Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

กองทัพเรือ และ Top Radio 93.5 ต้อนรับกลุ่มเด็กพิการซ้ำซ้อน อบอุ่น

(20 พ.ย. 67) ที่บริเวณบ้านรับรองหาดน้ำใส ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันอังคารที่ 19 พ.ย.ศกนี้ พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ พร้อมคณะประกอบด้วย พล.ร.ท.ธันยกร เสนาลักษณ์ เจ้ากรมกิจการพลเรือน ทหารเรือ และ พล.ร.ต.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ได้ไปร่วมให้การต้อนรับ “กลุ่มเด็กตาบอดพิการซ้ำซ้อน” จาก “โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา” รวมทั้งผู้อำนวยการและครูผู้ดูแลเด็ก ๆ จำนวน 91 คน ซึ่งเดินทางมาจากสถานที่ตั้งใน กทม.และมาพำนักที่บ้านรับรองริมหาดน้ำใส ซึ่งอยู่พื้นที่รับผิดชอบของ “หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ” กองเรือยุทธการ หรือ หน่วยซีล หรือมนุษย์กบของราชนาวีไทย (Navy Seal) ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.67 รวม 3 วัน 2 คืนภายใต้โครงการ “พาน้องตาบอดพิการซ้ำซ้อนเที่ยวทะเล” ประจำปี พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นกิจกรรมปันน้ำใจให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคมที่ได้รับการสร้างสรรค์ของคณะผู้จัดรายการวิทยุ TOP RADIO จากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย 93.5 ม.ฮ. ได้แก่ ดี.เจ.เทวี แย้มสรวล, ดี.เจ.นฤทธิ์ พันธุเมธา และ ดี.เจ.มธุรส โอสถานนท์ ได้ร่วมกันดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว

พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีพร้อมกับแสดงความขอบคุณคณะผู้จัดรายการวิทยุฯ ที่เลือกบ้านพักรับรองหาดน้ำใสเป็นแหล่งพำนักเพื่อเรียนรู้และสร้างประสบการณ์แก่เด็ก ๆ ผู้ด้อยโอกาส โดยบรรดาครูได้ปฏิบัติหน้าที่และคลุกคลีอยู่กับเด็กอย่างใกล้ชิด ได้ผ่อนคลายจากภาระหน้าที่ควบคู่ไปพร้อมกัน อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้ทหารเรือ ได้มีส่วนร่วมในการปันน้ำใจให้แก่กลุ่มเด็ก ๆ ผู้พิการซ้ำซ้อนและครูผู้เสียสละในครั้งนี้ด้วย
โดยกองทัพเรือ ได้สำรองห้องพักที่บ้านรับรองหาดน้ำใสไว้ตลอด 3 วัน 2 คืน โดยได้จัดอาหารเย็นไว้ต้อนรับดูแลในวันแรก พร้อมกับจัดวงดนตรีไปขับกล่อมด้วย ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน พล.ร.ท.ธันยกร เสนาลักษณ์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ได้ลงไปร่วมดูแลหนูน้อยที่กำลังสนุกสนานบันเทิงกับการได้สัมผัสบรรยากาศในการเล่นน้ำทะเล ซึ่งนอกจากจะมีบรรดาครูพี่เลี้ยงลงไปดูแลแล้ว ยังได้จัด “มนุษย์กบ” ลงไปประจำในทะเล เพื่อดูแลโดยมิให้คลาดสายตาตลอดเวลา ทั้งนี้ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ประจักษ์อย่างใกล้ชิดในความน่าสงสาร-น่าเห็นใจของบรรดาเด็ก ๆ ผู้พิการซ้ำซ้อน และดีใจมากที่มีส่วนช่วยสร้างความสุขสนุกสนานให้พวกเขาตอนเล่นน้ำทะเลที่หาดน้ำใส แถมยังมีโอกาสได้ร่วมต้อนรับดูแล ถึง 3 วัน 2 คืนอีกด้วย ต้องขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณกลุ่มผู้จัดรายการวิทยุ TOP RADIO และทีมงานที่ร่วมโครงการ ขอเป็นกำลังใจให้เดินหน้าทำโครงการดี ๆ อย่างนี้ต่อไป ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่ากองทัพเรือพร้อมให้การส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มใจต่อไป อนึ่ง โครงการ “พาน้องตาบอดพิการซ้ำซ้อนเที่ยวทะเล” ได้จัดต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว โดยได้ว่างเว้นไป 2 ปี ที่เกิดการแพร่ระบาดของ “โควิด 19” เท่านั้น ซึ่งก่อนถึงกำหนดจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง คณะผู้จัดรายการวิทยุ TOP RADIO 93.5 ม.ฮ.จะมีการจัดกิจกรรมหาทุนด้วยการจัด Retro Party Charity Concert และเชิญชวนบรรดาผู้ฟังที่เป็นติดตามรายการได้มาร่วมสังสรรค์ สันทนาการและสมทบเงินเป็นกองทุนสนับสนุนโครงการฯ และเป็นที่น่ายินดีว่า บรรดาผู้ฟังได้ร่วมกันตอบรับสนับสนุนด้วยความเต็มใจตลอดมา

