Monday, 19 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

กาฬสินธุ์ – ขอบคุณ ‘มูลนิธิปิดทองหลังพระ’ ชนะความจน ชุมชนมีรายได้สู้ภัยโควิด

มูลนิธิปิดทองหลังพระ ช่วยชาวบ้านหนองบัวน้อย ตำบลหนองตอกแป้น อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ใช้ที่ดินสาธารณะประจำหมู่บ้านปลูกพืชหลากหลาย จัดระบบสูบน้ำด้วยพลังงานโซล่าเซลล์พร้อมหอถัง ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไกล ตามแนวพระราชดำริ เป็นแหล่งอาหาร สร้างงาน สร้างรายได้ สู้ภัยโควิด-19

วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ที่แปลงเกษตรบ้านหนองบัวน้อย หมู่ 3 ต.หนองตอกแป้น อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นายสมควร ภูแข่งหมอก ผู้ใหญ่บ้านหนองบัวน้อย หมู่ 3 พร้อมด้วยคณะกรรมการหมู่บ้าน และชาวบ้านเจ้าของแปลงผักสวนครัว ร่วมกันรดน้ำและกำจัดวัชพืชในแปลงผักสวนครัวของตน ซึ่งมีหลายชนิดหลายรุ่น ทั้งที่เพิ่งเพาะปลูก กำลังเจริญเติบโต และใกล้อายุเก็บเกี่ยว

นายสมควร ภูแข่งหมอก ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า พื้นที่ที่นำชาวบ้านจัดทำเป็นแปลงผักปลูกพืชหลากหลายนี้ คือหนองบัวน้อยซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน มีพื้นที่ประมาณ 42 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่หนองประมาณ 30  ไร่ อีกส่วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่าและจัดทำเป็นแปลงปลูกพืชผักของชาวบ้าน โดยได้จัดสรรให้ชาวบ้านที่ร่วมโครงการครัวเรือนละ 6 x 40 เมตร ก่อนหน้านี้เคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่า จึงทำการประชาคมหมู่บ้านเปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ทำกิน หรือผู้ที่ต้องการจะปลูกผักสวนครัวเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ โดยปลูกกินเองในครัวเรือนและขายในชุมชน เน้นความปลอดภัย ลดการใช้สารเคมี ปัจจุบันมีชาวบ้านเข้ามาใช้ประโยชน์ 38 ครัวเรือน ทั้งนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้ามาส่งเสริมให้องค์ความรู้กับชาวบ้าน ในโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

นายสมควร กล่าวอีกว่า สำหรับน้ำที่ใช้ในแปลงพืชหลากหลายนั้น ได้น้ำจากหนองน้ำสาธารณะ  ซึ่งเป็นระบบสูบโดยใช้พลังงานไฟฟ้า ค่าไฟเดือนละประมาณ 1,000 บาท ชาวบ้านที่ปลูกผักเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่าย บางครั้งไฟดับหรือไฟไม่พอ ก็เป็นอุปสรรคในการรดผัก ทั้งนี้ ผักที่ปลูกมีทั้งในแปลงดิน และไฮโดรโปรนิกส์ เช่น ผักบุ้ง ผักชี หอม กระเทียม คะน้า พริก มะเขือ ตะไคร้ ขิง ข่า กะเพรา โหระพา สลัด ฟักทอง พริก มะเขือ ถั่วฝักยาว ฝรั่ง กล้วย และพืชผักตามฤดูกาลต่างๆ มีผลผลิตเก็บกิน ซื้อขายตลอดปี ทั้งขายตามตลาดชุมชน ส่งขายที่โรงพยาบาลยางตลาด และมีพ่อค้าแม่ค้ามารับถึงที่อีกด้วย ทำให้ชาวบ้านมีพืชผักสวนครัวไว้กินเอง และมีรายได้จากการจำหน่ายพืชผักสวนครัวไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท

