Tuesday, 1 July 2025
Hard News Team

โฆษกกห. เผย ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน กับ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา (ADMM-Plus) ครั้งที่ 8

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน รมว.กลาโหม เข้าร่วมประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน กับ รมว.กลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 8 (ADMM-Plus) ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดย กระทรวงกลาโหมบรูไนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น

ที่ประชุมโดย รมว.กลาโหม ทั้ง 18 ประเทศ รับทราบพัฒนาการความร่วมมือของอาเซียนที่ผ่านมา และได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงของภูมิภาคและระหว่างประเทศร่วมกัน ซึ่งภาพรวมที่ประชุมให้ความสำคัญกับการรับมือกับความท้าทายที่เป็นปัญหาร่วมกันและส่งผลกระทบกับภูมิภาค โดยเฉพาะภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยจากไซเบอร์ การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งภัยคุกคามจากโรคระบาด COVID-19 ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ซึ่งทุกประเทศจำเป็นต้องร่วมกันรับมือกับความท้าทายที่เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปถึงการสนับสนุนฟื้นฟูประเทศร่วมกัน

นอกจากนั้น ยังมีความกังวลร่วมกันถึงปัญหาความมั่นคงทางทะเล ทั้งคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพกันและกัน ยึดถือปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช้กำลังทหารแก้ปัญหา ร่วมกันหาทางออกด้วยสันติวิธี โดยใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ร่วมแก้ปัญหา เพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากนิวเคลียร์ และให้ทะเลจีนใต้ เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างและเสรีในการคมนาคม สำหรับปัญหาในเมียนมา ที่ประชุมได้เรียกร้องไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง ร่วมแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีและคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม โดยให้เป็นไปตามฉันทามติ 5 ข้อ ของการประชุมผู้นำอาเซียน

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำความสำคัญของการร่วมมือและช่วยเหลือกันและกันรับมือกับ COVID-19 อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดตั้งกองทุนอาเซียนและแผนการฟื้นฟูอาเซียน ภายหลัง COVID-19 ร่วมกับการขับเคลื่อนความร่วมมือของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ ด้านเคมี ชีวภาพและรังสี  พร้อมทั้งให้ความสำคัญร่วมรับมือกับภัยคุกคามจากไซเบอร์ จากกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติและกลุ่มก่อการร้าย ที่มีการใช้ไซเบอร์มากขึ้นภายใต้สถานการณ์ COVID-19 พร้อมทั้งยืนยัน ไทยสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงสนับสนุนเมียนมาในการรับมือกับ COVID-19 ในฐานะครอบครัวอาเซียนด้วยกัน

จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาบันดาร์ เสรี เบกาวัน ของการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน กับรมว.กลาโหมประเทศคู่เจรจา ว่าด้วยการส่งเสริมและการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สันติภาพและความมั่นคงของอาเซียน ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ในการขับเคลื่อนและส่งเสริมความร่วมมือตอบสนองสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 การเตรียมความพร้อมและรับมือกับภัยคุกคามในภูมิภาคถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามด้านเคมี ชีวภาพและรังสี การส่งเสริมความร่วมมือในบทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคง รวมทั้งบทบาทของความเป็นแกนกลางและเอกภาพของอาเซียน เพื่อร่วมเสริมความมั่นคงของภูมิภาคให้มีความยั่งยืนร่วมกัน

“ปริญญ์” นำธุรกิจบันเทิง-กลุ่มอาชีพอิสระร้อง “ศปก.ศบค.” เร่งปลดล็อกเปิดบริการได้ภายใน 1 ก.ค. อนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่งดริ๊งก์ในร้านได้ 

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำตัวแทนผู้ประกอบการสถานบันเทิง ธุรกิจภาคกลางคืน และธุรกิจอิสระ อาทิ ฟิตเนส ธุรกิจรับจัดคอนเสิร์ตและอีเวนท์ ผับ บาร์ เข้าพบ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ที่อาคารสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล หลังได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอก นานกว่า 200 วัน ซึ่งกังวลว่าธุรกิจไปต่อไม่ไหว 

