Tuesday, 13 May 2025
Hard News Team

“บิ๊กตู่” ติดตามกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเพิ่มต่อเนื่อง กำชับราชทัณฑ์ประสานสาธารณสุขดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงจำกัดการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่มีรายงานผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงและยังพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการทั้งในการตรวจคัดกรอง การแยกผู้ต้องขังแรกเข้า การแยกผู้ป่วยออกไปรักษาในโรงพยาบาลสนามของราชทัณฑ์ แต่ก็ได้กำชับว่าขอให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามมาตรการควบคุมและรักษาโรค เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปในมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกเรือนจำ 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ ให้มากและเร็วที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการจำกัดวงการแพร่ระบาด รวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำด้วย โดยให้สาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดพื้นที่เสี่ยงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

“เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำหลายแห่งมีผู้ต้องขังอยู่หนาแน่น มีความแออัด ด้วยพื้นที่จำกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในส่วนนี้จึงกำชับให้ทางราชทัณฑ์ประสานงานกับสาธารณสุขในเขตพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนภายนอก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง แม้จะเป็นผู้เคยกระทำผิดจนต้องขัง แต่เมื่อป่วยต้องได้รับการดูแล” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

“แรมโบ้” ขอบคุณ “หญิงหน่อย” ช่วยรณรงค์ให้ ปชช.ฉีดวัคซีน เตือน ไม่ควรใช้จังหวะนี้เหน็บแนมรัฐบาล ชี้ ปชช.ฉลาด ไม่ต้องแสแสร้งหาคะแนน

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ออกมาชวนคนไทยฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แม้ไม่พอใจรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ โดยระบุว่าขอขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่มองว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่มีความจริงใจ แต่อยากจะใช้จังหวะนี้เหน็บแนม โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ด้วย 

นายเสกสกล กล่าวว่า หากคุณหญิงสุดารัตน์มีความจริงใจที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาจริง ขออย่าพูดในเรื่องที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เกิดความสับสนในตัวนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เพราะที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก ทั้งดูแลผู้ป่วย รวมถึงการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชน 

“แม้คุณหญิงสุดารัตน์จะไม่เห็นว่านายกฯ รัฐบาล ทำงานแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่ตนเองมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นการทำงานและยังไว้วางใจให้แก้ไขปัญหาอยู่ ดังนั้นอย่าเหมารวมว่าประชาชนไม่พอใจรัฐบาล และขณะนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปได้มีวัคซีนทยอยเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก หากคุณหญิงสุดารัตน์จริงใจอยากจะช่วยก็ขออย่าพูดอะไรที่กระทบกับคนทำงาน อย่ามาตีกินทางการเมือง และคุณหญิงสุดารัตน์เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในเวลานี้เห็นประเทศเกิดวิกฤตโควิดเช่นนี้ ควรออกมาช่วยเหลือกันมากกว่าจะมาตำหนิ เพราะจะทำให้ประชาชนหมดความศรัทธา เบื่อหน่ายได้ และหากเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคการเมืองที่คุณหญิงก่อตั้งขึ้นมาอาจไม่มีใครได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นผู้แทนประชาชนแม้แต่คนเดียว เพราะประชาชนฉลาดพอที่จะมองออกว่า พรรคไทยสร้างไทย มีความจริงใจต่อประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงเสแสร้งเพื่อหาคะแนนเข้าพรรคตนเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ คงตบตาหลอกประชาชนไม่สำเร็จแน่นอน” นายเสกสกล กล่าว

สภาพัฒน์ฯ ปรับเป้าจีดีพีไทยทั้งปีเหลือ 2%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลง 2.6% หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปีต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี ทำให้ทั้งปี สศช. ได้ปรับประมาณการใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% เหลือเพียง 1.5-2.5% หรือเฉลี่ยที่ 2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลง 6.1% ในปี 2563

ทั้งนี้พบว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง 0.5% เทียบกับการขยายตัว 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว 2.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 32.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 28.2% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) 