ด้านนางสมบูรณ์ ภูจำปา ผู้ช่วย ผญบ.หนองบัวน้อย หมู่ 3 กล่าวว่า จากการที่มีชาวบ้านมาใช้พื้นที่ดังกล่าวปลูกผักเป็นอาชีพเสริม และเป็นอาหารในครัวเรือนมากขึ้น ถึงแท้น้ำในบ่อหนองบัวน้อยจะเพียงพอตลอดปี แต่ระบบการจ่ายน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าบางครั้งน้ำไม่เพียงพอ ผู้นำชุมชนและสมาชิกผู้ปลูกพืชหลากหลายจึงได้ทำหนังสือขอรับการสนับสนุนระบบสูบน้ำด้วยพลังงานโซล่าเซลล์พร้อมหอถัง จากมูลนิธิปิดทองหลังพระ ก่อนที่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อเร็วๆนี้ ภายใต้โครงการฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไกล ตามแนวพระราชดำริ ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งสามารถสำรองน้ำไว้ในถังสูงและมีน้ำใช้ในแปลงพืชผักอย่างเพียงพอ

นางสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ประโยชน์ที่ได้จากการรวมกลุ่มปลูกพืชหลากหลายมาหลายด้าน นอกจากจะเป็นแหล่งอาหาร สร้างอาชีพเสริมและรายได้เข้าครัวเรือนแล้ว ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญแทบจะมีรายจ่าย มีแต่รายได้เข้ามา ซึ่งแต่เดิมในภาวะปกติ มีรายได้จากการจำหน่ายพืชผักอย่างน้อยวันละ 250-300 บาท แต่ในช่วงนี้ที่ประสบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตลาดชุมชนและแหล่งรับซื้อปิดตัวลง รายได้จากการขายผักลดลงเหลือเพียงวันละ 100 บาทเท่านั้น อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมูลนิธิปิดทองหลังพระ ที่เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมให้ชาวบ้านหนองบัวน้อย มีอาชีพ มีรายได้ บรรเทาความเดือดร้อนในช่วงประสบสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

พัทลุง - ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง สุดเจ๋ง !! จัดโครงการอบรมการทำอาหารให้กับชุมชนเพื่อสร้างงานสร้างรายได้สู้ภัยโควิด-19

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ตลาดชุมชนสวนไผ่ขวัญใจ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ของป้าขวัญใจ ทางสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง ได้ใช้เป็นสถานที่จัดฝึกอบรมการทำอาหารให้กับกลุ่มแม่บ้านในชุมชน ใช้ชื่อว่า”หลักสูตรอาหารวิถีถิ่นพัทลุง” มีนายฉัตรชัย อุสาหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง เดินทางมาให้กำลังใจ ได้รับเกียรติจากคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยสวนดุสิตและเชฟชื่อดังมาเป็นวิทยากร โดยเน้นวัตถุดิบภายในท้องถิ่นเป็นหลัก แต่ละชุมชนจะมีอาหารเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน เช่นชุมชนท่องเที่ยวโหม๋เหนือเขาปู อ.ศรีบรรพต ก็จะมีเมนู “ปุดจับไม้” “ยำมะเขือยาวไข่เจียว” หรือ “แกงป่าไก่บ้าน”  วิสาหกิจชุมชนท่าช้าง อ.เมือง  มีเมนู “ห่อหมกปลากด” “ห่อหมกใบชะพูลใบทำมัง” “ข้าวห่อใบบัว” และชุมชนสวนไผ่  อ.ควนขนุน ก็จะทำเมนู “ข้าวผัดไทย” ใช้ข้าวสังข์หยดของดีพัทลุงเป็นหลัก “เมี่ยงปลา”และ “หลนกุ้ง” เป็นต้น