โดยนายปริญญ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราได้เห็นกลุ่มอาชีพธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิง และอาชีพอิสระ ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของภาครัฐในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และออกมาเรียกร้องเรื่องนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ จึงประสานงานในการพาตัวแทนผู้ประกอบการดังกล่าว เข้าพบผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. เพื่อแบ่งปันมุมมองและเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา และถ้าเป็นไปได้ อยากเสนอแนะให้ ศบค.เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจประเภทต่างๆ เข้าไปร่วมการประชุมก่อนออกมาตรการใหม่ทุกครั้งด้วย เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และร่วมกันทำให้มาตรการของภาครัฐเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากขึ้น  

ขณะที่ นายนนทเดช บูรณะสิทธิพร เจ้าของร้าน The Rock Pub กล่าวว่า  กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน สถานบันเทิงและธุรกิจอิสระ ได้เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้

1.) ขอให้ยกเลิกคำสั่งปิดสถานบันเทิงแบบเหมารวม โดยให้ปิดเฉพาะสถานบันเทิงที่พบผู้ติดเชื้อหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง เป็นเวลา 14 วัน เพื่อทำความสะอาดร้านตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข และให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้กักตัว  

2.) ขอให้มีคำสั่งปลดล็อกให้ธุรกิจกลางคืนและสถานบันเทิงได้กลับมาเปิดบริการ และจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ภายในวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดยให้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศบค.และกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด  

3.) ขอให้ผ่อนปรนให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบริโภคในร้านได้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ยืนยันว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อ  

4.) ขอให้ผ่อนปรนให้สามารถจัดมหรสพในพื้นที่ปิดได้ โดยต้องจัดที่นั่งแบบ 2 เว้น 1 และรักษาระยะห่างตามความเหมาะสม
 นายนนทเดช กล่าวอีกว่า  

5.) ขอให้พิจารณาการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอิสระเร็วที่สุด โดยให้มีสิทธิ์เข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงไปพร้อมกับกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว  

6.) ขอให้พิจารณาให้มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องการเยียวยา การพักชำระหนี้ และการกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจและการจ้างพนักงานจากการปิดธุรกิจชั่วคราว โดยพิจารณาการงดเว้นเก็บภาษาบางประเภท เช่น ภาษีสรรพสามิตร ภาษาใบอนุญาตจำหน่ายสุรา ภาษีป้าย เป็นต้น  

7.) ขอให้เปิดช่องทางการสื่อสาร เพื่อรับฟังความคิดเห็นและความต้องการประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อให้ทราบถึงมุมมอง ผลกระทบ ความยากลำบากของผู้ประกอบอาชีพแต่ละกลุ่ม ก่อนที่ภาครัฐจะออกมาตรการต่างๆ  

8.) ขอให้ศบค.หารือกับกระทรวงแรงงานให้ผ่อนปรนเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน กรณีที่นายจ้างต้องลดเงินเดือนพนักงานลงเป็นการชั่วคราว เพื่อรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ แทนการปลดพนักงานออก 

ด้าน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า  ศบค.ทราบดีถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ แต่มาตรการของภาครัฐที่ออกมา เกิดจากความเห็นชอบร่วมกันของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพราะการฟื้นฟูสถานการณ์ในวิกฤตโควิด-19 ไม่ได้มีแค่ในแง่ของสาธารณสุข  อย่างไรก็ตาม ศบค.พร้อมรับฟังปัญหาของทุกคน และหลังจากนี้จะพยายามหารือมาตรการช่วยเหลือ ให้ความเป็นธรรมที่ทำให้แต่ละฝ่ายได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สรรพสามิต แจกปมจนท. รีดภาษีคนขายน้ำส้ม 12,000 บาทไม่จริง

นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า หลังมีข่าวว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต เข้าทำการจับกุมผู้ขายน้ำส้ม จำนวน 500 ขวด และมีการเรียกค่าปรับเป็นเงินจำนวน 12,000 บาท นั้น กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่าได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่เสียภาษีอย่างถูกต้องว่ามีบางโรงอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานและยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต 

