Saturday, 17 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

“คุณสมบัติ อนันตรัมพร” ประธานบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ค ปีที่ 9 ชิงถ้วยพระราชทาน และเงินรางวัลรวมกว่า 400,000 บาท

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธาน บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดงาน Cabling & Networking Contest #9 (การแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ค ปีที่ 9) รอบคัดเลือกกรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการแข่งขันมาในรูปแบบ Fully Online ผ่านระบบ Zoom

แบ่งเป็นสัมมนาช่วงเช้า โดยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนิสิต นักศึกษากว่า 950 คน และการแข่งขันช่วงบ่ายที่จัดส่งอุปกรณ์ไปถึงบ้านหรือมหาวิทยาลัย เพื่อทำการแข่งขันออนไลน์พร้อมกันกว่า 40 คน

เพื่อชิงถ้วยพระราชทาน และชิงเงินรางวัลรวมกว่า 400,000 บาท

???? LIVE จากสนง.ใหญ่ อินเตอร์ลิ้งค์ กรุงเทพฯ

‘วัชระ’ บริจาคเงิน 4 องค์กร พร้อมเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาสมทบเป็นทุนสู้โควิด-19 ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

(11 ส.ค.64) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ได้บริจาคเงินจากกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาที่ตนได้รับเดือนละ 12,000 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันบาทถ้วน) เป็นเวลา 4 เดือน รวมเป็นเงิน 48,000 บาท (สี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน) เพื่อใช้สำหรับจัดซื้อวัคซีนหรือค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด- 19 ให้กับองค์กร 4 แห่งคือ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มูลนิธิรามาธิบดี มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ฯ และศิริราชมูลนิธิ(ศิริราชสู้ภัยโควิด-19) ในการนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อันเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า

นายวัชระ กล่าวว่า รู้สึกเข้าใจถึงความทุกข์ยากลำบากของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นผู้เสียสละด่านหน้าเสี่ยงชีวิตในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จึงขอส่งกำลังใจมายังบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนให้มีพลังในการปฎิบัติหน้าที่ต่อไป และขอเชิญชวนให้นักการเมือง รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์หรือปัจจัยต่าง ๆ สมทบด้วย เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.64 นายวัชระ ได้ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความจำนงบริจาคเงินเดือนของตนเองจากกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เป็นเวลา 3 เดือน เดือนละ 12,000 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันบาทถ้วน)รวมเป็นเงิน 36,000 บาท (สามหมื่นหกพันบาทถ้วน) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2564  สมทบทุนให้รัฐบาลเป็นค่าจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ปกป้องชีวิตประชาชนให้ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

ร.15 พัน.1 ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ

พ.อ.ธนพล นุ้ยสุข ผบ.ร.15 พัน.1 จัดกำลังพลลงพื้นที่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ของเกษตรกรชาวสวนมังคุดในพื้นที่ ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่  โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางในพื้นที่ ตามนโยบายของกองทัพบกที่ห่วงใยพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (Covid-19) และยังส่งผลให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยให้หน่วยทหารเข้าช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มศักยภาพทุกรูปแบบ 

ทั้งนี้หน่วยได้รับซื้อมังคุด จำนวน 1 ตัน มาแจกจ่ายให้กับกำลังพลภายในหน่วย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และนำไปมอบเป็นขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่/บุคลากรทางการแพทย์ รพ.คลองท่อม เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่ต่อไป


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการจัดการพลังงานในองค์กรด้วยระบบดิจิทัล (Digital Platform) ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting

พล.ต.ต.ญาณพงศ์  โสมาภา ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 64 เวลา 15.00 น. ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.สมชาย  พัชรอินโต ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุงและคณะจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการจัดการพลังงานในองค์กรด้วยระบบดิจิทัล (Digital Platform) ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting โดยมี นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นผู้ลงนาม และมีนายชาติชาย ภุมรินทร์ รองผู้ว่าการธุรกิจและการตลาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นพยาน

