Friday, 2 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

กระบี่ ผบ.ทร.ถกบอร์ดบริหารศรชล.รีวิวผลงานรอบปี 2566 พหุภาคีซิมลีย์-ดีลMOUเวียดนาม-ชงตั้งทีมอนุฯ

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดย พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2566 พร้อมด้วย พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ/เลขาธิการ ศรชล. คณะกรรมการบริหาร ศรชล. และผู้แทนหน่วยงานหลัก 7 ศรใน ศรชล. ประกอบด้วย กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมศุลกากร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองบังคับการตำรวจน้ำ และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมประชุม ณ โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่

การประชุม ศรชล. สัญจรครั้งที่ 3 ถือเป็นนัดสุดท้ายของปีงบประมาณ 2566 จัดขึ้นในพื้นที่ทะเลอันดามัน ศรชล.ภาค 3 ปรากฎสาระสำคัญที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการรายงานผลการปฏิบัติตามนโยบายการปฏิบัติงานของ รอง ผอ.ศรชล./ผบ.ทร. ในรอบปี พ.ศ.2566 มีเครื่องแบบปฏิบัติงาน ศรชล. การพัฒนาความสัมพันธ์กับหน่วยงานความมั่นคงและบังคับใช้กฎหมายทางทะเลและระหว่างประเทศ การพัฒนาแนวทางการประชาสัมพันธ์และการสร้างความตระหนักรู้ ให้สำนักงานศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ (ศคท.) จังหวัดมีรูปแบบอาคารปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน การยกระดับการปฏิบัติงานให้มีมาตรฐานสากล การยกระดับการปฏิบัติในด้านการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล (SAR) เตรียมความพร้อม การวางแผนรองรับการขจัดคราบน้ำมันและมลพิษทางน้ำ 

ทั้งนี้ นโยบายด้านธุรการ การกำลังพล และการส่งกำลังบำรุง นโยบายด้านแผนและนโยบาย และนโยบายด้านการปฏิบัติ การฝึก และการบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมเป็นไปตามแผนงาน ตัวชี้วัด และเป้าหมายที่กำหนด  ผลงานระดับภูมิภาคที่สำคัญคือ ศรชล. เป็นเจ้าภาพร่วมกับหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐอเมริกา จัดการประชุมระดับผู้บังคับบัญชาตามกรอบความริเริ่มการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMLEI) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 11 - 14 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงและปลอดภัยทางทะเลร่วมกับหน่วยบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีผู้แทนหน่วยงานรักษาความมั่นคงทางทะเลจากมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ มีการอภิปรายและหารือเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญในระดับที่สูงขึ้น ได้แก่ การเขียนระเบียบปฏิบัติงาน (SOP) และขั้นตอนการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบการกำหนดข้อมูลด้านขีดความสามารถและการยุทธการ การวางแผนกลไกที่จำเป็นต่อความร่วมมือแบบพหุภาคี การปรึกษาหารือประจำปีโดยเน้นประเด็นหลักที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดให้หน่วยยามฝั่งเวียดนามเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2567 และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเลของอินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2568 ทั้งนี้ หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมการประชุมฯ 

โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก  ที่ประชุมรับทราบคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 เห็นชอบให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง ศรชล. สำนักนายกรัฐมนตรี กับ หน่วยยามฝั่งเวียดนาม ในความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล โดยมอบอำนาจให้ รอง ผอ.ศรชล.เป็นผู้แทนฝ่ายไทย และ ผบ.หน่วยยามฝั่งเวียดนาม เป็นผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ในการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ที่มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนสินค้าและการหลบหนีเข้าเมือง การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการยกระดับความปลอดภัยในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล 