ทั้งนี้กรมสรรพสามิตได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิตเข้าทำการตรวจสอบและได้ดำเนินการให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเข้าระบบและเสียภาษีอย่างถูกต้องแล้ว โดยที่ผ่านมามีจำนวน 4 ราย ซึ่งรายนี้เป็นรายที่ 5 โดยโรงอุตสาหกรรมของผู้ใช้เฟซบุ๊ครายดังกล่าว ผลิตเครื่องดื่มที่ไม่ได้มาตรฐานและยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตจึงได้ทำการให้คำแนะนำเพื่อให้เข้ามาอยู่ในระบบและเสียภาษีสรรพสามิตอย่างถูกต้อง โดยไม่ได้เรียกค่าปรับเงิน จำนวน 12,000 บาท ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้มอบนโยบายไปยังเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารพร้อมทั้งให้คำแนะนำไปยังผู้ประกอบการให้เข้ามาอยู่ในระบบ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป

ฮีโร่ ทหารเรือ! พันจ่า นาวิกโยธิน ช่วยชีวิตชายหัวใจหยุดเต้น นำข้อบกพร่อง-ประสบเหตุในอดีตเป็นแรงบันดาลใจศึกษาด้านกู้ชีพ ดีกรี แน่น วิศวกรรมโยธา ครูฝึกหลักสูตรร่มร่อน-ร่มบิน หน่วย SEAL

พันจ่าเอก ธนาวุฒิ ยมหา พันจ่าส่งกำลัง สังกัด กองพันทหารช่าง กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ กู้ชีพชายที่นอนหมดสติด้วยการทำ CPR เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 เวลา 12.00 น. บริเวณถนนสุขุมวิท กม.2 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากประชาชนในที่เกิดเหตุให้รีบประสานโรงพยาบาลสัตหีบ กม.10 จัดรถพยาบาลฉุกเฉิน พร้อมเจ้าหน้าที่ มาให้การช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน นอกจากนี้แล้วยังได้ช่วยระบายรถ เพื่อให้ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ล่าสุด กองทัพเรือ เปิดเผยถึงเรื่องราวของพันจ่าเอก ธนาวุฒิ ระบุว่า พันจ่าเอก ธนาวุฒิ สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนจ่านาวิกโยธินกองทัพเรือ รุ่นที่ 48 นอกจากนั้นยังสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธา เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญเงิน เป็นภาคีวิศวกรของสภาวิศวกร รวมถึงหลักสูตรเก็บกู้วัตถุระเบิด และยังเป็นครูฝึกในหลักสูตรร่มร่อน ร่มบิน ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ 

พันจ่าเอก ธนาวุฒิ เล่าว่า ตนเอง มีความรักในงานอาชีพกู้ภัย หลังจากที่ได้ประสบเหตุด้วยตนเองและพบข้อบกพร่องขณะให้การช่วยเหลือผู้อื่น จึงได้ไปศึกษาด้านกู้ชีพเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้นำความรู้มาช่วยเหลือและเผยแพร่ให้กับผู้อื่น โดยมีแนวทางในการดำเนินการว่า เผย การเริ่มต้นในการช่วยเหลือที่ดี โอกาสรอดยิ่งมากขึ้น

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ นาวาโทจีรศักดิ์ หวังวรวัฒนากุล ผู้บังคับกองพันทหารช่าง กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ แก่ พันจ่าเอก ธนาวุฒิ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ นับเป็นความภาคภูมิใจของ หน่วยในการที่ พันจ่าเอก ธนาวุฒิ ได้ให้การช่วยเหลือประชาชน ในครั้งนี้
 

