Tuesday, 29 April 2025
Hard News Team

‘อนุทิน’ เผยผลเจรจา ‘ผู้แทนไฟเซอร์ สำเร็จด้วยดี ได้โควตา 10 ล้านโดส แต่ไม่กำหนดเวลาส่งมอบ ด้านกระทรวงสาธารณสุขยันพร้อมแก้ไขระเบียบให้จัดซื้อเร็วขึ้น แม้ไม่ลงทะเบียนก็ตาม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า ได้พบผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เจรจาจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชน ผู้แทนบริษัทฯ แจ้งว่าพร้อมจัดหาวัคซีนให้ประเทศไทย จำนวน 10 ล้านโดส แต่ยังไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่ชัดได้

จึงขอให้บริษัทฯ รีบจัดทำกำหนดการส่งมอบโดยด่วน พร้อมทั้งราคา และเงื่อนไขต่าง ๆ โดยละเอียด เพื่อประกอบการพิจารณาจัดซื้อของกระทรวงสาธารณสุข

ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าพร้อมจะปรับแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ให้จัดซื้อได้เร็วขึ้น แม้จะยังไม่มาขึ้นทะเบียน ก็สามารถซื้อได้ด้วยการใช้กฎหมายพิเศษจัดซื้อวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การเจรจาครั้งแรกกับผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เป็นไปด้วยดี และคาดว่าบริษัทจะจัดหาวัคซีน ให้ประเทศไทยได้โดยเร็ว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เอ่ยชื่อ ‘บรรหาร ศิลปอาชา’ คอการเมืองไทย รู้จักผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี นี่คือ อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 21 ซึ่งในวันนี้ ถือเป็นการรำลึกครบรอบ 5 ปี การจากไปของนักการเมืองชื่อดังคนนี้

บรรหาร ศิลปอาชา เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมชื่อว่า เต็กเซียง แซ่เบ๊ และมีชื่อเล่นว่า เติ้ง ในวัยเยาว์เจ้าตัวศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย แต่ต้องหยุดเรียนไป เนื่องจากภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง จนต่อมาได้มาก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ก่อนจะเติบโตบนเส้นทางธุรกิจเคมีภัณฑ์ และก้าวสู่เส้นทางการเมืองในที่สุด

บรรหาร ศิลปอาชา ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่จังหวัดสุพรรณบุรีบ้านเกิด จากนั้นก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. มาทุกสมัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทย กระทั่งในปี พ.ศ.2537 จึงขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในที่สุด

บนเส้นทางการเมือง บรรหาร ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง อาทิ ก.เกษตรและสหกรณ์, ก.คมนาคม, ก.อุตสาหกรรม, ก.มหาดไทย และ ก.การคลัง กระทั่งในการเลือกตั้งทั่วไป ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกพรรคได้รับการเลือกตั้งมากที่สุด จึงได้รับสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้เจ้าตัวก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยบริหารราชการแผ่นดินอยู่เป็นระยะเวลาราว 1 ปี 4 เดือน ก่อนจะตัดสินใจยุบสภาในเวลาต่อมา

บรรหาร ศิลปอาชา ถือเป็นนักการเมืองที่มีความโชกโชนบนสนามการเมืองไทย ตลอดจนสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ เพื่อประเทศชาติมากมาย จนเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559 เจ้าตัวเกิดภาวะภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ ก่อนจะถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 ปิดตำนานนักการเมืองเจ้าของฉายา ‘มังกรเมืองสุพรรณ’ ลงด้วยวัย 83 ปี

.

ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/บรรหาร_ศิลปาชา


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม รัสเซีย ตอบรับเจรจานำเข้าวัคซีน ‘สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) แล้ว หลังสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศเจรจาขอซื้อตรงกับรัฐบาลรัสเซีย พร้อมมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขนัดหารือบริษัทตัวแทนเร่งด่วน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ตามที่ได้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศ เจรจาหารือกับรัฐบาลรัสเซียโดยตรง เรื่องวัคซีนสปุตนิค วี (Sputnik V) ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศได้รับคำตอบจากรัสเซียว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว เนื่องด้วยไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลปัจจุบัน

"ผมจึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปให้เป็นรูปธรรม และได้รับทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการ ตามสั่งการแล้วโดยได้นัดบริษัทตัวแทนสปุตนิคในไทย มาหารืออย่างเร่งด่วนแล้วครับ" นายกฯ กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ “ชี้ความรุนแรงในเมียนมา กระทบชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมิติความมั่นคง-การจัดการโควิด19”, “ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในเมียนมา เสี่ยงต่างชาติแทรกแซง”, “เสนอ รัฐบาลทหารเมียนมา-รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้อาเซียนเป็นตัวกลาง หาทางออกด้วยวิธีทางการเมือง"

พรรคกล้า ออกแถลงการณ์ข้อเสนอถึง “รัฐบาลไทย” ต่อ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีเนื้อหาว่าการรัฐประหารในประเทศเมียนมา (1 ก.พ. 2564) มาถึงวันนี้ผ่านมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนเศษ เกิดเหตุการใช้ความรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะบานปลายไปสู่การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ

แม้เหตุที่เกิดขึ้นจะเป็นการเมืองภายในประเทศเมียนมา แต่ด้วยประเทศไทยมีเขตแดนติดกับประเทศเมียนมาถึง 2,401 กิโลเมตร มีจุดผ่านแดน 16 จุด ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายคนตามแนวชายแดน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ รัฐบาลไทยจึงควรต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้

1.) รัฐบาลไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ต้องชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ไม่ได้เป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศเท่านั้น แต่จะส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น หนีร้อนมาพึ่งเย็นประเทศเพื่อนบ้าน เกิดเป็นภาระและความเสี่ยง ทั้งด้านความมั่นคงและการจัดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยรวมถึงทุกประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญอยู่ และไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2.) รัฐบาลไทยควรแสดงท่าทีอย่างแข็งขัน ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน และชี้ให้เห็นว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาหรือการรักษาความมั่นคงภายใน รังแต่จะทำให้เกิดความไม่สงบมากขึ้น นำไปสู่การสู้รบกลางเมือง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น เสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติ อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยรวมในภูมิภาคอาเซียนไปด้วย

3.) เสนอให้ รัฐบาลทหารเมียนมา กับ กลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันในนามรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้วิธีทางการเมือง หารือเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยสันติ โดย ASEAN ต้องพร้อมทำหน้าที่เป็นกรรมการตัวกลาง

คาดหวังว่ารัฐบาลไทย จะแสดงท่าทีชัดเจน แสดงบทบาทความเป็นผู้นำในภูมิภาค กำหนดท่าทีร่วมกันกับผู้นำชาติอาเซียนอื่น ๆ เพื่อนำมาสู่การสร้างสันติสุขกลับมาสู่ประเทศเมียนมา และรักษาความมั่นคงของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

“บิ๊กตู่” สั่งด่วน แก้ระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด ย้ำให้รวดเร็ว พร้อมบูรณาการฐานข้อมูลเป็นระบบ

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบปัญหาการรับส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม (Hospitel) ทั้งจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรงรวมถึงจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร่งประสานบูรณาการส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว ในกรณีที่อยู่ในระว่างรอรับตัวต้องแจ้งแนวทางปฏิบัติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ทราบอย่างชัดแจน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานบูรณาการข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น สถานพยาบาลที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งภาครัฐและเอกชน สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ให้แก้ไขปัญหาสายด่วนในการจัดหาเตียง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทราบว่าบุคลากรไม่เพียงพอ จึงได้แก้ไขปัญหาเป็นการด่วนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นอกจากนั้นสั่งการให้กระทรวงกลาโหม นำยานพานะในกองทัพ ช่วยในการขนส่งผู้ป่วยด้วย เพื่อให้การนำส่งผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยรัฐบาลระดมทุกสรรพกําลังในการแก้ไขสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันระมัดระวังตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างทางสังคม สวมใส่หน้ากากอนามัย ตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน

“บิ๊กตู่” รับทราบรายงานวัคซีน 2.16 ล้านโดส ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19  “Sinovac” จำนวน 2,070,279โดสและ “AstraZeneca” จำนวน 89,040 โดส รวมการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 2,159,319 โดส  โดยมีการจัดส่งและกระจายวัคซีนทั้งหมดที่ได้นำเข้ามา ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการรายงานตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบทุกวัน  พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโด๊ส ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทยอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนในแต่ละวันให้กับประชาชนในจุดต่างๆทั่วประเทศด้วย ซึ่งทราบว่าหากไทยได้รับวัคซีนมากขึ้น หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่จะประสานกับภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมมือฉีดวัคซีนให้ประชาชนก็จะสามารถดำเนินการฉีดได้มากขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ จะมีวัคซีนเข้ามากว่า 100 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคนอย่างแน่นอน

