Tuesday, 13 May 2025
Hard News Team

“สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้ 10,000 บาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน ปลอดเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก รัฐบาลตั้งเป้าช่วยเหลือสภาพคล่องประชาชนกว่า 2 ล้านคน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัว “สินเชื่อสู้ภัย COVID–19” สำหรับผู้มีรายได้ประจำ อาชีพอิสระ เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยอนุมัติวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ผ่านการให้สินเชื่อของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงินธนาคารละ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถช่วยผ่อนคลายภาระทางการเงินในเบื้องต้นให้กับประชาชนได้กว่า 2 ล้านคน  ทั้งเพิ่มสภาพคล่องในการประกอบกิจการ หรือที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน  บรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดรายได้จากมาตรควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระหว่างที่รัฐบาลเร่งบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด 

โดยธนาคารออมสิน เปิดให้ "สินเชื่อสู้ภัย COVID-19" แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้ประจำ (ไม่รวมผู้มีรายได้ประจำจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ) ในขณะที่ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้แก่เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ซึ่งผู้ที่จะกู้จากทั้ง 2 ธนาคารนี้ จะต้องมีสัญชาติไทย และอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยสินเชื่อในโครงการ “สินเชื่อ สู้ภัย COVID–19” เป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน (Clean Loan) สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นกำหนดไว้คงที่ (Flat Rate) ที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก ระยะเวลาการขอกู้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 ธันวาคม 2564

สำหรับธนาคารออมสิน ในระยะแรกของโครงการเพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าธนาคาร ที่เปิดใช้แอปพลิเคชัน MyMo อยู่แล้วก่อนวันที่ 1 พ.ค. 2564 ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 9 ล้านคน โดยเริ่มจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 6 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี สมุทรปราการ และเชียงใหม่ สามารถยื่นกู้ได้ทางแอปพลิเคชัน MyMo ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากนั้นในระยะต่อไปจึงจะขยายให้บริการลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 20 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ตามด้วยลูกค้ากลุ่มอื่นที่ไม่มีแอพพลิเคชัน MyMo 

ขณะที่ ธ.ก.ส. เปิดให้ร่วมโครงการผ่าน LINE Official โดยดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555

“รัฐบาลยังมีมาตรการด้านการเงินสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจกลุ่มต่าง ๆ อาทิ พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS9 ของบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย และมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังได้มีการประชุมหารือร่วมกับทีมเศรษฐกิจทุกสัปดาห์ เพื่อเร่งพิจารณาแนวทางช่วยเหลือประชาชน และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มธุรกิจอย่างเหมาะสมที่สุด” นายอนุชา กล่าว

‘เสกสกล’ แช่ง ‘ฝ่ายค้าน’ ไม่นึกถึงความเดือดร้อนปชช. ให้เป็นฝ่ายค้านตลอดชีพ เหน็บ อยากเป็นรัฐบาลจนลืมตัว

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงพรรคฝ่ายค้านยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) ไต่สวนนายกรัฐมนตรี กรณีแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ล้มเหลว ว่า ฝ่ายค้านเล่นการเมือง ในช่วงที่กำลังแก้ปัญหาสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และไม่เข้าใจเหตุผลของพรรคฝ่ายค้านหรือหากต้องการเข้ามาบริหารประเทศ ขอให้เข้ามาตามกระบวนการ อย่าใช้ทางลัดกระหายอำนาจจนลืมตัว ลืมนึกถึงประชาชน ให้เล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์เน้นการทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ประชาชนจะได้ไว้วางใจเลือกกลับเข้ามาเป็น ส.ส. อีก หรือถ้าทำตัวดีอาจได้เข้ามาเป็นรัฐบาล

นายเสกสกล กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีใครเข้ามาแก้ไขปัญหาโควิดได้ดีเท่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ บุคลากรการแพทย์ ดังนั้นอย่าทำอะไรให้เกิดความเข้าใจผิด และความสับสน หรือหวังล้มรัฐบาลอยากกลับมามีอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจนกล้ากระทำทุกอย่างแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่รับรู้วิกฤตความเดือดของประชาชน พฤติกรรมเช่นนี้ถ้ามาเป็นรัฐบาลช่วยอะไรประเทศชาติและประชาชนไม่ได้แน่นอน จึงขอสาปแช่งให้เป็นฝ่ายค้านตลอดชีพจะเหมาะสมที่สุด