กองทัพเรือปล่อยคลิปลง เพจ เรือดำน้ำไทย Thai Submarines แจงเหตุผลความจำเป็นมีเรือดำน้ำต่อเนื่อง หวังสร้างความเข้าใจประชาชน ระหว่าง กมธ.วิสามัญงบฯ ปี 65 พิจารณางบฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเรือดำน้ำไทย Thai Submarines ได้เผยแพร่คลิปภาพบรรยายเหตุผล และความจำเป็นการมีเรือดำน้ำ ในหัวข้อ “มูลค่าทางทะเลที่กองทัพเรือต้องปกป้อง” และ “ความพร้อมของกองทัพเรือ ภายใต้กำลังทางเรือที่ไม่สมบูรณ์” โดยพล.ร.ต.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารเรือ กล่าวตอนหนึ่งว่า มีการใช้ทะเลในการขนส่งถึงร้อยละ 90 ของการขนส่งระหว่างประเทศทั้งหมด มีการใช้ทะเลแสวงหาผลประโยชน์ทั้งแหล่งปิโตรเลียมใต้น้ำ การประมง และการท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งการมีอุตสาหกรรมต่างๆเกิดขึ้นต่อเนื่องแต่ละปีมูลค่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากทะเลมีมูลค่ากว่า 24 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต กองทัพเรือถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการปกป้อง รักษา สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากทะเลให้เป็นไปตามความต้องการของชาติ จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้อง สร้างความมั่นคงการใช้พื้นที่ในทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ การแสวงประโยชน์ต่างๆ ทางทะเลให้เป็นไปได้อย่างเต็มที่อย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน

พล.ร.ต.นเรศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานของกองทัพเรือนั้น ถึงแม้ว่าต้องร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นภารกิจหลักที่กองทัพเรือต้องมีการเตรียมความพร้อมในการปกป้องรักษาอธิปไตยผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงทางทะเลให้ได้ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย  สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำได้จำเป็นต้องมีเครื่องมือเป็นอุปการณ์สำคัญในการปฏิบัติการ เครื่องมือของกองทัพเรือคือกำลังทางเรือที่ประกอบด้วยกำลังรบหลายๆส่วน ทั้งเรือคือเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำ อากาศยานคือเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินประเภทต่างๆ ส่วนหน่วยกำลังบนบกคือกำลังนาวิกโยธิน และกำลังต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ถูกประกอบกันกำลังเรียกว่ากำลังทางเรือ ที่ผ่านมาในส่วนของกองกำลังอื่นๆ ยกเว้นเรือดำน้ำได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ โดยเรือผิวน้ำ กองทัพเรือได้มีการจัดหาเรือประเภทต่างๆมาประจำการอย่างต่อเนื่อง จนถือว่ามีความพร้อมในการปฏิบัติการได้ในระดับหนึ่ง แต่ในส่วนของเรือดำน้ำนั้น เราเคยมีเมื่อ 80 กว่าปีที่ผ่านมา แต่หลังจากปลดประจำการเรือดำน้ำชุดแรกไปแล้ว เราได้มีคามต้องการและกำหนดไว้ในความต้องการมีเรือดำน้ำมาอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมากองทัพเรือได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุและและความจำเป็นการมีเรือดำน้ำในเพจ เรือดำน้ำไทย Thai Submarines อย่างต่อเนื่อง โดยคลิปดังกล่าวได้เริ่มต้นตั้งแต่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 พิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

ศาลอาญาอนุญาต “สมยศ” กับพวกรีเด็มรวม 6 คน ถอดกำไล EM ได้เเล้ว

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กับพวก รวม 6 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหากลุ่มรีเด็มที่ศาลกำหนดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวโดยให้ใส่กำไล EM เดินทางมาพร้อมทนายความ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอถอดกำไล EM 

นายสมยศ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาในช่วงที่ติดกำไล อีเอ็ม ยังไม่มีการกระทำความผิดใดๆ เกิดขึ้น และอยู่ในเงื่อนไขของศาล ทั้งนี้การติดกำไลอีเอ็ม นั้น เป็นการจำกัดเสรีภาพเราเกินควร เนื่องจากมีการวางเงินประกันแล้ว และปฎิบัติตามเงื่อนไขของศาลมาโดยตลอด ซึ่งให้ไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้และไม่ได้รับความสะดวก

