Sunday, 18 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

พิจิตร - คนดีน่ายกย่อง!นายก อบต.ห้วยเกตุ ให้ใช้ออฟฟิตและโรงงานมูลค่ากว่า 40 ล้านเป็นรพ.สนามตะพานหิน

ในสถานการณ์วิกฤตโควิดสิ่งที่ได้เห็นคือความมีน้ำใจของผู้ใจกว้าง ใจบุญ ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นน้ำดี จิตใจงดงาม และเป็นเจ้าของโรงงานยอมยกอาคารสถานที่มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท บนเนื้อที่ 12 ไร่  ให้เป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน เพราะเชื่อมั่นว่าผู้ให้คือผู้ที่มีความสุข

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายธนรักษ์ พงศ์วุฒิเศรษฐ์ นายก อบต.ห้วยเกตุ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเคมีเกษตรช้างแดง ซึ่งตั้งอยู่ที่ 394/1 หมู่ 3 ต.ห้วยเกตุ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยเฉพาะที่ อ.ตะพานหิน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ และมีประชากรเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าหลังจากที่มีมาตรการล็อคดาวน์กรุงเทพฯและปริมณฑลทำให้ชาว อ.ตะพานหิน ที่ไปทำงานอยู่ในเมืองใหญ่และติดเชื้อโควิดต่างขอกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด  คือที่อำเภอตะพานหินกันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน เตียงเต็มและไม่เพียงพอต่อการบริการแก่ผู้ที่ติดเชื้อโควิด

ดังนั้นตนเองจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเสียสละและร่วมด้วยช่วยกันช่วยเหลือสังคม จึงได้ร่วมปรึกษากับนายอำเภอตะพานหิน และ ผอ.รพ.ยุพราชฯ ว่า  ที่โรงงานของตนซึ่งมีขนาดพื้นที่ 12 ไร่ มีอาคารเป็นตึกสำนักงาน 2 หลัง ที่เคยใช้เป็นออฟฟิตและห้องประชุมติดแอร์อย่างดีรวมถึงมีโกดังขนาดใหญ่อีก2หลังที่มีสภาพสมบูรณ์ตีราคามูลค่ามากกว่า 40 ล้านบาท แต่ปัจจุบันอาคารและสถานที่ดังกล่าวไม่ได้ใช้งานเนื่องจากโรงงานผลิตเคมีเกษตรช้างแดงได้ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่ ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใช้งานแต่ตั้งใจว่าจะรีโนเวทปรับปรุง แต่เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตโควิดจึงตัดสินใจมอบอาคารสถานที่ให้กับศูนย์บริหารจัดการโควิดตะพานหิน ให้ใช้อาคารสถานที่ในช่วงสภาวะวิกฤตโควิดตามสมควรและตามเวลาที่เหมาะสม โดยไม่คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อให้ชาว อ.ตะพานหิน ได้มีโรงพยาบาลสนามที่เป็นห้องแอร์ขนาด 70 เตียง เพื่อไว้ใช้เป็นที่พักรักษาตัวจากโรคไวรัสโควิด

โดย นายธนรักษ์ นายก อบต.ห้วยเกตุ หรือ “เฮียช้วงช้างแดง” กล่าวเพิ่มเติมว่า พวกเราใช้เวลาแค่ 4 วัน ในการดำเนินการจัดหาเตียงเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสนามตะพานหินแห่งนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้ก็มีผู้ป่วยทั้งชาย-หญิง เข้ามาใช้อาคารสถานที่แล้ว อีกทั้งมีบุคลากรทางการแพทย์และฝ่ายปกครองมาช่วยกันดูแลอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ว่าฯสุราษฎร์ แถลงจับกุม 2 พ่อค้ายาเครือข่าย สุราษฎร์-กระบี่ ยึดทั้งยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีนมูลค่า 69 ล้าน

