสร้างสมดุลแห่งอำนาจเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนา ตลอดจนการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15

ดังนั้น จึงได้มีการเปิดตัวเครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นที่ 5 คือ J-35 บนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินของจีน โดยเฉพาะบนเรือบรรทุกเครื่องบิน Liaoning จะแสดงนัยสำคัญถึงขีดความสามารถการต่อสู้ที่ครอบคลุม เนื่องจากเครื่องบินขับไล่ล่องหนแบบ J-35 เป็นเครื่องบินขับไล่ขนาดกลาง โดยจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการครองความเหนือกว่าทางอากาศและเจาะแนวป้องกันศัตรู ในขณะที่เครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15 จะยังคงเป็นกำลังสำคัญในการใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถในการบรรทุกอาวุธจำนวนมาก สำหรับการต่อต้านเรือและการโจมตี 

ทั้งนี้ การรวมกันของเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-35 และเครื่องบินขับไล่หลากภารกิจแบบ J-15 จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้เป็นอย่างมาก

‘BBC’ ชี้!! ปี 66 คนไทยกว่า 10 ล้านคน แห่รักษาอาการป่วย ผลพวงจาก ‘มลพิษทางอากาศ’ ที่ลุกลามอย่างกว้างขวาง


BBC รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2566 มีคนไทย 10 ล้านคนเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ

ทางการไทยระบุในปี พ.ศ. 2566 คนไทยมากกว่า 10 ล้านคนเข้ารับการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาในขณะที่คุณภาพอากาศของประเทศไทยแย่ลง การเผาป่าและไฟป่าที่ลุกลามอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ มักก่อให้เกิดหมอกควันพิษในช่วงต้นปี 


ต้นปี พ.ศ. 2567 มีผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลภาวะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปีก่อน จาก 1.3 ล้านคนในช่วง 9 สัปดาห์แรกของปี พ.ศ. 2566 จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านคนในต้นปี พ.ศ. 2567 AFP รายงานว่า ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 72 ล้านคน กรณีรวมถึงผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งปอด หลอดลมอักเสบ หอบหืด และโรคหัวใจ


ประเทศไทยต้อง ‘จัดลำดับความสำคัญ... ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน’ สศช. ระบุ PM 2.5 หมายถึงระดับของอนุภาคอันตรายขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ไมโครเมตรหรือเล็กกว่า ที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางปอดได้ การสัมผัสกับมลพิษขนาดเล็กเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนและคันในดวงตาและผิวหนัง รวมถึงอาการไอและแน่นหน้าอก อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีภาวะหัวใจหรือปอดอยู่แล้ว


จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยบางจังหวัดได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจากเว็บไซต์ติดตามคุณภาพอากาศ เชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง ได้รับการจัดอันดับ ‘ไม่ดีต่อสุขภาพ’ จาก Platform ติดตาม IQAir มลพิษทางอากาศของประเทศไทยเป็นปัญหาในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งโดยปกติจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเผาไร่อ้อยและนาข้าวตามฤดูกาลของเกษตรกร


เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ให้คำมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพอากาศ ฝ่ายนิติบัญญัติยังเห็นชอบร่างกฎหมายที่มุ่งแก้ไขปัญหานี้ด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไทยได้ประกาศแผนการจัดเตรียมเครื่องบิน 30 ลำทั่วประเทศเพื่อทำฝนเทียมบรรเทามลพิษ ในเดือนกุมภาพันธ์ หน่วยงานภาครัฐในกรุงเทพฯ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานจากบ้านเป็นเวลาสองวัน เนื่องจากระดับมลพิษในเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียงถึงระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้อยู่อาศัยและกลุ่มสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยยังได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการต่อต้านมลพิษ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 1,700 คน ได้ฟ้องร้องอดีตนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหน่วยงานของรัฐ 2 แห่ง ที่ไม่ใช้อำนาจลดมลพิษในภาคเหนือ ซึ่งพวกเขากล่าวว่าทำให้ชีวิตแต่ละคนสั้นลงประมาณ 5 ปี ในเดือนมกราคมปีนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งให้รัฐบาลจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายใน 90 วัน

เทียบ!! ‘Gaza West Bank’ VS ‘Xinjiang’ ความต่างของการปกครองระหว่าง ‘พระเดช-พระคุณ’