โดยนายสมยศกล่าวอีกว่า ตนเองได้รับผลกระทบจากการใส่กำไล EM เพราะมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกพื้นกทม. พร้อมยกตัวอย่าง เช่น ตนเองมีแฟนสาวอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อต้องใส่กำไล ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปหาได้ รวมถึงกรณีที่บางครั้ง ตนเองขับรถใกล้กับแนวเขตปริมณฑล เวลาที่ต้องกลับรถ อาจมีปัญหาเรื่องการข้ามเขตพื้นที่ 

อีกทั้งยังมีกรณีของ นายสุรภักดิ์ ภูไชยแสง หรือ ตุ้ม อายุ 50 ปี ชาว จ.บึงกาฬ อดีตแกนนำกลุ่มเสรี ปัญญาชน ที่ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตไปไม่นานมานี้ ซึ่งตนเองรู้ข่าวเป็นคนแรกแต่ก็ไม่สามารถเดินทางไปพบได้เพราะสวมกำไลข้อเท้าอยู่ 

เบื้องต้น ตนเองคาดว่าศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ถอดกำไลชั่วคราว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลได้อนุญาตให้ไปนั่งร้อนภายในห้องสำหรับการถอดกำไลรวมถึงได้มีการเรียกคืนอุปกรณ์กำไลด้วย 

ต่อมา 14.50 น.เศษมีรายงานว่าศาลอนุญาตให้นายสมยศกับพวกถอดกำไล EM เเล้ว

เตรียมใช้ถนนเชื่อมผืนป่าสายใหม่ช่วงหยุดเข้าพรรษา

กรมทางหลวง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 304 สาย อ.กบินทร์บุรี-อ.วังน้ำเขียว ตอน 3 (ส่วนที่ 2) ระยะทาง 6.709 กม. งบประมาณ 794 ล้านบาท จาก 2 ช่องจราจร ไปกลับ เป็น 4 ช่องไปกลับ มีล่าสุดมีความคืบหน้าแล้ว 91% โดยมีการปูผิวจราจรเกือบเสร็จทั้งหมดแล้ว เหลือไม่ถึง 50 เมตร คาดว่าจะปูผิวจราจรแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.นี้ ส่วนการก่อสร้างสะพาน บริเวณห้วยซับบอน พื้นที่ ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้ เพราะการก่อสร้างต้องผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต้องใช้ความระมัดระวังด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ 

ทั้งนี้เมื่อแล้วเสร็จทั้งงานถนนและงานสะพานจะตีเส้นจราจร ติดตั้งป้ายจราจร และไฟส่องสว่าง คาดว่าจะเปิดให้สัญจรอย่างไม่เป็นทางการได้ก่อนช่วงหยุดยาววันอาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา วันที่ 24-28 ก.ค.64 เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางได้รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น หลังจากนั้นจะเก็บรายละเอียดงาน เช่น งานปูผิวคอนกรีต และ งานกำแพงคอนกรีต (แบริเออร์) ให้แล้วเสร็จและเปิดให้สัญจรอย่างเป็นทางการเดือน ส.ค.-ก.ย.64 

สำหรับการก่อสร้างถนนสายนี้ ที่ผ่านมามีกำหนดแล้วเสร็จเดือน มิ.ย.นี้ แต่ได้เลื่อนแผนงานออกไป เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะการขาดแคลนแรงงาน จากเดิมที่ยังไม่มีการระบาดมีแรงงานประมาณ 200 กว่าคน เมื่อระบาดครั้งนี้เหลือแรงงานไม่ถึง 100 คน หายไปเกินครึ่ง เพราะแรงงานส่วนใหญ่ที่เป็นคนไทยหวาดกลัวการติดเชื้อฯ ในกลุ่มแคมป์คนงานก่อสร้าง จึงตัดสินใจกลับภูมิลำเนา รวมทั้งยังคุมเข้มห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามจังหวัด ทำให้ผู้รับจ้างจัดหาแรงงานมาทดแทนค่อนข้างยาก จึงต้องบริหารแรงงานที่เหลือให้สอดคล้องกับงานมากที่สุด เช่น เปิดให้ทำงานล่วงเวลาตามความเหมาะสม เพื่อเร่งรัดงานให้ได้มากและกระทบแผนก่อสร้างน้อยที่สุด