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่กองร้อย ตชด.ที่417 อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายวิชวุทย์  จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์, พ.ต.อ.กิจต์ณศักดิ์ เกี้ยวเพ็ง ผกก.ตชด.41 , พ.ต.ท.กุลนริศร์ นวมมณีรัตน์ รอง ผกก.ตชด.41และพ.ต.ท.อภิสิทธิ์ รอดน้อย ผบ.ร้อย ตชด.417 แถลงจับกุมนายอุทัย หรือสี เพ็ชร์รัตน์ อายุ 33 อยู่บ้านเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรี ธรรมราช และนายอนุเชษฐ์ หรือเชษฐ์ ศรีทองนาค อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ยึดของกลางยาบ้า 275 มัด จำนวน 550,000 เม็ด , ไอซ์ น้ำหนัก 100 กรัม , เฮโรอีน น้ำหนัก 4 กิโลกรัม และรถจักรยาน ยนต์ 1 คัน รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาณ 69 ล้านบาท ได้ที่บริเวณศาลาริมถนนหลักกิโลเมตรที่ 61 ถ.สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ต่อเนื่องที่บ้านพักนายอุทัยเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม

จากการสืบสวนชุดปราบปรามยาเสพติดกองร้อย ตชด.417 ทราบว่า นายอุทัย เป็นผู้พ่อค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.ดอนสัก ต่อมาวันที่ 20 ก.ค.64 จึงติดต่อสั่งซื้อยาบ้า 2,000 เม็ด นายอุทัยพร้อมนายอนุเชษฐ์ ได้ขับรถจักรยายนต์นำมาส่งมอบ ที่บริเวณศาลาริมถนน ปากทางเข้าคลองวัง ถนนสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จึงจับกุมได้และ นำไปค้นที่สวนข้างบ้านนายอุทัยพบทั้งไอซ์, ยาบ้า และเฮโรอีน ทั้งหมด

นายอุทัย ให้การรับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจากนายโด่ง (ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) อยู่ที่ จ.กระบี่ ให้ไปรับยาเสพติดที่วาง ไว้บริเวณริมถ.สุราษฎร์ธานี-กระบี่(เซาท์เทิร์น)หลักกิโลเมตรที่ 62 ท้องที่หมู่ 2 ต.อรัญคามวารี อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานีนำมาเก็บไว้ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายโด่งไปส่งให้ลูกค้าได้ค่าจ้างครั้งละ 150,000-200,000 บาท โดยจะมีการขยายผลจับกุม ผู้เกี่ยวข้องต่อไป ในโอกาสนี้พลโทเกรียงไกร และนายวิชวุทย์ ได้มอบเงินรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้ชุดจับกุมด้วย

นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานการณ์ปัญหายาเสพติดภาพรวม พบว่าการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานียังมีการแพร่ระบาดสูงในพื้นที่ชุมชนเมืองและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุน มีระบบคมนาคมขนส่งที่สะดวกรวดเร็ว ครบทุกมิติ มีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคหรือ LOGISTICS HUB เป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งระดับประเทศ และนานาชาติ และเป็นที่พัก/เส้นทางลำเลียงสู่ภาคใต้ตอนล่าง สำหรับผลการดำเนินการผู้ค้ายาเสพติด ในห้วงปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 63 – ก.ค. 64) มีผลการจับกุมผู้ค้า ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในภาพรวมของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นคดียาเสพติดทุกข้อหาจำนวน 9,771 คดี ผู้ต้องหา 9,802 คน ของกลาง ยาบ้า 3,431,757เม็ด ยาไอซ์ 60.32 กิโลกรัม เฮโรอีน 0.39 กรัม กัญชาแห้ง 18.61 กิโลกรัม และดำเนินการยึดทรัพย์แล้ว จำนวน 21 คดี เป็นเงิน 257,293,602 ล้านบาทซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง


ภาพ/ข่าว  สรเดช ส้มเกลี้ยง สุราษฎร์ธานี

กรุงเทพฯ - นิพนธ์ เติมเสบียงตู้ปันสุขในกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19”