ด้านนายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง กล่าวว่าจังหวัดพัทลุงถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งแบ่งการท่องเที่ยวไปตามบริบทและลักษณะของภูมิศาสตร์ของพื้นที่อันประกอบไปด้วย “เขา ป่า นา เล” โซนท่องเที่ยว “เขา ป่า” มีรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในเขตพื้นที่อำเภอป่าบอน อำเภอตะโหมด อำเภอกงหรา อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพตและอำเภอป่าพะยอม จุดเด่นของโซนเขา ป่าก็คือการเที่ยวชมน้ำตก ภูเขาและล่องแก่ง เนื่องจากพัทลุงมีพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีเทือกเขาบรรทัดที่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำที่สำคัญและยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าหายากอย่างสมเสร็จซึ่งจะพบได้ที่ภูเขาล่อน ส่วนโซนการท่องเที่ยว “นา เล” เป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรมประเพณีนั้นชาวจังหวัดพัทลุง ถือเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สมบูรณ์และเป็นเมืองโนราห์ หนังตะลุง อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอ ควนขนุน อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอเขาชัยสน อำเภอบางแก้วและอำเภอปากพะยูน จุดเด่นของโซนนี้ ก็คือสำนักตักศิลาวัดเขาอ้อซึ่งเป็นสำนักทางพุทธาคมและไสยศาสตร์ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดของภาคใต้ รวมทั้งเป็นสำนักที่รวบรวมเอาไสยเวทย์และเวชศาสตร์ไว้มาก โดยเฉพาะวิชาการแพทย์แผนโบราณ พร้อมทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายในพื้นที่จังหวัดพัทลุงที่รอให้ผู้คนมาเยี่ยมเยือน

และจากการระบาด COVID-19 ทางท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวบรวมและจัดเก็บมรดกทางปัญญาด้านอาหารท้องถิ่นจังหวัดพัทลุง พัฒนาสูตรอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารท้องถิ่นเป็นสินค้าเชิงอัตลักษณ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายและเพื่อให้อาหารท้องถิ่นคงอยู่กับสังคมไทยสืบไป

สงขลา - นิพนธ์ฯ เร่งผลักดัน 3 วาระสำคัญ ศอ.บต. เดินสํารวจออกโฉนดที่ดินเสริมสร้างมั่นคง 4 จังหวัดชายแดนใต้ – เสริมโภชนาการเด็ก และพัฒนากลุ่มเกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อฯ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต รายได้ที่ยั่งยืน ในเวทีประชุมยุทธศาสตร์พัฒนาชายแดนใต้(กพต.)

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้15 กรกฎาคม 2564  ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ  มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference โดยที่ประชุม ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานที่สำคัญตามมติ กพต.ที่ผ่านมา อาทิ การช่วยเหลือแรงงานไทยในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดย ศอ.บต.ร่วมกับกระทรวงแรงงานได้จัดอบรมให้ความรู้ ฝึกทักษะแนะแนวอาชีพ และช่วยเหลือให้มีงานทำแล้วมากกว่า 8,000 คน จากเป้าหมาย 10,000 คน พร้อมกับรับทราบการดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่งยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งมีความก้าวหน้าที่น่าพอใจ เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลด้วยดี

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ปี 2565-2570 พื้นที่จ.ปัตตานี,จ.ยะลา,จ.นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพื่อให้ประชาชนได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเห็นชอบโครงการแก้ไขปัญหาสุขภาวะ และภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่ปี 2565-2568 และสนับสนุนการเสริมทักษะการสื่อสารภาษาไทย ควบคู่กับภาษาอื่น ๆ โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขนำไปดำเนินการ

ทั้งนี้ นอกจากการเร่งรัดโครงการเดินสำรวจที่ดินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการเสริมสร้างโภชนาการเด็กฯในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ นายนิพนธ์ รมช.มท.ได้รับผิดชอบในการขับเคลื่อนและติดตามแล้วนั้น ยังได้มีการเสนอในที่ประชุมเพื่อให้การสนับสนุนการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ในโครงการพัฒนาโคพันธุ์เนื้ออย่างยั่งยืน ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยเป็นแผนการดำเนินงานโครงการการจัดทำฟาร์มโคแม่พันธุ์ต้นแบบ โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับสหกรณ์โคเนื้อศรีวิชัย (พัทลุง) จำกัด อีกด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ ศอ.บต. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ยึดเป็นแนวทางสำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชนในการยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจ และนำมาซึ่งสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยย้ำให้ ศอ.บต. ต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ในขณะนี้อย่างเร่งด่วน


