Friday, 16 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

'สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก' (สกพอ.) รวมพลังกลุ่ม 'สตรี อีอีซี' ฉะเชิงเทรา ร่วมแรงร่วมใจผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19

วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการ สกพอ. ร่วมกับ เครือข่าย สตรีอีอีซี ฉะเชิงเทรา และ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จังหวัดฉะเชิงเทรา (ทสม.) มอบถุงยังชีพจำนวน 200 ถุง เพื่อมอบให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในพื้นที่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอคลองเขื่อน อำเภอราชสาส์น อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอสนามชัยเขต และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งกำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

โดยภายในถุงประกอบด้วยสิ่งของที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง ยาสามัญ และเมล็ดพันธ์ ในการกิจกรรมครั้งนี้ได้มีผู้ประกอบการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมบริจาคน้ำดื่มจำนวน 2,400 ขวด ร่วมส่งกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่อีอีซี ได้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยมี เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี เครือข่าย ทสม. ในพื้นที่ เป็นผู้นำไปมอบให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน' | Knowledge Times EP.13

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
 ???? ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน'

สัญญาณเตือนคนรวยในจีนจาก “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน เกิดขึ้นเมื่อผู้นำจีนเตรียม “เบรกรายได้ที่มากเกินไปของคนรวยในประเทศ” เพื่อคอยเตือนชนชั้นสูงของประเทศเหล่านี้ว่า พวกคุณกำลังสร้างความไม่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม “สี จิ้นผิง” กล่าวในการประชุมคณะกรรมการการเงินและเศรษฐกิจกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า รัฐบาลจะสร้างระบบ เพื่อกระจายความมั่งคั่ง จากคนร่ำรวยในประเทศไปสู่ทุกชนชั้น เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม โดยรัฐบาลจำเป็นต้องควบคุมรายได้ที่สูงเกินไปอย่างสมเหตุสมผล และกระตุ้นให้ผู้ที่มีรายได้สูงและบริษัทต่าง ๆ รู้จักตอบแทนสังคมให้มากขึ้น

เรื่องนี้ถูกพูดถึงภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “มั่งคั่งร่วมกัน” ของจีน หลังจากมีรายงานความไม่พอใจภายในคณะกรรมการกลางของพรรคฯ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีหน้าใหม่ ในหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนถึงการศึกษา

ทันทีที่แนวนโยบายดังกล่าวถูกพูดถึง บริษัทเกมและโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent ที่มีการรายงานผลกำไรไตรมาสสองเพิ่มขึ้น ได้กล่าวว่า จะขยายส่วนงานคืนกำไรให้สังคมมากขึ้น โดย “โพนี หม่า” ผู้บริหารระดับสูงของ Tencent กล่าวว่า “บริษัทอยู่ในธุรกิจเพื่อช่วยเหลือสังคมในวงกว้าง ซึ่งเราจะปรับใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของบริษัทในการช่วยธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง บริการสาธารณะ และองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น”

ทั้งนี้หากย้อนไปในเดือน พฤศจิกายน 2020 หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของจีน ที่ดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาดธุรกิจพยายามขัดขวางไม่ให้ บริษัท เทคโนโลยี Ant ซึ่งถือหุ้น 33% โดย Alibaba ได้ทำธุรกิจในเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง จาก “แจ็ก หม่า” หนึ่งในนักธุรกิจจีนที่ร่ำรวยอย่างมากรายหนึ่งของโลก และมีรายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะเข้าไปควบคุมเหล่าผู้นำบริษัทที่เป็นมหาเศรษฐีเกือบทุกสัปดาห์ เพราะธุรกิจเหล่านี้ กำลังนำวิถีทางแห่งจีนออกนอกกรอบ และนำความคิดทุนนิยมแบบตะวันตกเข้ามาครอบงำคนในประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเอกชนและความมั่งคั่งของประเทศจีน ถือว่าเติบโตไว โดยในปี 2019 จำนวนมหาเศรษฐีชาวจีนสามารถแซงหน้าชาวอเมริกันได้เป็นครั้งแรก 