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 กรกฏาคม 2564 ที่บริเวณหน้ากระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19” นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มาเติมเต็มเสบียงที่ตู้ปันสุข

นำอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมจัดทำข้าวกล่องแจกฟรีให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่ตกงาน วินมอเตอร์ไซค์ คนขับแท็กซี่ คนที่หาเช้ากินค่ำ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 200 กล่องต่อวัน โดยเริ่มแจกตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา และจะแจกต่อเนื่องไป 10 วันทำการซึ่งเป็นการสนับสนุนอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานจากร้านค้าบริเวณรอบกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นการกระจายเม็ดเงินให้สะพัดในชุมชนบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลายความทุกข์ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

สำหรับกิจกรรมนี้ กรมการปกครองได้จัดกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและกำกับดูแลแถวตามมาตรการ “D-M-H-T-T-A ป้องกันโควิด - 19” Distancing เว้นระยะห่างทางสังคม Mask wearing สวมหน้ากาก Hand washing ล้างมือบ่อย ๆ และ Testing ตรวจวัดอุณหภูมิ และ Application ติดตั้งและใช้แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อเป็นไปตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด

ชลบุรี - กองทัพเรือโดย ฐานทัพเรือสัตหีบ จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19”

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ที่สโมสรสัญญาบัตรฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อนุชาติ อินทรเสน ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่กำลังพลที่เข้าร่วมบริจาคโลหิต ในกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID-19” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2019 อีกทั้งเพื่อเป็นการสำรองปริมาณโลหิตให้แก่สภากาชาดไทย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้การจัดกิจกรรมได้แบ่งกำลังพลเป็นชุดเข้ารับบริจาคโลหิต เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) จังหวัดชลบุรีกำหนดโดยเคร่งครัด โดยมีภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 3 จังหวัดชลบุรี สภากาชาดไทยมาดำเนินการรับบริจาค ซึ่งมีกำลังพลฐานทัพเรือสัตหีบ เข้าร่วมบริจาคโลหิต ได้ปริมาณโลหิต 27,450 มิลลิลิตร


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

ชลบุรี - กองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบ จัดกิจกรรม “กองทัพเรือเพื่อประชาชนร่วมใจต้านภัย โควิด-19” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ชั่วคราว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พลเรือโท อนุชาติ อินทรเสน ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ในกิจกรรม “กองทัพเรือเพื่อประชาชนร่วมใจต้านภัย COVID - 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) โดยจัดสิ่งของอุปโภคบริโภคจำนวน 400 ชุด โดยแต่ละชุดประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ ปลากระป๋องโรซ่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำตาลทราย น้ำมันพืช หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์

โดยฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ส่งมอบให้กับผู้นำชุมชนเพื่อนำไปมอบให้แก่ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ใน 8 ชุมชน รวม 400 ชุด ประกอบด้วย ชุมชนบ้าน กม.10 วัดราษฎร์สามัคคี ต.พลูตาหลวง จำนวน 50 ชุด ชุมชนช่องแสมสาร วัดช่องแสมสาร ต.แสมสาร จำนวน 50 ชุด ชุมชนบ้านเตาถ่าน ม.4 ต.สัตหีบ จำนวน 50 ชุด

ชุมชนบ่อนไก่ ม.5 ต.สัตหีบ จำนวน 50 ชุด ชุมชนบางเสร่ ม.1, ม.4 และ ม.8 ต.บางเสร่ จำนวน 50 ชุด ชุมชนบ้านอำเภอ ม.4 ต.นาจอมเทียน จำนวน 50 ชุด ชุมชนธรรมวิทยา ม.2 เทศบาลเมืองสัตหีบ จำนวน 50 ชุด ชุมชนชายโสด ม.2 เทศบาลเมืองสัตหีบ จำนวน 50 ชุด

กิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” จัดขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคล ห้วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 กองทัพเรือ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

กิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” จัดขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคล ห้วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2564 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 กองทัพเรือ จึงได้กำหนดจัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ หน้ากองบัญชาการ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ชั่วคราว) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

