Sunday, 15 June 2025
Hard News Team

‘หลี่ เฉียง-ปราโบโว’ จับมือแน่นในเวทีโลก พร้อมดันเศรษฐกิจ-รถไฟความเร็วสูง ‘จาการ์ตา-บันดุง’

(26 พ.ค. 68) หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน พบหารือกับประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 25 พ.ค. โดยระบุว่าจีนพร้อมร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มความไว้วางใจทางการเมืองและการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์สู่ระดับที่สูงขึ้น พร้อมถ่ายทอดความปรารถนาดีจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

นายกรัฐมนตรีของจีนกล่าวว่า ทั้งสองประเทศมีมิตรภาพแน่นแฟ้นตลอด 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต และได้ยกระดับสู่ความเป็น “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคและระดับโลก โดยจีนพร้อมร่วมเดินหน้าโครงการสำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง และแผน “สองประเทศ สองนิคมอุตสาหกรรม”

ทั้งนี้ จีนเสนอขยายความร่วมมือในหลากหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ การเงินและอวกาศ ตลอดจนเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน เช่น ด้านสุขภาพ การเกษตร และการบรรเทาความยากจน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ

หลี่ เฉียง ยังย้ำจุดยืนต่อต้านกีดกันการค้าและการดำเนินการฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้จีน อินโดนีเซีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ร่วมกันปกป้องระบบพหุภาคี ส่งเสริมการค้าเสรี และผลักดันโลกาภิวัตน์ที่เท่าเทียม มีระบบระเบียบ และเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

‘ทรัมป์’ บีบ ‘ฮาร์วาร์ด’ เปิดรายชื่อนักศึกษาต่างชาติ ตั้งคำถามประเทศต้นทาง ‘ไม่ช่วยจ่าย ทำไมได้เรียนฟรี’

(26 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเปิดเผยรายชื่อนักศึกษาต่างชาติพร้อมสัญชาติของแต่ละคน โดยอ้างว่าเป็น “คำขอที่สมเหตุสมผล” เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ มอบเงินสนับสนุนจำนวนมากแก่สถาบันนี้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังตั้งคำถามว่าทำไมประเทศต้นทางเหล่านี้ ซึ่งบางแห่งไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ ถึงไม่ต้องจ่ายอะไรเลยให้กับนักศึกษาของตนเอง

ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งต่อเนื่องระหว่างทรัมป์กับฮาร์วาร์ด โดยล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับความพยายามของฝ่ายบริหารที่ต้องการสั่งห้ามไม่ให้นักศึกษาต่างชาติเรียนที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งทางมหาวิทยาลัยระบุว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ

อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แถลงตอบโต้ว่า การกระทำของรัฐบาล “ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไร้เหตุผล” พร้อมเตือนว่า นี่อาจเป็นผลกระทบจะรุนแรงต่ออนาคตของนักศึกษาและนักวิจัยนับพันคนทั้งในและนอกประเทศ และยังเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพของสถาบันการศึกษาทั่วสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับฮาร์วาร์ดทวีความรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ระงับงบวิจัยกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และข่มขู่จะยกเลิกสิทธิ์ยกเว้นภาษีของมหาวิทยาลัย พร้อมเรียกร้องให้จัดทำการตรวจสอบ “ความหลากหลายทางแนวคิด” ภายในองค์กรอีกด้วย

สมาคมรถยนต์ไฟฟ้าเยอรมนี ยื่น ‘ล้มละลาย’ สื่อคาดต้นเหตุมาจากบอร์ดแตกหัก จนพาองค์กรล้ม

เมื่อวันที่ (23 พ.ค. 68) ที่ผ่านมา ศาลในกรุงเบอร์ลินได้ประกาศว่า Bundesverband Elektromobilität (BEM) หรือสมาคมรถยนต์ไฟฟ้าเยอรมนี ได้ยื่นขอล้มละลายอย่างเป็นทางการ โดยมีทนายความ โยอาคิม โฟกต์-ซาลุส ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเหตุผลที่นำไปสู่การล้มละลายยังไม่มีการเปิดเผยชัดเจน ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนีกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงและแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก

BEM อ้างว่ามีสมาชิกประมาณ 450 ราย ประกอบด้วยผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตสถานีชาร์จไฟ ผู้ให้บริการด้านกฎหมาย รวมถึงซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้สมาคมยังเคยมีคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาเยอรมันและยุโรป

ทั้งนี้ เบื้องหลังการล้มละลายอาจเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในองค์กร ซึ่งปรากฏสู่สาธารณะเมื่อราวหนึ่งปีครึ่งก่อน โดยเป็นความขัดแย้งระหว่างอดีตประธานสมาคม เคิร์ท ซิกล์ และสมาชิกบอร์ดอีกสองราย ได้แก่ คริสเตียน ฮีพ และ มาร์คุส เอ็มเมิร์ต ในประเด็นการใช้เงินและการดำเนินงานของบริษัทในเครือ BEM Academy GmbH จนนำไปสู่การแยกทางกับ Sigl ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2024 โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้มาแทน

จนถึงขณะนี้ สมาคมยังไม่ได้แถลงการณ์ใดๆ อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว การล้มละลายของ BEM กลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของเยอรมนี ซึ่งแม้จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีนี้ในยุโรป แต่อุปสรรคภายในและแรงกดดันจากภายนอกก็ยังคงมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของภาคส่วนนี้

สายศิลป์จบมาอาจเคว้ง สาย STEM จบไปตลาดต้องการ ‘Apple-IBM’ ไม่สนปริญญา เเต่ง้อคนมีฝีมือทำงานได้จริง

(25 พ.ค. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า..ผมไปเจอข่าวนี้มา น่าสนใจมาก อยากชวนทุกคนมาดูกัน
วันนี้ผมบังเอิญไปอ่านเจอบทความจาก Forbes มันไม่ใช่ข่าวใหม่หรอกนะครับก็ถูกเขียนราวๆเมษายนที่ผ่านมานี่เองโดยมีหัวข้อคือ "หลายปริญญาในปัจจุบันกำลังไร้ค่า—แล้วอะไรล่ะที่ยังคุ้มเงิน?" ( Many College Degrees Are Now Useless—Here’s What Is Worth Your Money) ฟังดูแรงนิดๆ แต่มันสะท้อนสภาพสังคมและตลาดแรงงานยุคใหม่ได้อย่างน่าคิดมากครับ

ข่าวนี้บอกชัดเลยว่าปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Apple, IBM และ Hilton เริ่มลดความสำคัญของ "ใบปริญญา" ลง แล้วหันมาให้ความสำคัญกับ "ทักษะและประสบการณ์จริง" มากขึ้นเรื่อยๆ และผลสำรวจจาก Pew Research Center พบว่า เกือบครึ่งของชาวอเมริกันมองว่าปริญญาตรีไม่สำคัญในการหางานดีๆ เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน และที่น่าตกใจคือ มากกว่าครึ่งของบัณฑิตมหาวิทยาลัยมีงานต่ำกว่าวุฒิที่จบมา แม้ผ่านไปแล้วกว่า 10 ปี

จากบทความนี้ Forbes ยังระบุชัดเลยว่าปริญญาที่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากในตลาดงานยุคนี้ ได้แก่:

ศิลปศาสตร์ทั่วไปที่ไม่มีความชัดเจนในการทำงาน

ศิลปะและการแสดง (ยกเว้นสถาบันชื่อดังหรือมีชื่อเสียงอยู่แล้ว)

การสื่อสารมวลชน (ที่ไม่ได้เฉพาะทาง)

สาขาสังคมศาสตร์เช่น สตรีศึกษา ชาติพันธุ์ศึกษา

จิตวิทยาและสังคมวิทยา ระดับปริญญาตรีล้วนๆ

ส่วนสาขาที่ตลาดยังต้องการสูงและมีรายได้ดี คือ

วิทยาการคอมพิวเตอร์และ IT (รายได้เฉลี่ย $120,000 ต่อปี)

พยาบาลและสาธารณสุข (รายได้เฉลี่ย $82,000 ต่อปี)

วิศวกรรมศาสตร์ (รายได้เฉลี่ย $95,000 ต่อปี)

ช่างฝีมือและสายอาชีพเทคนิค (รายได้เฉลี่ย $80,000 ต่อปี)

ธุรกิจเฉพาะทาง เช่น การเงิน โลจิสติกส์ Analytics (รายได้เฉลี่ย $100,000 ต่อปี)

ครูเฉพาะทาง เช่น STEM และการศึกษาพิเศษ (รายได้เฉลี่ย $50,000–70,000 ต่อปี)

สรุปชัดๆ จากบทความนี้คือ ในยุคปัจจุบัน "โลกไม่ได้ถามว่าเราเรียนจบอะไรมา แต่ถามว่าเราทำอะไรได้บ้าง"

อ่านจบแล้วผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมองการศึกษาและปริญญากันใหม่ ให้ตรงกับความจริงของโลกยุคนี้?

