Friday, 2 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ธปท.สภอ.จัดงานสัมมนาวิชาการ “ขับเคลื่อนภาคการเกษตรอีสานให้ ‘เปลี่ยนผ่าน’ สู่ความยั่งยืน”

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) จัดงานสัมมนาวิชาการ ประจำปี 2566  เมื่อวันอังคารที่ 5 กันยายน 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้อง Convention 2-3 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จ.ขอนแก่น เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ได้รับทราบทิศทางเศรษฐกิจการเงิน นโยบาย ธปท. รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจภาคอีสานในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อการวางแผนของภาคธุรกิจและครัวเรือน ตลอดจนรับฟังมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวของภาคเกษตรเพื่อยกระดับและขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งภาคธุรกิจ ภาคเกษตร สถาบันการเงิน การศึกษา หน่วยงานราชการ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางออนไลน์ (online) และ ณ สถานที่จัดงาน (onsite) โดยงานสัมมนาแบ่งเป็น 3 ช่วง

ในช่วงแรก เป็นช่วง Perspectives ในหัวข้อ “ชวนคุยทิศทางเศรษฐกิจ ชวนคิดปรับโครงสร้างภาคเกษตรอีสาน” โดย ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. สภอ. นำเสนอผลประมาณการเศรษฐกิจอีสาน (Gross Regional Product: GRP) เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจอีสานบางช่วงแตกต่างไปจากประเทศ รวมทั้งยังไม่มีการเผยแพร่ประมาณการไปข้างหน้า ทำให้การพิจารณาเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจประเทศอาจไม่สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจภูมิภาค ธปท.สภอ. จึงได้ศึกษาและจัดทำประมาณการเศรษฐกิจภูมิภาคที่ให้มุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งผลประมาณการเศรษฐกิจอีสานปี 66 คาดว่าหดตัวในช่วงร้อยละ -2.0 ถึง -1.0 โดยหดตัวเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ ยกเว้นภาคก่อสร้าง และปี 67 ขยายตัวเล็กน้อย อยู่ในช่วงร้อยละ 0.4-1.4 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับประเทศ โดยเฉพาะกิจกรรมหลักที่อีสานพึ่งพิงมากถึง 1 ใน 3 ได้แก่ ภาคเกษตรและการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรหดตัวจากสถานการณ์ภัยแล้ง เช่นเดียวกับด้านรายได้สุทธิของครัวเรือนในภาคอีสาน ปี 66-67 ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนเกษตรที่มีมากถึง 4.3 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ GRP ที่ขยายตัวต่ำใน 2 ปีนี้ สะท้อนปัญหาเรื้อรังของโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรที่ผลิตภาพลดต่ำลงตลอดในช่วง 5 ปีหลังนี้ นอกจากนี้ ธปท. สภอ. ได้พัฒนาเครื่องชี้ Well-being Index สะท้อนความกินดีอยู่ดีของคนในอีสาน พบว่า แม้มิติด้านรายได้และการจ้างงานโดยรวมอีสานต่ำกว่าระดับประเทศ แต่ด้านความปลอดภัยและโครงสร้างพื้นฐานมีความโดดเด่นกว่าภาพรวมประเทศโดยเปรียบเทียบ สะท้อนถึงโอกาสในการยกระดับความเป็นอยู่ของคนในอีสานในระยะข้างหน้า ท้ายสุด ธปท.สภอ. ให้ความสำคัญยิ่งขึ้นกับการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาเศรษฐกิจการเงินภาคอีสานในระยะยาว ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาความเป็นอยู่ในพื้นที่