รมว.ยุติธรรม มั่นใจในยาจากฟ้าทะลายโจรช่วยได้ เร่งปลูก 2,000 ต้น ในเรือนจำสุโขทัย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์ และจังหวัดสุโขทัย  ด้วยการนำพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ปลูกในแปลงสาธิตโครงการพระราชทานในเรือนจำ 1,000 ต้น และบริเวณพื้นที่ว่างด้านหน้าเรือจำอีก 1,000 ต้น เพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพเบื้องต้นของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่  โดยมีนายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ  กุลนาถศิริ สส.สุโขทัย เขต 1 และนายกฤตภพ จันทร์ภูโดม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสุโขทัย ร่วมปลูกฟ้าทะลายโจร พร้อมกับผู้ต้องขังกลุ่มพักการลงโทษกรณีพิเศษ 28 นาย ที่ผ่านโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว เข้ามาเสริมทักษะให้เกิดแรงจูงใจกลับตัวเป็นพลเมืองดี และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ร่วมปลูก

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้เสนอแนวทางการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีข้อมูลการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ต้องขังที่เรือนจำหลายแห่งที่ ใช้ยาแผนไทยในการรักษา จึงได้ไปศึกษาข้อมูลของฟ้าทะลายโจรเพิ่ม และทราบว่าในฟ้าทะลายโจรมีสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยระบุว่าสามารถยับยั้งไวรัสได้ สารตัวนี้จะสกัดจากฟ้าทลายโจรในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ซึ่งในการปลูก 1 ไร่จะได้ประมาณ 600 กิโลกรัม สามารถสกัดได้ประมาณ 150 กิโลกรัม ทำยาได้ 375,000 แคปซูล หากเราจะใช้กับคนไทยทั้งประเทศ ต้องใช้ 3,150 ล้านแคปซูล หรือจะต้องปลูกประมาณ 8,400 ไร่

ในส่วนของการนำต้นมาบดหยาบ 600 กิโลกรัม จะได้ประมาณ 1,300,000 แคปซูล จึงแนวคิดกินเป็นยารักษาตั้งต้น ซึ่งฟ้าทะลายโจรโตเต็มที่ 4 เดือนสามารถนำมาตัดตามข้อได้ 8 ข้อ แล้วนำมาใส่ยาเร่งราก แล้วนำไปปักชำ สามารถขยายพันธ์ได้อย่างเร็ว หากเร่งปลูกกันทุกบ้าน จะไม่มีการขาดช่วง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นยาแผนไทยประจำบ้านได้อีกด้วย

อีกทั้งในเบื้องต้นได้ให้เรือนจำทุกแห่งจะได้นำมาต่อยอดทำเครื่องมือบรรจุแคปซูลด้วยมือ ซึ่งสามารถบรรจุได้เองวันละไม่น้อยกว่า 5,000 แคปซูล ซึ่งการใช้ยาแผนไทยนั้นให้ควบคู่กับความรู้ด้านสาธารณสุขด้วย โดยต้องใช้ประมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ใช้ติดต่อกัน 5 วันจะรักษาโควิดได้ ผลดีของการใช้ฟ้าทะลายโจร คือ การใช้กับกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสผู้ติดเชื้อกินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลตรวจ ใช้กับผู้ที่มีอาการคล้ายการติดเชื้อ และใช้กับผู้ที่ผลการตรวจเป็นบวกแต่ไม่แสดงอาการ ทั้งนี้จะต้องมีการศึกษาข้อดีข้อเสียของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรให้ชัดเจน และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนอย่างถูกต้อง