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เชียงใหม่-มณฑลทหารบกที่ 33 เปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวีรกรรมของบรรพชนไทย

มณฑลทหารบกที่ 33 เปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวีรกรรมของบรรพชนไทย ให้นักนักศึกษาวิชาทหาร เข้ามาศึกษาเรียนรู้ สร้างอุดมการณ์รักชาติและพระมหากษัตริย์

เมื่อวานนี้ (19 พ.ย.67)  เวลา 14.00 น.พลตรี ธีระ ผดุงสุทร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เป็นประธานเปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวีรกรรมของบรรพชนไทย บริเวณศูนย์ประสานงานทหารกองหนุนและมวลชน มณฑลทหารบกที่ 33 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 

ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 33 ร่วมกับสมาคมผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน และสถานศึกษาต่างๆ จัดทำห้องเรียนประวัติศาสตร์ขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย อันมีพระมหากษัตริย์และบรรพชนไทย ก่อร่างสร้างชาตินำพาประเทศให้พ้นภัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นการเผยแพร่วีรกรรมของผู้เสียสละเลือดเนื้อต่อสู้กับอริราชศัตรู ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง อันเป็นปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติและพระมหากษัตริย์ เกิดเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เกิดในผืนแผ่นดินไทย 

ที่ผ่านมาศูนย์การฝึกศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 33 ได้ประกวดการจัดนิทรรศกาลห้องเรียนประวัติศาสตร์ขึ้น ตกแต่งเป็นห้องต่าง ๆ มีสถานศึกษาเข้าร่วม 40 แห่ง พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่สถานศึกษาที่ชนะรางวัล และเปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ไว้ให้นักศึกษาวิชาทหารรุ่นหลังศึกษาต่อไป

20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิด โรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือได้ถือเอาวันที่ 20 พ.ย. ของทุกปี เป็น วันกองทัพเรือ

"1,500 ไมล์ ทะเลไทยมีนาวีนี้เฝ้า"   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดโรงเรียนนายเรือ ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 โดยทรงเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนากองทัพเรือ จึงได้ทรงตั้ง "วันกองทัพเรือ" ขึ้น เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงก่อตั้งสถาบันหลักของกองทัพเรือ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนากิจการทหารเรือให้เจริญก้าวหน้าและมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

ในสมัยโบราณ การแบ่งแยกกำลังรบทางเรือจากทางบกยังไม่เป็นระบบ จนกระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงริเริ่มการแยกกำลังรบทางเรือออกจากกำลังบก เมื่อครั้งเริ่มตั้งกรมทหารเรือ กิจการทหารเรือบางประเภทยังขาดบุคลากรที่มีความรู้และความชำนาญ จึงจำเป็นต้องจ้างชาวต่างชาติให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้บังคับการเรือและผู้บัญชาการป้อมต่าง ๆ

หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า การที่กองทัพเรือยังพึ่งพาบุคลากรจากต่างประเทศไม่สามารถรับประกันการรักษาอธิปไตยของชาติได้ดีเท่ากับคนไทยเอง พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ให้มีการศึกษาอบรมทหารเรือไทยให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับตำแหน่งต่าง ๆ ในกองทัพเรือแทนชาวต่างชาติ โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรส เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 และได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาในสมุดเยี่ยมของโรงเรียนความว่า:  

“วันที่ 20 พฤศจิกายน ร.ศ. 125 เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ ซึ่งได้เห็นการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบต่อไปในภายหน้า”   

‘คงกระพัน’ เผยผลประกอบการ ปตท. 9 เดือน ยังแข็งแกร่ง เดินหน้ารุกธุรกิจคาร์บอนต่ำ หนุนเติบโตรับกระแสพลังงานโลก

(19 พ.ย. 67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 80,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,502 ล้านบาท หรือ 2 % เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ ในเดือนมีนาคม2567 มีกำไรจากการขายเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และ Life Science รวมทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น 

แม้ว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของ ปตท. และบริษัทย่อยลดลง เช่น ธุรกิจการกลั่นที่มี Market GRM ที่ปรับลดลง รวมทั้งมีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีกำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น จากผลกระทบของนโยบาย Single Pool ในปีนี้ รวมถึงจากการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจปิโตรเคมี ทั้งนี้ กำไรที่มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. คิดเป็น 78% และมาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 22% แบ่งเป็นกำไรที่มาจากธุรกิจ Hydrocarbon 94% และธุรกิจ Non-Hydrocarbon 6% โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 42,669 ล้านบาท เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยยั่งยืนอย่างสมดุล

ทั้งนี้ ซีอีโอ ปตท. ยังได้เน้นย้ำเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างสมดุล มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) สอดรับกับทิศทางการเติบโตของธุรกิจพลังงานโลก  ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ Climate Resilience Business ปรับ Portfolio ธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All 

พร้อมทั้ง ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. โดยศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ ได้รับประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการจัดการขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4.848 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า อีกทั้งศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินีได้ขยายผลองค์ความรู้ในการจัดการของเสีย ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 6.848 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สะท้อนการบูรณาการทุกภาคส่วน พร้อมส่งต่อองค์ความรู้ในการร่วมลดการปลดปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม 

นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) และธุรกิจไฮโดรเจน เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของบริษัทในกลุ่ม อีกทั้งยังมีการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม และมีเป้าหมายนำไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับเชื้อเพลิงหลักเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในอนาคต

อย่างไรก็ดี นอกจากพันธกิจหลักในการรักษาเสถียรภาพทางพลังงานแล้ว ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ได้ร่วมช่วยเหลือและดูแลสังคม เร่งบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์วิกฤต โดยได้ส่งมอบความช่วยเหลือแก่พี่น้องผู้ประสบเหตุอุทกภัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม ประกอบด้วย ถุงยังชีพ 25,170 ถุง น้ำดื่ม 81,740 ขวด ยารักษาโรค ผ้าห่ม เรือพาย และก๊าซหุงต้มเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร รวมมูลค่ากว่า 15.73 ล้านบาท อีกทั้งได้ส่งทีมปฏิบัติการ PTT Group SEALs ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ยากแก่การเข้าถึง พร้อมสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการมอบถุงยังชีพ อพยพประชาชน และน้ำมันเชื้อเพลิงในการฟื้นฟูพื้นที่และบ้านเรือนในจังหวัดสุโขทัย เชียงราย และเชียงใหม่อีกด้วย

“ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต ควบคู่กับการดูแลสังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย พร้อมสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล มุ่งสู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดร.คงกระพัน กล่าว

พร้อมกันนี้ ดร.คงกระพัน ยังได้กล่าวถึงธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งบริษัทได้ร่วมมือกับ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn Group)  ผู้นำการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก สัญชาติไต้หวัน เพื่อดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิต EV ในประเทศไทย ด้วยว่า ปัจจุบันโรงงานได้หยุดดำเนินการไปก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร เนื่องจากมีความต้องการให้พันมิตรดังกล่าว เป็นผู้ดำเนินการหลัก เพราะมีความเชี่ยวชาญ โดยหากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง

ก่อนหน้านี้ PTT ลงนามความร่วมมือกับ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn Group) โดยอนุมัติให้ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) บริษัทย่อย PTT จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด (Foxconn)ภายใต้บริษัท JV ชื่อ บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) โดย Arun Plus ถือหุ้น 60% และ Lin Yin ถือหุ้น 40%

กต. เปิดตัวตราสัญลักษณ์ ครบรอบสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตสองชาติ

(19 พ.ย. 67) กระทรวงการต่างประเทศได้จัดงานเปิดตัวตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สุราลัย ฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม 

งานนี้จัดขึ้นร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ โดยได้รับเกียรติจากนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นประธานในงาน พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายแขนงที่มาร่วมงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเปิดงานว่า ความสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีนที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมั่นคงตลอด 50 ปี นับตั้งแต่การลงนามในแถลงการณ์ร่วมในปี 2518 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีความร่วมมือที่ไม่เคยหยุดยั้ง แม้ว่าโลกและสถานการณ์ภายในประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลง และถือเป็นความสำเร็จสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศที่ครบรอบ 150 ปีการสถาปนาในปี 2568 เช่นกัน

งานนี้ยังมีการเสวนาจากผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี และบทบาทของหน่วยงานในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย-จีน

กระทรวงการต่างประเทศยังได้ประกาศความร่วมมือพิเศษกับ POP MART INTERNATIONAL GROUP LIMITED ในการจัดทำ Dimoo รุ่น Limited Edition ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2568

ภายในงานยังมีการแสดงพิเศษจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในชุด 'ตอแบ๋ตั่วะ' ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ของคณะงิ้วสตรีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และการแสดงจากศิลปินพิเศษ 'นนกุล' ที่ได้รับความนิยมทั้งในไทยและจีน

ตราสัญลักษณ์ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ถูกออกแบบร่วมกันโดยกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ โดยใช้ภาพพญานาคและมังกร สัตว์มงคลของทั้งสองประเทศ มารวมกันเป็นเลข 50 ซึ่งแสดงถึงการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะนำตราสัญลักษณ์นี้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่าง ๆ สามารถนำมาใช้ได้ตามความเหมาะสมในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนนี้

ญี่ปุ่นเล็งใช้รถรางไฮโดรเจนจากจีน ขึ้นภูเขาฟูจิ เมินบริษัทในประเทศ หวั่นกระทบสิ่งแวดล้อม

(19 พ.ย.67) รัฐบาลท้องถิ่นจังหวัดยามานาชิ เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาใช้ระบบขนส่งพลังงานไฮโดรเจนจากบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ วีฮิเคิลส์ ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจากจีน เพื่อพัฒนาระบบขนส่งแทนการเดินเท้าขึ้นภูเขาไฟฟูจิ แทนการใช้ระบบรถรางจากบรรดาบริษัทในท้องถิ่นของญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทผู้วางระบบรถรางในญี่ปุ่นยังไม่สามารถตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการให้บริการของรถรางบนภูเขาไฟฟูจิได้เท่ากับระบบของทางจีน

ระบบขนส่งรถไฟอัจฉริยะไร้รางของจีน หรือ Autonomous Rail Rapid Transit (เออาร์ที) มีลักษณะคล้ายกับรถรางและรถบัส โดยเคลื่อนที่ด้วยล้อยางและวิ่งบนถนนแทนการใช้ราง ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังไฮโดรเจนเป็นหลัก ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบทั้งในช่วงการวางระบบ และการให้บริการ ต่างจากบรรดาผู้พัฒนารถรางญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่เสนอให้ใช้รถรางระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบในช่วงการก่อสร้างและระหว่างการให้บริการ