ส่วนการลงทุนรวม ขยายตัว 7.3% ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลง 2.5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส 3% เทียบกับการลดลง 3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง 19.6% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 0.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัว 28.4% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปี 2563 ส่วนการลงทุนรัฐวิสาหกิจขยายตัว 9.3%

ด้านการส่งออกสินค้า มีมูลค่า 64,004 ล้านดอลลาร์ กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส 5.3% เทียบกับการลดลง 1.5% ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก 

พรรคกล้า กทม. ขอรัฐออกมาตรการ เยียวยาผู้กักตัว ขาดรายได้ ทำมาหากินไม่ได้

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ หรือโอเล่ เลขานุการกลุ่ม กทม.พรรรกล้า แสดงความเป็นห่วงภาระค่าใช้จ่าย พี่น้องประชาชนที่ต้องกักตัว และรักษาตัวเนื่องจากเชื้อโควิด-19 วอนขอให้รัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องกักตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบต่อการติดเชื้อของ โควิด-19 ในการที่จะต้องขาดรายได้ทำมาหากินซึ่งบางบ้าน บางครอบครัว มีอาชีพค้าขาย แต่ต้องหยุดไป ขาดรายได้ ไม่มีเงิน เพราะมีความใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือ เป็นผู้ติดเชื้อเสียเองในขณะที่กำลังรักษาตัวหรือกักตัวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาระค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าที่ดิน หรือค่าเช่าแผงร้านค้า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าอยู่ ก็ยังดำเนินต่อ แต่ตนเองไม่มีรายได้ เพราะไม่ได้ออกไปค้าขาย ซึ่งในคลัสเตอร์ ผู้ติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลัสเตอร์ก่อนหน้านี้หรือคลัสเตอร์ใหม่ ๆ มีพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบแบบนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนระดับพื้นฐานของประเทศ ที่หาเช้ากินค่ำ 

นายเอกชัย กล่าวว่า รัฐควรใช้ระบบที่มีอยู่ในขณะที่สำรวจผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่จะต้องกักตัวให้ลงทะเบียนตามพื้นที่คลัสเตอร์นั้น ๆ เพื่อรับการเยียวยาโดยเร่งด่วน เพราะบุคคลเหล่านั้นได้ผ่านการคัดกรองเชิกรุกของทางภาครัฐไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ภาครัฐมีอยู่แล้ว และสามารถทำได้เลย จะเป็นการช่วยเหลือด้านเงินเยียวยาผ่านแอพเป๋าตังค์สำหรับผู้กักตัวหรือผู้ติดเชื้อ หรือจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ ก็สุดแล้วแต่ภาครัฐจะพิจารณา เพราะถ้าหากปล่อยช้าหรือเพิกเฉยก็จะทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถกักตัวได้ตามเงื่อนไข เพราะจะต้องออกจากบ้านไปค้าขาย ไปทำมาหากิน เพื่อนำเงินไปชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของตนเองและครอบครัว และหากซ้ำร้ายกว่านั้นเกิดตรวจพบภายหลังว่าติดเชื้อก็จะขยายวงกว้างโดยไม่สามารถควบคุมได้

ราเมศ ย้ำ ปชป. เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร ประกันรายได้ 7.6 ล้านครัวเรือน ยิ้มได้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง นโยบายประกันรายได้ในขณะนี้ว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตรที่จะต้องมีราคาที่เป็นหลักประกันได้ว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ประสบกับสภาวะปัญหาขาดทุน และที่สำคัญการต่อยอดนโยบายในเรื่องการตลาดที่มีการเปิดตลาดทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วยแล้ว เมื่อความต้องการตลาดมีมาก แน่นอนว่าย่อมทำให้วิถีชีวิตของพี่น้องเกษตรกรมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นเพราะราคาพืชผลเกษตรกรก็จะดีขึ้น เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายเช่นกันที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนร่วมกันอย่างเป็นระบบ

พรรคได้หาเสียงเรื่องนโยบายประกันรายได้ไว้และเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งในการเข้าร่วมรัฐบาล โดยเจตนารมณ์ที่มุ่งหมายของพรรคคือพี่น้องเกษตรกรได้ประโยชน์ ขณะนี้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรก็จะเป็นหลักประกันได้ ให้มีราคาพืชผลทางการเกษตรที่อยู่ได้