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศเรื่อง ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจำกัดความเร็วและห้ามใช้เสียง บริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน (901 แลนด์) พ.ศ.2564 โดยมีสาระสำคัญว่า

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศเรื่อง ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจำกัดความเร็วและห้ามใช้เสียง บริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน (901 แลนด์) พ.ศ.2564 โดยมีสาระสำคัญว่า

ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยกำหนดให้จำกัดความเร็ว ไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกยมราช ถึงแยกพาณิชยการ

อีกทั้งห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน (901 แลนด์) ตามเงื่อนไข ดังนี้

1.) ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกยมราช ถึงแยกพาณิชยการ

2.) ถนนพระรามที่ 5 ตั้งแต่แยกพาณิชยการ ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร

3.) ถนนสวรรคโลก ตั้งแต่แยกยมราช ถึงแยกเสาวนีย์ ทั้งนี้ให้ยกเลิกข้อบังคับ กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใดที่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้

‘เฉลิมชัย’ สั่งลุยสกัดโรคลัมปี สกินในโค-กระบือ คุมเข้ม!! 'เฝ้าระวัง-ป้องกัน-ติดตามผล' ก่อนลุกลาม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ 'โรคลัมปี สกิน' (Lumpy Skin Disease) ในโค-กระบือ จึงได้มีคำสั่งให้กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการแก้ไขและควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด ด้วยมาตรการต่าง ๆ ทั้ง การเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมตามมาตรการที่กรมปศุสัตว์กำหนด พร้อมทั้งเร่งรัดการประกาศเขตควบคุม เช่น เขตโรคระบาดชั่วคราวฯ, เขตโรคระบาดฯ, เขตเฝ้าระวังฯ

นอกจากนี้ให้ควบคุมการเคลื่อนย้ายโค-กระบืออย่างเข้มงวด กรณีที่พบโรคระบาด หากสอบสวนแล้วพบว่าเกิดจากการเคลื่อนย้าย ปศุสัตว์จังหวัดต้นทางต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะเดียวกันให้ทางกรมปศุสัตว์กำชับด่านกักกันสัตว์ตามแนวชายแดนให้เข้มงวดป้องกันปราบปรามการลักลอบนำเข้าโค-กระบือจากประเทศเพื่อนบ้าน และป้องกันปราบปรามการลักลอบเคลื่อนย้ายโค-กระบือ พร้อมกำชับจุดตรวจให้เข้มงวดในการตรวจอาการ เป็นต้น และให้ทางกรมปศุสัตว์รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขและควบคุมการระบาดอย่างต่อเนื่อง

“ผมมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร ดังนั้นจึงกำชับให้กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการควบคุมป้องกันโรคลัมปี สกิน อย่างเข้มแข็ง จริงจังตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ทุกคนขอให้ทำงานโดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ใดทั้งสิ้น ตนเองพร้อมปกป้องและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นายเฉลิมชัย กล่าว

ด้าน นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของของการระบาดของ โรคลัมปี สกิน ในโค-กระบือ ที่พบในพื้นที่เขต 3, 4 และ 7 จนถึงขณะนี้ พบว่ามีแนวโน้มที่โรคจะแพร่กระจายไปในวงกว้าง ดังนั้นเพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ทางกรมปศุสัตว์ จึงกำหนดการแบ่งพื้นที่ควบคุมโรคออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1.) จังหวัดที่เกิดโรคและจังหวัดที่อยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตรจากจุดเกิดโรค

2.) จังหวัดที่อยู่นอกพื้นที่รัศมี 50 กิโลเมตรจากจุดเกิดโรค

และเพื่อให้มาตรการที่กรมปศุสัตว์สัมฤทธิ์ผล จึงได้มีหนังสือด่วนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เพื่อให้ช่วยกำกับติดตามดูแลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในแต่ละจังหวัดตามแนวทางของกรมปศุสัตว์

นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรคนั้น ทางกรมปศุสัตว์ ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติและสั่งการเป็นที่เรียบร้อย โดยให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดร่วมกับสำนักงานปศุสัตว์อำเภอประกาศเขตโรคระบาดสัตว์ ควบคุมการเคลื่อนย้าย การจัดการดูแลในส่วนของตลาดนัดค้าสัตว์ พร้อมให้มีการตั้งจุดตรวจเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตโรคระบาด

“ที่สำคัญอีกประการในเรื่องของการรักษาโค-กระบือที่ป่วยเป็นโรคลัมปี สกินของเกษตรกรในพื้นที่การระบาด ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ได้เข้าไปรักษาอย่างเต็มที่แล้ว แต่เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาโดยตรง จึงจำเป็นต้องรักษาตามอาการ และบำรุงร่างกายสัตว์ให้มีสุขภาพดี และรักษาแผลเพื่อป้องกันการแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันแมลงต้อมแผลหรือเข้ามาวางไข่ อีกทั้งเร่งสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรค เช่น การใช้หลอดไฟไล่แมลง และกางมุ้งเพื่อป้องกันแมลงดูดเลือด การใช้ยาฆ่าแมลงแบบพ่นและแบบราดบนตัวสัตว์ เป็นต้น พร้อมกันนี้ขอให้เกษตรกรเข้มงวดเฝ้าระวัง และสังเกตอาการสัตว์ของตนเอง หากพบว่ามีอาการของโรคให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที” นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าว


ข้อมูล/ข่าว : ทีมโฆษกกรมปศุสัตว์ (13 พ.ค 2564)

 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่าประเทศอินโดนีเซียสำรวจติดตามผลในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เป็นระยะเวลา 28 วัน หลังจากได้รับวัคซีน SINOVAC พบว่าวัคซีน SINOVAC สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% และป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 96%

ผลวิจัยการใช้งานจริงจากกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท SINOVAC ของจีนนั้น สามารถลดการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของอินโดนีเซียลงได้อย่างมาก ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาที่ต้องพึ่งพาวัคซีนดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีรายงานว่า วัคซีน SINOVAC มีประสิทธิภาพต่ำกว่าวัคซีนของบริษัทจากชาติตะวันตกอย่างมากในการทดลองทางคลินิก

นายบูดี กูนาดี ซาดิคิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์ว่า ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามผลกับบุคลากรทางการแพทย์ 25,374 รายในกรุงจาการ์ตาเป็นเวลา 28 วันหลังจากได้รับวัคซีน SINOVAC โดสที่สองจนถึงช่วงปลายเดือนก.พ. และได้พบว่าวัคซีนของซิโนแวกสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% รวมถึงป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 96% ภายในเวลาเพียง 7 วันหลังจากได้รับวัคซีน

นายซาดิคินกล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 94% ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและดีกว่าข้อมูลจากในการทดลองทางคลินิกที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้มาก อย่างไรก็ดี การวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ได้มีการคัดกรองบุคลากรเพื่อตรวจหาผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือไม่

นอกจากนี้นายซาดิคินยังระบุว่า อัตราการเสียชีวิตและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของบุคลากรทางการแพทย์นั้นลดลงอย่างมาก

ผลวิจัยครั้งนี้ยังสนับสนุนข้อมูลจากบราซิลที่ว่า วัคซีน SINOVAC นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ระบุไว้ในขั้นทดลอง ซึ่งประสบปัญหาหลายประการ ทั้งข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพที่ไม่แน่นอน รวมถึงข้อกังขาเกี่ยวกับความโปร่งใสของข้อมูล


ที่มา:

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4021194967927278&id=846555798724560

https://www.infoquest.co.th/2021/86197

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-05-11/china-s-sinovac-shot-found-highly-effective-in-real-world-study

รมว.ยุติธรรม แจงผู้ต้องขังติดเชื้อเยอะเหตุจากคนเข้าใหม่ ยันนายกฯ กำชับตลอดให้ดูแลให้ดี "ราชทัณฑ์" ยันไม่มีการปกปิดข้อมูล มีติดเชื้อระดับสีแดง 4 ราย เชื่อรับมือได้

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ประชุมร่วมกัน พร้อมแถลงข่าวกรณีมีผู้ต้องขังในเรือนจำติดโควิด-19 จำนวนมาก