ช่วงที่สอง สนทนากับผู้ว่าการ เรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย” ได้รับเกียรติจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาคการท่องเที่ยว แม้ว่า GDP ไตรมาสที่ 2 ปี 66 ออกมาต่ำกว่าคาดจากอุปสงค์ต่างประเทศเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี แนวโน้มในปีนี้ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว จากการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ขยายตัว ทั้งนี้ ธปท. จะเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจชุดใหม่ในเดือน ก.ย. 66 โดยคาดว่าจะปรับลดลงจากภาคการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด จากการชะลอของเศรษฐกิจจีนและ Global Electronic Cycle ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยว ภาพรวมยังเพิ่มขึ้นได้ตามคาด แม้นักท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดี คาดว่าอุปสงค์ในประเทศยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน รายได้ และการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดเดือน ก.ค. 66 ยังอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สำหรับเศรษฐกิจอีสานฟื้นตัวช้ากว่าประเทศและทุกภาค เนื่องจากประเทศและภาคอื่นมีภาคการท่องเที่ยวมาสนับสนุน ขณะที่อีสานยึดโยงกับภาคเกษตรซึ่งมีปัจจัยกดดันจากภัยแล้ง สำหรับทิศทางนโยบายการเงินมาถึงจุดเปลี่ยนจากดูแลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่สะดุด (Smooth take off) มาเป็นมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ (1-3%) และศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว (3-4%) ซึ่งมองว่ามีแนวโน้มเข้าใกล้จุดสมดุล (neutral) แล้ว

ด้านปัญหาหนี้ครัวเรือน ภาคอีสานมีภาระหนี้เฉลี่ยที่ต้องจ่ายต่อเดือนมากที่สุด โดยเฉพาะหนี้ภาคเกษตรที่โตเร็วมากที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อเทียบกับภาคอื่น และมีโอกาสจะกลายเป็นหนี้เรื้อรัง ที่ไม่สามารถปิดจบได้ รวมทั้งภาพรวมหนี้อีสานที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือน (P-loan) สูงกว่าภาคอื่น ซึ่ง ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืน อาทิ หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อปรับพฤติกรรมเจ้าหนี้และลูกหนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อตลอดวงจรหนี้ นอกจากนี้ จะมีการกำหนดแนวทางให้เจ้าหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้เรื้อรัง (persistent debt) เพื่อให้ลูกหนี้กลุ่มนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือพอดำรงชีพ

สำหรับแนวทางการยกระดับภาคอีสาน ควรผลักดันนโยบายจากพื้นที่ (Bottom-up) ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และประชาชนในพื้นที่ ในระยะยาวเห็นโอกาสของภาคอีสานที่มีศักยภาพจาก (1) การเติบโตของเมืองที่มากกว่าภาคอื่น ๆ เช่น จากข้อมูลดาวเทียมพบว่ามีการขยายตัวของพื้นที่ก่อสร้าง โดยเฉพาะในเมืองรอง (2) การค้าชายแดน ที่ระยะยาวคาดว่าจะดีขึ้น และ (3) ความได้เปรียบด้านประชากรที่มากกว่าภาคอื่น ๆ ซึ่งเป็นทรัพยากรผลักดันการเติบโตในอนาคต

ในช่วงสุดท้าย เป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ “ขับเคลื่อนภาคเกษตรอีสาน ให้ “เปลี่ยนผ่าน” สู่ความยั่งยืน” ผ่านการเสวนากับผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้แก่ รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณมานพ แก้วโกย ผู้บริหาร หจก. เนเจอร์ฟูดโปรดักส์แอนด์มาร์เก็ตติ้ง และ ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยมี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นผู้ดำเนินรายการ จากการเสวนาสรุปประเด็นสำคัญได้ 4 ข้อ ดังนี้ (1) ทำไมภาคเกษตรอีสานถึงต้องปรับเปลี่ยน โดยปัจจุบันแรงงานภาคเกษตรเผชิญปัญหาสังคมสูงอายุ ทำให้ผลิตภาพ (Productivity) ต่ำ 