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ปทุมธานี – บิ๊กแจ๊ส ร่วมชลประทาน เร่งขุดป่าไมยราบยักษ์กลางคลองหนองเสือ

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 เวลา 15:00 น. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย นายเสวก ประเสริฐสุข รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี และคณะผู้บริหาร นายสุริยา ธรรมธารา (สจ)เขต1หนองเสือและ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน และเจ้าหน้าที่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ สำนักงานชลประทานที่ 11 พร้อมคณะและเครื่องมือหนักกับ เรือโป๊ะบรรทุกรถ แม็คโฮบูมยาวสองคันในการตัดต้นไมยราบยักษ์และขุดลอกคลอง ที่กลางคลองแม่น้ำใน ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี

เนื่องจากคลองแม่น้ำใน เป็นคลองที่เชื่อมต่อ ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ระหว่าง กับ ตำบลหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี และอำเภอบ้านนา อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ถูกปล่อยทิ้งร้างมีสภาพตื้นเขินจนมีสภาพเป็นป่าต้นไมยราบยักษ์ขึ้นเต็มคลอง ไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ รวมถึงขวางทางน้ำ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี จึงได้ประสาน ไปที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และกรมชลประทาน เพื่อนำเครื่องจักรขุดลอกคลองกำจัดวัชพืชในคลอง

ด้าน นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน กล่าวว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการกำชับให้กรมชลประทาน โดยสำนักเครื่องจักรกล เข้ามาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นนโยบาย ของรัฐมนตรี ที่ต้องแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งหากประชาชนได้ความความเดือดร้อนสามารถแจ้งได้ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีเพื่อประสานดำเนินการแก้ไขทางสำนักชลประทาน รังสิตเหนือ ก็ยินดีมาช่วยดำเนินการอย่างเร่งด่วนซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราต้องดูแลอยู่แล้ว

ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนโดยให้ความสนใจ ว่ามีป่าต้นไมยราบยักษ์ขึ้นเต็มคลองซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นคลองต่อระหว่าง 3 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ปทุมธานี จ.สระบุรี และจ.นครนายก ซึ่งสระบุรีร่วมกับชลประทานได้ดำเนินการลอกคลองมาแล้ว จนมาจบกับสะพานข้ามคลองแม่น้ำใน จนมาถึงจุดนี้มี่ ลำคลองตื้นเขินและมีต้นไมยราบยักษ์เกิดขึ้นเป็นระยะทาง 4.5 กิโลเมตร สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและชาวเกษตรกร ผมได้ลงพื้นที่มาดูและได้ประสานไปที่กรมชลประทาน และต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อรับทราบข้อมูลก็ได้ประสานไปยังกรมชลประทาน ให้ลงมาดำเนินแก้ไขอย่างเร่งด่วนซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีเพียงสองวันก็สามารถนำเครื่องมือหนักเริ่มลงทำงานได้ จากการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานคาดว่าประมาณสองเดือนคงแล้วเสร็จจากนั้นทาง อบจ.ปทุมธานีจะดูแลต่อให้ลำคลองสะอาดและไม่ตื้นเขินต่อไป


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

ตราด - เหล่ากาชาดจังหวัดตราด ลงพื้นที่ 3 ตําบล พร้อมมอบบ้าน-มอบถุงยังชีพ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ทั้ง 3 ตําบล