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การป้องกันโควิดในเรือนจำ และผู้ต้องขังทั่วประเทศ แนวทางของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับตลอดให้หมั่นดูแลเอาใจใส่ เพราะหากติดเชื้อจะเกิดการลุกลามได้ง่าย ตอนที่รัฐบาลตั้งใหม่ ๆ ตนมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอนนั้นมีผู้ต้องขัง 390,000 คนทั่วประเทศ ตนจึงใช้นโยบายลดความแออัด จนขณะนี้ เหลือไม่ถึง 310,000 คน เราเตรียมการแก้ปัญหาลดความแออัด จากก่อนผู้ต้องขัง 1 คนมีพื้นที่ไม่ถึง 1 ตร.ม. หากโควิดเข้าไปจะยุ่งยาก ซึ่งตอนนี้เราปรับจนได้ 1.2 ตร.ม. ตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้กรมราชทัณฑ์ได้ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องขังประพฤติดี ข้อหาไม่ร้ายแรงอีกหลายหมื่นคน และใช้การพักโทษพิเศษ สวมกำไล EM 50,000 คน ซึ่งตอนนี้ติดกำไลแล้ว 20,000 คน รวมทั้งยังมีประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่อยู่ระหว่างพิจารณารัฐสภา ซึ่งจะปรับอัตราโทษผู้ต้องขังยาเสพติดให้เหมาะสม จะลดผู้ต้องขังได้เกือบ 50,000 คน นี่คือความพยายามแก้ปัญหาลดความแออัดในเรือนจำ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการตรวจหาเชื้อในเรือนจำ เราทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะได้รถพระราชทานตรวจโควิด ทำให้ตรวจได้เร็ว ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น และเรามีการส่งข่าวให้ญาติทั้งหมดทราบ แต่มีจำนวนมากทำไม่ได้เร็ว ซึ่งตามมาตรฐานสากล ผู้คุม 1 คนจะดูแลผู้ต้องขัง 6 คน แต่สำหรับประเทศไทย อัตราส่วนคือ 1 ต่อ 33 เพราะเรามีบุคลากรน้อย แต่เราทำงานเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันทุกคนเริ่มเข้าใจการทำงานของข้าราชการว่าเราทำงานเต็มที่ ซึ่งทุกเรือนจำข้างในเข้มงวดมาก แต่ 2 เรือนจำที่ติดเชื้อ เป็นเรือนจำที่รับผู้ต้องขังใหม่อยู่ตลอด ต่างจากเรือนจำอื่น ๆ ส่วนการออกไปศาล เราได้ประสานกับศาลแต่ละจังหวัดแล้ว ขอให้งดไปในระยะนี้ก่อน เชื่อว่าศาลท่านจะเข้าใจ และสถานการณ์จะคลี่คลายได้

"ผมขอยืนยัน รัฐบาล โดยท่านนายกฯ สั่งกำชับ ประสานงานมาตลอด ให้ดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างดี หากยาที่ได้จากสาธารณสุขไม่พอ ทางกรมราชทัณฑ์จะจัดซื้อเองเพื่อรักษาทุกคน ขอให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสบายใจได้ นอกจากนี้ยังมีการประสานจากแพทย์แผนไทย เรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรมาใช้ด้วย ยืนยันเราเตรียมพร้อมป้องกันเบื้องต้นมาตลอด" นายสมศักดิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการปิดข่าวว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อมาก่อนหน้านี้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราไม่มีการปิดข่าว เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างมาตลอด

ด้าน นพ.วีระกิตติ์ กล่าวว่า ไม่เคยมีการปิดบังข้อมูล รพ.ราชทัณฑ์มีการตรวจตลอด ซึ่งต้องกรอกเลขบัตรประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยในเดือน เม.ย. ตรวจพบเพียงหลักร้อยเท่านั้น โดย รพ. สามารถรองรับการตรวจเชื้อได้ทั้ง 2 เรือนจำ แต่อาจจะตรวจได้ช้า แต่เมื่อเราได้รถพระราชทาน จึงตรวจได้เร็วขึ้น และดำเนินการตามหลักการตรวจเชิงรุก 100% เพื่อแยกคนติดเชื้อออก

เมื่อถามว่า จังหวัดอื่น ๆ มีรายงานติดเชื้อหรือไม่

นพ.วีระกิตติ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส แต่ตอนนี้ควบคุมได้แล้ว ส่วนที่อื่น ๆ ดำเนินการตามสาธารณสุขยังไม่พบ ซึ่งเราได้มีการปรับเพิ่มการกักตัวใหม่เป็น 21 วัน และตรวจเชื้อ 2 ช่วง คือ ตอนเข้าและหลังกักตัว และใช้ราปิดเทส จะได้รวดเร็วในการคัดกรองมากขึ้น ส่วนการหาวัคซีนให้ผู้ต้องขัง ขณะนี้ ท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ลงนามอนุมัติจัดหาวัคซีนฉีดให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศแล้ว คาดว่าจะได้ภายในเดือนมิ.ย. จะเริ่มกลุ่มเสี่ยงสูง ผู้ที่มีโรคประจำตัวก่อน โดยตอนนี้ฉีดให้ข้าราชการที่ต้องทำงานในกลุ่มเสี่ยงไปบ้างแล้ว เรื่องเหล่านี้เราได้เตรียมความพร้อมไปแล้ว