อีกทั้งเป็นอาชีพที่เสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ (High Risk Low Return) กอปรกับสภาพอากาศที่ผันผวนมากขึ้น เช่น สถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบัน ส่งผลให้ดินจะอุ้มน้ำได้น้อยลงกระทบต่อผลผลิต รวมถึงกิจกรรมการเกษตรส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับต้น ๆ (2) อะไรเป็นอุปสรรคในการปรับตัวของภาคเกษตรอีสาน นโยบายภาครัฐส่วนใหญ่เน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น และอุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไข ส่งผลให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับตัว นำมาซึ่งผลิตภาพภาคเกษตรที่ลดลงมาโดยตลอด และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ภาคเกษตรที่ยังเรื้อรังทำให้เกษตรกรยังทำเกษตรรูปแบบเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการปรับเปลี่ยน (3) แนวทางการปรับตัวของภาคเกษตรอีสาน การปรับตัวของเกษตรกรเหมือนคนทั่วไปมองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและแรงจูงใจเป็นอันดับแรก โดยปกติการปรับเปลี่ยนอาจนำมาซึ่งต้นทุนและความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่หากทำให้เกษตรกรเห็นว่าผลดีที่จะเกิดขึ้นมีอะไรและช่วยลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกรผ่านรูปแบบประกันความเสียหาย จะเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ดีมากขึ้น และ (4) ใครต้องปรับตัว ผู้ร่วมเสวนาให้ความเห็นในทางเดียวกันว่าในการขับเคลื่อนภาคเกษตรอีสาน จำเป็นต้องปรับตัวทั้งเกษตรกร ภาครัฐ และเอกชน โดยภาครัฐควรทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การมี Platform รายงานคุณภาพดินแบบเรียลไทม์ ให้เกษตรกรสามารถใช้ปุ๋ยที่เหมาะสม ทั้งนี้ ภาครัฐทำหน้าที่ให้การสนับสนุนด้านข้อมูล (Big Data) และภาคเอกชนเป็นผู้จัดทำ Platform และโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ โดยเฉพาะระบบการจัดการน้ำให้ทั่วถึง

สอ.รฝ. จัดกำลังพล 100 นาย ร่วม ไทยออยล์ ตรวจสอบคราบน้ำมันชายหาดบางพระ

วันที่ 5 ก.ย.66 เวลา 13.00 - 17.00 น. กองทัพเรือ โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) จัดกำลังพลจากกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 12 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 จำนวน 100 นาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทยออยล์ ดำเนินการตรวจสอบคราบน้ำมัน และเก็บขยะบริเวณชายหาดบางพระ ระยะทาง 4 กม.  จากกรณีเหตุน้ำมันดิบชนิด ARUB Light Crude รั่วไหล บริเวณทุ่นรับน้ำมันของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ผลการตรวจสอบไม่พบคราบน้ำมันบริเวณชายหาดบางพระ

'ดร.ภูมิวรินทร์' ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา รับโล่ศิษย์เก่าดีเด่น 'วันสถาบันพระปกเกล้า'

วันที่ 5 กันยายน 2566 ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า จัดงาน “5 กันยา วันสถาบันพระปกเกล้า” โดยวันที่ 5 กันยายน ถือเป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับศิษย์สถาบันพระปกเกล้า เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541 และยังเป็นวันที่มีการอนุมัติให้จัดตั้งสมาคมเเห่งสถาบันพระปกเกล้าขึ้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 อีกด้วย 

ดร.ธิติมา หล่อพิพัฒน์ นายกสมาคมฯ กล่าวว่า “งาน 5 กันยา วันสถาบันพระปกเกล้า เป็นงานประเพณี ที่จัดสืบเนื่องกันตลอดมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเเสดงมุทิตาจิตเเด่คณาจารย์สถาบันพระปกเกล้า เพื่อเชิดชูเกียรติองค์กร และศิษย์เก่าดีเด่น ที่สร้างคุณูปการต่อประเทศชาติ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในด้านการพัฒนาประชาธิปไตย และเพื่อเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคีของชาวสถาบันพระปกเกล้าทุกรุ่นทุกหลักสูตรในโอกาสเดียวกัน โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา มาเป็นประธานในพิธี และเป็นองค์ปาฐกในการปาฐกถาพิเศษ”

ภายในงานจัดให้มีพิธีแสดงมุทิตาจิตแด่คณาจารย์ การปาฐกถาพิเศษ พิธีมอบรางวัลองค์กรดีเด่นและศิษย์เก่าดีเด่น การแสดงจากตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า และกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย

สำหรับรางวัลองค์กรดีเด่นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในปีนี้ ได้แก่ คุณบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน), คุณเกียรติศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการบริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด และคุณสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 

รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าในปีนี้ ได้แก่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, สว.ประยูร เหล่าสายเชื้อ สมาชิกวุฒิสภา, คุณกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน), นายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้อำนวยการ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ Chersery Home International, คุณวุฒิพงศ์ วนากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอกยงวงศ์จำกัด, ดร.ภูมิวรินทร์ ชุณหะวงษ์วริศ ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา, คุณภารดี วรเกริกกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเวอร์ซีส์ คาร์บอน ไรเซอร์ จำกัด, คุณธันยลักษณ์ พรหมมณี  เจ้าของกิจการ บริษัท พรหมมณี ฟาร์มาซูติคอล จำกัด, คุณอรรฆยา พลตื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิชั่นกลาส แอนด์ ดอร์ อินดัสเทรียล จำกัด และคุณรุ่งทิพย์ สูงสว่าง กรรมการบริหาร บริษัทนิวเทคโนโลยีอินฟอร์เมชั่น จำกัด

ภายในงาน มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของสถาบันพระปกเกล้าทุกรุ่น ทุกหลักสูตร มาร่วมงานประเพณีสำคัญประจำปี ในฐานะศิษย์สถาบันพระปกเกล้าอันทรงเกียรติแห่งนี้ 

ดร.ภูมิวรินทร์ ชุณหะวงษ์วริศ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทางสถาบันพระปกเกล้า คณะกรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า ที่คัดเลือกผมได้รับรางวัล "ศิษย์เก่าดีเด่น" อันทรงเกียรติ ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์สถาบันพระปกเกล้า และก็ทำคุณประโยชน์ให้กับสถาบัน ในด้านของการพัฒนากีฬาและการเมือง จนถึงทุกวันนี้ยังสนับสนุนงานของสมาคม และสถาบันพระปกเกล้าอยู่ตลอด อยากให้พี่ๆ ที่จบไปแล้ว หรือน้องๆ ที่ศึกษาอยู่ นำองค์ความรู้มาร่วมกันช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“ชมรมลมวิเศษ” จับมือ “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” จัดโครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว สู่ลมหายใจวิเศษ ชิงถ้วยพระราชทาน “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

นับวันฝุ่นควันพิษจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและภายหน้าอย่างต่อเนื่องและรุนแรง “ชมรมลมวิเศษ” หนึ่งในโครงการอุ่นใจ ภายใต้ แพทยสมาคมฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตระหนักดีว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าปัจจัย 4 คือ “ลมหายใจและอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์” จึงร่วมกับ “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” จัด “โครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว สู่ลมหายใจวิเศษ” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงไอเดียที่สร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจิ่ว PM2.5 เพื่อเป็นเวทีในการคิดค้น พัฒนา และ ต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว หรือ PM2.5 ในประเทศไทย พร้อมเปิดให้ส่งเอกสารนำเสนอแนวคิดหรือผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2566 เวลา 12.00 น. ที่อีเมล [email protected]

งานแถลงข่าวครั้งนี้ นำโดย สุพัตรา จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานชมรมลมวิเศษ และ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ กลุ่มเซ็นทรัล, รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ประธานที่ปรึกษาชมรมลมวิเศษ และ รศ.ดร. สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมแถลงรายละเอียดโครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋ว พร้อมเปิดประเด็น “ความสำคัญของปัญหา PM2.5” โดย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย นายกแพทยสมาคมฯ 

สุพัตรา จิราธิวัฒน์ ในฐานะประธานชมรมลมวิเศษ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การประกวดว่า “โครงการประกวดนวัตกรรมแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋วสู่ลมหายใจวิเศษ ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (The Magic Breath Innovation Contest-MBIC) ครั้งที่ 1” จัดขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและสุขภาพในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อเป็นเวทีให้เยาวชนไทยและผู้ที่สนใจได้ใช้เป็นเวทีในการคิดค้น พัฒนา และต่อยอดนวัตกรรมต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นจิ๋วหรือ PM2.5 ในประเทศไทย โดยนวัตกรรมที่จะสามารถนำมาใช้ในการประกวดอาจเป็นได้ทั้ง “นวัตกรรมด้านสังคมหรือนโยบาย” และ “นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” โอกาสนี้จึงขอเชิญชวนให้มาช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นด้วยกัน” 