นายอนุชา กล่าวชี้แจงไทม์ไลน์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่า จาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส  เดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส และในเสาร์ที่ 24 เมษายน 64 นี้จะมีวัคซีนเข้ามาจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และมีแผนนำเข้า Sinovac เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 1,000,000 โดส ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เบื้องต้น 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 จนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไข นอกจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมพร้อมทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้มีไวรัสป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

“ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึง 21 เม.ย. 64 มีการฉีดไปแล้วทั้งสิ้นรวม 864,840 โดส  เป็นการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คือ ครบ 2 เข็ม จำนวน 118,223 ราย ทั้งนี้แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดแล้ว 405,291 โดส  เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 117,071 โดส  ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 26,669 โดส บุคคลที่มีโรคประจำตัว 37,137 โดส และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 278,672 โดส”นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่นำเข้ามาแล้ว ได้ถูกกระจายส่งต่อไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างทันท่วงทีด้วยความเร่งด่วน เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดและรัฐบาลขอขอบคุณ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และอาสาสมัครทุกๆท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด เพื่อรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ รวมถึงบุคลากรที่บริหารจัดการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

คลังออกเกณฑ์คุมรูรั่วข้าราชการเบิกค่ารักษาเกินจริง

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิและการเรียกคืนเงินใหม่ เพื่อควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.64 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านมาตรวจสอบพบว่า ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวจำนวน 24 ราย มีพฤติกรรมใช้สิทธิระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ โดยเข้ารับบริการในสถานพยาบาลหลายแห่งระยะเวลาใกล้เคียงกัน หรือมีการเข้ารับบริการเกิน 3 สถานพยาบาลต่อเดือน ด้วยโรคเดียวกัน อีกทั้งได้รับยาประเภทเดียวกัน จนมีปริมาณยาสะสมจำนวนมาก คิดเป็นเงิน 15.8 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ระงับสิทธิของบุคคลดังกล่าวทุกรายโดยทันทีที่ตรวจสอบพบ

สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการแห่งเดียวหรือหลายแห่ง หรือได้รับยาประเภทเดียวกันจนมีปริมาณยาสะสมเป็นจำนวนมาก เกินขนาดที่ให้ผลการรักษาในแต่ละโรค หรือเกินกว่าจำนวนที่กรมบัญชีกลางกำหนด ถือเป็นการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิ มีพฤติกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ

กรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงทันที และหากเข้าข่ายทุจริตหรือการกระทำความผิดทางอาญา หน่วยงานต้นสังกัดต้องดำเนินการทางวินัยหรือตามขั้นตอนของกฎหมายและเรียกคืนเงินจากผู้มีสิทธิส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน แต่หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการทุจริต กรมบัญชีกลางจะอนุญาตให้สามารถใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการเพียง 1 แห่ง เพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรม

ส่วนกรณีสถานพยาบาลของทางราชการ เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวในระบบเบิกจ่ายตรง โดยไม่ปรากฏข้อมูลในเอกสารว่า มารับบริการจริง ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการตรวจสอบ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติกรรมทุจริตโดยใช้ระบบเบิกจ่ายตรงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว  และเรียกคืนเงินจากสถานพยาบาลของทางราชการแห่งนั้น c]tส่วนราชการต้นสังกัดมีหน้าที่ติดตามเรียกคืนเงินที่เบิกเกิน และนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากไม่สามารถเรียกคืนเงิน ต้องมีบังคับชำระหนี้ แล้วนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

อินเตอร์ลิ้งค์​ ทดสอบระบบ 'APM' รถไฟฟ้าไร้คนขับ 'รับ-ส่ง' คนในสุวรรณภูมิ พร้อมใช้ เม.ย. 65 รันยาวตลอด 24 ชั่วโมง

วันนี้ (22 เมษายน 2564) ที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ ILINK ได้ชนะการประกวดราคางานจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) ภายใต้ความร่วมมือของคณะนิติบุคคลร่วมทำงานไออาร์ทีวี (IRTV) และบริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ในการจัดหารถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) ยี่ห้อ SIEMENS รุ่น Airval สำหรับ “โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2” นั้น

