Sunday, 18 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ป.ป.ช. ร่วมมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง ณ ห้องพรหมนอก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561” ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. โดยนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล อาทิเช่น นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายมนต์ชัย วสุวัต ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ พลตำรวจโท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และเจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจนครบาล

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งหวังให้เกิดการส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับของสถานีตำรวจนครบาล เพื่อให้ปฏิบัติเกิดความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และเป็นช่องทาง ในการประสานความร่วมมือในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับคดีทุจริตระหว่างกัน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เสริมสมรรถนะและพัฒนาความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัย !! การล่วงละเมิดทางเพศ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้เสียหายจำนวนหลายรายจากทุกวงการทั้งที่ปรากฎเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ตามที่สื่อได้มีการนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า

สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างอิสระ แต่ด้วยความอิสระนี้เอง ทำให้มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์บางคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการคุกคามทางเพศ(Sexual Harassment) ซึ่งมีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงความคิดเห็นในลักษณะคุกคามทางเพศ การส่งข้อความส่วนตัวเพื่อชักชวนไปมีเพศสัมพันธ์ หรือการส่งภาพลามกอนาจาร และในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปเพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ และการคุกคามทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหรืออาชญากรรมอื่น ๆ ได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ จนอาจจะเกิดเป็นบาดแผลภายในจิตใจหรือทำให้บุคคลนั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

การกระทำลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น ทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ และเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการนำภาพในลักษณะลามกอนาจารไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใด ๆ ที่มีลักษณะลามกอนาจาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือการนำภาพบุคคลอื่นไปโพสต์ในลักษณะล่วงละเมิดทางเพศ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่ตนรับทราบการกระทำความผิด เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และขอให้เก็บภาพข้อความหรือโพสต์ที่เป็นความผิดไว้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากแนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศบนสื่อสังคมออนไลน์ว่าอย่าไว้วางใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์, เก็บข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้ดี ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์, เคารพสิทธิของผู้อื่นอยู่เสมอ มีสติทุกครั้งในการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่าง ๆ และควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีสติ หากพบเห็นการกระทำดังกล่าว ที่เข้าข่ายคุกคามหรือผิดกฎหมาย อย่าส่งต่อ อย่าแสดงความคิดเห็น อย่าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าจะทางใด และขอเตือนไปยังผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ให้หยุดการกระทำของท่านเสีย เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ในสังคม อีกทั้งยังเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของผู้อื่นเข้าไปอีก

นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดต่าง ๆ สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงข่าวการจับกุม 3 คดี ฝ่ามาตรการคุมเข้ม

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจจำนวน 3 คดี ดังนี้

1.กก.สส.บก.ตม.3 “จับหนุ่มผิวสีถอดหน้ากาก หวิดวางมวยกับฝรั่งกลางเมืองพัทยา”

ปัจจุบันจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) มีสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดกว่า 14,000 รายแล้วและมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงรายวันอย่างน่าตกใจ ในห้วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ปรากฏคลิปข่าวที่น่าสนใจ เป็นเหตุการณ์ที่ชายผิวสีซึ่งไม่ยอมสวมใส่หน้ากากอนามัยทะเลาะกับชายต่างชาติผิวขาวที่เข้ามาตักเตือนจนเป็นกระแสสังคม สตม.ตระหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของชายต่างชาติรายนี้แม้จะมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพียงสถานเดียว แต่เป็นเรื่องที่สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้ที่จะปล่อยไว้อย่างช้าไม่ได้ จึงสั่งการให้ กก.สส.บก.ตม.3 และ ตม.จว.ชลบุรี ดำเนินการเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในสังคม โดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้การสั่งการข้างต้น ชุดจับกุมได้โดยเดินทางไปยังร้านอาหารสไตล์แม็กซิกัน บริเวณหน้าชายหาดรอยัลการ์เด้น เมืองพัทยา สถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งจากการสอบถามผู้คนและสืบสวนหาพยานหลักฐานได้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชายผิวสีเดินเข้ามากับแฟนสาวเพื่อซื้ออาหารในร้านแต่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งทางร้านได้มีการแจ้งเตือนว่าไม่ให้บริการกับลูกค้าที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งมีลูกค้าอีกหนึ่งคนเป็นคนต่างชาติเข้ามาตักเตือน แต่ชายคนดังกล่าวได้โต้เถียงและแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจนทำให้คนแตกตื่นซึ่งทางร้านปฏิเสธจำหน่ายอาหารให้พร้อมทั้งมีคนในร้านร้องบอกว่าจะแจ้งตำรวจ ชายคนดังกล่าวและแฟนสาวจึงได้รีบหลบหนีออกไปจากร้าน ในเวลาต่อมาชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าชายผิวสีคนดังกล่าวคือนายแคเรน(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี สัญชาติ อเมริกัน พักอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมย่านเขาพระตำหนัก จึงได้เข้าไปสืบหาตัวจนพบนายแคเรน ฯ เดินอยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวจึงได้เข้าไปขอตรวจสอบก็พบว่าเป็นคนเดียวกัน จึงได้เชิญตัวมายังสภ.เมืองพัทยาเพื่อทำการแจ้งข้อกล่าวหาและเปรียบเทียบปรับในความผิดที่เกิดขึ้น

การแจ้งข้อกล่าวหา : แจ้งข้อกล่าวหา นายแคเรนฯ ว่า “กระทำการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป(ไม่สวมหน้ากากอนามัย) เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 36(6)”

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนก่อเหตุในคลิปข่าวจริง ขณะนี้รู้สึกสำนึกผิดและเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับคนต่างชาติคนอื่น ๆ ในประเทศไทยให้ใส่ใจร่วมมือกันสวมหน้ากากอนามัย และคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด

2.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “ รวบฝรั่งแสบแอบขนของห้องเช่าหนี เจ้าของห้องเดือดร้อนหนัก ”

ด้วย ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งให้บริการเช่าที่พักอาศัย ว่ามีชายชาวต่างชาติมาเช่าห้องพัก แต่เมื่อเลิกเช่าแล้วปรากฏว่าได้ขนเอาทรัพย์สินของหอพักไปด้วย ทำให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อทราบแล้ว ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวและดำเนินการสืบสวนร่วมกับตม.จว.ราชบุรีจนสามารถจับกุมตัวผู้กระผิดมาดำเนินคดีได้ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ได้รับการประสานข้อมูลว่ามีชาวต่างชาติ มาเช่าห้องพักแห่งหนึ่งใน ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากเลิกเช่าแล้วได้เอาสิ่งของอันได้แก่ เครื่องปรับอากาศ,เครื่องทำน้ำอุ่น ,เก้าอี้ไม้, โซฟา และผ้าม่าน ไปด้วย ซึ่งคำนวณเป็นมูลค่าความเสียหาย เป็นจำนวนกว่า 40,000 บาท ทางเจ้าของห้องได้รับความเดือดร้อนจึงได้ขอความช่วยเหลือมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนจึงทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นาย ฟาดิล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี สัญชาติ ฝรั่งเศส มาพักอาศัยกับภรรยาคนไทย(ขอสงวนชื่อสกุลซึ่งถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้) จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานสอบสวนจนศาลจังหวัดหัวหินได้ออกหมายจับ ที่ จ.61/2564

ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทำการสืบสวนสวนทราบว่าคนร้านรายนี้หลบหนีไปอยู่ละแวกอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้ประสานข้อมูลกับ ตม.จว.ราชบุรีอย่างใกล้ชิด ให้เข้าไปสืบสวนติดตามตัว จนพบว่านายฟาดิลฯ หลบหนีมาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้เข้าไปสอบถามที่บ้าน นายฟาดิลฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ พร้อมกับนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : นาย ฟาดิลฯ “ ร่วมกันยักยอกทรัพย์ ” 