นอกจากนี้ ศรชล. ยังได้จัดทำ(ร่าง)ระเบียบปฏิบัติงาน (SOP) เรื่องแนวทางประสานงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล เพื่อพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในทะเล โดยผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินทางทะเล จะได้รับการช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างทันท่วงทีและเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่กฎหมายกำหนด สอดคล้องกับหน้าที่ อำนาจ และความรับผิดชอบของ ศรชล.ข้อพิจารณาสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตามที่ ศรชล. ได้จัดทำแผนการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานและโครงการให้สอดคล้องกับแผนและแนวทางในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปตามที่กำหนดในมาตรา 23 ของ พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ที่มี รองเลขาธิการ ศรชล. เป็นประธานอนุกรรมการ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศรชล. เป็นรองประธานฯ และมีผู้แทนจากหน่วยงานภายใน ศรชล. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นอนุกรรมการ รวมทั้งหมด 34 คน เป็นกลไกในการบูรณาการขับเคลื่อนแผนการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และช่วยเหลือในการพิจารณากลั่นกรองการบริหารงานของ ศรชล. ตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการบริหาร ศรชล. โดยเมื่อคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ให้ความเห็นชอบจะได้เสนอขออนุมัติต่อไป

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 เปิดอาคาร สภ.หนองแสง ใหม่ พร้อมอำลาราชการ ตรวจเยี่ยม ให้โอวาท มอบหลวงพ่อโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” ชมเชยการทำงานตามนโยบาย ตร. โครงการนาคาพิทักษ์ ต้นแบบแก้ปัญหาผู้ป่วยจิตเวช เน้นย้ำทำงานเชิงรุก ทัศนคติเชิงบวก แก้ปัญหายาเสพติด

วานนี้ (15 ก.ย. 66)  เวลาประมาณ 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางไปเป็นประธานเปิดอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรหนองแสง จว.อุดรธานี โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี , พ.ต.อ.จักรทิพย์ กูลพฤกษี ผกก.สภ.หนองแสง พร้อมแขกผู้เกียรติเข้าร่วม

ผบ.ตร. ขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวกองเกียรติยศ มอบสิ่งของบำรุงขวัญ แก่ตำรวจ สภ.หนองแสง และหน่วยตำรวจในพื้นที่ มอบใบประกาศเกียรติคุณผู้สนับสนุนกิจการงานตำรวจ และทำพิธีเปิดอาคาร กดปุ่มเปิดผ้าแพรคลุมป้ายชื่ออาคารที่ทำการ สภ.หนองแสง ตรวจเยี่ยมภายในอาคาร

สำหรับ สภ.หนองแสง แห่งใหม่ ตร.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างทดแทนอาคารเก่าซึ่งสร้างมาแล้วกว่า 42 ปี รองรับภารกิจดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 4 ตำบล 38 หมู่บ้าน ประชากร 27,176 คน มีตำรวจทั้งสิ้น 60 นาย ทั้งนี้ สถานีตำรวจแห่งใหม่จะรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจยุคใหม่ ทั้งการอำนวยความยุติธรรม ให้บริการประชาชน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันทุกมิติ

ต่อมาเวลา ประมาณ 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ และคณะ เดินทางมาตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย เพื่ออำลาหน่วย และให้โอวาทตำรวจ โดยมี พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 , รอง ผบช. , ผบก.ในสังกัด ภ.4 เข้าร่วม ส่วนระดับสถานีตำรวจมีการถ่ายทอดการประชุมทางระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์

ผบ.ตร. ได้กล่าวขอบคุณและชมเชยการปฏิบัติงานของตำรวจ ภ.4 ในห้วงที่ผ่านมา ที่ได้ปฏิบัติตามนโยบาย  ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ โครงการนาคาพิทักษ์ ที่ค้นหาและแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวช ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นต้นแบบแนวทางแก่พื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ  มีผลการประเมินตามโครงการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่ดี โดย ภ.4 ได้ลำดับคะแนนเป็นต้นๆในภาพรวมของประเทศ  งานจราจร ภ.4 มีการปฏิบัติที่ดีทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวกการจราจรในเทศกาล การป้องกันและลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ซึ่ง ภ.4 ได้อันดับสองของประเทศ ขอให้รักษามาตรฐานการทำงาน เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน
    