หมอเบิร์ท แจง ฉีดวัคซีน เข็ม 1-2 ต่างยี่ห้อ อยู่ระหว่างวิจัยของหลายประเทศ แต่ยังไม่มีใครกล้าสรุป ว่าได้ประสิทธิภาพมากกว่ายี่ห้อเดียวกัน รับ มีวิจัยฉีดเข็มสามด้วย

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อหนึ่ง แต่พอเข็มสองได้รับวัคซีนต่างยี่ห้อกัน ตามหลักการแล้วเป็นไปได้หรือไม่ ว่า สำหรับวัคซีนเข็มหนึ่งเข็มสองคนละยี่ห้อนั้น ในโลกโซเชียลของคนไทยเราก็ได้มีการสอบถามกันมาก และในต่างประเทศเองก็มีความสงสัยในกรณีนี้เช่นกัน เรียนว่าโดยเริ่มต้นมีที่มาส่วนหนึ่งจากการที่มีพี่น้องประชาชนฉีดวัคซีน โควิด-19 ยี่ห้อใดก็ตามแล้วเกิดการแพ้วัคซีนนั้นอย่างรุนแรงซึ่งในต่างประเทศมีเกิดขึ้นแล้ว ตรงนั้นเมื่อมีการแพ้วัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อแรกจึงเป็นข้อห้ามที่ไม่สามารถจะฉีดสามเข็มสองได้ในหลายประเทศจึงมีมาตรการที่จะต้องจัดหาวัคซีนคนละยี่ห้อ ซึ่งอาจจะเป็นการใช้วัคซีนที่มีวิธีการผลิตต่างกันไปเลยเพื่อไม่ให้เกิดการแพ้

ดังนั้นเมื่อมีการเก็บข้อมูลการใช้วัคซีนคนละยี่ห้อในทางการแพทย์จึงต้องมีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายหน่วยงานพยายามศึกษาอยู่ หรือแม้แต่ที่สหรัฐอเมริกา เกาหลี ก็มีความพยายามที่จะศึกษาอยู่เช่นกัน โดยในเบื้องต้นมีการนำการวัดภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น ทั้งจากคนที่ติดเชื้อโดยธรรมชาติ การใช้วัคซีนยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง เข็มที่หนึ่งเข็มที่สองเหมือนกันมาเทียบกันกับคนที่ ฉีดเข็มหนึ่งเข็มสองคนละยี่ห้อ 

อย่างไรก็ตามมีการปฏิบัติจริงแต่ต้องเรียนว่าการศึกษาวิจัยเหล่านั้นอย่างไม่มีใครที่จะกล้าสรุปว่าจะได้ประสิทธิภาพดีกว่า เพราะฉะนั้นการที่บริษัทผู้ผลิตได้ทำการวิจัยมานานกว่าและมีตัวอย่างการศึกษามากกว่าแล้วสรุปว่าให้ฉีดเข็มหนึ่งเข็มสองเป็นวัคซีนชนิดเดียวกันอันนั้นยังเป็นหลักการที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ แต่เรื่องของเข็มหนึ่งเข็มสอง หรือแม้แต่กระทั่งเข็มสามที่มีการพูดถึง ก็ถือเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ และคงได้ติดตามในรายละเอียดขอให้ฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและทางกระทรวงสาธารณสุขด้วย

“วรวุฒิ” ชูไอเดีย พลิกวิกฤตโควิด เป็นโอกาส เปิดศูนย์เทคโนโลยีชุมชน ช่วยเอสเอ็มอีและเกษตรกร ค้าขายออนไลน์ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เติบโตก้าวกระโดด