สอบถามนายฟาดิล ฯ รับสารภาพผิดว่าตนและภรรยาได้เอาสิ่งของห้องเช่าไปจริง สาเหตุมาจากนายฟาดิล ฯ กับภรรยามีปากเสียงและเลิกรากันจึงได้ขอย้ายออกจากห้องเช่าซึ่งเจ้าของห้องเช่ายังไม่ได้คืนเงินประกันทันทีเพราะยังค้างค่าน้ำค่าไฟและยังต้องสำรวจความเสียหายก่อน แต่นายฟาดิล ฯ ต้องการเงินโดยทันทีประกอบกับอารมณ์เสียที่เลิกรากับแฟนสาว จึงเกิดความโกรธเก็บเอาทรัพย์สินในห้องเช่าติดตัวไปด้วยหลายรายการ

3.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี “ทะลายก๊วนแรงงานจับกลุ่มมั่วสุมกินเหล้า เย้ย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”

ด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ จังหวัดจันทบุรีได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด(พื้นที่สีแดง) ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19 ) มาตรการที่เกี่ยวข้องทางหน่วยงานราชการโดยเฉพาะตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรีมีการดำเนินการ ที่เข้มงวดและประสานงานกับหน่วยงานราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเหตุดังกล่าวนี้กลุ่มแรงงานต่างด้าวได้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ศบค. มั่วสุมดื่มสุรา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

ก่อนการจับกุมชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากประชาชนละแวกใกล้เคียงกับแคมป์คนงานก่อสร้างของร้านอาหารแห่งหนึ่งใน ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี ว่ามีกลุ่มคนคล้ายคนต่างด้าวมั่วสุมกันดื่มเหล้าส่งเสียงดัง ได้รับความเดือดร้อนหวั่นว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ชุดสืบสวนจึงได้ทำการสืบสวนโดยสั่งกำลังไปซุ่มดูพบว่ามีคนนั่งมั่วสุมดื่มสุรากันจริงจึงได้วางแผนจับกุมโดยบูรณาการกำลังกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีการนั่งดื่มสุราอาหารกันจริง จำนวน 32 คน ทั้งหมดเป็นคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา มีหลักฐานเป็นหนังสือเดินทางติดตัว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและจับกุมดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 32 คน ว่า

1.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรีที่ 2054/2546 เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส

โคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564

2.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรี ที่ 1330ฝ2564 เรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสติดเชื้อโคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 30 เมษายน 2564

ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรี มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วจำนวน 1,830  คน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าสถานที่แห่งนี้มีแรงงานต่างด้าวทั้งหมดจำนวน 155 คน ทั้งหมดยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาตรการของสถานประกอบการที่เกิดเหตุนี้ยังดำเนินการด้วยความหละหลวม ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลหากพบความผิดที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯ จะมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป  

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1198 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561”

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2564 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ 10) ให้การต้อนรับ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พร้อมคณะฯ เพื่อร่วมลงนามในการขับเคลื่อนความร่วมมือในการปฏิบัติงานและแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561

ก่อนการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว พล.ต.อ.วัชรพลฯ ประธาน กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวผ่านระบบการประชุมทางไกล Zoom Cloud Meetings ถึงทิศทางความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ของสถานีตำรวจนครบาล

โดยมีนายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.,นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช., นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช., นายมนต์ชัย วสุวัต ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช., พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ และ พล.ต.ท.ภัคพงศ์  พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าร่วมการประชุมฯ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ขับเคลื่อนและกำกับติดตามการประเมินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ของ “สถานีตำรวจนครบาล” ทั้ง 88 สถานี เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อตกลงดังกล่าวต่อไป

รวบแก๊งมังกรทำ Hybrid scam หลอกผู้เสียหายชาวไทยหลายราย ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.

มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 1.นายฮู  สัญชาติจีน อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.223/2564 2.นายกวินทร์ฯ อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.196/2564 3.น.ส.วารินทร์ฯ อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.197/2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายชาวไทยเบื้องต้นจำนวน 15 ราย กรณีคนร้ายชาวต่างชาติเข้ามาตีสนิทผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Instagram, Tinder, Hello talk หรือแอพพลิเคชั่นสอนภาษาต่างประเทศ เมื่อได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับมากขึ้น คนร้ายจะแอบอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล ชักชวนให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล อาทิ BTC USDT BNB เป็นต้น ผ่านทางแอพพลิเคชั่น BLACK STONE, ZON XIN , Grayscale , PKEX , BLACK ROCK เป็นต้น

โดยอ้างว่าหากซื้อขายตามคำแนะนำของคนร้าย จะได้ผลตอบแทนที่สูง ผู้เสียหลงเชื่อจึงได้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลไปตามคำแนะนำของคนร้าย ในคราวแรก ๆ ได้ผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง แต่ต่อมาภายหลัง ไม่ได้ผลตอบแทนแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายมีความประสงค์จะถอนเงินออกจากระบบ ซึ่งแสดงยอดเงินที่ตนเองมีอยู่ ก็ไม่สามารถถอนได้ และจะถูกคนร้ายชักจูง หลอกลวงให้โอนเงินเพิ่มเข้าไปในระบบ ซึ่งเมื่อโอนเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกหลอกลวง จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามท้องที่เกิดเหตุต่าง ๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มคนร้าย มีทั้งชาวจีนและชาวไทยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยกลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยกลุ่มชาวจีน จะสั่งหรือจ้างให้คนไทยไปตระเวนซื้อสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมาก เมื่อมีเงินจากผู้เสียหายโอนเข้ามาแล้ว จะใช้ให้คนไทยไปตระเวนกดเงินออกจากบัญชี เพื่อนำเงินสดมาให้ตน และจากนั้นจะนำเข้าไปซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ  เพื่อให้ยากต่อการสืบสวนติดตาม

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้ทำการสืบสวน จนกระทั่งจับกุมตัวผู้ต้องหาบางส่วนได้ จำนวน 3 ราย ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะจับกุม สามารถยึดเงินสดจำนวน 640,000 บาท (หกแสนสี่หมื่นบาท) พบสมุดบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรกดเงินสด จำนวนหลายบัญชี และอายัดทรัพย์สินรถยนต์จำนวน 2 คัน รวมมูลค่า 8,000,000 บาท(แปดล้านบาท) เจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนต่อทราบว่ายังมีชาวจีนอยู่ในขบวนการกังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

"หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ " เสด็จบำเพ็ญกุศล (เป็นการส่วนพระองค์) ประทานเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาประจำปี 2564

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เสด็จบำเพ็ญกุศล (เป็นการส่วนพระองค์) ประทานเทียนพรรษาเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปี 2564 ถวายเป็นพุทธบูชานำเชิญถวายวัด ที่พักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม 108 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่ออุทิศถวายแด่บูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทุก ๆ ราชวงศ์ และทรงอุทิศถวายเป็นพระกุศลแด่ พระเจ้าวรวงค์เธอฯ กรมหมื่นภาณุพงษ์พิริยะเดช (เสด็จพ่อ) เนื่องในวันสิ้นพิตักษัย (22 กรกฎาคม 2477)

ทั้งนี้ทรงกรุณาให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาฯ หัวหน้าหน่วยราชการ ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมดังนี้

ทรงกรุณา เสด็จถวายด้วยพระองค์เอง จำนวน 12 วัด อาทิ วัดแก้วฟ้า อ.บางกรวย จ.นนทบุรี / วัดเขาปกล้น อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี /วัดเขาอุดมพร อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ / สำนักสงฆ์พิมานทิพย์วนาราม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ฯลฯ

ทรงกรุณา ให้สำนักงานเลขานุการในองค์ฯ จัดส่งถวายในนามส่วนพระองค์ จำนวน 14 วัด อาทิ วัดถ้ำผาพญานาคราช อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี / วัดบ้านน้อย อ.โพทะเล จ.พิจิตร / วัดเหล่าน้อย อ.เถิน จ.ลำปาง วัดบ้านผึ้ง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ

ทรงกรุณา ให้ "นายนพรัตน์ ฉัตรเพชรตระการ" หัวหน้าสำนักงานและผู้ช่วยเลขานุการในองค์ฯ นำเชิญถวายจำนวน 25 แห่ง อาทิ วัดราชวารี อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด / วัดมิ่งเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด วัดบ้านเหล่างิ้ว อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด / วัดโคกล่าม อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ฯลฯ

ทรงกรุณา ให้ "ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร" ผู้ช่วยเลขานุการในองค์ฯ นำเชิญถวายจำนวน 25 แห่ง อาทิ วัดอรุณสวัสดิ์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด / วัดบ้านหัน อ.เมือง จ.มหาสารคาม / วัดโพธิ์ทอง อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด / วัดป่าเหล่าหลวงอุดมธรรม อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด / วัดบ้านโนนโพธิ์ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ฯลฯ

ทรงกรุณา ให้ "นายศิริชัย ถนัดค้า" นำเชิญถวายจำนวน 10 แห่ง อาทิ วัดบ้านสวนมอน อ.จตุรพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด / วัดสว่างหนองแวง อ.จตุรพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด / วัดสุทัศ อ.จตุรพักตร์พิมานจ.ร้อยเอ็ด / วัดป่าจตุรพักตร์พิมาน อ.จตุรพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด ฯลฯ

และทรงกรุณา ให้หัวหน้าหน่วยราชการ และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วม นำเชิญถวายจำนวน 22 แห่ง อาทิ วัดดับภัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ / วัดธรรมมิการาม อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี / วัดศรีดอนมูล อ.เกาะคา จ.ลำปาง / วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี / สำนักสงฆ์ป่าไกรราช อ.แกลง จ.ระยอง / วัดทองเลื่อน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง / วัดพระปรางค์สามยอด อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ฯลฯ

จากนั้น "ดร.กรองแก้ว สุรเสียง" เลขานุการชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย ได้จัดถวายพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเชิญประทานแด่ วัดสว่างภพ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และวัดทองจันทริการาม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้เป็นการต่อไป และเพื่อสืบให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ชาวบ้านในพื้นที่ และญาติโยมของวัดให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ สืบไป

ในการนี้ "นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย" เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ กล่าวว่าด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ ราชวงศ์ ที่ทรงมีคุณูประการก่อร่างสร้างบ้านแปงเมืองให้เป็นปึกแผ่น ทั้งที่แต่เดิม ต่างมีเชื้อชาติ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ภาษา ที่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดปัจจุบันก็ได้เข้าร่วมเป็นขอบเขตพัทธสีมาประเทศในสุวรรณปัฐพีเดียวกัน ขอพละบุญ อานิสงค์แห่งทานบารมีครั้งนี้โปรดปกปักรักษาให้ประเทศชาติ และประชาราชฎร์ทุกหมู่เหล่า พ้นวิกฤตปัญหาการแพร่เชื้อโรคระบาดโคโรน่าไวรัส (โควิด-19) ไปได้ด้วยดี และกลับมารัก สามัคคี ช่วยกันผลักดันประเทศชาติ บ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และรุ่งเรือง สืบไป