วันพุธ​ที่​ 14​ กรกฎาคม​ 64​ นายขจิตเวช​ แก้วน้อย​ นายอำเภอ​คลองใหญ่​ ปลัดอำเภอ​ กิ่งกาชาด​อำเภอ​คลองใหญ่​ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่ 4 อ.คลองใหญ่ พร้อมด้วย นางสาวกิจปภา​ ประสิทธิเวช​ นายกเทศมนตรี​ตำบลหาดเล็ก​และคณะ​ นายสุรศักดิ์​ อิทรประเสริฐ​ นายกองค์การ​บริหารส่วนตำบลไม้​รูด​และคณะ​ ร่วมต้อนรับนางสรินยา​ ประกอบผล​ นายกเหล่า​กาชาด​จังหวัด​ตราด​ เนื่องในโอกาสลงพื้นที่มอบบ้านให้ผู้สูงอายุ​ ผู้พิการและผู้ยากไร้​ ในพื้นที่ตำบล​หาด​เล็ก​และตำบลไม้รูด​  ซึ่งได้รับอนุมัติจากเหล่ากาชาด​จังหวัด​ตราด​ ตำบล​ละ​ 1​ หลัง​ พร้อมทั้งส่งความห่วงใยมอบเครื่อง​อุปโภค​บริโภค​ให้แก่​ นางพา​ บุญ​ล้อม​ ผู้ที่ได้รับการอนุมัติ​​ซ่อมแซม​และก่อสร้างบ้าน​ ในพื้นที่​ หมู่​ 7​ ตำบล​คลองใหญ่​ อำเภอ​คลองใหญ่​ จังหวัด​ตราด​

ทั้งนี้เหล่ากาชาด​จังหวัด​ตราด​ ได้มอบถุง​ยังชีพ​ ให้กิ่งกาชาด​อำเภอ​คลองใหญ่​ ไว้ช่วยเหลือ​ผู้ประสบสาธารณ​ภัย​และกลุ่มเปราะบาง จำนวน​ 10​ ชุด​  อีกด้วยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่อไป


ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าว จ.ตราด

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ปทุมธานี – ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ตรวจสถานที่ทำ รพ.สนามเพิ่มที่คลองหลวง

นายชัยวัฒน์  ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยนายเอกพจน์ ปานแย้ม นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ทีมบริหารและแพทย์จาก รพ.การุณเวช ได้เข้าตรวจสถานที่ทำ รพ.สนาม ณ อาคารโดม ส.สโมสรเอนกประสงค์ อนุกูลธัญกิจ ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จำนวน 208 เตียง เพื่อช่วยเหลือกันในยามที่คนไทยกำลังทุกข์ยาก จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ส่งผลให้เตียงของ รพ. และของรพ.สนาม ไม่เพียงพอหลายหน่วยงานของภาครัฐและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้ระดมทั้งแรงกายแรงใจ จัดหาสถานที่เพื่อทำรพ.สนาม ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนลดการสุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อภายในครอบครัว เป็นการตัดวงจรของการแพร่เชื้อในระดับหนึ่ง

นายชัยวัฒน์  ชื่นโกสุม กล่าวว่า รพ.สนามแห่งนี้รับผู้ป่วยที่เป็นสีเขียวที่จะให้พี่น้องประชาชนมีที่พักเนื่องจากผู้ป่วยสีเขียวบางที่ก็กักตัวที่บ้าน Home Isolation ไม่ได้ เช่น บ้านอยู่กันหลายคน เทศบาลเมืองคลองหลวงร่วมกับโรงพยาบาลการุณเวช มาดูแลผู้ป่วย วันนี้ได้มาดูสถานที่ซึ่งทุกอย่างทำได้ดี ระบบทุกอย่างทำได้ดีพร้อมรับคำแนะนำจากพี่น้องประชาชน  เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกคนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ติดเชื้อโควิด รวมทั้งทำความสบายใจให้กับพี่น้องประชาชนรอบ ๆ ข้าง


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ รายงาน

ชลบุรี - นายกเมืองสัตหีบ ลุยแจกถุงยังชีพผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19

วันนี้ 15 ก.ค.64 ที่หน้าสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองสัตหีบ ตลาดสหชัย อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายณรงค์ บุญบรรเจิดศรี นายกเทศมนตรีเมืองสัตหีบ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สมาชิกสภา หัวหน้าส่วนราชการ พร้อมด้วยผู้นำชุมชุน ได้ร่วมกันนำถุงยังชีพประกอบด้วย ข้าวสารเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ แยกกันแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วเขตเทศบาลเมืองสัตหีบ จำนวน 12 จุด  จำนวน 510 ชุด มอบให้กับประชาชน ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อ โควิด-19 ในเขตเทศบาลเมืองสัตหีบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19  