การป้องกันยาเสพติด ให้มุ่งแก้ไขปัญยาเสพติดทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างชุมชนยั่งยืน ทำชุมชนเข้มแข็ง เข้าไปในชุมชน ค้นหาผู้ป่วยผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อร่วมแก้ปัญหา มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำคัญในงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาชนในพื้นที่  และ ภ.4 ได้มีการใช้อุปกรณ์ไม้ง่าม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าดำเนินการได้ดี 

ขอทุกคนให้ความสำคัญ กับการรับแจ้งความออนไลน์ มุ่งปราบปรามจับกุมบัญชีม้าซิมม้า เมื่อจับกุมให้มีการสืบสวนขยายผลติดตามยึดทรัพย์กลุ่มขบวนการที่ทำผิด โดยหลังจากที่มีการออก พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขอให้ตำรวจคงความเข้มในการดำเนินการ ทั้งมิติการปราบปราม การป้องกัน สร้างครูไซเบอร์ แสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาคดีออนไลน์ให้ลงลงต่อเนื่อง  

ผบ.ตร.ยังฝากข้อคิดการทำงานให้ตำรวจ ว่า ต้องทำงานเชิงรุก มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน มุ่งหมั่นพัฒนาตนเองให้เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก โดยศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ หมั่นทบทวนยุทธวิธี วางแผนการทำงาน ทบทวน ประเมินการปฏิบัติ  แสวงหาความร่วมมือ สื่อสารทำความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ตำรวจพึงมี คือ ทัศนคติเชิงบวกมุ่งมั่นปฏิบัติงานโดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง มีความเสียสละ สามัคคี อุทิศให้ส่วนรวม เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว จะเป็นแรงผลักในการทำงาน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่คิดว่างานในหน้าที่คือภาระ ไม่บ่น ไม่ย่อท้อ แต่จะเห็นว่าอาชีพตำรวจเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ช่วยเหลือประชาชน เปรียบเสมือนการทำบุญ ทำความดีในทุกวัน

หลังมอบนโยบาย ผบ.ตร.ได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” ที่ ตร.จัดสร้างขึ้น ให้ ภ.4 พร้อมมอบเหรียญอาร์ม พระพุทธโสธร ให้ข้าราชการตำรวจ ภ.4 ทุกนาย เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากที่มอบให้ตำรวจ ภ.5,6,7 และได้ส่งมอบให้ตำรวจทั่วประเทศไปส่วนหนึ่งแล้ว 

จากนั้นเวลา 16.30 น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้เดินทางไปบรรยายพิเศษ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ในการประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสัญจร ประจำปี 2566 ครั้งที่ 5 จังหวัดนครพนม  มี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำภาคธุกิจ หอการค้าไทยทุกจังหวัด ผู้ประกอบการเข้าร่วมฟัง

ผบ.ตร.ได้กล่าวถึงความสำคัญของเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ หลังที่ปราบปรามภัยออนไลน์มาต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการให้หมดไปได้ จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมมือทุกภาคส่วน สร้างภูมิคุ้มกัน (วัคซีนไซเบอร์) ให้รู้เท่าทันภัยกลโกงรูปแบบต่างๆ  มีการทำข้อสอบวัคซีนไซเบอร์ และ ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง ตร.ได้ร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ดำเนินการมาต่อเนื่อง ประกอบกับ การผลักดัน พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาเป็นเครื่องใช้เครื่องมือในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้คดีก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้ฝากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นอกจากสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ให้ช่วยขยายความรู้วัคซีนไซเบอร์ไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อร่วมกันป้องกันภัยออนไลน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย

'ตม.ขอนแก่น' รวบชาวต่างด้าวสัญชาติจีน หลังอยู่เกินกำหนด 863 วัน

ตำรวจ ตม. จังหวัดขอนแก่น จับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดตามมาตรา 81 พ.ร.บคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กว่า 863 วัน"

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ ศปก.ตม. จังหวัดขอนแก่น อาคาร 2 ชั้น 2 ภายในสำนักงานขนส่ง ผู้โดยสารจังหวัดขอนแก่นแห่งที่ 3 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พ.ต.ท.สุพจน์ การุณวงษ์ สว.ตม.จว. ขอนแก่น พร้อมด้วยชุดจับกุม ร.ต.อ.สรายุทธ พิลามา รอง สว.ตม.จว.ขอนแก่น  ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว. ขอนแก่น และ นายณชพัฒน์ ไกรศรีวรรธนะ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการข่าว กอ.รมน.จังหวัดขอนแก่นร่วมกันแถลงข่าวการ"จับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดตามมาตรา 81 พ.ร.บคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กว่า 863 วัน"

ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เรื่อง การควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติ ที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝง ตัวอยู่ก่อเหตุ กับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นำโดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.สรร พูลศิริ รอง ผบช.สตม , พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ แสงเดือน รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน รอง ผบก.ตม 4, พ.ต.ท. โสรัจ วิชยสุทธิ์ สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น, พ.ต.ท.สุพจน์ การุณวงษ์ สว.ตม.จว. ขอนแก่น ชุดจับกุม ร.ต.อ.สรายุทธ พิลามา รองสว.ตม.จว.ขอนแก่น นำกำลัง ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว. ขอนแก่น ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่น (ส.ทท.1 บก.ทท.2) ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ผู้ต้องหาดังนี้

ก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว. ขอนแก่น ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยที่หมู่บ้านเคลฟเวอร์ไทม์ ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ขอนแก่น พร้อมเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่น (ส.ทท.1 บก.ทท.2) จึงได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าตรวจสอบพบ

บุคคลต่างด้าวดังกล่าวตามข้อมูลของสายลับ จึงสอบถามต่างด้าวคนดังกล่าว ทราบชื่อว่า MR.XAO YANG(นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 35 ปี เดินทางทางด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2564 ได้รับอนุญาติให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 2 พ.ค. 2564 (คนอยู่ชั่วคราว 90 วัน) และได้อาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ ทั้งกรุงเทพมหานคร ชลบุรี และล่าสุดเข้ามาอาศัยในจังหวัดขอนแก่น โดยมีพฤติกรรมหลบซ่อนไม่เปิดเผยตัว จนถูกจับกุมดังกล่าว

สตม.ขอเรียนให้ทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กาดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในต้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทย และสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และมีการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สำนักงานใหญ่)อาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 โทร. 1178/ 02-572-8500 E-mail : [email protected] หรือที่ www.inmigration.go.th. จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง จัดปาฐกถาและนำเสนอยุทธศาสตร์ ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์เสริมสร้างให้กระบวนการเลือกตั้งได้รับการยอมรับ”

​สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง โดยนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 13 (พตส. 13) จัดปาฐกถาและนำเสนอยุทธศาสตร์เชิงปฏิบัติการต่อสาธารณะ ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์เสริมสร้างให้กระบวนการเลือกตั้งได้รับการยอมรับ” ในวันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2566 เวลา 12.00 - 17.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมสโมสรราชพฤกษ์ นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมี ศาสตราจารย์สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ กรรมการการเลือกตั้ง เป็นประธานในพิธีเปิด  

​การนำเสนอยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการปรับปรุงพัฒนาการเลือกตั้งทุกระดับ สู่การบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ และภารกิจตามแผนยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (พ.ศ. 2561 – 2580) ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการเลือกตั้งและกระบวนการให้ได้มาซึ่งบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนว่าเป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง, ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, คณะกรรมการกำกับหลักสูตรฯ, คณาจารย์ที่ปรึกษา พตส. 13, ผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 1-12, ผู้แทนพรรคการเมือง, นิสิต - นักศึกษา, สื่อมวลชน และเครือข่ายภาคประชาชนที่สนใจ รวม 350 คน

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังการปาฐกถา เรื่อง “ฉากทัศน์ประเทศไทย...หลังการจัดตั้งรัฐบาล” 
โดย ท่านชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีคนที่ 20 อดีตประธานรัฐสภาและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร, การนำเสนอยุทธศาสตร์ ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์เสริมสร้างให้กระบวนการเลือกตั้งได้รับการยอมรับ” โดย ดร.ณัฏฐญา พัฒนะวาณิชนันท์ ประธานวิชาการ พตส. รุ่นที่ 13 และคณะ, การวิพากษ์ยุทธศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และศาสตราจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเสวนาประเด็นร่วมสมัย ในหัวข้อ “พรรคการเมืองแบบไหนที่คนไทยต้องการ” โดย นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตลอดจนพิธีกรรายการโทรทัศน์ชาวไทย นายวีระ ธีรภัทร เป็นผู้ดำเนินรายการ