เมื่อถามว่า ต้นตอจากการติดเชื้อมาจากไหน มีการสืบสวนโรคได้อย่างไรบ้าง นายอายุตม์ กล่าวว่า ในส่วนของทัณฑสถานหญิงกลาง มาจากผู้ต้องขังเข้าใหม่ ส่วนเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งทุกคนที่ตรวจพบเชื้อได้ส่งรักษาแล้ว มีการจำแนกผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทั้งหมดมีสีแดง 4 ราย มี 1 ราย ใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากโรคประจำตัว ซึ่งเรายังใช้แนวทางบับเบิ้ล แอนด์ ซีล และมีห้องกักโรคแยกชัดเจน ส่วนเรื่องของวัคซีน ได้ประสานอธิบดีกรมควบคุมโรคในการจัดหาแล้ว ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมกับสาธารณสุข ทำงานได้ทันเหตุการณ์ และได้แจ้งไปยังเรือนจำทั่วประเทศให้ควบคุมให้ดี

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรามีการสืบสวนโรคอยู่แล้ว หากผลออกมาเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีภาพหน้ากากที่บางมากในเฟซบุ๊ก ตนได้ให้สอบข้อเท็จจริงแล้ว หากอะไรที่เปิดเผยออกมาได้เผยปัญหาจะจบ ในส่วนของญาติผู้ต้องขังที่ไม่สบายใจ เรายืนยันดูแลอย่างดี และจะส่งข่าวกับญาติผู้ต้องขังให้รับรู้ และมีช่องทางให้ญาติติดต่อได้กับกรมราชทัณฑ์

‘แรมโบ้’ ยัน! จูงมือทนายแจ้งความ ฮาร์ท ทำในนามส่วนตัว ‘บิ๊กตู่’ ไม่ได้สั่ง ลั่น ข้อความ นายกฯ ที่ไหนฟ้องปชช. เป็นการดูหมิ่นนายกฯ

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล นักร้องชื่อดังโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า มีที่ไหนนายกฯ ฟ้องประชาชน ภายหลังตนเองและนายอภิวัฒน์ ขันทอง ผู้ช่วยรมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้เข้าแจ้งความกล่าวโทษที่ สน.นางเลิ้ง ว่า "การเข้าแจ้งความครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯ และนายกฯไม่ได้สั่งการใด ๆ แต่ทำในนามส่วนตัวและในฐานะประชาชน ซึ่งใครจะเข้าแจ้งความตามมาตรา 112 ย่อมได้ การแจ้งความกล่าวโทษนายสุทธิพงศ์ ที่ สน.นางเลิ้ง เป็นการกล่าวโทษเพื่อให้เจ้าพนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบว่ามีความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ เพราะเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ประชาชนทั่วไป ใครจะไปร้องทุกข์กล่าวโทษก็ได้หากเห็นว่านายสุทธิพงศ์ ได้โพสต์ข้อความเข้าข่ายการหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 สามารถร้องได้ทุกจังหวัดทุกที่ในประเทศไทย"

นายเสกสกล กล่าวว่า ดังนั้นการที่จะมาบอกว่านายกฯ เป็นคนสั่งการนั้นไม่เป็นความจริง นายกฯ ไม่ได้สั่งการให้ไปดำเนินคดี เพียงแต่ตนเองและนายอภิวัฒน์ เห็นว่าการโพสต์ของนายสุทธิพงศ์นั้น ประชาชนทราบดีว่ามีเจตนาที่จะกล่าวถึงสถาบันอย่างไร จึงเห็นว่าจะปล่อยให้นายสุทธิพงศ์ ได้โพสต์เช่นนี้ย่อมจะทำให้เสียหายต่อสถาบัน จึงได้ไปแจ้งความที่สน.นางเลิ้ง เพื่อมิให้บุคคลอื่นนำไปเป็นเยี่ยงอย่างในการกล่าวพาดพิงสร้างความเสื่อมเสียอีก และการที่ออกมาโพสต์กล่าวหานายกฯ ก็เป็นการกล่าวหา ดูหมิ่นนายกฯ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดอีก เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ และผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย ไม่สมควรจะทำอย่างยิ่ง