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย นายกแพทยสมาคมฯ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ชมรมวิเศษ กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพคนไทยไม่สามารถแก้ไขได้เพียงคนเดียว แต่เราต้องร่วมมือกันและแก้ไขปัญหาผ่านนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้จริง เช่น ให้คนในชุมชนในจังหวัดร่วมมือกัน โครงการลมวิเศษเราทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง โครงการประกวดนวัตกรรมนี้เราจัดขึ้นเพราะเราเห็นว่าเรามีบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาเพียงผู้เดียวได้ จึงต้องอาศัยนโยบายที่ช่วยกันคิดสร้างสรรค์ เมื่อได้นโยบายที่ดีมาแล้วจึงผลักดันสู่การแก้ปัญหาระดับประเทศและนานาชาติต่อไป การแก้ไขปัญหาก็จะเกิดความสำเร็จ

รศ.ดร. สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึง บทบาทของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมีพันธกิจที่ชัดเจนที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมเป็นอันดับหนึ่ง จึงได้รวบรวมนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ ทั้งในด้านวิศวกรรมศาสตร์และด้านสังคม และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมในการจัดการประกวดนี้ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยคาดหวังว่า โครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้คนไทยและสังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาจากฝุ่นละอองชนิดต่างๆ ในอากาศที่ทุกคนต้องหายใจ และหันมาร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืนต่อไป

รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรมลมวิเศษ กล่าวว่า ลมหายใจเป็นของทุกคน การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่จึงเป็นเวทีในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ร่วมกัน ถ้าเราคิดแบบเดิมและแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ ปัญหานี้ก็จะวนกลับมาเรื่อยๆ ไม่รู้จบ นวัตกรรมในการแก้ปัญหาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราเลยอยากเปิดเวทีให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มาร่วมกันคิดนวัตกรรมนอกกรอบแบบสร้างสรรค์ มาร่วมแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษารวมถึงคนวัยทำงาน ตั้งแต่ 1-5 คน จะมีที่ปรึกษาหรือไม่มีก็ได้ โดยให้เขียนบทความสื่อสารสิ่งที่อยากทำลงมาในกระดาษ 1 หน้า A4 พร้อมภาพหรือคลิปประกอบแนวคิด โดยมี 2 หัวข้อให้เลือกทำตามความถนัด ได้แก่ “นวัตกรรมด้านนโยบาย” และ “นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ที่ e-mail: [email protected] ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2566 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง “ชมรมลมวิเศษ” แพทยสมาคมอาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี เลขที่ 2 ซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 02-318-8170 หรือ FB Fan Page : ชมรมลมวิเศษ - Magic Breath Thailand

แม่หญิงสมายล์เชิญชวนให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบตำนานไหมไทย

✨💖แม่หญิงสมายล์เชิญชวนให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบตำนานไหมไทย
🧡งาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 18 ภายใต้แนวคิด “ไหมไทยล้ำค่า สายใยแห่งภูมิปัญญา พัฒนาสู่สากล”

🩵ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น. 
📍ณ ฮอลล์ 6-7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

😍พบกับกิจกรรมมากมายภายในงาน อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การจัดแสดงเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน ผลงานการประกวดเส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน และผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ประจำปี 2566 นิทรรศการหม่อนไหมครบวงจรและสินค้าหม่อนไหมมากกว่า 200 ร้านค้า💕
🥰อย่าลืมไปงานกันเยอะๆ น้า🥰

กรมหม่อนไหม จัดงาน “ตรานกยูงพระราชทานฯ ครั้งที่ 18” ดันมาตรฐานไหมไทย สร้างชื่อ สร้างรายได้ให้ประเทศ

วันนี้ (1 กันยายน 2566) ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นนทบุรี กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงานตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย ครั้งที่ 18 ประจำปี 2566  ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 3 กันยายน 2566 ภายใต้แนวคิด “ไหมไทยล้ำค่า สายใยแห่งภูมิปัญญา พัฒนาสู่สากล” 

นายประกอบ เผ่าพงศ์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่ทรงสืบสานและทรงให้ความสำคัญกับผ้าไหมไทย พร้อมผลักดันมาตรฐานไหมไทย มุ่งสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การจัดแสดงเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน การสร้างมูลค่าเพิ่มผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน ประเภทผ้าแพรวา พร้อมจัดแสดงผ้าไหมประเภทผ้าแพรวาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย (ตรานกยูงพระราชทาน) ชนิดต่างๆ ผลงานการประกวดเส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน และผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ประจำปี 2566  รวมทั้ง ยังมีการออกร้านจำหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมไทย และสินค้าหม่อนไหม มากกว่า 200 ร้านค้า ด้วย  นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากทูตอัตลักษณ์ไหมไทย จาก 19 ประเทศ และนางแบบกิตติมศักดิ์ ร่วมเดินแบบผ้าไทยในงานดังกล่าวด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 6-7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ออกแถลงการณ์ คนละร้านกับ ‘ลูกไก่ทอง’ ไม่มีความเกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ-การบริหาร ใดๆ ทั้งสิ้น