น่าชื่นชม! 4 ตร. สน.ทางด่วน 2 ยกย่อง “สุภาพบุรุษจราจร” สกัดจับหนุ่มจีนอุ้มสาว มัดมือ - เท้า “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่

วันนี้ (15 กันยายน 2566) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เดินทางไปยังสถานีตำรวจทางด่วน 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตรวจจราจร เพื่อตรวจเยี่ยม  มอบสิ่งของบำรุงขวัญ มอบเงินรางวัล เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือหญิงสาวชาวจีนที่ถูกเรียกค่าไถ่ และสามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจร สน.ทางด่วน 2 ในครั้งนี้นับว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างตำรวจมืออาชีพ มีทักษะ ไหวพริบ และคล่องแคล่ว เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 

โดยเมื่อเที่ยงวานนี้ (14 กันยายน 2566) ขณะที่ ร.ต.ต.อาทิตย์ วรรณพราหมณ์ รอง สว.จร. งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 2 กก.2 บก.จร. พร้อมด้วย ส.ต.อ.ปวรินทร์  ภูชัน, ส.ต.อ.เกริกเกียรติ อุทัยคำ และ ส.ต.อ.ณัฐพงษ์ จันทร์ส่งแสง เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ทางด่วน 2 บก.จร. กำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร บริเวณหลังด่านเก็บเงินค่าผ่านทางอโศก 4 ได้มีรถแท็กซี่สีเหลือง เข้ามาขอความช่วยเหลือ โดยผู้ขับขี่รถแท๊กซี่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า  มีหญิงสาวชาวจีนหนีลงมาจากรถยนต์เก๋งที่ประสบอุบัติเหตุบริเวณด่านอโศก 4 มีเชือกมัดอยู่ที่ข้อมือซ้ายและข้อเท้าซ้าย วิ่งมาขึ้นรถแท็กซี่ ตนจึงได้พามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร.ต.ต.อาทิตย์ฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดและเป็นเหตุเร่งด่วน จึงสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 นายให้การช่วยเหลือหญิงชาวจีน และออกติดตามหาตัวผู้ก่อเหตุทันที  พร้อมทั้งประสานงานกับส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจับกุมผู้ขับขี่รถยนต์เก๋งคันประสบอุบัติเหตุบริเวณทางลงด่วนพระราม 9 ถนนจตุรทิศ เป็นชายชาวจีน อายุ 36 ปี ตรวจค้นภายในรถพบเชือกในลักษณะเดียวกันกับที่ใช้มัดมือและเท้าหญิงชาวจีนที่มาขอความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา ส่ง สน.มักกะสัน ท้องที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

พล.ต.ท.นิธิธรฯ เปิดเผยว่า “ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีไหวพริบที่ดีมาก ไม่ยึดติดในหน้าที่การกวดขันวินัยจราจรของตนเพียงอย่างเดียว โดยหากรอให้หญิงชาวจีนเข้าแจ้งความดำเนินคดีเสียก่อน ผู้ก่อเหตุอาจหลบหนีไปได้ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี ซึ่งมีการแชร์และชื่นชมกันอย่างมากจากสำนักข่าวและโลกโซเชียล” ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลัก 5S คือ SMlLE ยิ้มแย้มเป็นมิตร SMART บุคลิกภาพดี SALUTE สุภาพให้เกียรติ SERVICE MlND มีจิตอาสาบริการ และ STANDARD มีมาตรฐานสากลมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง  “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน  สร้างความเชื่อถือศรัทธา และสร้างความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตบนท้องถนน ทั้งนี้หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่ โทร.1197 สายด่วนจราจร กองบังคับการตำรวจจราจร หรือ โทร.191 พร้อมให้ความช่วยเหลือทั่วประเทศ
 