ลำปาง - มทบ.32 พร้อมช่วยเหลือปชช. จัดกำลังพลสนับสนุนช่วยจัดตั้ง ร.พ.สนาม

“เมื่อได้รับการประสาน ทหารพร้อมนำกำลังมา ช่วยขจัดปัญหาที่มี ยิ่งในสถานการณ์โควิดแบบนี้  ค่ายสุรศักดิ์มนตรีช่วยทันทีทันใด” ตามที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นตามลำดับ โดย จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมในการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยเหล่านั้น ในการนี้ พลตรี อโณทัย ชัยมงคล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ในการเตรียมการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามมาอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อ 22 กรกฎาคม 2564 เวลา 15.00 น. หน่วยได้รับการประสานจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ในการช่วยจัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ณ โรงพยาบาลลำปาง ได้จัดกำลังพลจิตอาสา 10 นาย ร่วมในการประกอบเตียงสนาม จำนวน 20 เตียง ก่อนหน้านี้หน่วยได้จัดกำลังพลและยานพาหนะเข้าให้ความช่วยเหลือในการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่ จังหวัดลำปาง มาแล้วทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง , โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี และ โรงเรียนวังเหนือวิทยา

ทั้งนี้การให้การสนับสนุนหน่วยงานหรือช่วยเหลือประชาชนของหน่วยทหารในพื้นที่ จังหวัดลำปาง นั้น ทุกหน่วยพร้อมเข้าให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามศักยภาพที่หน่วยมี เพื่อให้ชาวลำปางได้มั่นใจว่าทหารพร้อมเคียงข้างและช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส  


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

ชลบุรี - ส.ส.เขต 7 พร้อมทีมงานผู้ช่วย ทำข้าวกล่อง 400 กล่อง มอบให้บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลบางละมุง

เมื่อเวลา 18:00 น วันที่ 22 กรกฎาคม 64 ที่โรงพยาบาลบางละมุงอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชลบุรีเขต 7 พร้อมทีมงานผู้ช่วยดำเนินงานทำข้าวกล่อง 400 กล่องมอบ บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบางละมุงเ เพื่อเป็นกำลังใจให้คณะแพทย์ ในการทำงานเฝ้าผู้ป่วยดูแลผู้ป่วย ยามกลางคืน

เนื่องด้วยปัจจุบันสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิค-19 มีจำนวนมากขึ้นรายวันและทำให้พื้นที่ของโรงพยาบาล เต็มไปด้วยผู้ป่วย และผู้กับตัวจากโควิด-19 ระบาดอยู่ในขณะนี้ เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนเท่าเดิมจึงทำให้ทำงานหนักถึง 2 เท่า ดังนั้น นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ แสดงความห่วงใยด้วยการทำข้าวกล่อง 400 กล่องหมอบให้บุคลากรทางการแพทย์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้คณะแพทย์ในการทำงานเฝ้าดูแลผู้ป่วยในยามเข้าเวรเวลาค่ำคืน


ภาพ/ข่าว  สมชาย โคตล่ามแขก ผู้สื่อข่าวพัทยาจังหวัดชลยุรี

ชัยภูมิ - นายกฯธี เชิงรุก ฟัง-แก้ไข-พัฒนา ส่งเครื่องจักรเคลียร์ทางน้ำพร้อมรับแผนปรับระบบผังเมืองน่าอยู่

22 ก.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่นายธีวรา วิตนากร นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ ได้ชนะการเลือกตั้งมานั่งเก้าอี้บริหารงานในตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ คนใหม่ได้เร่งประชุมวางแนวทางนโยบายการบริหารงาน เร่งด่วนเช่น การปรับปรุงซ่อมแซมและพัฒนาระบบผังเมือง การสาธารณสุขเรื่องความสะอาดในชุมชนเพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมือง ระบบถนน-คูคลองหรือทางน้ำ และการบริหารงานในด้านต่าง ๆ ตามลำดับ เพื่อรับฟังหาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนชาวเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ตามที่ได้รับปากและสัญญาไว้ ทั้ง 25 ชุมชน

ขณะที่นายธีวรา วิตนากร นายกเทศมนตรีเมืองชัยภูมิ ได้มีการสั่งการให้ทาง จนท.กองช่างเทศบาลเมืองชัยภูมิ ออกดำเนินการตามนโยบายสร้างพื้นฐานมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ตามแหล่งน้ำห้วย-หนอง-คลอง-บึง หรือทางน้ำที่ไหลผ่าน ภายในชุมชนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนนี้โดยได้นำ จนท.รถและเครื่องจักร ลงเคลียร์และกำจัดพวกวัชพืช ขยะ ถุงพลาสติก กิ่งไม้ท่อนไม้ที่ เป็นสาเหตุทำให้มีการ กีดขวางทางระบายน้ำภายในเขตเทศบาลเมือง ทั้งยังเร่งนำรถดูดดินโคลนขนาดใหญ่ ออกปฏิบัติงาน ตามท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ

โดยในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลเมืองชัยภูมิ ได้ดำเนินการในเบื้องต้นจนแล้วเสร็จในพื้นที่ห้วยลำปะทาว ชุมชนราษฎร์เจริญสุข ห้วยดินแดง ฝั่งตะวันออก สะพานแยกโรงต้ม คลองสิงห์ทอง ตะวันตกวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยภูมิ บริเวณคลองคูขาด หรือคลองห้วยเสวน้อย ชุมชนเมืองเก่า ลำห้วยชีลอง ฝั่งทิศตะวันออกถึงสามแยกหนองระเริง ลำห้วยเสว ช่วงที่ 5 ฝั่งทิศเหนือสะพานบายพาส-ผ่านชุมชุนหนองสังข์-สะพานเมืองเก่า สองฝั่งถนนสายชุมชนกุดแคน-โนนสมอ ห้วยชีลอง หลังบขส.2ถนนชัยภูมิ-ตาดโตน 

ซึ่งขณะนี้เพื่อเป็นการรับเรื่องร้องทุกข์ช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนโดยเร่งด่วนให้ทันโลกโซเชียล ทางเทศบาลเมืองชัยภูมิ ได้เปิดเพจ Facebook ชื่อ เทศบาลเมืองชัยภูมิ หรือ เพจ Facebook ธีวรา วิตนากร เพื่อไว้เป็นช่องทางการสื่อสารการ ประชาสัมพันธ์ ในเรื่องต่าง ๆ ให้เข้าถึงประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิทั้ง 25 ชุมชนให้เร็วที่สุด ซึ่งหากประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ท่านใดได้รับเรื่องเดือดร้อน ไม่ได้รับความสะดวก ทั้งพบเห็นปัญหาที่ต้องการให้แก้ไข และอยากเสนอแนวทางแก้ไข ก็สามารถแจ้งข้อความหรือ Comment เรื่องร้องเรียนมาได้ตลอด และทางเทศบาลเมืองชัยภูมิ จะได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาปรับปรุงแก้ไขตามลำดับให้ครบทุกเรื่องอีกด้วยต่อไป

กรุงเทพฯ - กองทัพบก นำเครื่องบินลำเลียงแบบ 295 มาเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด19 ที่อยู่ห่างไกลทั่วประเทศ

พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้นำขีดความสามารถและทรัพยากรที่กองทัพบกมี มาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 สั่งการเพิ่มเติมให้นำอากาศยานของกองทัพบก คือ “เครื่องบินลำเลียงแบบ 295” มาเป็นยานพาหนะในการเคลื่อนย้าย ส่งผู้ป่วยไปยังพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ

ล่าสุดในวันนี้ ทีมลำเลียงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทางอากาศกองทัพบก จากกรมการขนส่งทหารบก พร้อมด้วยแพทย์เวชศาสตร์การบินจากกรมแพทย์ทหารบก ได้นำ "เครื่องบินลำเลียงแบบ 295" ที่ดัดแปลงเป็นยานพาหนะส่งป่วยขึ้นบินทดสอบระบบ และซักซ้อมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายตั้งแต่การรับและนำผู้ป่วยขึ้นเครื่องอากาศยานและกระบวนการบริหารจัดการผู้ป่วยมีความพร้อมรองรับภารกิจ

ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีความประสงค์จะกลับไปรักษายังภูมิลำเนาสามารถ ประสานไปยังศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก (กทม.) โทร. 02-270-5685-9 กองทัพบก , ยุทโธปกรณ์ , ทหาร เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top