การปกครองในพื้นที่ซึ่งผู้ถูกปกครองส่วนใหญ่มีเชื้อชาติ ความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากการปกครองเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายหลายแห่ง รวมทั้งในบ้านเราเองด้วย ซึ่งการปกครองนั้นมีเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็น สันติสุข อันจะนำไปสู่การพัฒนาและที่สุดจะนำมาซึ่งความเจริญสู่พื้นที่นั้น ๆ จึงถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าเรียนรู้ บทความนี้ขอนำเรื่องราวความแตกต่างที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวอันโด่งดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบระหว่าง 2 พื้นที่ได้แก่ Gaza-West Bank ซึ่งถูกควบคุมโดยอิสราเอล และ Xinjiang ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยทั้ง 2 พื้นที่สามารถหยิบยกรูปแบบการปกครองควบคุมด้วยการใช้พระเดชกับพระคุณให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank ก็ด้วยเพราะอิสราเอลใช้อำนาจทางทหาร หรือพระเดชในการจัดการกับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนที่อยู่ใน Gaza-West Bank กระทั่งชาว Gaza ต่างพากันเรียก Gaza บ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน 

เปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ซึ่งต่างกันถึง 4 เท่า

ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอลเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ ที่กระทำโดยอิสราเอลนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเยี่ยงเสรีชนของรัฐอิสระปกติทั่วไป (https://thestatestimes.com/post/2023101017)

รถไฟความเร็วสูงใน Xinjiang

ในขณะที่สื่อหลักของโลกตะวันตกพากันประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีของ Xinjiang ในประเด็นที่ว่า มี ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ และ ‘การบังคับใช้แรงงาน’ ใน Xinjiang โดยคำว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ น่าจะถือเป็น ‘คำโกหกคำโต’  เพราะหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดตั้งเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region) เป็นต้นมา ชาวอุยกูร์ (ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมในพื้นที่) เพิ่มมากขึ้นจากกว่า 3 ล้านคนมาเป็นกว่า 12 ล้านคนในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของประชากรชนเผ่าต่าง ๆ ในเขต Xinjiang สูงขึ้นจากเฉลี่ยราว 30 ปีในสมัยก่อนมาเป็น 75.6 ปีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนาของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีด้วย

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region)

สิ่งที่เรียกว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ นั้นยิ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนร้ายแรง โดยใช้คำว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ เป็นข้ออ้าง ในการทำให้บริษัทต่าง ๆ ของจีนที่เข้าไปลงทุนใน Xinjiang ถูก Boycott จนไม่สามารถจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่ผลิตในพื้นที่ดังกล่าวได้ รัฐบาลจีนได้กล่าวว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลในบางประเทศ จุดประสงค์ของพวกเขาในการสานต่อคำโกหกที่เกี่ยวข้องกับเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์คือ การขัดขวางการพัฒนาความเจริญของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใน Xinjiang

ด้วยเหตุนี้การโฆษณาชวนเชื่อของสื่อตะวันตกจึงเป็นการขัดขวางการพัฒนาและการฟื้นฟูของจีนโดยรวม แต่จีนก็ยังคงมีพัฒนาความเจริญอย่างไม่หยุดยั้ง ความทันสมัยของประชากร 1.4 พันล้านคนจะเป็นความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในกระบวนการอารยธรรมของมนุษย์ การก่อตัวของตลาดขนาดใหญ่พิเศษของจีนจะมอบโอกาสการพัฒนาใหม่ ๆ ให้กับทุกประเทศ รวมทั้งช่วยให้โลกบรรลุการพัฒนาร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ดังที่ ‘ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง’ ได้เน้นย้ำว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน และทุกประเทศในโลกต่างก็ต้องอาศัยอยู่บนเรือที่มีชะตากรรมร่วมกัน พลโลกจึงต้องก้าวข้ามความแตกต่าง โดยสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มนุษยชาติอาศัยอยู่ได้ นี่คือความรู้สึกของจีนต่อโลกใบนี้ และถือเป็นเป้าหมายทางการทูตของจีนอีกด้วย

‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ใน Gaza-West Bank มีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank และ Xinjiang จึงบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างการปกครองด้วยพระเดชกับพระคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน วิธีการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นวิธีการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับของรัฐบาลไทยในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการปฏิบัติต่อพลเมืองในพื้นที่ด้วยความเมตตา ความเข้าใจ ความยุติธรรม บนพื้นฐานของการมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่าง ๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันกับพลเมืองทั้งประเทศ ในขณะที่วิธีการปฏิบัติของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ใน Gaza-West Bank มีความชัดเจนว่า เป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย แต่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสื่อหลักตะวันตกกลับหลับตาเพื่อให้มองไม่เห็น และสนับสนุน ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไป โลกใบนี้ยังคงตัดสินความถูกผิดของมวลมนุษยชาติด้วยชี้นำจากการโฆษณาชวนเชื่อของชาติตะวันตกโดยสื่อหลักตะวันตกเช่นนั้นหรือ?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top