ตามรายงานของ Hurun Global Rich List 2021 ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ด้วยการเป็นประเทศแรกของโลกที่มีมหาเศรษฐีพันล้านมากกว่า 1,000 คน โดยในปี 2020 จีนมีมหาเศรษฐีพันล้าน 1,058 คน ขณะที่สหรัฐฯ มี 696 คน และจากจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทั้งหมด 610 คนจากทั่วโลกนั้นมาจากประเทศจีนถึง 318 คน และจำนวนเศรษฐีเงินล้านในจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 92.7% คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 10.17 ล้านคนภายในปี 2025

จากตัวเลขอาจจะดูเป็นเรื่องดี แต่สำหรับผู้นำจีนแล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้นถึงการสะท้อนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน หรือ คนชนบทและคนเมืองในจีนที่มากขึ้น จนเป็นชนวนเหตให้ผู้นำจีนกล่าวว่า "เป็นสิ่งที่ต้องการแก้ไข" เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อเกิดรายได้ เกิดความร่ำรวย เกิดเศรษฐี ความฟุ้งเฟ้อและความอยากได้อยากมี ที่เป็นสิ่งสวนทางกับความอดออมตามหลักดำเนินชีวิตของวิถีชาวจีนก็จะค่อย ๆ หายไป

อย่างไรก็ดี สื่อไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า “สี จิ้นผิง” จะบรรลุเป้าหมาย “มั่งคั่งร่วมกัน” นี้ด้วยวิธีการเช่นไร เพียงแต่ระบุว่ารัฐบาล อาจนำระบบภาษี หรือวิธีอื่นมาใช้เพื่อกระจายรายได้ และความมั่งคั่งให้เกิดแก่ทุกชนชั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องตามติดกันต่อไป

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสภากาชาดไทย จัดพิธีลงนามความร่วมมือ “เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)” สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชนในภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ร่วมกับสภากาชาดไทย จากการทำกิจกรรมตามโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อจัดซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) สนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง

พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล / โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยข้อมูลว่า ในวันพุธ ที่ 25 ส.ค. 64 เวลา 13.20 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.อ.สุบิน  ชิวปรีชา กรมวังผู้ใหญ่ในพระองค์ฯ พร้อมด้วย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย, พล.ต.อ.ปิยะ  อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นางสุทธารักษ์  ปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย, พล.ต.ท.ภัคพงศ์  พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ระหว่างสภากาชาดไทย กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ

ซึ่งการลงนามความร่วมมือ ดังกล่าว เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภากาชาดไทยที่จัดหารายได้เพื่อซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต กู้ชีวิตประชาชนที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ซึ่งนำรายได้จากการจัดกิจกรรมโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อบริจาคให้กับกระทรวงสาธารณสุข ไว้ใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,100 เครื่อง และมอบให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง เพื่อติดตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแล

โดยได้มีการจัดแบ่งจุดต่าง ๆ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ ดังนี้

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จำนวน 27 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 18 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 จำนวน 26 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 15 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 จำนวน 19 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ  8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 11 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  5 จำนวน 54 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 45 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 จำนวน 38 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 30 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  7 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  8 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จำนวน  23  จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 10 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 13 จุด

‘นฤมล’ ไฟเขียว ขับเคลื่อน 2 อุตสากรรมฯ “หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม-การบินและโลจิสติกส์” เร่งผลิตแรงงานป้อนเป้าหมาย S-Curve

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายเอสเคิร์ฟ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบ Video Conference  เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และพิจารณาแผนพัฒนาแรงงานและประสานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (พ.ศ.2565 – 2570) ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์  โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน / นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน / นางสาวจิราภรณ์  ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เข้าร่วมประชุม และนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมสมชาติ เลขาลาวัณย์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ของ 2 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้ผ่านการ Workshops สำรวจความต้องการ และประชุมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว อุตสาหกรรมแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ผลิตหุ่นยนต์ กลุ่มผู้ใช้หุ่นยนต์ กลุ่มนักบูรณาการระบบ และกลุ่มผู้สร้างเครื่องจักรกลอัตโนมัติ  ส่วนอุตสาหกรรมที่สอง ได้แก่ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ประกอบด้วย ด้านบริการลูกค้า ด้านการวิเคราะห์และวางแผน ด้านคลังสินค้าและการกระจายสินค้า ด้านการจัดซื้อและจัดหา ด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ และด้านการขนส่ง โดยจะได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่ดำเนินการด้าน New Skills / Up Skills / Re Skills ตลอดจนหน่วยฝึกอบรม เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อแรงงานได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบกับแผนพัฒนาแรงงานฯ ดังกล่าว และได้เสนอให้นำข้อสังเกตบางประการจากคณะอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงข้อมูล เพื่อให้มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินงานตามแผนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการทบทวนข้อมูลจำนวนความต้องการแรงงานในแต่ละปีจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานต่อไป