ล่าสุดรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) ได้ถูกส่งมอบให้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แล้ว จำนวน 4 ขบวน และจะทยอยส่งมอบรถไฟฟ้า APM จนครบทั้ง 6 ขบวนภายในสิ้นปีนี้

ปัจจุบันรถไฟฟ้าไร้คนขับที่จะนำมาให้บริการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้ง 4 ขบวน ได้ทดสอบวิ่งบนรางในอุโมงค์ใต้ดินระหว่างอาคารผู้โดยสารหลักกับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) ระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร โดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท ซีเมนส์ โมบิลิตี้ จำกัด ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัทผู้ผลิต SIEMENS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ภาพรวมของโครงการรถไฟฟ้าไร้คนขับ APM คืบหน้ากว่า 80% ไม่พบปัญหาในการทดสอบระบบ สามารถเดินรถได้ตามมาตรฐาน หลังจากนี้จะเป็นการทดสอบระบบควบคุมการเดินรถอัตโนมัติ (Automatic Train Control : ATC) เพื่อให้มีความเสถียร แม่นยำ และตรงต่อเวลา คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการประชาชนภายในเดือนเมษายน ปี 2565 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ใช้ระบบรถไฟขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ รับ-ส่งผู้โดยสารในสนามบินสุวรรณภูมิ

สำหรับรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) รับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างสถานีอาคารผู้โดยสารหลัก กับ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) มี 2 สถานี ระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลา 2 นาทีต่อเที่ยว วิ่งบริการทุก ๆ 3 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 3,590 คนต่อชั่วโมง ส่วนชั่วโมงเร่งด่วนสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 5,960 คนต่อชั่วโมง

โดยรูปแบบรถเป็นระบบอัตโนมัติ (Automatic Train Control : ATC) เป็นระบบการควบคุมการขับเคลื่อนอยู่ที่ศูนย์กลางผ่านห้องปฏิบัติการ OCC (Operation Control Center) พร้อมด้วยระบบอาณัติสัญญาณ Communication Based Train Control system (CBTC) แบบ Moving Block ระบบรางวิ่งเป็นแบบ central rail-guided APM ช่วยให้รถไฟฟ้าเดินทางไปมาในทิศทางที่กำหนดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นการทำงานแบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์

“ขณะนี้งานระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ APM มีความคืบหน้าไปกว่า 80% อินเตอร์ลิ้งค์ฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาทดสอบการเดินระบบรถไฟฟ้าไร้คนขับอย่างต่อเนื่อง เพื่อความเสถียร ปลอดภัย แม่นยำ ตรงต่อเวลา เพื่อส่งมอบรถไฟฟ้าไร้คนขับที่ทันสมัยและดีที่สุดแก่ผู้ใช้บริการ เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดั่งวิสัยทัศน์ของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่ต้องการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย” นายสมบัติกล่าวทิ้งท้าย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ชาวทะลุฟ้า’ บุกสภา ยืน 112 นาที ลั่นใหญ่โตจากภาษี แต่ไม่รับใช้ ปชช.

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 ที่หน้ารัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีมวลชนหมู่บ้านทะลุฟ้านัดหมายทำกิจกรรม “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”​ ยืน หยุด ขัง 112 นาที โดยชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า”

โดยมีนักกิจกรรมกว่า 10 คนแต่งตัวคล้ายนักโทษยืนเป็นแถวเว้นระยะห่าง 2 เมตร  แต่ละคนสวมหน้ากากอนามัย โดยมีโซ่ตรวนล่ามไว้ที่ขา เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์การถูกจองจำ บางรายสวมหมวกกันร้อน พร้อมห้อยป้ายข้อความ อาทิ ปล่อยเพื่อนเรา, ยกเลิก 112, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และประยุทธ์ออกไป 