แจ้งจับ 'ฮาร์ท-สุทธิพงศ์' เข้าข่ายผิด ม.112 หลังเจตนาโพสต์ พาดพิงสถาบันชัด

ที่สน.นางเลิ้ง นายอภิวัฒน์ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และทนายความนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อธิชย์ดอนนันชัย รองผกก. (สอบสวน) สน.นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แก่นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท นักร้องชื่อดัง พร้อมนำเอกสารหลักฐานข้อความการโพสต์มามอบให้พนักงานสอบสวน โดยมีพ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้าผกก.สน.นางเลิ้ง ลงมารับเอกสารหลักฐานด้วยตนเอง

นายอภิวัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อตรวจสอบจากโพสต์ของนายสุทธิพงศ์ แม้มีการเขียนว่า คัดลอกข้อความจากบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่งนั้น แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า หลายโพสต์หลายข้อความทั้งของต้นทาง และของนายสุทธิพงศ์เอง ที่ระบุว่า “เจ้านาย” นั้น เข้าข่ายมีเจตนาทำให้คนเข้าใจผิด พาดพิงไปถึงสถาบัน แม้ว่าจะอ้างว่าก๊อปปี้ข้อความมาจากคนอื่น แต่เมื่อดูก็พบว่ามีการพูดถึงในลักษณะนี้หลายครั้ง จึงเห็นว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจข้อมูลบิดเบือนและเข้าใจสถาบันในทางที่ผิด

พ.ต.อ.ภูมิยศ กล่าวว่า เบื้องต้นรับเรื่องไว้พร้อมจะพิจารณาหลักฐานว่าเข้าข่ายตามที่ผู้แจ้งไว้หรือไม่ รวมถึงจะเรียกนายสุทธิพงศ์ มาให้ปากคำอีกด้วยรวมถึงคนโพสต์คนแรกที่นายสุทธิพงศ์ได้แชร์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฏหมายต่อไป


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000046026

'ณัฐชา-ก้าวไกล' ติง!! สองบิ๊กตำรวจ 'เบรกแย่งซีน' โชว์ผลงานอวดนาย แนะ!! เดินหน้าทำเพื่อประชาชนด้วยความจริงใจดีกว่า

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งของสองอดีตนายตำรวจชื่อดัง คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่คสช.แต่งตั้ง กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นแคนดิเดตเตรียมลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า...

ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ท่านทั้งสองคนจะมาทำคะแนน เพื่อจะเป็นแคนดิเดตผู้ว่ากทม. ในนามพรรคพลังประชารัฐ จนกลายเป็นภาพความขัดแย้งที่คนเห็นไปทั่ว

การลงไปอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนในชุมชนคลองเตย ควรเป็นภาพของการช่วยกันทำงานไม่ใช่แย่งกันเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้หลักผู้ใหญ่

สนามเลือกตั้ง กทม.อาจเป็นความหวังของทั้งสองท่านที่จะได้มีอำนาจมีพื้นที่ทางการเมืองต่อไป แต่ไม่ว่าการหาเสียงโดยใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วเคลมผลงานประจบนายหรือการทะเลาะกันโชว์ประชาชนทั้งที่ทุกคนกำลังลำบากแบบนี้เป็นความน่าเกลียดไร้กาละเทศะ

ยิ่งทั้งสองต่างเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ จบสถาบันเดียวกันมาก่อน เมื่อมาห้ำหั่นกันแบบนี้ ก็เกรงว่าจะมีการใช้ลูกน้องเก่าเป็นมือไม้ทางการเมือง สร้างความลำบากใจและอาจเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีวงการตำรวจด้วย

"การทำงานในพื้นที่ช่วงสถานการณ์วิกฤต ประชาชนควรเป็นเป้าหมายหลักมิใช่การแย่งกันเพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง อีกทั้งอย่าพยามจะชักชวนว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคอื่นเข้าร่วมกับตน เพราะเขาไม่ไปเลยมาฟ้อง จะบอกซึ่งหน้าก็ยังไว้หน้าท่านอยู่ แต่เขาฝากมาบอกว่า หากท่านต้องการการยอมรับจากพี่น้องประชาชนสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมารยาททางการเมือง" โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว

“บิ๊กตู่” แจงเตรียมแผน walk in เดือนมิ.ย. ขอ ปชช. อย่าเพิ่งรีบแห่เข้ามา มั่นใจทุกคนได้ฉีดแน่ รับกังวลร้านอาหาร-ภาคบริการตกงาน ลั่นแอสตราเซเนกาไม่มีสะดุด มิ.ย. มาแน่ ทั้งเคลียร์ปมขัดแย้ง รพ.สนามหมอเหรียญทอง ชี้! เปิดได้เพียงยึดหลักเกณฑ์