“แม้ว่าสถานการณ์ของโควิด-19 จะยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่แรงงานก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และมีโอกาสในการประกอบอาชีพได้ทันทีตามความต้องการของตลาดแรงงาน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

สืบ ตม.2 รวบหนุ่มจีน! รับจ้างอุ้มบุญ พร้อมปลอมเอกสารพาเด็กออกนอกประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ        

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 , พ.ต.ท.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าว สืบ ตม.2 ร่วมกับ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในระดับสำนักตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติไม่ให้ลักลอบกระทำความผิดในราชอาณาจักร

นายเอ สัญชาติจีน แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย ด.ช.บี (เกิดในประเทศไทย) อายุประมาณ 1 ปี 2 เดือน เพื่อขอรับการตรวจออกนอกราชอาณาจักร ไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยสายการบินไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MU542 เมื่อเจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ จึงประสานเจ้าหน้าที่ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ตรวจสอบและจับกุม ตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า” และนำส่ง พนังานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อดำเนินคดีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สืบสวน ตม.1 สนธิกำลังทลาย ‘แก๊งเจ๊หวาน’ ลักลอบขนคนลาวส่งชายแดน ปิดล้อมสกัดจับขบวนรถ รวบได้ทั้งคนขับ ผู้ร่วมขบวนการ พร้อมคนต่างด้าวรวม 34 ราย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม.  พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ศุภณัฏฐ์ เจริญเรืองสกุล รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชากรณีให้ติดตามขบวนการนำพาช่วยเหลือซ่อนเร้นบุคคลต่างด้าวให้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหรือให้ที่พักพิง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังลงพื้นที่หาข่าวทั้งจากสายลับ และโซเชียลมีเดีย พบกลุ่มแก๊งหนึ่งคือแก๊งเจ๊หวาน มีพฤติกรรมในการใช้รถบัสขนส่งขนาดใหญ่แบบไม่ประจำทาง ให้บริการกับกลุ่มบุคคลต่างด้าวต่างสัญชาติลาว โดยในการสำรองที่นั่ง จะมีการติดต่อชักชวนผ่าน Facebook โดยมีผู้ใช้ Facebook ที่ใช้ชื่อว่า“พักก่อน” ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับจองตั๋วและนัดหมายเวลาที่จะขึ้นรถกับคนต่างด้าว โดยระบุค่าใช้จ่ายกับบุคคลต่างด้าวรายละ 1700 บาทถึง 2200 บาท ในการไปรับคนต่างด้าวแต่ละคนตามจุดที่นัดหมาย โดยใช้ทั้งรถแท็กซี่ และรถตู้ ตระเวนรับบุคคลต่างด้าวทั่วกรุงเทพมหานคร และนำไปรวมกันไว้ในที่ลับตาคน เพื่อเตรียมจัดขึ้นรถทัวร์และลักลอบนำส่งบุคคลต่างด้าว กลับออกไปตามด่านพรมแดนต่าง ๆ จำนวน 4 จุดหมายปลายทาง คือ ด่านพรมแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม อุบลราชธานี และ หนองคาย  ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้ทีมสืบสวนใช้สายลับในการติดต่อสอบถาม และนัดหมายการเดินทาง จนทราบว่าขบวนรถจะออกเดินทางในวันใด พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 จึงได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ทั้งหมดเพื่อวางแผนประกอบกำลังในปฏิบัติการครั้งนี้ทันที

ในช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นวันปฏิบัติการ ได้มีรถตู้โดยสารไม่ประจำทาง หมายเลขทะเบียน นข 4xxx ปราจีนบุรี และ แท็กซี่สีเหลือง ทะเบียน ทส 3xxx กรุงเทพมหานคร เดินทางมารับสายลับตามที่ได้มีการนัดหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการติดตามดูพฤติกรรมของรถทั้งสองคันดังกล่าวไปห่าง ๆ พบว่าได้มีการทยอยแวะรับบุคคลต่างด้าวตามที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครอีกหลายจุด จนกระทั่งในช่วงสาย จึงได้ทราบว่า รถทั้งสองคันพาสายลับไปพักคอยที่บริเวณใกล้เคียงกับองค์การบริหารส่วนตำบลคลองข่อย มีลักษณะเป็นที่โล่ง มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ มีขอบเขตแนวที่ดินชัดเจน แต่ไม่มีรั้วหรือประตูกั้นสามารถสังเกตการณ์เข้าไปด้านในได้ง่าย ภายในเปิดเป็นอู่ซ่อมสีรถยนต์ มีการตั้งเต็นท์บังแดด และสุขาชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บุคคลต่างด้าวทั้งหมดนั่งพักคอย ผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเดินทางไปซุ่มรอตามจุดต่าง ๆ