ทั้งนี้ กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า ระบุว่า ยืน112 นาที ณ รัฐสภา การยืนเป็นการต่อสู้ในรูปแบบหนึ่งของสันติวิธี ปราศจากอาวุธ อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทหารนำมาใช้นั้นมีไว้เพื่อยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น วันนี้เรามายืนหน้ารัฐสภาก็เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว ให้เพื่อนของเรา และสะท้อนว่ารัฐสภาที่ใหญ่โตนี้สร้างมาจากภาษีของประชาชนแต่มิได้ทำงานรับใช้ประชาชน แต่รับใช้โจรที่ปล้นอำนาจจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนสวมถอดรองเท้าแตะ เพื่อกันความร้อน บางรายมีสีหน้าทรมานจากสภาพอากาศ ขณะที่ทีมงานชาวหมู่บ้านทะลุฟ้า ได้นำเสปรย์น้ำ มาพ่นใบหน้า และร่างกาย เพื่อคลายความร้อน โดยจะยืนจนครบ เวลา 112 นาที ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไปจนถึงตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ยืนเฝ้าสังเกตการณ์รอบบริเวณอย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งโต๊ะ จำหน่าย “เสื้อหมู่บ้านทะลุฟ้า” เพื่อระดมทุนทำกิจกรรม ทีมงานหมู่บ้านทะลุฟ้า เปิดเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้ อาจจะมีการชุมนุมปักหลัก ส่วนเวลา 17.30 น. วันนี้ จะไปร่วมสมทบ ยืน หยุด ขัง ที่หน้าศาลฎีกา กับ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ อีกด้วย

ป.ป.ส. เปิดประมูล แมวของกลาง เครือข่าย กุ๊ก ระยอง

สำนักงาน ป.ป.ส. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) เปิดประมูล แมวของกลาง เครือข่าย กุ๊ก ระยอง ตามคำสั่ง เลขาธิการ ป.ป.ส. อนุมัติให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ไม่เหมาะแก่การเก็บรักษาไว้ (ประเภทสิ่งมีชีวิต) ครั้งที่ 2/2564 ในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 23 เมษายน 2564) ณ ศาลาประชาคมอำเภอแกลง เลขที่ 111 หมู่ที่ 10 ถนนมาบใหญ่ ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เริ่มลงทะเบียนเวลา 13.00 น. เริ่มประมูลเวลา 14.00 น.

 ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอดูทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต ได้ที่ บ้านเลขที่ 61/2 ถนนพลงช้างเผือก ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น.

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สืบเนื่องจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด กุ๊ก ระยอง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ และได้ยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ บ้าน รถยนต์ รวมถึงแมวสายพันธุ์ต่างประเทศทั้ง 6 ตัวไว้ชั่วคราว สำหรับแมวนั้น ถือเป็นทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต ที่ไม่เหมาะสมในการเก็บรักษาไว้ หรือหากเก็บรักษาไว้จะเป็นภาระแก่ทางราชการ หรือถ้าหน่วงช้าจะเสี่ยงต่อความเสียหาย ตามกฎหมายสามารถพิจารณานำมาขายทอดตลาดได้

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เปิดโอกาสตามกฎหมาย ให้ญาติ หรือผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาชี้แจงแสดงหลักฐานว่าเงินที่นำมาใช้ซื้อแมว เป็นเงินที่มาจากการค้ายาเสพติดหรือไม่ หากมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้เป็นเงินที่มาจากการค้ายาเสพติด ก็จะมีคำสั่งยกเลิกการยึด ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงแสดงหลักฐานว่าเงินที่ใช้ซื้อแมวมาจากการค้ายาเสพติดหรือไม่ สำนักงาน ป.ป.ส. ก็ต้องยึดไว้ตามกฎหมาย และต้องดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป

การเปิดประมูลทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่ในการเก็บรักษา หรือการเลี้ยง ต้องมีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้หากเกิดปัญหาด้านสุขภาพหรือเสียชีวิต ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการเปิดประมูล วัวชน จำนวน 11 ตัวที่จังหวัดเชียงราย ที่ยึดมาจากเครือข่ายยาเสพติด เป็นมูลค่ากว่า 414,000 บาท อย่างไรก็ตามการประมูลแมวที่จะเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับการประมูลสัตว์เลี้ยง ที่มีความน่ารัก โดยเชื่อว่าผู้ที่ชนะการประมูล และได้แมวไป จะดูแลเป็นอย่างดี เพราะผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องมีทั้งกำลังทรัพย์ และเป็นผู้ที่รักแมว จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ เข้าร่วมการประมูลได้ตาม วัน เวลา และสถานที่ ดังกล่าวข้างต้น โดยเงินที่ได้จากการประมูลจะถูกส่งไปที่กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top