สำหรับโครงการจัดการพลังงานในองค์กรด้วยระบบดิจิทัล (Digital Platform)เป็นโครงการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน รวมถึงการเสนอแนะแนวทางในการจัดการพลังงาน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ฉะเชิงเทรา - เปิดบรรยากาศ Bubble and seal โรงพยาบาลสนามภายในโรงงานไทยแอร์โรว์

จากการที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรามีนโยบายโครงการตำบลเข้มแข็ง เพื่อเอ็กซเรย์ทุกตำบล หากมีผู้ติดเชื้อต้องรีบรักษา และผู้เสี่ยงสูงต้องมีสถานที่กักตัว และตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชนในพื้นที่

ทั้งนี้ วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผวจ.ฉะเชิงเทรา ได้มอบหมายให้ นายไพโรจน์ ปลื้มจันทร์ ปลัดอำเภอบางคล้า พร้อมด้วย นายวันชัย เกาะสูงเนิน อุตสาหกรรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงพื้นที่ดูโรงงานไทยแอร์โรว์ ซึ่งถูกสั่งปิดโรงงานเป็นเวลา 14 วัน หลังพบว่าพนักงงานติดเชื้อกว่า 700 คน  เมื่อปลายเดือน กค. ที่ผ่านมา และทางโรงงานฯ ได้ทำแผนเสนอขอเปิดโรงงานฯ เมื่อวันที่ 5 ส.ค 2564 เนื่องจากทางโรงงานฯ มีการทำ Bubble and seal พื้นที่เรียบร้อยแล้ว

โรงงานไทยแอร์โรว์เป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ที่เขต อ.บางคล้า เป็นโรงงานที่ตั้งอยู่คู่แปดริ้ว มานานกว่า 30 ปี มีพนักงานประมาณ 4,200 คน ถือเป็นโรงงานขนาดใหญ่ เจ้าของโรงงานเป็นชาวญี่ปุ่น ภายในบริเวณโรงงานมีอาคารถึง 4 โรง ตามแผนที่โรงงานฯ เสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อขอเปิดโรงงานนั้น ระบุว่าจะขอใช้พนักงานทำงานเพียง 1,050 คน ทางโรงงาน ได้ปรับพื้นที่ส่วนหนึ่งนำตู้คอนเทนเนอร์ มาจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามภายในโรงงาน มีเตียงสนามประมาณ 300 เตียง และกันพื้นที่เป็นอาคาร สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง กักตัว อย่างปลอดภัย และหากพบว่าครอบครัวติดเชื้อก็สามารถนำครอบครัวมาพักได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังทีมแพทย์และพยาบาลประจำโรงงาน ให้คำแนะนำในการรักษาตลอด 24 ชม. อีกด้วย

น.ส ณัฐธิดา วาศโสภา พยาบาลประจำโรงงานกล่าวว่า มีแพทย์และพยาบาลเวร 15 คนเข้าเวรตลอด 24 ชม. เพื่อดูแลผู้ป่วย และให้คำแนะนำจนกว่าจะรักษาหายเป็นปกติ ทางด้าน นพ.ธนู นพโสภณ หัวหน้ากลุ่มงานอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลพุทธโสธร ได้กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ได้มาตรฐานเป็นต้นแบบที่ดีให้โรงงานอื่น ได้อีกด้วย

ที่ผ่านมา โรงงานไทยแอร์โรว์ถูกสังคมมองด้วยความไม่มั่นใจ แต่เมื่อเข้ามาดูการจัดทำ Bubble and seal แล้ว ขอชื่นชม และน่าจะเป็นต้นแบบที่ดีให้โรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เมื่อพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แล้วต้องเตรียมความพร้อมในการจัดสร้างโรงพยาบาลสนาม และสถานที่กักตัวที่ได้มาตรฐานแบบไทยแอร์โรว์ วันนี้ชาวแปดริ้ว ทุกคนจับตามองคลัสเตอร์โรงงานต่าง ๆ เนื่องจากจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม และศูนย์อุตสาหกรรมถึง 4 แห่ง มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ประมาณ 2,000 แห่ง จำนวนผู้ติดเชื้อหลัก ๆ มาจากคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรม

นโยบายของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้วางกรอบให้โรงงานอุตสาหกรรมจัดทำแผน 4 แผน คือ แผนคน คือให้ความรู้พนักงานในการป้องกันตัวเอง แผนองค์กร ปรับสภาพโรงงานให้เหมาะสม รักษาระยะห่าง มีเจล แอลกอฮอล์ และที่วัดอุณหภูมิ แผนการขนย้ายพนักงาน ต้องชัดเจนว่า ระหว่างที่ทำงานถึงบ้านพัก ต้องปลอดภัย และเมื่อพบผู้ติดเชื้อ ต้องมีแผนเผชิญเหตุ โดยเฉพาะการทำ Bubble and seal เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจให้ชุมชนใกล้เคียงอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ผู้สื่อข่าวภูมิภาคฉะเชิงเทรา

จันทบุรี - ประชุมระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการในการรองรับผลผลิตทางการเกษตร ป้องกันแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ

วันนี้ ( 10 ส.ค.64 ) ที่ห้องประชุม 4 ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานการประชุม ระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการในการรองรับผลผลิตทางการเกษตร ป้องกันแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดจันทบุรีเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนมาร่วมแสดงความคิดเห็นตามข้อเสนอของ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.จังหวัดจันทบุรี เนื่องจากจังหวัดจันทบุรีเป็นแหล่งผลิตผลไม้เขตร้อนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศสร้างมูลค่าและรายได้แก่ประชาชนจำนวนมาก

การผลิตผลไม้คุณภาพของเกษตรกรจังหวัดจันทบุรีเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ แต่บางครั้งในช่วงฤดูการผลิตผลไม้มีมากว่าความต้องการของตลาด และข้อจำกัดในการขนส่งสินค้า รวมทั้งกลไกการตลาดเสรี จึงอาจส่งผลให้ผลไม้ราคาตกต่ำ ทางจังหวัดจึงได้มีแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารตัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น จึงได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ ก่อนสรุปเป็นแผนเพื่อป้องกันแก้ไขผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้เกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพ 

  


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี

พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

แถลงจับกุม 2 คดี!! ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย และ ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม., พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง, พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร, พ.ต.ท.เอกลักษณ์ นุ่นปาน สว.ตม.จว.ระนอง และ พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังฝ่ายความมั่นคง ร่วมกันจับกุม นายมงคล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย และนายสุขสันต์ อายุ 25 ปี สัญชาติไทย ทำหน้าที่ขับรถนำคอยดูต้นทาง เพื่อนำพาชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม โดยสามารถจับกุมได้ที่ จุดตรวจ จุดสกัด ป้องกันคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บริเวณหน้าที่พักสายตรวจบางมาศ ม.12 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ความผิดฐาน “ร่วมกันให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และต่อมาได้จับกุมชาวเมียนมา ทั้งหมด 22 คน ที่ถูกนำไปทิ้งไว้อยู่ภายในบริเวณสวนยาง ม.17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะจว.ชุมพร ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้ง 22 คน ทราบว่า ทั้งหมดเดินทางมาจากภูมิลำเนาต่าง ๆ ของประเทศเมียนมา มาพักรออยู่ที่บ้านใน จ.เกาะสอง เป็นเวลา 15 วัน และมาพักหมู่บ้านหมาราง (ตรงข้าม อ.กระบุรี) อีกเวลา 2 วัน จึงได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยโดยเรือหางยาวมาตามแม่น้ำกระบุรี ขึ้นฝั่งบริเวณ ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง จากนั้นได้มีรถยนต์มารับ กระทั่งเมื่อพบจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ คนขับได้กลับรถและนำพวกตนมาทิ้งไว้ภายในสวนยางที่เกิดเหตุ ซึ่งทั้งหมดต้องการไปทำงานที่จังหวัดตรัง และจังหวัดปัตตานี โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละประมาณ 18,000 บาท