โดยรอบบริเวณดังกล่าว เวลาประมาณ 12:00 น. มีรถโดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-2xxx กรุงเทพมหานครขับเข้ามาจอดในพื้นที่ และมีการเรียกคนต่างด้าวและขนสัมภาระขึ้นรถ ก่อนจะตั้งขบวนเดินทางออกจากจุดดังกล่าวในเวลา 12:40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจที่แฝงตัวสังเกตการณ์ในบริเวณใกล้เคียงจึงให้สัญญาณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ชุดจับกุม ในการติดตามเรียกรถหยุดเพื่อตรวจสอบ ในขณะเดียวกันกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เหลือเข้าตรวจสอบในพื้นที่พักคอยก่อนขึ้นรถ ผลการตรวจสอบทั้งบนรถทัวร์ รถตู้ รถแท็กซี่ และบริเวณจุดพักคอย พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาว 51 คน และคนไทย 5 คน ผลการสอบปากคำและตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น จำแนกได้ว่าในที่เกิดเหตุมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย 16 คน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด 13 คน และในจำนวนนี้ยังมีบุคคลต่างด้าวที่ทำงานให้กับอู่ซ่อมสีรถยนต์ดังกล่าว โดยไม่มีใบอนุญาตทำงานอีก 2 คน

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลต่างด้าวทั้งหมดทราบ และแจ้งข้อกล่าวหาให้กับคนไทยในที่เกิดเหตุอีก 5 คน คือนายตรี อายุ 35 ปี, นายทูน อายุ 37 ปี, นายชัย อายุ 50 ปี ทำหน้าที่พนักงานขับรถ, นายบอย อายุ 35 ปี ทำหน้าที่เก็บเงินและติดต่อประสานงาน และนายเก๋ อายุ 50 ปี เจ้าของอู่รถดังกล่าว จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาคนไทยทั้งหมดทราบในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการถูกจับกุม” พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา ให้แก่นายเก๋ฯ ทราบอีกส่วนหนึ่งว่า “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชัยพฤกษ์ ดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง ในส่วนของผู้ร่วมขบวนการอื่นๆ ทั้งชาวไทยและชาวลาว กก.สส.บก.ตม.1 จะได้ดำเนินการติดตามจับกุมต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507  ซ.สวนพลู  แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

สืบสวน ตม.1 รวบหนุ่มใหญ่มะกัน อดีตนักธุรกิจดาวรุ่ง เจ้าของฉายา “บิล เกตส์ แห่งวงการหนังโป๊ออนไลน์” ฐานฉ้อโกงเจ้าหนี้กว่า 70 ล้าน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม.  พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ศุภณัฏฐ์ เจริญเรืองสกุล รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย 

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้สืบทราบว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติอเมริกันคือนาย John อายุ 48 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ในคดีที่ บริษัท เซนทิริ จำกัด ได้ร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีกับ บริษัท อิเล็กทรอนิกส์ ทรานแซด เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งมีนาย John เป็นกรรมการ เนื่องจากบริษัทของนาย John ได้ว่าจ้างให้บริษัท เซนทิริ จำกัด ดำเนินการสร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการดักจับมัลแวร์ หรือสแปมต่าง ๆ ที่ส่งทางข้อความเครือข่ายโทรศัพท์ ในราคาว่าจ้างประมาณ 70 ล้านบาท แต่เมื่อทางบริษัท เซนทิริ จำกัด ผู้รับจ้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จและส่งมอบซอฟต์แวร์ ปรากฎว่าทางนาย John กลับอิดออดไม่ชำระค้าจ้าง จึงทำให้เกิดการฟ้องร้องเพื่อให้บังคับชำระหนี้ และบริษัท อิเล็กทรอนิกส์ ทรานแซด เซอร์วิสเซส จำกัด ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ชำระหนี้ตามฟ้อง แต่นาย John ได้โยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินของบริษัทมาไว้กับตน บริษัท เซนทิริ จำกัด ผู้เสียหายจึงมาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับนาย John อีกส่วนหนึ่ง จนกระทั่งสามารถยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลแขวงดุสิต ศาลออกหมายจับที่ 104/2564 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564