นายณรงค์ กล่าวว่า สำหรับในวันนี้เป็นการนำถุงยังชีพ ประกอบด้วย ข้าวสารและเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ มามอบให้กับผู้สูงวัย ผู้พิการ ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อ โควิด-19 จำนวน 510 ชุด ทั่วพื้นที่เทศบาลเมืองสัตหีบ ต.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้นและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่

และยังกล่าวอีกว่า ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาเทศบาลเมืองสัตหีบ ได้ทำการแจกหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ออกพ่นยาฆ่าเชื้อทั้งคนเดินและรถพ่น ทั่วทุกพื้นที่ในเขตรับผิดชอบ ร่วมไปถึงการขอสภาเทศบาลเมืองสัตหีบอนุมัติเงิน เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 นำมาฉีดให้พี่น้องประชาชนภายในเขต ซึ่งเราทำทุกโครงการอย่างต่อเนื่อง พวกเราเทศบาลเมืองสัตหีบ จะไม่ทอดทิ้งประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเราทุกคนจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล ทิพย์ศรี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ตม.จว.ชุมพร ร่วมจับกุม ขบวนการนำพาคนจีน-มาเลเซีย เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ภ.จว.ชุมพร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละแม ภ.จว.ชุมพร ตั้งจุดตรวจความมั่นคงทุ่งสวรรค์ ถ.เอเชีย 41 (ขาขึ้นกรุงเทพฯ) ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร ขณะปฏิบัติหน้าที่พบรถตู้โดยสารไม่ประจำทางต้องสงสัย ทะเบียนภูเก็ต จึงขอทำการตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบ นายธนัตถ์กรณ์ อายุ 47 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ขับขี่ ภายในรถพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนและมาเลเซีย รวม 6 คน  มีหนังสือเดินทาง 4 คน แต่ไม่ผ่านการตรวจอนุญาตฯ และ 2 คน ไม่มีหนังสือเดินทาง จึงได้จับกุม นายธนัตถ์กรณ์ ข้อหา “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และจับกุมบุคคลต่างด้าวทั้ง 6 คน ข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่ง พงส.สภ.ละแม จว.ชุมพร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผล ของ ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 โดยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทาง, ซักถามผู้ต้องหา, ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และเส้นทางการเงิน นายธนัตถ์กรณ์ ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายประสิทธิ์ (ทราบชื่อภายหลัง) ซึ่งรู้จักกันมาหลายปี โดยมีหลักฐานการโอนเงินจากนายประสิทธิ์ ให้นายธนัตถ์กรณ์ เป็นค่าจ้าง จำนวน 3,300 บาท ติดต่อให้รับคนต่างด้าว จำนวน 6 คน ที่โรงแรมในตัวเมืองหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เพื่อไปส่งที่กรุงเทพฯ บริเวณ ถนนพระราม 2 ในราคา 16,000 บาท โดยมีนายปวิตร (ลูกชายของนายประสิทธิ์) ทำหน้าที่ประสานงานและให้การช่วยเหลือในการกระทำความผิดครั้งนี้ด้วย จึงได้ประสาน ตม.จว.สงขลา และ กก.สส.บก.ตม.6 ตรวจสอบข้อมูลกล้องวงจรปิดที่โรงแรม พบว่ามีนายจิรพัทธ์ ทำหน้าที่เปิดห้องพักให้คนต่างด้าวเข้าพักที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา

และนายบาราเห็งทำหน้าที่รับขนคนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้มาส่งที่โรงแรมใน อ.หาดใหญ่ จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงิน พบว่านายประสิทธิ์ ได้รับการว่าจ้างจากนายอุทัย โดยมีหลักฐานการโอนเงินทางบัญชี และนายอุทัย ได้รับการว่าจ้างต่อจากนางยัน สัญชาติเมียนมา โดยมีหลักฐานการโอนเงินจาก น.ส.สุทิศา ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางยัน และยังตรวจสอบพบหลักฐานการโอนเงินของนายมาหมัดให้นายบาราเห็ง เพื่อเป็นค่าจ้างในการขนคนต่างด้าวด้วย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ละแม จว.ชุมพร เพื่อประกอบการขอออกหมายจับต่อไป