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวในคลับเฮาส์ในหัวข้อ “คลินิกเอสเอ็มอี” ว่า หลายครั้งที่เรามักได้ยินว่า ใครที่เกิดมาจนไม่มีวันจะรวยได้ คนรวยทุกวันนี้ก็เพราะมีพื้นฐานพ่อแม่ที่ร่ำรวย ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยส่วนตัวก่อนที่จะมีธุรกิจหมื่นล้าน ผมก็เริ่มมาจากคนยากจนธุรกิจเครื่องเขียนห้องแถวเล็กๆ กำลังจะเจ๊ง เราโดนดูถูกทั้งด้วยคำพูดและสายตา มันจึงเป็นแรงผลักให้เราฮึดสู้และตั้งใจว่าสักวันจะต้องมีบริษัทเครื่องเขียนที่ที่ได้มาตรฐานสูงและดีกว่าบริษัทใหญ่ที่เคยดูแคลนธุรกิจครอบครัวของเรา 

“คนไทยชอบมองว่าประเทศนี้ขาดแคลนโอกาส แต่ในสายตาของต่างชาติเขากลับมองว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส เพราะบ้านเรายังขาดแคลนอะไรอีกเยอะมาก มันมองคนละมุม ยกตัวอย่างที่เกาะแห่งหนึ่งไม่มีใครใส่รองเท้าแตะเลยสักคน จึงไม่มีใครขายรองเท้าแตะเลยสักร้าน เพราะกลัวจะขายไม่ได้ แต่อีกคนกลับมองว่านั่นเป็นโอกาสที่จะไปเปิดร้านขายรองเท้าแตะเพราะไม่มีคู่แข่ง ผมเองก่อนที่จะทำบริษัทออฟฟิศเมท ตอนนั้นมีร้านเครื่องเขียนอยู่แล้ว 5,000 กว่าร้าน คนมักมองว่า ร้านเครื่องเขียนอุปกรณ์ออฟฟิศก็แค่ซื้อมาขายไป กำไรไม่ได้มากมายอะไร แต่ความจริงแล้วผมมองว่า เวลานั้นร้านเครื่องเขียนมาตรฐานสูงยังมีน้อย และที่สำคัญในตลาดโมเดิร์นเทรดยังไม่มีใครทำ ถ้ามีใครมาจัดมาตรฐานธุรกิจนี้ให้สูง คนนั้นชนะ ผมเลยตัดสินใจทำออฟฟิศเมทจนประสบความสำเร็จ ประเทศไทยมีอะไรที่ต้องสร้างอีกเยอะ เพราะมีปัญหาเยอะมาก หากแก้ปัญหาได้ถูกจุด คนนั้นก็จะรวยได้” นายวรวุฒิ กล่าว  

นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า พรรคกล้า ได้จัดคลับเฮาส์เพื่อระดมสมองกัน โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาสะท้อนปัญหาต่างๆ จนนำไปสู่การหารือกันในทั้งภาครัฐ เอกชน นักธุรกิจ เจ้าสัวใหญ่อย่าง ห้างเดอะมอลล์ และเซ็นทรัลที่มองว่า ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อให้กับร้านอาหารที่เป็นธุรกิจหลักที่มีเป็นจำนวนมากในประเทศไทย และในที่สุดก็เกิดโครงการ จับคู่กู้เงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร และหากท่านใดที่เคยไปติดต่อธนาคารแล้วไม่ได้รับอนุมัติ อยากให้ท่านลองไปติดต่ออีกครั้งและเตรียมเอกสารให้พร้อม หากมีปัญหาอะไรติดต่อมายังพรรคกล้าเราพร้อมที่จะประสานงานให้ เราพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง 