ต่อมาจากการแกะรอยเชิงลึก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้สืบทราบว่าบุคคลต่างด้าวตามหมายจับพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งในย่านสาทร จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่คอนโดมิเนียมดังกล่าวจนกระทั่งพบ นาย John เดินทางเข้ามาที่คอนโดมิเนียม มีตำหนิรูปพรรณตรงตามหมายจับ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขออนุญาตตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามหมาย พบว่านาย John มีสถานะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร โดยเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 20 ปี และในชั้นจับกุมนาย John ยอมรับว่าตนเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมในความผิดเดียวกันนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับให้ทราบในความผิดฐาน "ฉ้อโกงเจ้าหนี้" และได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบเบื้องตัน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

อนึ่ง นาย John นั้นเป็นถึงอดีตนักธุรกิจดาวรุ่งชื่อดัง ผู้บุกเบิกวงการสื่อลามกในโลกออนไลน์ ในช่วงยุค 90 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจดอทคอมเฟื่องฟู จนติด 1 ใน 50 ผู้บุกเบิกธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ต จากนิตยสารชื่อดัง โดยได้รับสมญานามจากสื่อแขนงต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในแวดวงธุรกิจว่า “บิล เกตส์ แห่งวงการหนังโป๊” แต่ด้วยโมเดลทางธุรกิจสื่อลามกที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้บุคคลอื่นเสียหาย ทำให้บริษัทของนาย John รวมทั้งตัวเขาเอง ตกเป็นจำเลยในการฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายหลายคดี มูลค่านับร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุ นาย John ทิ้งอดีตเบื้องหลังของตนและมาเริ่มต้นใหม่ที่ประเทศไทย

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507  ซ.สวนพลู  แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ชลบุรี - ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการมอบต้นกล้าผักสวนครัวจาก “สวนผักรักษ์สุข” ให้กำลังพล เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์เริ่มต้นตามแนวทางศาสตร์พระราชาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

วันที่ 24 ส.ค. 64 พล.ร.อ.สุทธินันท์  สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีมอบต้นกล้าผักสวนครัวจากผลผลิตของ “สวนผักรักษ์สุข” ให้กับ น.อ.กฤษฎา จิระไตรพร ผู้บังคับการกองสนับสนุน กองเรือยุทธการ เพื่อนำไปมอบให้กับกำลังพลกองเรือยุทธการ โดยมีคุณสุนันท์  สมานรักษ์ ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชากองเรือยุทธการ ร่วมในพิธี ณ สวนผักรักษ์สุข บ้านพักนายทหารผู้ใหญ่กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

กองเรือยุทธการได้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลของกองเรือยุทธการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากนโยบายผู้บัญชาการกองเรือยุทธการประจำปี งบประมาณ 2564 กำหนดให้มีการส่งเสริม สนับสนุนหน่วยขึ้นตรงกองเรือยุทธการ และ ครอบครัว ปลูกผักสวนครัว โดยได้น้อมนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือ “ศาสตร์พระราชา” ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนารถบพิตร รัชกาลที่ ๙ มาเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่กำลังพลกองเรือยุทธการ และได้มีแนวทางปฏิบัติ ให้หน่วยขึ้นตรงกองเรือยุทธการ พิจารณาใช้พื้นที่บริเวณรอบอาคารกองบัญชาการของหน่วยปลูกผักสวนครัว ประกอบกับใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางจัดการต่อผลผลิตเพื่อใช้เป็นอาหารในครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัว

ในการนี้ชมรมภริยากองเรือยุทธการ ได้น้อมนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ พัฒนาพื้นที่โดยนำ “โคก หนอง นา โมเดล” เป็นแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่ว่างบริเวณบ้านพักนายทหารผู้ใหญ่ กองเรือยุทธการ จัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ “สวนผักรักสุข” ตามแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2564 ปัจจุบัน พืช ผัก ผลผลิตเจริญงอกงาม สามารถจำหน่าย ทำให้เกิดรายได้ และนำมาแจกจ่ายให้แก่กำลังพลของกองเรือยุทธการได้อีกด้วย