ต่อมา พงส.สภ.ละแม ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดหลังสวนออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังนี้

1. นายบาราเห็ง ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 58/2564 ลง 11 มิ.ย.64

2. นายจิรพัทธ์ หรือป้อม ตามหมายจับศาลจัวหวัดหลังสวนที่ 61/2564 ลง 11 มิ.ย.64

3. นายประสิทธิ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 60/2564 ลง 11 มิ.ย.64

4. นายปวิตร หรือบอย ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 59/2564 ลง 11 มิ.ย.64

5. นายมาหมัด หรือมามะ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 66/2564 ลง 23 มิ.ย.64 (หลบหนี)

6. นายอุทัย หรือดำ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 67/2564 ลง 23 มิ.ย.64 (หลบหนี)

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

ตม.สงขลา ร่วม สืบ ตม.6 ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเข้าเมืองฯ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ ผกก.สส.บก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีคนต่างชาติกระทำความผิดรายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6, สภ.หาดใหญ่ และ ส.รฟ.หาดใหญ่ กก.3 บก.รฟ. ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง รายสำคัญ โดยได้จับกุมนายโสภณ หรืออ้วน อายุ 46 ปี สัญชาติไทย นายหน้าผู้ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวขณะพยายามลักลอบขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปกรุงเทพมหานคร โดยกล่าวหาว่า “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุมจากพนักงานเจ้าหน้าที่” พร้อมคนต่างด้าว รวม 3 คน (สัญชาติจีน 2 คน สัญชาติ มาเลเซีย 1 คน) โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณชานชาลาที่ 3 สถานีรถไฟหาดใหญ่ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา นำส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผลโดยการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์, ข้อมูลเส้นทางการเงิน, ตรวจสอบกล้องวงจรปิด รวมไปถึงปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายต้องสงสัย ทราบว่าก่อนเกิดเหตุคนต่างด้าวทั้ง 3 คน หลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้าน จว.นราธิวาส โดยการชักชวนของนายหน้าสัญชาติมาเลเซียซึ่งติดต่อกับนางยัน อายุ 54 ปี สัญชาติเมียนมา และนายหว่อง อายุ 54 ปี สัญชาติมาเลเซีย นายหน้าฝั่งประเทศไทย ต่อมาเมื่อคนต่างด้าวสามารถลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรได้แล้ว

นายหว่อง จะทำการติดต่อนายบาราเห็ง อายุ 58 ปี สัญชาติไทย ให้นำพาคนต่างด้าวมาพักคอยที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่บ้านด่านนอก ต.สำนักขาม อ.สะเดา จว.สงขลา จำนวน 1 คืน ก่อนที่นายหว่อง จะรับคนต่างด้าวทั้งหมดมาส่งต่อให้นายโสภณ ที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เพื่อที่นายโสภณ จะได้รับช่วงนำพาคนต่างด้าวต่อไปยังกรุงเทพฯ ก่อนที่จะถูกจับกุม ซึ่งคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองชี้ภาพยืนยันว่านายบาราเห็ง เป็นผู้ครอบครองรถแทกซี่และเป็นผู้ขับขี่รับพวกตนพามาส่งที่โรงแรม

ต่อมาชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา นำหมายค้นศาลจังหวัดนาทวี ที่ ค. 16/2564 เข้าตรวจค้นที่บ้านนางยัน ผลการตรวจค้นพบนางยัน หรือ อาชิว อายุ 53 ปี สัญชาติเมียนมา พักอาศัยอยู่ พบหลักฐานสมุดบัญชีที่ใช้ โอนเงินให้นายโสภณ เป็นค่านำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, โทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อ และหลักฐานอื่น ๆ รวม 16 รายการ นำส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ และ พงส. ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหานางยัน ในข้อหา “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุมจากพนักงานเจ้าหน้าที่” รวมทั้งต่อมานายบาราเห็ง อายุ ๕๘ ปี สัญชาติไทย ได้มามอบตัวและ พงส.สภ.หาดใหญ่ ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบแล้ว ส่วนนายหว่อง อายุ ๔๕ ปี สัญชาติมาเลเซีย พงส.สภ.หาดใหญ่ ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดสงขลา ออกหมายจับนายหว่อง ตามหมายจับ ศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.217/2564 ลง 24 มิ.ย.64 และต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายหว่อง ตามหมายจับดังกล่าว ส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