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย

กาฬสินธุ์ – หมอใหญ่ระบุ ‘ฟ้าทะลายโจร’ ระงับความรุนแรงเชื้อโควิดได้ผล

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ระบุใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เผยยืนยันผลการวิจัยจากโรงพยาบาลสมุทรปราการและเรือนจำ ขณะที่โรงพยาบาลสนามฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์นำมาใช้กับคนไข้ได้ผล ทั้งนี้ การใช้ต้องอยู่ในการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอ ด้านสถานการณ์ล่าสุดพบผู้ป่วยเพิ่ม และเตรียมขยายเตียงรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลสนามยางตลาดและโรงพยาบาลสนามสมเด็จ 

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์  หลังทาง ศบค.ประกาศให้พื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ เป็นกลุ่มจังหวัดสีแดง พื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยวันนี้ยังพบว่ามีประชาชนจากพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดพื้นที่เสี่ยง เดินทางกลับมาภูมิลำเนาจำนวนมาก ทำยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นรายวัน ล่าสุดพบผู้ป่วยรายใหม่ 131 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างจังหวัดขอกลับมารักษาในภูมิลำเนา 19 ราย ผู้ติดเชื้อที่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง 92 ราย ผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน 9 ราย และตรวจพบจากระบบเฝ้าระวังอื่นๆ 11 ราย

นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พบรายวัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดเชื้อจากต่างจังหวัด ส่วนที่พบพื้นในพื้นที่ถือว่าเป็นคลัสเตอร์ขนาดเล็ก เช่น สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทำการเปิดโรงพยาบาลสนามทั้ง 18 อำเภอแล้ว ยังมีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงแม้ปัจจุบันโรงพยาบาลสนามจะสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยเพียงพอ แต่เพื่อรองรับสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มสูงอยู่ ทางโรงพยาบาลสนามยางตลาดและโรงพยาบาลสนามสมเด็จ ก็จะได้ขยายเตียงเพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับและเพียงพอ และได้รับการบริหารทางระบบสาธารณสุขอย่างดีที่สุด

นายแพทย์อภิชัยกล่าวอีกว่า สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลทั่วไปนั้น จากสถิติผู้เสียชีวิตจากการได้รับเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว เป็นในกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้น ในการจัดสรรฉีดวัคซีนที่ จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงที่สถานการณ์ของโรครุนแรงอยู่ จึงจะจัดสรรให้บุคลากรกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคประจำตัวและหญิงมีครรภ์ หรือกลุ่ม 608 เสียก่อน จึงจะกระจายไปยังกลุ่มอื่นๆตามลำดับต่อไป

นายแพทย์อภิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการบำบัดรักษาอาการผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 นั้น ตามที่มีการกล่าวถึงการนำสมุนไพรทางเลือก เช่น กระชาย และฟ้าทะลายโจร มาใช้ในการบำบัดรักษาอาการนั้น ยืนยันผลวิจัยที่ใช้ในโรงพยาบาลสมุทรปราการและเรือนจำ พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในขณะที่โรงพยาบาลฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ก็ได้นำมาใช้เช่นกัน โดยพบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ อย่างไรก็ตามการใช้ต้องอยู่ในการกำดับดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอรักษาไข้ ทั้งนี้ วิธีที่ป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้ผลที่สุดคือการรักษามาตรการ D-M-H-T-T-A เช่น รักษาระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ตรวจวัดอุณหภูมิ ไม่เข้าไปในสถานที่แออัดและพื้นที่เสี่ยง

มูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา จัดโครงการ “ปลูกสร้างสรรค์ สร้างพลังให้แผ่นดิน” สนับสนุนโรงเรียนทั่วประเทศสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มอบผลิตภัณฑ์บำรุงดินและพืชชีวภาพ

มูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา จัดโครงการ “ปลูกสร้างสรรค์ สร้างพลังให้แผ่นดิน” โดย คุณณัฐวุฒิ ปิ่นทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร ผู้แทนมูลนิธิเบญจรงคกุล และกลุ่มบริษัทเบญจจินดา มอบผลิตภัณฑ์บำรุงดินและพืชชีวภาพ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศจำนวน 46 แห่ง เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย สร้างสรรค์การเกษตรที่ยั่งยืนให้กับชุมชน