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ล่าสุดพี่น้องเกษตรกรชาวสวนข้าวโพดกว่า 1.3 แสนไร่  21,071 ครัวเรือน ก็จะได้รับเงินประกันรายได้ งวด 7 และในส่วนโครงการประกันรายได้ปีที่ 2 คือ พ.ศ.2563 / 2564 ในพืชทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยังเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีพี่น้องเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 7.6 ล้านครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการประกันรายได้

‘เกศปรียา’ ตั้งข้อสังเกต ทำไมรัฐบาลนี้บริหารสถานการณ์โรคระบาดแบบทำให้คนทั้งประเทศกลัววัคซีนไปได้

‘เกศปรียา แก้วแสนเมือง’ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เผยว่า ถ้าศึกษาข้อมูลจริง ๆ วัคซีน COVID-19 น่าจะไม่อันตรายเท่า วัคซีนบาดทะยัก วัคซีนพิษสุนัขบ้า ที่เราฉีดกันอย่างสบายใจมาเนิ่นนานแล้ว ชนิดใครโดนสัตว์เลี้ยงกัด หรือเกิดอุบัติเหตุตะปูตำก็เดินเข้าคลินิคไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าและบาดทะยักได้ ไม่ได้มีใครวิตกกังวลมากมายก่อนการรับวัคซีน ถามว่าวัคซีนทั้งสองมีโอกาสแพ้มั้ย ก็ต้องบอกว่ามีโอกาสแพ้ ซึ่งอาจจะเยอะกว่าวัคซีนโควิดด้วยซ้ำดูจากวิธีการผลิตวัคซีน โดยอธิบายง่าย ๆ ได้ว่า วัคซีนพิษสุนัขบ้าและบาดทะยักใช้พิษจากเชื้อที่เพาะมาทำวัคซีน แต่วัคซีนโควิด-19 ใช้รหัสพันธุกรรมบางส่วนจากเชื้อที่หมดสภาพ (inactive) มาทำวัคซีน

แต่ประเด็นคือ ทำไมรัฐบาลถึงบริหารสถานการณ์โรคระบาดแบบทำให้คนทั้งประเทศกลัววัคซีนไปได้ขนาดนี้ ระดับคนมีการศึกษาระดับสูงสุดปริญญาเอกยังปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีน ตนวิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากการขาดความเชื่อมั่น ที่นายกรัฐมนตรีส่งสารไปสู่ประชาชน การที่พลเอก ประยุทธไม่ยอมฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ทั้งครั้งเเรกเเละครั้งที่สอง ทั้งที่ครั้งเเรกมีข่าวจะฉีดเป็นคนเเรก โดยอ้างอิงจากข่าวในเว็บไซต์ https://www.prachachat.net/politics/news-618072 แต่กลับเบี้ยวไม่มาตามนัด ทั้งที่ทาง รพ.บำราศนราดูร จัดเวทีเตรียมพร้อมไว้ฉีดซิโนเเวคให้เเล้ว เเต่ไม่มา โดย ศ.บ.ค. มาให้ข่าวอ้างว่า ซิโนเเวคไม่เหมาะกับคนอายุเกิน 60 ปี เเต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศ.บ.ค. กลับ ออกมายืนยันว่าคนที่มีอายุ เกิน 60 ปีสามารถฉีดได้ และครั้งที่สองที่พลเอกประยุทธ์ให้ข่าวจะฉีดเเอสตร้าเซเนก้า ทาง รพ.เดิม ก็จัดเตรียมพิธีการกันไว้อย่างดี แต่พอถึงวันก็ไม่มาฉีดอีก โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.bbc.com/thai/thailand-56369384 อีกทั้งมีข้ออ้างว่ายุโรปบอกว่าเเอสตร้าเซเนก้า จะทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือด พฤติกรรมผิดคำพูดไม่มาตามนัดไม่ใช่วิสัยของผู้บริหารที่ดี การโลเลเป็นการทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้ประชาชนไม่มีความมั่นใจในวัคซีน