‘เยอรมนี’ อาจฟื้นระบบเกณฑ์ทหารปีหน้า หากไม่มีอาสาสมัครมากเพียงพอในอนาคต

(26 พ.ค. 68) บอริส พิสโตริอุส รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (24 พ.ค.) ว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำระบบเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ภายในปี 2569 หากจำนวนผู้สมัครใจเข้าร่วมกองทัพยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

เยอรมนีในฐานะสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) กำลังเร่งเสริมศักยภาพทางการทหารนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2565 แต่การรับสมัครทหารโดยสมัครใจยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

กองทัพเยอรมนีระบุว่า ยังต้องการกำลังพลเพิ่มอีกประมาณ 100,000 นายในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธะผูกพันกับ NATO ได้อย่างเต็มที่

พิสโตริอุสกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังเน้นการรับสมัครทหารแบบสมัครใจเป็นหลัก แต่หากจำนวนผู้สมัครไม่เพียงพอในอนาคต อาจจำเป็นต้องพิจารณานำระบบเกณฑ์ทหารภาคบังคับกลับมาใช้ พร้อมเสริมว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในวันที่ 1 ม.ค. 2569

ด้านอันเดรียส เฮนเน ผู้บัญชาการกองบัญชาการปฏิบัติการภายในประเทศของกองทัพเยอรมนี กล่าวสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มจำนวนผู้สมัคร โดยระบุว่า เยอรมนีกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ยังจำเป็นต้องเร่งให้มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน และกำลังพล

‘สี จิ้นผิง’ ยกหูคุย ‘มาครง’ ถกด่วนภาษี–สงคราม–การค้าโลก ย้ำจีนพร้อมร่วมมือกับอียู รับมือความปั่นป่วนจากสหรัฐ

(25 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีน ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการร่วมมือด้านการค้าโลก พร้อมเคลียร์ข้อพิพาทภาษีนำเข้าบรั่นดีฝรั่งเศสในจีน ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนเรียกร้องให้ฝรั่งเศสร่วมกันปกป้องกฎเกณฑ์การค้าโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากภัยคุกคามของภาษีสหรัฐฯ

สี จิ้นผิง ระบุว่า จีนและฝรั่งเศสในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ควรเป็นกำลังสำคัญในการธำรงระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และยึดมั่นในพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง โดยย้ำว่าจีนมองยุโรปเป็นขั้วอำนาจอิสระที่ควรมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก พร้อมจับมือรับมือกับความท้าทายระดับโลก

การพูดคุยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนเริ่มสอบสวนการทุ่มตลาดบรั่นดีจากอียู ขณะที่ฝรั่งเศส ซึ่งส่งออกคอนญัก (บรั่นดีที่ผลิตจากไวน์องุ่นในเขตคอนญัคของฝรั่งเศส) ไปจีนกว่า 1.4 พันล้านยูโรต่อปี ได้รับผลกระทบรุนแรง คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 50 ล้านยูโรต่อเดือน โดยมาครงระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะเร่งคลี่คลายประเด็นนี้โดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตฝรั่งเศส

นอกจากนี้ ทั้งสองผู้นำยังหารือเรื่องสงครามยูเครน โดยมาครงระบุว่าทั้งคู่เห็นพ้องในเป้าหมาย “สันติภาพที่ยั่งยืนและมั่นคง” ซึ่งต้องเริ่มจากการหยุดยิงทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข รวมถึงยังจะร่วมมือกันเตรียมการประชุมว่าด้วยทางออกแบบสองรัฐในตะวันออกกลางที่กำหนดจัดขึ้นที่นิวยอร์กในเดือนมิถุนายนนี้ โดยฝรั่งเศสร่วมเป็นเจ้าภาพกับซาอุดีอาระเบีย