จากการสอบปากคำ นายมงคล และนายสุขสันต์ ให้การยอมรับว่า ทำหน้าที่ขับรถยนต์เพื่อคอยดูต้นทาง อำนวยความสะดวกให้กับรถยนต์อีกคันที่ใช้ขนชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองมา โดยได้รับการว่าจ้างจากนายกุ้ง ไม่ทราบชื่อสกุลจริง เป็นเงิน 15,000 บาท โดยรถอีกคันจะมีนายแบงค์ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถ ขนชาวเมียนมาหลบหนีมาจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ใช้เส้นทางบ้านรังแตน ต.จปร. อ.กระบุรี จว.ระนอง มาทาง ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร โดยนายมงคล ทำหน้าที่ขับรถนำ ส่วนนายสุขสันต์ เป็นคนนั่งข้าง หากเจอจุดตรวจจะใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับและสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เพิ่มเติม 2 คน คือ นายเสรี (กุ้ง) อายุ 39 ปี สัญชาติไทย ผู้ว่าจ้าง และนายทวิช (แบงค์) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย คนขับรถขนชาวเมียนมา จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำให้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีนี้ได้ครบทั้ง 4 คน แล้ว

2. ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521, ฉก.ร.25, ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามทราบว่านายสุทัศน์ ที่อยู่ 15 ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง มีพฤติการณ์ลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย จึงได้เฝ้าสังเกตพฤติการณ์จนทราบว่า นายสุทัศน์จะทำการลักลอบขนส่งแรงงานต่างด้าวจาก อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร ต่อมา เจ้าหน้าที่พบเห็นรถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง (รถเป้าหมาย) ขับขี่มาจาก อ.กระบุรี-มุ่งหน้ามาทาง อ.ละอุ่น เลียวซ้ายแยกพรุตาโรย ถนนสายบ้านบางแก้ว - เข้าบ้านในโหน ม.1 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงติดตามสกัดจับจากบริเวณถนนบ้านในโหน - มุ่งหน้าบ้านในหุบ จว.ชุมพร ถึงบริเวณถนนลูกรังในสวนยางพาราก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ม.4 ต.เขาค่าย อ.สวี จว.ชุมพร พบรถยนต์คันดังกล่าวจอดทิ้งไว้และผู้ขับขี่ได้หลบหนีไป

ตรวจสอบในรถยนต์คันดังกล่าวพบ นายจอนาย อายุ 25 ปี แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายสัญชาติเมียนมา และพวกรวม 33 คน จากการสอบถามทราบว่าชาวเมียนมาส่วนใหญ่เดินทางมาจาก จว.ย่างกุ้ง จว.มอละแมง และ จว.ทวาย จุดหมายปลายทางต้องการไปหาทำงานในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา จว.สุราษฎร์ธานี จว.ปัตตานี และที่ จว.นครศรีธรรมราช โดยคนต่างด้าวได้ติดต่อกับญาติ และเพื่อนที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย และนายหน้าขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทย โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 15,000 – 17,000 บาท/คน จากนั้นนายหน้าได้นำพาเดินทางมาพักรออยู่ที่บ้านพักใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่บ้านเพาสุข อ.เขม่าจี จว.เกาะสอง และได้ลักลอบนำพาเข้ามาในพื้นที่ จว.ระนอง 

จากการสืบสวนขยายผลการจับกุม มีพยานหลักฐานยืนยันชี้ชัดว่านายสุทัศน์ เป็นผู้ขับขี่ รถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง จึงติดตามจับกุมตัวนายสุทัศน์ ได้ที่บ้าน ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และสืบสวนข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่านายเสรีหรือกุ้ง ได้รับการติดต่อว่าจ้างจาก นายบ่าวเกียจ/โกโซ่ นายหน้าชาวเมียนมา ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองจาก จว.ระนอง ไปส่งปลายทาง นายเสรีหรือกุ้ง จึงว่าจ้างให้ นายสุทัศน์ จัดหารถยนต์มารับตัวแรงงานต่างด้าว จำนวน 33 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ข้างปั้มน้ำมันร้าง บ้านปากสวะ ม.7 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เพื่อไปส่งให้นายชัยญะ หรือม่อน รอรับช่วงต่ออยู่ที่ จว.ชุมพร และว่าจ้างให้นายวัฒชัย ขับขี่รถจักรยานยนต์ นำทางดูเส้นทางว่ามีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตามเส้นทางหรือไม่