ที่สามย่าน มิตรทาวน์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า นี่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ที่ต้องร่วมกันทั้งหมด ร่วมกันทำในสิ่งที่ดี ๆ และต้องมีกติกาที่เป็นมาตรการกลางที่ต้องปฏิบัติ วันนี้เป็นที่น่ายินดีที่เราเพิ่มมา 14 จุดและจะขยายได้ถึง 25 จุดในระยะต่อไปในเรื่องของสถานให้บริการเช่นนี้ โดยขึ้นอยู่กับวัคซีนที่มาเพราะต่อให้มี 100 จุดถ้าวัคซีนไม่พอก็เปิดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เดือนมิ.ย. ก็จะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติมอีก สำหรับการให้บริการวันนี้เป็นกลุ่มที่ได้ระบุไว้ข้างต้นแล้วในการจัดลำดับความเร่งด่วนของวัคซีน แต่ในส่วนที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็ต้องหาวิธีการบริหารให้ได้ 

นายกฯ กล่าวว่า ทั้งนี้เชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ย้ำว่าต้องดูแลทั้งหมด โดยเฉพาะวันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมด้วย เพราะเป็นแหล่งจ้างงานแรงงานและมีผลิตภัณฑ์ส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ จึงต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดในโรงงานต่าง ๆ โดยต้องขอบคุณเจ้าของโรงงานที่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง แต่ทุกที่วันนี้มีโอกาสเสี่ยงหมด ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อเกิดแล้วเราต้องแก้ปัญหากันต่อไปด้วยความร่วมมือของทุกคน 

"วันนี้เรื่อง walk in ก็ได้ให้ กรุงเทพฯ และกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงให้ชัดเจนแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจกัน ซึ่งเป็นการเตรียมการไว้สำหรับเดือน มิ.ย. ถ้าวัคซีนเพียงพอก็ได้เตรียมการส่วนนี้ไว้ แต่เมื่อเข้ามาก็ต้องรวมในระบบหมอพร้อม เดี๋ยวจะไม่เข้าใจมากันเต็มไปหมดแล้วไม่ได้ฉีด ซึ่งก็มีหลายคนก็เอารูปนายกฯ ไปใส่นู้นนี่ นายกก็โดนเละไปหมดเหมือนกัน คือจริง ๆ แล้วบางทีต้องฟังทางหมอและดูให้ละเอียด บางทีไปย่อในโซเชียลก็คือปัญหา ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง วันนี้ยืนยันว่า รัฐบาลมีแผนงานในการเปิดให้เดินเข้ามาแล้วฉีด ถ้าวัคซีนเพียงพอ ซึ่งในแต่ละวันเราก็มีสำรองไว้บ้างอาจจะเหลือบ้างคนที่ไม่มา แต่ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าทุกคนได้ฉีดแน่จะช้าจะเร็วก็อาจมีบ้าง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันวันนี้ที่กังวลที่สุดคือ เรื่องของร้านอาหารภาคบริการที่จะตกงานกัน เพราะรายได้ลดลง ดังนั้นต้องดูทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานโรงงาน ผู้ให้บริการสาธารณะ รถเมล์ มอเตอร์ไซค์ แกร็ปและแทกซี่ ทั้งหมด ที่จะเติมกลุ่มเหล่านี้ไปตามลำดับความเสี่ยงในขณะนี้ โดยจะดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด

เมื่อถามว่า ในส่วนของจังหวัดมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดฉีดวัคซีนใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ผู้ว่าฯ เป็นประธานคณะกรรมการ ร่วมกับสสจ.จังหวัด และมีคณะแพทย์ของสาธารณสุขอยู่แล้ว ซึ่งต้องเข้าใจคำว่าแผน และมาตรการ ถ้ามีอะไรต้องปรับเปลี่ยนแปลงก็สามารถทำได้ อยากให้สับสนอลหม่านไปกว่านี้เลย เพราะนายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและประกาศวาระแห่งชาติ ได้กำหนดนโยบายและนำให้นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ อย่างไรก็ตามวันนี้เป็นกังวลกับเฟกนิวส์ที่มีอยู่เยอะแยะไปหมด ขอร้องอย่าแพร่กันต่อเลย แล้วก็นำไปเป็นประเด็น ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่ทุกคนต้องถือว่าวันนี้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นวาระที่เราต้องรักสามัคคีและร่วมมือกันให้มากที่สุด