นายโคทาโร นางาซากิ ผู้ว่าราชการจังหวัดยามานาชิ กล่าวว่า 'โครงการรถรางฟูจิ' จะช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างได้มาก และยังสามารถช่วยลดความแออัดในช่วงฤดูร้อน รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่เขาหวังว่า บริษัทญี่ปุ่นจะเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบโครงการนี้ พร้อมเสริมว่า การตั้งฐานการผลิตของบริษัทที่ได้รับสัมปทานในจังหวัดยามานาชิจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ทางการจังหวัดยามานาชิได้ประกาศแผนการสร้างระบบขนส่งรางเบาไปยังสถานีที่ 5 บนภูเขาฟูจิซึ่งอยู่ที่ระดับความสูง 2,305 เมตร ตั้งแต่ปี 2021 โดยปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถขับรถขึ้นทางด่วนไปยังจุดดังกล่าวแล้วเดินเท้าต่อไปยังยอดภูเขาฟูจิที่อยู่สูง 3,776 เมตร

มีการประเมินว่าต้นทุนการก่อสร้างอาจอยู่ที่ 140,000 ล้านเยน (ราว 31,000 ล้านบาท) ในขณะที่รายงานระหว่างกาลเมื่อเดือนที่แล้วได้เน้นย้ำถึงความท้าทายทางเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงเบรกและแบตเตอรี่ที่ทำงานได้ในสภาพอากาศหนาวเย็น หากมีการเลือกใช้ระบบรถรางไฟฟ้าจากผู้ผลิตในประเทศ

โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานได้ในปี 2034 โดยรถรางจะเชื่อมต่อภูเขาฟูจิกับสถานีระดับภูมิภาค และในระหว่างนี้จะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในทุกมิติ รวมถึงการทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ทำดีมากแล้ว เชื่อคนไทยปลื้มให้กำลังใจ หลังชวดมง คว้ารองอันดับ 3 Miss Universe 2024

วันที่ (19 พ.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่น้องโอปอล หรือ น.ส.สุชาตา ช่วงศรี Miss Universe Thailand ได้รับรางวัลรองอันดับ 3 ในการประกวด Miss Universe 2024 ว่า

"ส่วนตัวได้ทราบข่าวแต่ไม่ได้ดูการประกวดในช่วงเวลานั้น เนื่องจากติดประชุมเอเปค แต่ขอชื่นชมว่าน้องโอปอลสวยมาก และอยากให้กำลังใจน้องเสมอ เมื่อเราส่งตัวแทนไทยไปแข่งขัน เราก็มักจะรู้สึกภูมิใจอยู่แล้ว เพราะน้องทำได้ดีมาก และไม่ว่าอย่างไร ก็ถือเป็นตัวแทนของประเทศและเป็นสีสันให้กับคนไทย เชื่อว่าเมื่อคนไทยเห็นก็จะส่งกำลังใจให้น้องอย่างเต็มที่" นายกฯ กล่าว

รัสเซียยินดี 'อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย' ร่วมเป็นชาติพันธมิตรกลุ่ม BRICS

(19 พ.ย.67) สำนักข่าว sputnik รายงานว่า นายอเล็กซานเดอร์ ปันกิน รองรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า แสดงความยินดีต่อ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่กลายเป็นชาติพันธมิตรรายใหม่ของกลุ่ม BRICS แล้ว

นายปันกิน กล่าวว่า การประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซานแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของกลุ่มประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่จะสร้างระเบียบโลกที่ยุติธรรม ปฏิรูปสถาบันระดับโลก และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม อีกทั้งมีการบรรลุข้อตกลงชุดหนึ่งที่มั่นคงเกี่ยวกับการค้า การลงทุน ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานและสภาพอากาศ และโลจิสติกส์

พวกเรามีเพื่อนร่วมงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) เพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ได้กลายเป็นหุ้นส่วนอย่างเป็นทางการของกลุ่มเราแล้ว

ทั้งนี้ กลุ่ม BRICS เป็นสมาคมระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 รัสเซียรับตำแหน่งประธานกลุ่มแบบหมุนเวียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา โดยปีนี้มีสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมเป็นชาติพันธมิตรกับกลุ่มมากขึ้นหลายประเทศ