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงโครงการ แซนด์บ๊อกซ์ ของรัฐบาลว่า เป็นเรื่องที่ควรทำมาตั้งแต่ช่วงต้นมีเพื่อล้อไปกับการฉีดวัคซีนของกลุ่มประเทศตะวันตก และในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเราการแพร่ระบาดก็ยังต่ำมาก เราพยายามส่งเสียงไปแต่ไม่ได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับการสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากด้วยการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ เพราะประเทศไทยมีทั้งกลุ่ม เอสเอ็มอี เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อยในต่างจังหวัดอีกมาที่ยังขายออนไลน์ไม่เป็น รัฐบาลน่าจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสกระตุ้นตลาดอีคอมเมิร์ส เพราะนอกจากจะเพิ่มรายได้ให้กับเอสเอ็มอีแล้วยังสามารถหยุดเชื้อได้เพราะคนไม่ต้องออกไปจับจ่ายสินค้าข้างนอก ซึ่งรัฐควรออกมาตรการช่วยเหลือหากใครค้าขายออนไลน์จะออกค่าขนส่งสินค้าให้ และควรส่งคนลงไปอบรมให้กับชาวบ้าน เชื่อว่าถ้าทำได้ภายใน 1 ปี การค้าขายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด 

“ในอนาคต รัฐควรจัดให้มีศูนย์เทคโนโลยีชุมชน โดยมีนักศึกษามาช่วยแนะนำเกษตรกร ซึ่งอาจจะเป็นคนเฒ่าคนแก่รู้จักการขาย รู้จักการใช้เทคโนโลยี และใช้มือถือเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ คนดีไซน์โครงการจะต้องเข้าใจระบบ เพราะหากไม่เข้าใจการออกนโยบายก็จะไม่ครบหลูบและเดินหน้าต่อไม่ได้ สินค้าเกษตรนอกจากขายตามฤดูกาลแล้ว ยังควรทำสินค้าแปรรูป ซึ่งรัฐต้องมีโครงสร้างมารองรับ โดยเฉพาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถ้าทำครบวงจร ผลิตของเกษตรกรจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาล และจะพ้นกับดักความยากจนอย่างแท้จริง” รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงเพจ “กล้าหางาน” ที่พรรคกล้าได้จัดทำขึ้น เพื่อช่วยคนหางานและงานหาคน ได้มาเจอกัน จนปัจจุบันสามารถช่วยคนหาได้งานทำเป็นจำนวนมากและ ผู้ประกอบการที่หาคนทำงาน ก็ได้บุคลากรที่มีคุณภาพสูงไปทำงานด้วย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมแชร์ตวามต้องการในเพจกล้าหางาน เป็นพื้นที่ของทุกคนที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

'นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ' ร่วมกิจกรรมโครงการด้วยรักและห่วงใยถึงข้าราชการตำรวจและครอบครัว ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19

คุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ คุณกาญจนา เงามุข อุปนายกสมาคมฯ พร้อมคณะสมาคมแม่บ้านฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมโครงการด้วยรักและห่วงใยถึงข้าราชการตำรวจและครอบครัว ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ณ สภ. หนองแซง จังหวัดสระบุรี​

ตามนโยบายของ 'พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข'​ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยได้มอบถุงยังชีพของสมาคมแม่บ้านฯ สมทบทุนโครงการอาหารกลางวัน และมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ให้กับข้าราชการตำรวจ และชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง

หลังจากนั้นท่านนายกสมาคมฯ ได้ร่วมประชุม และสอบถามความเป็นอยู่ รวมทั้งอาชีพเสริมของแม่บ้าน เช่น การทำขนมเปี๊ยะ และได้มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมในโครงการโคกหนองนาของ สภ.หนองแซง มีการปลูกพืช ผัก สวนครัว เกษตรอินทรีย์ ปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ไข่ นำผลิตผลที่ได้มาประกอบอาหารเลี้ยงแจกจ่ายชุมชน และบางส่วนนำไปขาย เพื่อนำรายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการฯ 

จากนั้นท่านนายกฯ และคณะฯ ได้รับฟังบรรยายสรุปและเยี่ยมชมโครงการฯ ร่วมกิจกรรมปล่อยปลา ปลูกต้นไม้ โดยมี คุณนฤมล บัวรับพร ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี,​ ผบก.ภ.จว.สระบุรี,​ ผกก.สภ.หนองแซง,​ ข้าราชการตำรวจ สภ.หนองแซง และ คณะแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมให้การต้อนรับ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top