(1 ก.ย. 66) จากกรณีดรามา ‘ปังชา’ ของ ‘ร้านลูกไก่ทอง’ ที่นำมาสู่กระแสความสับสนของชาวเน็ตว่า ตกลงแล้ว ‘ร้านลูกไก่ทอง’ กับ ‘ร้านไก่ทอง’ เป็นร้านเดียวกันหรือไม่นั้น

ล่าสุด ‘ร้านไก่ทอง ออริจินัล’ ซึ่งมีชื่อคล้ายกัน ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันผ่านเฟซบุ๊ก ‘ไก่ทอง ออริจินัล - Kaithong Original’ ว่าเป็นคนละร้าน และไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยเหตุการณ์ดรามา ‘ปังชา’ หนนี้ สร้างผลกระทบต่อร้าน เพราะทำให้หลายท่านเกิดความสับสนและเข้าใจผิดอย่างมาก ว่า…

“เนื่องจากทางร้าน ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ได้รับทราบถึงเหตุการณ์และกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจประเภทเดียวกัน เรารู้สึกเห็นใจและเข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก 

ร้านของเราก็เป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน จากชื่อร้านที่มีความคล้ายคลึงกัน ทำให้หลายท่านเกิดความสับสนและเข้าใจผิด 

จึงขอประกาศชี้แจงให้ทราบว่า ร้าน ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ และ ร้าน ‘ลูกไก่ทอง’ ไม่ใช่ร้านเดียวกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ และการดำเนินการใด ๆ ทั้งทางธุรกิจ และการบริหาร ทั้งสิ้น

ทางผู้บริหารและพนักงาน ขอขอบคุณลูกค้า ที่ให้การสนับสนุน ร้านไก่ทอง ออริจินัล ด้วยดีเสมอมา ทางร้านยังมุ่งมั่นรักษามาตรฐานความอร่อย วัตถุดิบที่คงความออริจินัล ด้วยการคัดสรรอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความอร่อยตามกาลเวลาในแบบฉบับต้นตำรับมายาวนานกว่า 25 ปี”

สำหรับ ‘ร้านไก่ทอง ออริจินัล’ ปัจจุบัน มีทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาเมืองทองธานี / สาขาเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ / สาขาเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า / สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ และร้านในเครือ ‘ไก่ทอง ออริจินัล’ ประกอบไปด้วย The Dessert by Kaithong Original เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ และ ARUNN เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน   

ผบ.ตร.บินด่วนลงใต้ เยี่ยมให้กำลังใจลูกน้อง พร้อมเยียวยาครอบครัว ตำรวจกล้ายะรัง สั่งดูแลสิทธิประโยชน์เต็มที่ หลังถูกคนร้ายยิงถล่ม เร่งรับตัวตำรวจบาดเจ็บเข้ารักษาที่ รพ.ตร. พร้อมติดตามคนร้ายเร่งด่วน กำชับ SOP ยุทธวิธีในการทำงาน พร้อมดูแลขวัญกำลังใจตำรวจชายแ

วันที่ (31 สิงหาคม 2566) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9  , พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี  เดินทางลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิต และเยี่ยมผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.66 เวลา 22.50 น. ในขณะที่ตำรวจสภ.ยะรัง พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง (อส.) ออกลาดตระเวนพื้นที่รับผิดชอบ  มาถึงบริเวณหน้า สำนักงานเทศบาลตำบลยะรัง ม.3 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จว.ปัตตานี ได้ถูกคนร้ายใช้ปืนยิงถล่มใส่เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้ตำรวจเสียชีวิตจำนวน 2 ราย  คือ ด.ต.ตุแวเลาะ ลอมะ และ ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเร๊ะ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะรัง อาสาสมัคร 2 ราย และมีตำรวจบาดเจ็บ 5 ราย  คือ ส.ต.ต.ธนทัต โชคมาก ส.ต.ต.อิสมาเอ็น จิตหลัง  ส.ต.ท.ศราวุฒิ สูสัน ส.ต.ท.ธวัช เส็นฤทธิ์ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะลัง  และพ.ต.ท.ณรงค์ แสนเกื้อ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ยะรัง 