วิจัยชี้ อเมริกาโครงสร้างพื้นฐานแย่ ทำรถ EV ในสหรัฐฯ ปีนี้ชะลอตัว

(19 พ.ย. 67) คอกซ์ ออโตโมทีฟ (Cox Automotive) บริษัทวิจัยตลาดของสหรัฐฯ เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในสหรัฐฯ เติบโตช้าลงในปี 2024 โดยคาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) อยู่ที่ 346,309 คัน คิดเป็นเกือบร้อยละ 9 ของยอดจำหน่ายยานยนต์ทั้งหมด

ห้องปฏิบัติการแห่งชาติอาร์กอนน์ ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุว่ายอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินในสหรัฐฯ ช่วงปี 2023 รวมอยู่ที่ 1.4 ล้านคัน คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 9 ของยอดจำหน่ายยานยนต์ทั้งหมดในปีดังกล่าว และเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 จากปี 2022

เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่ายอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตช้าลงในปี 2024 อาจเป็นผลจากความลังเลจะซื้อขายแลกเปลี่ยนยานยนต์ที่ใช้น้ำมันของผู้ขับขี่ เพราะกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ ซึ่งเพิ่มขึ้นช้ากว่ายอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า

ขณะการวิจัยที่นำโดยนักวิจัยของโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด (HBS) พบว่าอุปกรณ์ชาร์จที่พังเสียหายถือเป็นปัญหา โดยหนึ่งในห้าของอุปกรณ์ชาร์จไม่ทำงานเมื่อผู้ขับขี่มาถึง

ทีมนักวิจัยของห้องปฏิบัติการพลังงานหมุนเวียนแห่งชาติสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าสหรัฐฯ มีเสาชาร์จสาธารณะกว่า 2 แสนต้น กระจายอยู่ทั่วสถานีชาร์จราว 74,000 แห่ง แต่สหรัฐฯ จะต้องมีเสาชาร์จอีกมากกว่า 1 ล้านต้นภายในปี 2030 เพื่อตอบสนองได้ทันกับยอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า

Apple ง้อ อิเหนา!! ทุ่มเงินลงทุนอีก 100 ล้านดอลลาร์ หวังอินโดนีเซียปลดแบนขายไอโฟน 16

บริษัทแอปเปิล (Apple) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มการลงทุนในอินโดนีเซียเป็นจำนวนถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 ล้านบาท) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลอินโดนีเซียยกเลิกคำสั่งห้ามขายไอโฟน 16

ตามรายงานจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) วันนี้ (19 พ.ย.67)  แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า ข้อเสนอใหม่นี้มีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นจำนวนเงิน 10 เท่าจากแผนการลงทุนเดิม

ก่อนหน้านี้ แอปเปิลเคยมีแผนการลงทุนมูลค่าเกือบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 346 ล้านบาท) ในการตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์เสริมและส่วนประกอบในเมืองบันดุง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา

อย่างไรก็ตาม หลังจากแอปเปิลยื่นข้อเสนอใหม่เพื่อเพิ่มการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียที่เคยสั่งห้ามการขายไอโฟน 16 ได้เรียกร้องให้แอปเปิลปรับแผนการลงทุน โดยให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาสมาร์ทโฟนในอินโดนีเซียมากขึ้น กระทรวงยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอล่าสุดจากแอปเปิล

การห้ามขายไอโฟน 16 เกิดขึ้นหลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซียระบุว่าแอปเปิลไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการใช้วัสดุภายในประเทศในการผลิตสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลจากรัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า แอปเปิลลงทุนในประเทศนี้เพียง 95 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,200 ล้านบาท) ผ่านศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งยังไม่ถึงข้อตกลงที่กำหนดไว้ที่ 107 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,700 ล้านบาท) โดยมีกรณีเดียวกันเกิดขึ้นกับการระงับการขายโทรศัพท์พิกเซลของกูเกิล

การดำเนินนโยบายเข้มงวดของอินโดนีเซียดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จ โดยการห้ามจำหน่ายไอโฟน 16 ได้กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ใช้กดดันให้บริษัทต่างชาติลงทุนและเพิ่มการผลิตในประเทศ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top