สงขลา - เมืองต้นแบบที่ 4 จะนะ ก้าวไปอีกขั้น ศอ.บต. ร่วมกัน 2 มหาลัย ศึกษาระบบโลจิสติกส์ ทางบกในพื้นที่ อ.จะนะ เพื่อรองรับความเติบโตในอนาคต

พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า ตามที่ ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการขยายเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" จากเมืองต้นแบบ 3 แห่ง ในพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา พื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต เพื่อยกระดับการพัฒนา 4 อำเภอ ใน จ.สงขลา คือ อ.จะนะ,นาทวี.เทพา และสะบ้าย้อย ซึ่งเป็นพื้นที่มีศักยภาพสูง มีโครงการ การขนส่งในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาเพื่อเชื่อมโยงไปยังพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศ เมื่อพิจารณาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่ อ.จะนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจเฉพาะพิเศษ พบว่ายังเป็นโครงข่ายทางหลวงขนาดเล็ก ออกแบบเพื่อการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าทางการเกษตร มีถนนสายหลักเพียง 2 สาย คือ ทางหลวงหมายเลข 43 และ 408 ขนาด 4 ช่องจราจร หากมีการพัฒนาเป็น”เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ถนนดังกล่าวไม่สามารถรองรับความเจริญที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังต้องมีการเชื่อมต่อการขนส่งในระบบราง และการเชื่อมโยงโครงข่ายทุกรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ

ศอ.บต.ได้ร่วมกับสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร ( สขน.) เพื่อศึกษา สำรวจ วิเคราะห์ สภาพการจราจร และมาตรฐานการจัดระบบจราจร และ อบจ.สงขลา ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีภารกิจ มีอำนาจในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น จึงได้ดำเนินการโครงการศึกษาออกแบบระบบโลจิสติกส์ทางบกในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เนื่องจากในการพัฒนา”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต”นั้นจำเป็นต้องมีการศึกษา เพื่อพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้สอดคล้องกับบริบทของการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

โดย ศอ.บต.ได้มอบหมายให้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการโครงการศึกษาออกแบบโลจิสติกส์ทางบกในพื้นที่ อ.จะนะ  โดยจะจัดให้มีการประชุมสัมมนาแนะนำโครงการผ่านระบบประชุมสัมมนาทางไกล เพื่อนำเสนอแนวคิด และวัตถุประสงของโครงการ ให้ผู้แทนส่วนราชการการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนที่มีส่วนได้เสียรับทราบ ในวันที่ 9 สิงหาคม เวลา 09.00-12.00 น.ผ่านการประชุมทางไกล ด้วยระบบ ZOOM ซึ่งขณะนี้ทางผู้จัดได้มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมในครั้งนี้แล้ว เพื่อที่จะได้นำความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาและออกแบบต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

สุโขทัย – ซาลาเปา 20 ไส้โบราณของอร่อยสโขทัย ราคาไม่แพง ลิ้มรสสูตรดั่งเดิม 100 ปี

ของอร่อยในสุโขทัยอีกชนิดที่ขึ้นชื่อ มีสาขาหลายอำเภอหลายจังหวัด หากพูดถึงซาลาเปา ภาษาจีนเรียก เปาจึ หรือ เปา เป็นอาหารทำด้วยแป้งปั้นเป็นลูก ใส่ไส้ต่าง ๆ เช่น เนื้อ หรือผัก แล้วนึ่งให้สุกและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร คือที่จังหวัดสุโขทัย หนุ่มสาวรุ่นใหม่สืบทอดเจตนารมณ์คนรุ่นอากง ที่ริเริ่มคิดสูตรและทำซาลาเปามาตั้งแต่อยู่ที่จีน และก็สืบต่อกิจการขายซาลาเปามาเรื่อย ๆ จนมารุ่นพ่อที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย และเป็นครอบครัวซาลาเปาที่คนสุโขทัยรู้จักดี ซาลาเปาโบราณปัจจุบันเป็นที่หากินได้ยากมาก ๆ จึงไม่อยากให้พลาดโอกาสลิ้มรสซาลาเปาโบราณที่มีตำนานมากกว่า 100 ปี