การมอบต้นกล้าผักสวนครัวที่ปลูกใน “สวนผักรักษ์สุข” จำนวนกว่า 800 ต้น ประกอบด้วยฟ้าทะลายโจร , มะเขือ , พริก และโหระพา เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ครอบครัวที่มีความตั้งใจในการดำเนินกิจกรรมแต่ขาดปัจจัยการผลิต ได้มีปัจจัยต้นทุนของการผลิตเริ่มต้น ซึ่งจะทำให้กำลังพลและครอบครัวของกองเรือยุทธการ สามารถเริ่มต้นปลูกผักสวนครัว ในพื้นที่บริเวณบ้านพักตนเอง เพื่อใช้เป็นอาหารในครัวเรือน ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้อย่างดี เป็นจุดเริ่มต้นของการน้อมนำศาสตร์พระราชามาใช้อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืนต่อไป


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

เพชรบูรณ์ - โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายพ่อขุนผาเมือง (กองพลทหารม้าที่ 1) มอบพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ จำนวน 13 ครัวเรือน

กองพลทหารม้าที่ 1 ได้จัดพิธีมอบพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ให้กับเครือข่ายเกษตรกร กำลังพลและทหารพันธุ์ดีที่มีความประสงค์ ขอรับพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ จำนวนทั้งสิ้น 13 ครัวเรือน ประกอบด้วยต้นพันธุ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจร กบนา ไก่ดำ และหมูป่า

ตามที่ กองพลทหารม้าที่ 1 ได้ดำเนินโครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายพ่อขุนผาเมือง (กองพลทหารม้าที่ 1) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่มีสายพันธุ์ที่ดีตอบสนองต่อ ความต้องการของเกษตรกร ตลอดจนการผลิตเมล็ดพันธุ์พืช ส่งเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์พระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก สำหรับนำไปช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยพิบัติ และพระราชทานแก่ราษฎรทั่วไป

ซึ่งในห้วงที่ผ่านมา การดำเนิน โครงการมีความก้าวหน้ามาโดยต่อเนื่อง มีพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ที่เพียงพอสำหรับแจกจ่าย ให้กับเครือข่ายเกษตรกรแนวร่วม โครงการทหารพันธุ์ดี กำลังพลและทหารพันธุ์ดีของหน่วย นำไปเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ เพื่อสร้างแหล่งอาหาร สำหรับใช้บริโภคในครัวเรือน และนำไปต่อยอดในการสร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวต่อไป 


ภาพ/ข่าว  ราเมธ บงแก้ว / มนสิชา คล้ายแก้ว

นครนายก - รับมอบเครื่องให้ออกซิเจน ชุดตรวจหาเชื้อโควิด และอุปกรณ์การแพทย์และผลิตภัณฑ์ทีโพล์ ให้แก่โรงพยาบาลบ้านนา เพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ห้องประชุมนางรอง ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครนายก นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก / นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก / แพทย์หญิงอรรัตน์ จันทร์เพ็ญ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครนายก / นายสุวรรณ เพ็ชรรุ่ง รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครนายก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ดร.ประจักร ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) / พลเอก ดร.มนตรี ศุภาพร (อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม)และคุณกวี หัสดินไพศาล ในพิธีรับมอบเครื่องให้ออกซิเจน ชุดตรวจหาเชื้อโควิด และอุปกรณ์การแพทย์และผลิตภัณฑ์ทีโพล์ ให้แก่โรงพยาบาลบ้านนา เพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์

พร้อมมอบเงิน รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 1,800,000 บาท ในพิธีดังกล่าว ดร.ประจักร ตั้งคารวคุณ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการมอบสิ่งของที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ โดยทางนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครนายก ได้นำเสนอข้อมูลของสถานการณ์โควิดในพื้นที่จังหวัดนครนายก ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง ด้านนายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ได้เสนอเพื่อรับทราบว่าจังหวัดนครนายก ได้มีมาตรการ 3 เร็วในการดำเนินงาน “รู้เร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว” โดยให้หน่วยงานราชการ สถานที่ที่รับผิดชอบที่มีความเสี่ยงสูง มีมาตรการเข้มงวดสูงสุด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ / ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top