สุโขทัย - ติดโบว์ประกวดภาพถ่าย "สุโขทัยเมืองแห่งหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and folk art)" ภาพสวยในแดนรุ่งอรุณแห่งความสุข

วันนี้ที่ห้องประชุมชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย นางศศิธร  สุดเจริญ ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นายกสมาคมสื่อฯ ช่างภาพอาวุโส ประธานชมรมช่างภาพฯ ตัวแทนหน่วยงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาคัดเลือกภาพเพื่อตัดสินภาพที่จะได้รับรางวัลในกิจกรรมการประกวดภาพถ่าย "สุโขทัยเมืองแห่งหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and folk art)" ภายใตัโครงการพัฒนาจังหวัดสุโขทัยมุ่งสู่จังหวัดนวัตกรรมและสร้างสรรค์ (Creative City)

และจะมีการจัดแสดงภาพถ่ายที่รับรางวัลและภาพที่ได้รับความสนใจ มีจุดเด่น ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่ชื่นชมได้ชมความสวยของภาพถ่าย ณ จุดแสดงภาพถ่าย ตามกำหนดวันและเวลาให้ทราบอีกครั้งในจังหวัดสุโขทัย

โดยกิจกรรมครั้งนี้มีผู้ส่งภาพเข้าประกวดจำนวน 26 คน จากช่างภาพมืออาชีพและสมัครเล่น และผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพในจังหวัดสุโขทัย และจากต่างจังหวัดทั้งจังหวัดสุรินทร์ ,กาฬสินธุ์ ,อุดรธานี ,ชัยภูมิ ,เชียงใหม่ ,นนทบุรี ,พิจิตร ,พิษณุโลก ,กรุงเทพ มีอายุระหว่าง ได้รับความสนใจจากหลายวัย ตั้งแต่อายุ 19 ปี ในระดับเยาวชนถือว่ากิจกรรมนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมถึงวัยเกษียณในวัย 63 ปี ผู้ส่งภาพประกวดมีทั้งชายและหญิง ประกอบอาชีพ ช่างภาพอิสระ ข้าราชการ แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ครู มัคคุเทศก์ ค้าขาย พนักงานบริษัท รับจ้างและนักเรียนนักศึกษา มีจำนวนภาพที่ส่งถึงสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัยเพื่อคัดและทำการประกวดทั้งสิ้น 151 ภาพ

ผลการประกวดมีดังนี้

   1. รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 20,000.- บาท พร้อมโล่รางวัล

     ชื่อภาพ เส้นสายลายศิลป์ ของ นายเสกสรร เสาวรส

  2. รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 15,000.- บาท พร้อมโล่รางวัล

     ชื่อภาพ ปั้นเครื่องสังคโลกภูมิปัญญาที่ล้ำค่า ของดีศรีสัชนาลัย ของ นางสาวจิรา ชุมศรี

 3. รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 10,000.- บาท พร้อมโล่รางวัล

     ชื่อภาพ อวดลวดลายผ้าตีนจก ของ  นายทศพร สหกูล

 4. รางวัลชมเชย พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 3 รางวัลๆ ละ 3,000.- บาท

     ชื่อภาพ จำตาสอนไว้ นกคุ้มสุโขทัย คุ้มภัยลูกหลานร่มเย็น ของ นายนครินทร์ เขื่อนเพชร

     ชื่อภาพ เรือนไทยจำลอง(ใหญ่)  ของ นายชนินทร์ แซ่ฟุ้ง

     ชื่อภาพ รักษาศิลปะวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ ของ นายณภัทร ศรีนามฉ่ำ

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย 055612286


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top