เมื่อถามถึงระบบหมอพร้อม ว่าขณะนี้ยังมีปัญหาอยู่หรือไม่และจะพิจารณาใช้ระบบอื่นแทนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบวันนี้ไม่มี แต่ทุกอย่างก็มีปัญหา อะไรที่ไม่เคยทำแล้วทำก็มีปัญหาหมด โดยเฉพาะเรื่องทางเทคนิค วันนี้จำเป็นต้องเร่งรัดในระยะแรกที่มีปัญหาอยู่บ้าง แต่ต้องแก้ไป เพราะระบบเช่นนี้ยังไม่เคยทำในประเทศไทยมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลเราและเตรียมความพร้อมมาหลายปีถึงมีวันนี้ ถ้าเราไม่เริ่มมาหลายปีก่อนในเรื่องดิจิตอล ออนไลน์ 5G และ 4G ก็จะทำวันนี้ไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่เกิดในประเทศไทยมาแล้ว แต่บางทีเราไม่รู้ตัวเมื่ออยากจะใช้ แต่ยังติดขัดอยู่ก็ต้องเห็นใจกันบ้าง ตนก็เห็นใจประชาชน ซึ่งไม่มีอะไรจะ 100% เราอยากให้ถึงร้อยแต่ยังไม่ถึงก็ต้องแก้กันไป ตนปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาที่จะเข้ามาเดือนมิ.ย. ยังไม่มีอะไรสะดุดใช่หรือไม่ ซึ่งนายอนุทิน ที่ยืนข้าง ๆ ได้กล่าวตอบแทนทันทีว่า "ไม่มีสะดุดครับ" ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะสะดุดอะไร นายอนุทิน ยืนยันไม่มีสะดุด เราพูดคุยเจรจาได้และขอให้ส่งตามที่สัญญาเอาไว้ ยืนยันวันนี้ยังไม่หยุดหาวัคซีนอื่นและไม่ปิดกั้นใคร แต่ก็มีการไปพูดกันให้เสียหาย ซึ่งใครมีผลประโยชน์เรื่องนี้ ตนยืนยันจะต้องลงโทษเต็มที่อยู่แล้ว ต้องไม่มีใครได้รับผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น แต่คนได้รับประโยชน์คือประชาชน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนี้ตนได้ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยและได้ตอบคำถามว่าเราจะเดินหน้าประเทศอย่างไรหลังโควิด พร้อมลดปัญหาอุปสรรค ความขัดแย้ง ดึงนักลงทุนเข้ามาและเปิดการท่องเที่ยว ตนคิดว่าเมื่อสถานการณ์โควิดเบาบางลงประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ถ้าเราช่วยกันตอนนี้ ดังนั้นเราอย่าทำลายกันตอนนี้ เพราะโอกาสจะหายไปเรื่อย ๆ เราต้องไม่ทำลายประเทศชาติของเรา และความเป็นหนึ่งเดียวของเราต้องไปด้วยกันให้ได้ ซึ่งนายกฯ โทษใครไม่ได้ แต่กำกับดูแลและบริหารได้

เมื่อถามถึง ความขัดแย้งระหว่างนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลพระมงกุฎวัฒนะ ในเรื่องการจัดตั้งรพ.สนามพลังแผ่นดิน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรียบร้อยแล้ว คุยกันแล้ว อย่าเอาไปเป็นประเด็นมากนักเลย ไม่ใช่ไม่ทราบ ตนทราบและได้สั่งการไปแล้ว ขณะที่หัวหน้าพรรคก็เรียกจัดการไปแล้ว 

เมื่อถามย้ำว่า สรุปแล้วยังให้มีการเปิดใช้รพ.สนามพลังแผ่นดินได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "เขาก็ดูแลอยู่แล้วนิ เปิดให้บริการได้แล้วไม่ใช่เหรอ เพราะมันเป็นวาระฉุกเฉินไม่ต้องขออนุญาตอะไรหรอก เพียงแต่ทำให้เข้ากติกาหลักเกณฑ์ก็เปิดได้ ดังนั้นอาจจะมีคนไม่เข้าใจไปขัดแย้งอะไรก็ว่ากันไป อย่านำเป็นประเด็นนักเลย” นายกฯ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายกับสื่อมวลชนว่า "ดีใจได้เจอพวกเราทุกคน คิดถึงอยู่เหมือนกัน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top