ภายหลัง ผบ.ตร.และคณะได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ พร้อมมอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือให้แก่ครอบครัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อส. ที่เสียชีวิต ผู้รับบาดเจ็บ รวมถึงเยี่ยมเด็กที่โดนสะเก็ดระเบิด ณ โรงพยาบาลปัตตานี พร้อมกล่าวกับญาติยืนยันตำรวจรับปากจะดูแลสิทธิประโยชน์ทุกอย่างเต็มที่ รวมทั้งการบรรจุทายาทเข้ารับราชการตำรวจ 

ผบ.ตร.ได้มอบเงินส่วนตัวช่วยเหลือตำรวจที่เสียชีวิตรายละ 50,000 บาท บาดเจ็บสาหัสรายละ 20,000 บาท บาดเจ็บรายละ 10,000 บาท ส่วนอาสาที่เสียชีวิตรายละ 20,000 บาท และมอบให้ ภ.จว.ปัตตานี เพื่อใช้ดำเนินการดูแลตำรวจรวมยอดประมาณ 300,000 บาท 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ยังได้มอบเงินส่วนตัวช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งด้วย 

สำหรับ ส.ต.ท.ธวัช เส็นฤทธิ์ ที่บาดเจ็บสาหัส สะเก็ดระเบิดเข้าตา ผบ.ตร. ได้นำตัวขึ้นเครื่องมารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ยังได้สั่งดูแลสิทธิประโยชน์เต็มที่ กรณีตำรวจเสียชีวิต สั่งการให้เสนอปูนบำเหน็จความดีความชอบตอบแทนเป็นกรณีพิเศษให้ ด.ต.ตุแวเลาะฯ และ ส.ต.ท.บุญกีนีฯ โดยขอเลื่อนเงินเดือนให้ 8 ขั้น การช่วยเหลือบรรจุทายาท รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือดูแลในส่วนของสิทธิประโยชน์อื่นๆ ทั้งของผู้เสียชีวิตและครอบครัว ด.ต.ตุแวเลาะฯ จำนวน  3,426,820 บาท และ ส.ต.ท.บุญกีนีฯ 2,431,990 บาท ส่วนตำรวจบาดเจ็บที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ 40,000- 281,000 บาท ตามอาการ 
     
ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ , พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ เดินทางไปประชุมติดตามความคืบหน้าและเร่งรัดคดี โดย มี พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9   ตร. ,พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.กฤษดา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 ,พล.ต.ต.สมกูล กาญจนอุดมการณ์ ผบก.ตชด.ภ.4 ,พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู ผบก.ศพฐ.10  ,พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา ,พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.สส.จชต., พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา ,พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ,พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าร่วม ณ ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี อ.เมืองปัตตานี จว.ปัตตานี
     
ผบ.ตร.กล่าวว่า “ขอแสดงความอาลัย และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ด.ต.ตุแวเลาะ ลอมะ ผบ.หมู่ (ป) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี และ ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเร๊ะ ผบ.หมู่ (ป ) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี ที่สละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ขอสดุดีตำรวจกล้าทุกนาย ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อรักษาสันติสุขในพื้นที่ภาคใต้  ขณะที่ข้าราชการตำรวจอีก 5 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บ และได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการปฏิบัติหน้าที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าไปดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตั้งแต่ 40,000 – 281,000 บาท ตามอาการของแต่ละราย 