คุณเจตน์ เลิศจรูญวิทย์ อายุ 36 ปี ทายาทอีกรุ่นของรุ่นซาลาเปา 20 ไส้โบราณ เป็นรุ่นหลานของร้าน “ซาลาเปาโบราณ in สุโขทัย” ได้เล่าว่าด้วยความภาคภูมิใจในการสืบทอดจากรุ่นอากงให้ฟังว่า การที่ทำซาลาเปาสูตรโบราณ และยังทำอยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและลองกินซาลาเปาโบราณที่ยังมีวิธีทำแบบดั้งเดิม แต่จะมีไส้ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากที่อื่น และหลากหลาย ที่ดั้งเดิมก็จะเป็น ไส้ถั่วดำ หรือ ไส้ดำ นับเป็นซาลาเปาไส้หวาน สุดคลาสสิค ไส้หมูสับ หมูสับไข่เค็ม หมูแดง ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ ถั่วแดง เผือก ครีม ใบเตยและออกไส้ตามความนิยมของท้องตลาดเช่นไส้ช็อคลาวา ลาวาชาเขียว ลาวาไข่เค็ม ลาวามันม่วง ไส้ฝอยทอง ไส้กรอกชีส ฮ่องเต้ ไส้ผัก(เจ)สำหรับคนรักสุขภาพ ไส้แน่น เต็ม ๆ คำ แป้งของร้านซาลาเปาโบราณ in สุโขทัย จะเป็นสีขาวสวยละมุนตา มีส่วนผสมพิเศษในการผสมแป้ง และยังเป็นแป้งที่นวดและปั้นเอง ทำให้แป้งเหนียวหนุบหนับ สูตรลับเฉพาะตามแบบฉบับซาลาเปาโบราณยิ่งถ้าได้ลองทานหมั่นโถว เมื่อเคี้ยวไปแล้วตัวเนื้อแป้งจะได้รสชาติหวาน ๆ และไม่ติดฟันให้น่ารำคาญ

น.ส.ปวีณา ทองเยี่ยม อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นภรรยา คุณเจตน์  เลิศจรูญวิทย์ เจ้าของร้านซาลาเปาโบราณ in สุโขทัย และเป็นผู้ดูแลร้านบอกว่านอกจากซาลาเปาแล้วยังมีขนมจีบ อาหารว่างประเภทคาวแบบนึ่งของจีนที่เป็นเมนูห้ามพลาด เพราะวัตถุดิบที่ใช้จะคัดเลือกตั้งแต่แป้งที่ห่อ จะใช้แป้งไข่ที่ต้องสั่งจากเยาวราช ใช้เครื่องสามเกลอที่ปรุงด้วยพริกไทยพิเศษที่จะหอมกว่าปกติ หมูบดจะผสมมันเล็กน้อยเพื่อให้มีรสนุ่มลิ้น ใส่เห็ดหอมเพื่อเพิ่มรสชาติ คลุกเคล้ากับแครอท ซอสต่าง ๆ และน้ำมันงา และห่อกันแบบอวบ ๆ เต็มปากเต็มคำ นอกจากนี้ทางร้านยังรับจัดเบรก งานเลี้ยง ประชุม สัมมนา รับรองอร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัย ซื้อทานเองก็ถูกปาก ซื้อเป็นของฝากก็ถูกใจ ร้านซาลาเปาโบราณ in สาขาเมืองสุโขทัย ตั้งอยู่เลขที่ 2/1 ถ.บาลเมือง ตรงข้ามป้อมตำรวจชุมชนธานี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 096-1655122 ร้านซาลาเปาโบราณ in สุโขทัย หรือถ้าไม่สะดวกเดินทาง สามารถสั่งได้ทุกแอพพิเคชั่น รอรับความอร่อยที่บ้านได้เลย


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top