'วปอ. - สถาบันพระปกเกล้า' มอบเงินฟุตบอลประเพณี 'รักเมืองไทย' เพื่อสนับสนุนในการขับเคลื่อนภารกิจสภากาชาดไทย

วันที่ 15 กันยายน ที่อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร สภากาชาดไทย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย รับมอบเงินจำนวน 150,000 บาท จาก พลโท อภิชาติ ไชยะดา ประธานนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 65 , พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 , ดร.ดํารง ประทีป ณ ถลาง ผู้แทนหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่น 26 เเละนายสมชาย จรรยา ผู้แทนหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4 ส.) สถาบันพระปกเกล้า จากการจัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ระหว่างศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ และสถาบันพระปกเกล้า เพื่อใช้ในการดำเนินภารกิจของสภากาชาดไทย ด้านการบริการทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย การบริการโลหิต และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่มุ่งหวังให้ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีนายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย เเละ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย ร่วมพิธีรับมอบในครั้งนี้ 

นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันงบประมาณด้านการบริการทางการแพทย์และสุขภาพอนามัยยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีพัฒการทางด้านเทคโนโลยีซึ่งมีราคาสูง หากจัดซื้อมาได้จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสนับสนุนในโครงการต่างๆ ตามภารกิจของสภากาชาดไทย

ด้าน ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง กล่าวว่า เงินที่นำมามอบผ่านสภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือคนในชาติด้านสาธารณสุข นั้น เป็นการระดมทุนรับบริจาคจากศิษย์เก่าและปัจจุบัน ของสถาบันพระปกเกล้า เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นำมาซึ่งประเพณีที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีในทุกภาคส่วน

ศูนย์ปันน้ำใจสาธุฯ รับรางวัล องค์กรเครือข่ายสนับสนุนงานผู้สูงอายุ วันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2566

ศูนย์ปันน้ำใจสาธุ​ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์​ กองทัพเรือ​ ในพระบรมราชินูปถัมภ์​ ได้รับรางวัล​ "องค์กรเครือข่ายที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ" เนื่องในโอกาส วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว​ ประจำปี​ 2566

นอกจากนี้แล้ว พล.ร.ต.หญิง​ อำไพวัลย์​ สวยสม​ ประธานศูนย์ปันน้ำใจสาธุฯ​ ยังได้รับการประกาศสดุดีเกียรติคุณ ยกย่องเป็น​ผู้สูงอายุที่เป็นแบบอย่างที่ดี ในสังคม​ ปีพุทธศักราช​ 2566​ อีกด้วย โดย​ พลเอก​ ประยุทธ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี​ เป็นผู้มอบรางวัล​​ ณ​ อาคารรัฐประศาสนภักดี​ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม.

พลเรือตรีหญิง อำไพวัลย์ สวยสม ประธานศูนย์ปันน้ำใจสาธุฯ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของศูนย์ปันน้ำใจสาธุฯ ว่า จากประสบการณ์ 7 ปี ของคณะกรรมการชมรมผู้สูงอายุ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พบว่ายังมีกลุ่มผู้สูงอายุอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องอยู่ติดบ้านหรือติดเตียง ดังนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มนี้ให้ดีขึ้น จึงเกิดแรงบันดาลใจทำให้มีการรวมกลุ่มของจิตอาสา ผลักดันให้เกิดศูนย์ปันน้ำใจสาธุฯ ขึ้น โดยมีเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ในขณะนั้นให้การสนับสนุน และเมื่อได้ไปศึกษาดูงานร่วมกับ อบต.พลูตาหลวง ที่เทศบาลตำบลคลองใหญ่ จังหวัดตราด ได้รับทราบถึงระบบการซ่อมอุปกรณ์ไปใช้ในชุมชนของโรงพยาบาลคลองใหญ่ จึงได้นำมาเป็นแนวคิดจัดตั้งศูนย์ปันน้ำใจสาธุ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือขึ้น เมื่อวันที่ 11 ม.ค.63 เพื่อให้ผู้ที่มีความประสงค์ จะขอยืมอุปกรณ์และสิ่งของดังกล่าว นำมาใข้ได้ที่บ้านได้