ดังนั้นถือเป็นความผิดพลาดขั้นสูงสุดของพลเอกประยุทธและรัฐบาล เพราะสาเหตุสำคัญที่มาจากเพราะความไม่เขื่อมั่นในข้อมูลที่รัฐบาลแถลงกลับไปกลับมา ซึ่งการแถลงแต่ละเรื่องออกมาทำให้คนรู้สึกว่ามีวาระซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยข้อมูลที่ประชาชนควรทราบ เพื่อประโยชน์ในการอยู่ในอำนาจแบบเห็นแก่ตัว การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลเป็นประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งในการตัดสินใจทุกเรื่อง อย่างวัคซีนในช่วงการระบาดรอบที่ 2 เมื่อประชาชนทวงถามว่า ทำไมไทยไม่มีวัคซีนขนาดเพื่อนบ้านแบบกัมพูชา ลาว ยังมีปริมาณการฉีดวัคซีนมากกว่าไทย เป็นเพราะรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดไม่ร่วมกับโครงการจัดหาวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (COVAX) ใช่หรือไม่ แทนที่รัฐบาลจะออกมาขอโทษประชาชนว่าตัดสินใจผิดพลาดต่อไปนี้จะเปิดเสรีให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ กลับให้โฆษก ศ.บ.ค. ออกมาให้ข่าวเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ว่า วัคซีนจะมาช้าหรือเร็วแทบไม่มีผลกับคนไทยเพราะเรามีหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยไว้ดูแลอนามัยส่วนตน ไม่ต้องเจ็บตัวจากการฉีดวัคซีน ซึ่งข่าวสารตรงนี้มีการทำเป็นอินโฟกราฟิกเผยแพร่ไปในวงกว้าง ประกอบกับข่าวอันตรายของผลข้างเคียงของวัคซีน ที่ไม่มีภาครัฐออกมาอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ด้วยการเปรียบเทียบวัคซีนโควิด-19 กับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า หรือวัคซีนบาดทะยัก

การบริหารจัดการจัดหาวัคซีนก็จัดการในลักษณะที่ทำให้ประชาชนมองว่าไม่โปร่งใส ล่าช้า และน่าสงสัยว่าจะทำเพี่อผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ขอร้องว่า เว้นซักเรื่องหนึ่งได้ไหม เพราะเรื่องนี้มันมีผลกระทบมากมายกับชีวิตประชาชนทั้งประเทศโดยตรง ถ้าอยากมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ไปทับซ้อนกับเรื่องซื้ออาวุธที่รัฐบาลทหารถนัด เพราะอาวุธเหล่านั้นซื้อมาไม่ได้มีประโยชน์อะไร และไม่มีผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน กล่าวคือให้ไปหาผลประโยชน์กับของที่ซื้อมาไว้แล้วไม่ได้ใช้นั่นเอง แต่วัคซีนซื้อมาใช้กับประชาชนทั้งประเทศ ควรบริหารจัดการโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนในชาติสักเรื่องได้มั้ย 

เกศปรียา กล่าวต่อว่า เห็นรัฐบาลนี้ชอบอ้างว่าเข้ามาปล้นอำนาจไปจากประชาชนเพราะความรักชาติ และไปตำหนิทุกคนที่เห็นต่างว่าไม่รักชาติ แต่ดูพฤติกรรมที่รัฐบาลบริหารสถานการณ์โรคระบาดคราวนี้ พบว่าการตัดสินใจทำแต่ละอย่างดูเหมือนไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเลย แบบนี้เรียกรักชาติกว่าคนอื่นก็ได้เหรอ

ข้าราชการเชิงรุก​ -​ เปิดศึก​ Apple​ VS​ FB | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.4

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

สำหรับ​ EP.4 นี้​ ชวนคิดไปกับการทำงานของข้าราชการเชิงรุก​ และอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ของ​โลกแห่งการสื่อสาร...

4.1 วิเคราะห์การทำงานเชิงรุก พ่อเมืองลำปาง ‘ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร’ เหตุใดชาวลำปางกว่าสองแสนคน จึงพร้อมใจลงทะเบียนฉีดวัคซีน

4.2 ใหญ่ ฟัด ใหญ่ นโยบายใหม่ Apple เมื่อทุกความลับต้องเป็นความลับ กับจุดจบการล้วงข้อมูลของ Facebook และเหล่าโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม 

.