จากนั้นนายเสรีหรือกุ้ง ขับรถยนต์กระบะ ทะเบียนชุมพร นำทางนายสุทัศน์ ที่บรรทุกแรงงานต่างด้าว มุ่งหน้าไปทาง อ.ละอุ่น จว.ระนอง ใช้เส้นทางหลักถนนเพชรเกษม และเลี้ยวซ้ายแยกพรุตาโรย ใช้เส้นทางรองถนนสายบ้านบางแก้ว – บ้านในโหน – ผ่านโรงเรียนบ้านปากแพรก มุ่งหน้าบ้าน ในหุบ จว.ชุมพร เมื่อถึงถนนลูกรังก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ไล่สกัดจับได้พร้อมแรงงาน ต่างด้าว จำนวน 33 คน

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว จว.ระนอง ขออนุมัติ ศาลจังหวัดระนองเพื่อออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. นายเสรีหรือกุ้ง ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 72/2564 ลง 8 ก.ค.64

2. นายวัฒชัย ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 73/2564 ลง 8 ก.ค.64

3. นายชัยญะหรือม่อน ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 74/2564 ลง 8 ก.ค.64   

โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในข้อหา “ร่วมช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวซึ่ง  ตนรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม, ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ” นำส่ง พงส.สภ.บางแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 25 คน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน ผกก.ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

 1. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบพบว่ามีเรือหางยางขับจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามาจอดบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขง จึงตรวจสอบพบนายปั้น ไม่มีนามสกุล สัญชาติลาว เป็นคนขับ จึงตรวจสอบเอกสารประจำตัวและนายปั้น ได้แสดงเอกสารเป็นคนประจำพาหนะ (ลูกเรือ) เรือสัญชาติไทย ซึ่งผ่านการเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อ 10 ก.ค.64  แต่หลังจากนั้นนายปั้น ได้ขับเรือกาบของกลางไปยัง สปป.ลาว และกลับเข้ามา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมตัวนายปั้น พร้อมยึดของกลางเรือกาบเหล็กสีฟ้า พร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 1 ลำ เป็นของกลางส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า “เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรไม่ยื่นแบบรายการที่กำหนดในกฎกระทรวงและไม่ผ่านการอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และฝ่าฝืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฯ เหตุเกิด ริมตลิ่งแม่น้ำโขง บ้านป่าสัก หางเวียง ต.เวียง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย

 2. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายทึน พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 8 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่นายทึน กับพวกไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวทั้ง 8 ราย โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

3. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายพง พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัวแต่คนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

4. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบ คนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย คือ น.ส.สุริยาวงสา, 2.น.ส.ออละวัน, น.ส.คัดสะพอน และ น.ส.วงแสง จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวคนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ทราบว่า รายที่ 1 – 3 อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จึงได้ทำการจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 "  และกล่าวหา น.ส.วงแสง ว่า “ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558" นำส่ง สภ.เชียงของ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 5. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบเมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายคำเล็ก พร้อมพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม

8 ราย จึงได้ทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่คนต่างด้าวดังกล่าว ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า  สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบคนต่างด้าว กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และกฎหมายอื่น ๆ ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำ ตม.จว.แนวชายแดน ให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและประเทศเพื่อนบ้าน ดำรงการสื่อสาร แก้ปัญหาร่วมกันโดยคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนในห้วงสถานการณ์โควิด รวมทั้ง หากพบการกระทำผิดกฎหมาย การก่อเหตุอันตรายใด ๆ อันกระทบต่อความสงบสุข ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ  กรุณาแจ้งเบาะแสมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120  หรือหมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดน่าน 'จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมอริเชียส' ตามหมายจับศาล ข้อหา “ร่วมกันปลอม และ ใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการเดินทางระหว่างประเทศ และร่วมกันฉ้อโกง”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ปกกิจ คล้ายเพชร ผกก.ตม.จว.น่าน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.น่าน ได้ร่วมกับ ตม.จว.เชียงราย, กก.สส.ภ.จว.น่าน, กก.สส.ปป.บก.ตม.2 และ สภ.เมืองเชียงราย ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายโจเซฟ อายุ 35 ปี สัญชาติมอริเชียส หรือ นายแพทริก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 536/2563 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม” (ปลอม VISA ของประเทศสหรัฐอเมริกา) และหมายจับศาลแขวงเชียงราย ที่ 53/2564 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” สถานที่จับกุม ลานจอดรถ โรงแรมแห่งหนึ่ง ถนนมหายศ ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน 

พฤติการณ์ นายโจเชฟ ได้ร่วมกับ น.ส.ธนัสินี ภรรยาชาวไทย เปิดโรงเรียนฝึกหัดฟุตบอล ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยใช้ชื่อ “เจ.พี พรีเมียร์” เพื่อสอนเด็กชนเผ่าที่ด้อยโอกาส โดยอ้างว่า จะให้โอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมานายโจเชฟ ได้ชักชวนให้ผู้ปกครองเด็กที่มาเรียนฟุตบอลเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยเรียกค่าใช้จ่าย  หัวละ 700,000-900,000 บาท ซึ่งมีเด็กหลายคนเดินทางไปแล้ว ต่อมาช่วงปลายปี 2563  ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ได้จับกุมผู้ต้องหาคนไทยจำนวน 2 คน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางที่มีแผ่นวีซ่าปลอมของประเทศสหรัฐอเมริกา นำส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินคดี โดยผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ให้การซัดทอดนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ว่าเป็นผู้รับทำวีซ่าให้ และ พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ยื่นคำร้อง และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้ออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในเวลาต่อมา  นอกจากนั้นยังมีผู้ปกครองบางราย ไม่เชื่อมั่น และขอเงินคืน แต่นายโจเชฟ และ น.ส.ธนัสินี ไม่คืนให้ จึงได้ไปร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองเชียงราย และศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” อีกคดีหนึ่ง ในส่วนของน.ส.ธนัสินี เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม5  และ ตม.จว.เชียงราย  ได้ทำการจับกุมตัวแล้วเมื่อวันที่ 17 ก.ย.63 ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 535/2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม”

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘EA’ ร่วมกับ ‘บลูเทคซิตี้’ และมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มอบชุดตรวจโควิด-19 Antigen Test Kit 1,500 ชุด ให้ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อใช้ในภารกิจโควิด-19

วันนี้ 10 สิงหาคม 2564 ที่ศาลากลาง จังหวัดฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายสรายุทธ แก้วกุลปรีชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา รับมอบชุดตรวจโควิด-19  Antigen Test Kit  หรือ ATK  จำนวน 1,500 ชุด  รวมมูลค่า 300,000 บาท จากนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์  ในฐานะ รองประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้  ในฐานะประธานที่ปรึกษามูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ เพื่อให้จังวัดฉะเชิงเทราใช้ในภารกิจโควิด-19 ในพื้นที่

นายสมโภชน์ อาหุนัย  กล่าวว่า EA ร่วมกับบลูเทคซิตี้ และมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม และสนับสนุนภารกิจโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยสนับสนุนชุดตรวจโควิด-19  Antigen Test Kit หรือ ATK จำนวน 1,500 ชุด  ซึ่งเป็นชุดตรวจที่สามารถทราบผลภายใน 10 นาที และได้รับอนุญาตจาก อย.แล้ว  ทั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้การควบคุมโรคระบาดเป็นไปโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งตรวจเชื้อได้มากและเร็วเท่าไร ยิ่งลดการเสี่ยงแพร่กระจายของเชื้อได้มากขึ้น


ภาพ/ข่าว  ผู้สื่อข่าวภูมิภาคฉะเชิงเทรา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top