โดยผู้ที่มีความประสงค์ จะขอยืมอุปกรณ์และสิ่งของดังกล่าวมาใข้ได้ที่บ้าน สามารถติดตอสอบถามรายละเอียดได้ที่ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ โทร.0-3893-3905,08-0599-9658, 08-9024-5614 ในวันและเวลาราชการ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 2 คืนรถที่ยึดได้จากแก๊งรับจำนำรถเถื่อน คืนความสุขให้กับประชาชน

ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายทั่วประเทศ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเงินกู้นอกระบบหลายรูปแบบ เช่น แอพพลิเคชั่นเงินกู้ผิดกฎหมาย, แก๊งหมวกกันน็อค, การรับจำนำรถโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งได้มีการปราบปรามการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวเรื่อยมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ภ.2 ได้ทำการจับกุม นายณัฐพงษ์ หรือโจ้ (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นรถจักรยานยนต์ จำนวน 37 คัน และรถยนต์ จำนวน 69 คัน ซึ่งเป็นรถของกลางที่ได้มาจากการรับจำนำรถโดยผิดกฎหมาย ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และจัดตั้งโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2/ผอ. ศปน.ภ.2 , พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ภ.2/รอง ผอ.ศปน.ภ.2 ได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการสืบสวนส่วนกลาง ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 เร่งรัดปราบปรามกลุ่มเงินกู้นอกระบบที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้ โดยให้ดำเนินการสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าว

จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า นายณัฐพงษ์ หรือโจ้ ซึ่งถูกจับกุมไปแล้วนั้น เป็นหนึ่งในเครือข่ายเงินกู้ผิดกฎหมายซึ่งมี นายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ บางละมุง เป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว จึงได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินและรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออนุมัติหมายจับบุคคลเกี่ยวข้อง และขยายผลเข้าตรวจค้น จำนวน 14 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี, ระยอง, พิษณุโลก และ กาญจนบุรี จนสามารถจับกุมนายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ หัวหน้าขบวนการ พร้อมเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มเติมอีก 8 ราย โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันจัดตั้งโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาต” และสามารถตรวจยึดของกลางเพิ่มเติม เป็นรถยนต์ จำนวน 23 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 43 คัน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดทั้งหมด 40,700,000 บาท

ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการทลายเครือข่ายของ นายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ บางละมุง ซึ่งดำเนินการปล่อยเงินกู้อยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนายทุนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มดังกล่าวได้ทั้งหมด รวมผู้ต้องหาในขบวนการทั้งหมด 9 ราย ตรวจยึดรถยนต์ได้ 92 คัน รถจักรยานยนต์ 80 คัน ซึ่งก็เป็นปัญหาหนี้นอกระบบในอีกรูปแบบหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยที่สูงมากและบางครั้งไม่สามารถติดตามรถคืนได้

ในวันนี้ (13 ก.ย.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อิทธิพล   อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2/ผอ. ศปน.ภ.2 , พล.ต.ต.ชัยต์พจน์ สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ภ.2/รอง ผอ.ศปน.ภ.2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 ดำเนินการคืนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของกลางให้กับผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของรถที่แท้จริง ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบคืนไปแล้วบางส่วน เป็นรถยนต์ 67 คัน และรถจักรยานยนต์ 39 คัน ในวันนี้มีการส่งคืนรถของกลางที่เหลือทั้งหมด เป็นรถยนต์จำนวน 25 คัน และรถจักรยานยนต์จำนวน 41 คัน เพื่อเป็นการคืนความสุขให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้หนี้นอก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การดำเนินการคืนรถของกลางซึ่งตรวจยึดจากแก๊งค์เงินกู้ในวันนี้ ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งในการปราบปรามแก๊งค์เงินกู้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 ได้ขยายผลจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาของทั้งขบวนการได้ครบทั้ง 9 คน ตรวจยึดรถยนต์ได้ 92 คัน รถจักรยานยนต์ 80 คัน ซึ่งแก๊งค์นี้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด วันนี้จึงได้นำรถของกลางทั้งหมดส่งมอบคืนให้กับผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์เงินกู้ดังกล่าวทั้งหมด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนภัยถึงประชาชน อย่าหลงเชื่อในการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และหากพี่น้องประชาชนท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์เงินกู้ผิดกฎหมายหรือมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ สามารถแจ้งไว้ที่ช่องทางสายด่วน 1599 หรือ แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละพื้นที่ได้ทันที

'พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงนโยบายรัฐบาล ประกาศฟื้นฟูหลักนิติธรรม-ไม่ยืนฝั่งคนทำผิด

เมื่อวานนี้ ( 12 กันยายน 2566 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.25น. ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอเรียนว่า วันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ทำงาน การทำงานได้ต้องหลังแถลงนโยบาย นโยบายเป็นทิศทางให้เห็น 4 ปีข้างหน้าจะบริหารงานไปทิศทางใด ในส่วนกระทรวงยุติธรรม ผมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด เนื่องจากรัฐบาลนี้หยิบการฟื้นฟูหลักนิติธรรมขึ้นมา หลักนิติธรรม เป็นหลักพื้นฐานในการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเป็นหลักในการควบคุมการใช้อำนาจของทุกหน่วยงาน ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ อันนี้คือ บทบาทสำคัญที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องรับนโยบาย ขณะที่สิ่งที่ท้าทาย คือ เราต้องนำตัวชี้วัด มาตรฐานหลักนิติธรรม การคอร์รัปชัน ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องเข้าไปแก้ไข ผู้ที่ดูอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องไม่ไปยืนในฝั่งผู้กระทำความผิด หลักนิติธรรม คือ บ้านเมืองต้องปราศจากคอร์รัปชัน ขณะที่รัฐบาลต้องโปร่งใส และต้องส่งเสริมสิทธิพื้นฐาน ไม่ว่าเรื่องแรงงาน ชุมชน ป่าไม้ การปกป้องนักสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาต่อสู้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีคำถาม นโยบายรัฐบาลนี้ ทำไมไม่มีเรื่องนโยบายภาคใต้ ผมได้สอบถามที่ประชุม ครม.แล้วว่า ทำไม นโยบายรัฐบาล ทั้ง 14 หน้าไม่มีเรื่องภาคใต้ ก็ได้รับคำตอบ เรามีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เอามาเขียน เรื่องแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ 

"ส่วนกรณียาเสพติดร้ายแรง บทบาทกระทรวงยุติธรรมได้เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหา คือ เราเอาประมวลยาเสพติดขึ้นมาใช้ ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้ตั้งแต่ปี 2564 แต่กฎหมายลูกล่าช้าก็ยังไม่ประกาศใช้" พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว

ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล./ศคท.จว.สป. ร่วม จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สู่ชุมชน

ใน 12 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล./ศคท.จว.สป. ได้จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สู่ชุมชน ด้วยการจัดกำลังพลในสังกัด พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน มอบก้อนเห็ดเพื่อการเพาะปลูก ให้กับคณะครูและนักเรียน รร.บ้านขุนสมุทรไทย อ.พระสมุทรเจดีย์ จว.สป. ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับ อ.1 - ป.6 ที่มีเด็กนักเรียนด้อยโอกาสและพิการซ้ำซ้อนศึกษาอยู่ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้นักเรียนทุกระดับชั้น ได้เรียนรู้การเพาะปลูกพืชในตระกูลเห็ด

นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารรับประทาน ช่วยบรรเทาภาระและค่าใช้จ่ายของอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งมีหน่วยงานตลอดจนผู้มีจิตกุศล ร่วมบริจาคในการจัดหาก้อนเห็ด จำนวน 400 ก้อน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ได้รู้จักและเรียนรู้การใช้ทรัพยากรตามธรรมชาติเพื่อมาดำรงชีวิต ตลอดจนให้เด็กๆ ได้มีกิจกรรมและสานสัมพันธ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานต่างๆ ที่ตั้งใจมาให้การสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับทาง รร.ฯ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของ ศรชล.ภาค 1 ให้เด็กๆ ได้รู้จักอีกด้วย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top