ส่วนทางคดี เบื้องต้น มีความคืบหน้าไปมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบกลุ่มผู้กระทำในเบื้องต้นแล้ว เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัว ทั้งนี้ ได้กำชับเร่งรัดติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด สืบสวนขยายผลดำเนินการทุกมิติ รวมทั้งหาวิธีการในการปฏิบัติที่จะป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้มีความพร้อมในทุกๆเรื่อง วางแนวทางการปฏิบัติ กำหนด SOP ยุทธวิธีในการทำงาน ให้เกิดความปลอดภัย ผู้บังคับบัญชาต้องนำไปลงรายละเอียด คิดแทนลูกน้องว่าจะดำเนินการอย่างไร รวมทั้งการถอดบทเรียนที่เกิดขึ้น มาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น นำมาวิเคราะห์ ปรับแผนทางยุทธวิธี รวมทั้งสอบถามวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ให้จัดลำดับความสำคัญเตรียมทำแผนในการของบประมาณ เช่น ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์ป้องกันตัว โดยคำนึงถึงชีวิตข้าราชการตำรวจเป็นอันดับแรก รวมทั้งคิดระบบเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเน้นย้ำกำลังพลปฏิบัติตามหลักยุทธวิธี ให้เกิดความปลอดภัยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ตร.พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์ และขอส่งกำลังใจให้ตำรวจผู้ปฏิบัติชายแดนใต้ทุกราย”

DSI และผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกันแจ้งเตือนภัย หลังพบ 73 เพจปลอมหลอกให้ลงทุน

เมื่อวันที่ 30  สิงหาคม 2566 พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พร้อมคณะ เข้าพบคณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบด้วย นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ/ประธานคณะกรรมการบริหารและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจักก์ชัย พานิชพัฒน์ รองประธานกรรมการ/กรรมการบริหาร/ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี นายวิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคนิควิศวกรรม นายมานะชัย ขาวประพันธ์ ผู้จัดการอาวุโสสายงานเลขานุการบริษัทและกฎหมาย และนายเขมพัฒน์ เจริญพานิช ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย ที่อาคารกรมดิษฐ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือแนวทาง
ในการแก้ไขปัญหา กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการปลอม Facebook ด้วยการใช้ชื่อบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 73 เพจ เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนทั่วไปร่วมลงทุนกับบริษัทผ่านกองทุนต่าง ๆ ในการขยายกิจการและดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยเสนอให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อและร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก

ในการหารือ คณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแนวทางประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางในการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อแจ้งเตือนประชาชนร่วมกัน นอกจากนั้นคณะผู้บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังมีความสนใจแนวทางการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันอาชญากรรมที่เกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ของกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ โดยการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีลักษณะเป็นปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสืบค้นข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ตมาวิเคราะห์และจัดทำฐานข้อมูลเพื่อเตือนภัยประชาชน อันเป็นมาตรการป้องกันการกระทำผิดที่มีประสิทธิภาพดีกว่าการปราบปรามที่กระทำเมื่อความเสียหาย
เกิดกับประชาชนแล้ว และทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษมีฐานข้อมูลของผู้กระทำความผิดที่จะสามารถใช้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงกาขยายความร่วมมือด้านการต่างประเทศที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีศักยภาพสนับสนุนการปฏิบัติ ทั้งนี้ ได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน (Working Group) เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง และมีตั้งกลุ่มไลน์สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานเพื่อใช้ในการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารรวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลต่อไป

'จับคาด่าน' ฉก.ทัพเจ้าตากร่วมกับตำรวจ สภ.แม่จัน ยึดยาบ้า 191,000 เม็ดคาด่านกิ่วทัพยั้ง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566ที่ผ่านมา เวลา 00.15 นาฬิกา หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 จัดกำลังพล ร่วมกับ ชุดสุนัขทหารที่ 6 หมวดสุนัขทหาร กองกำลังผาเมือง, กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 

และ สถานีตำรวจภูธรแม่จัน ทำการตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกัน และสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย บริเวณ ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง บ้านปงตอง ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตรวจพบและจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด จำนวน 3 คน พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 31 ห่อๆ ละ  6,000 เม็ด และ ห่อละ 5,000 เม็ด อีก 1 ห่อ รวมยาบ้าจำนวนทั้งสิ้น 191,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไท

เกอร์ สีบอร์นทอง หมายเลขทะเบียน กจ 6838 สุโขทัย และ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์ สีเทา หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ก 4298 พิษณุโลก (รถนำขบวนยาเสพติด) หน่วยจึงได้นำตัวผู้ต้องหา และของกลาง ส่งให้สถานีตำรวจภูธรแม่จัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top