MK ออกโรงแจงกรณีงานวิ่งทิพย์ ยันหนุนแค่บางส่วน ‘จ่อฟ้องผู้จัด’ ทำแบรนด์เสียหาย

(25 พ.ค. 68) ร้านสุกี้เอ็มเค (MK Restaurant) ร้านชื่อดังที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าให้การสนับสนุนงบประมาณบางส่วนแก่กิจกรรม “Run for Destination 2025” จริง ด้วยเจตนาส่งเสริมสุขภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการจัดงาน รวมถึงการยกเลิกกิจกรรมในวันจริงที่ทำให้ผู้สมัครกว่า 70 คนได้รับความเสียหาย

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้จัดงานไม่ปรากฏตัว และไม่มีการแจกของตามที่สัญญาไว้ในโปสเตอร์โปรโมท ทั้งเสื้อ นาฬิกา รองเท้า และกระเป๋า ทั้งที่ผู้เข้าร่วมจ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในโปสเตอร์มีโลโก้ MK ปรากฏเป็นผู้สนับสนุน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

ทางเอ็มเคเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมดำเนินคดีกับผู้จัดงาน เนื่องจากบริษัทได้รับความเสียหายทั้งในด้านชื่อเสียงและการเงิน ด้านชาวเน็ตแสดงความเห็นใจ พร้อมมองว่า MK เองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของ “งานวิ่งทิพย์” ครั้งนี้เช่นกัน

FKII ผนึกเครือข่ายต้านโกง เปิดแพลตฟอร์ม ‘คอรัปชั่น ฟ้องดู’ ชวนประชาชนแจ้งทุจริตทั่วไทย แบบเรียลไทม์ ผ่าน AI อัจฉริยะ

(25 พ.ค. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. (FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่าสถาบันเอฟเคไอไอ. ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน เปิดตัวแพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” อย่างเป็นทางการ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ TVA Hall กรุงเทพฯ หวังใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เป็นแนวรบใหม่ในการปราบปรามการทุจริตที่สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี

ภายในงานจะมีการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายภาคส่วน เช่น ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, ดร.มานะ นิมิตรมงคล และอดีตผู้ว่าการ สตง. โดยมีหัวข้ออภิปรายเกี่ยวกับวิกฤตคอร์รัปชั่นและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงการสาธิตใช้งานระบบแจ้งเบาะแส “คอรัปชั่น ฟ้องดู”

นอกจากนี้ ยังมีการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านทุจริตจากเครือข่ายภาคประชาชน เช่น สมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น สมาคมธุรกิจไม้ สภาวิสาหกิจ SME และองค์กรธรรมาภิบาล เพื่อสร้างพลังร่วมผลักดันให้เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นรูปธรรมทั่วประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ระบุว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเติบโตของประเทศ จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมงาน และลงทะเบียนผ่าน LineOA: FKII Thailand เพื่อสร้างสังคมโปร่งใสอย่างยั่งยืน

‘หมอสุรันต์’ เผยภาพประทับใจ ‘จัตุรัส ร.9’ กลางบอสตัน ตั้งแท่นหินแกรนิตจารึกประวัติ กษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักของชาวโลก

(25 พ.ค. 68) ทพ.สุรันต์ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งปันเรื่องราวสุดแสนประทับใจ หลังเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า…

จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ จัตุรัสแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่9 อันเป็นที่รักที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย

พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น(Mount Auburn Hospital) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่พระราชสมภพบนแผ่นดินอเมริกา นายกเทศมนตรีเมืองเคมบริดจ์ จึงขอพระราชทานนามว่า “จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช” เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์

เหตุที่ทรงเสด็จพระราชสมภพที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเนื่องมาจากสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

โดยเช่าอพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เป็นที่พำนักอยู่กับสมเด็จพระบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์มหิดล ณ อยุธยาในขณะนั้น) ซึ่งต่อมาเจ้าชายพระองค์นี้ทรงเติบใหญ่เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งแห่งราขวงศ์จักรี

บนแท่นหินแกรนิตกลางจัตุรัส มีอักษรโลหะบันทึกบอกเรื่องราวการเสด็จพระราชสมภพของพระองค์ Hampton Hotel Boston,Massachusetts, United States Of America 22May 2025 10°C(Feel like6°C),Rainy 07.05A.M. “เพราะโลกมันกว้าง เราจึงอยากแบ่งปัน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top