.

บุกเมืองหลวงจีน!! ทุเรียนไทยแรงหยุดไม่อยู่ ลูกค้าชาวจีนอุดหนุนล้นหลาม หลังยกพลโชว์พลัง​ในงาน​ 'Thai Fruit Festival'​

เกษตรฯ ปักกิ่ง จับมือ ททท.ร่วมห้างใหญ่คาร์ฟูร์  นำทัพผลไม้ไทยบุกตลาดออนไลน์และออฟไลน์ยอดขายกระฉูด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วย​ '5  ยุทธศาสตร์'​ ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ​ ผ่านการเร่งขยายไปตลาดจีน​ เพื่อส่งออกผลไม้ไทยให้มากที่สุด​ โดยใช้ราชาแห่งผลไม้​อย่างทุเรียนเป็นหัวขบวน​ (Thai fruit brand leader) ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์ระหว่างวันที่​ 14​ พ.ค.​ ถึง​ 31​ พฤษภาคม

สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูร์สาขา ซวงจิ่ง เมืองปักกิ่ง จัดกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทย 'Thai Fruit Festival'​ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมไทยให้กับผู้บริโภคจีน 

โดย สปษ. ปักกิ่งได้จัดเรือผลไม้ขนาดใหญ่​ เพื่อนำเสนอทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าวน้ำหอม ลิ้นจี่ เงาะ มะม่วง กล้วยไข่ ชมพู่ทับทิมจันทร์ รวมถึงผลไม้แกะสลัก ร่วมจัดแสดงผ่านช่องทางออฟไลน์ของห้างคาร์ฟูร์และช่องทาง Live Stream โดยมีนางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่ง ได้เข้าร่วมกิจกรรม​ Live-stream บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของคาร์ฟูร์​ เหม่ยถวนและซูหนิง เพื่อตอกย้ำความนิยมของผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมสูงในจีน 

ไฮไลท์​ในงานอยู่ที่การนำเสนอข้อมูล​ ตั้งแต่วิธีการเลือก ประโยชน์ของผลไม้ยอดนิยมชาวจีน ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และมะพร้าวน้ำหอม พร้อมแนะนำผลไม้ชนิดอื่นๆ ของไทย ที่ผู้บริโภคจีนยังไม่รู้จักมากนัก อาทิ ลองกอง ขนุน ชมพู่ เป็นต้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานของผลไม้ไทยที่ส่งออกมายังประเทศจีน​ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคชาวจีน 

นอกจากนี้ยังมีการสาธิตทำข้าวเหนียวทุเรียนที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นการเผยแพร่วิธีการรับประทานทุเรียนที่แปลกใหม่ให้กับชาวจีน ในช่วง Live Stream มีกิจกรรมส่งเสริมการขายทุเรียนราคาพิเศษ และมอบรางวัลกับให้ผู้เข้าชมที่ร่วมตอบคำถามเกี่ยวกับผลไม้ไทย

สำหรับกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทยในครั้งนี้จัดติดต่อกันนาน 15​ วัน ตั้งแต่วันที่ 14​ – 31​ พฤษภาคม 2564 สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยในช่องทางออนไลน์​ สามารถสร้างยอดวิวได้มากถึง 200,000 คน ซึ่งทางห้างคาร์ฟูร์​ สาขาซวงจิ่ง ได้นำเข้าผลไม้ไทยทั้งหมด​ เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลผลไม้ไทย ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ กว่า 300 ตัน โดยแบ่งเป็นทุเรียน จำนวน 150 ตัน  มังคุด 20 ตัน และมะพร้าวน้ำหอม จำนวน 2,000 ลูก ตั้งเป้าว่าจะสามารถขายทุเรียนในเทศกาลผลไม้ไทยดังกล่าวได้มากกว่า 100 ตัน 

งานเทศกาลผลไม้ไทยครั้งนี้​ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ททท. ปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูร์ สาขา ซวงจิ่ง ร่วมกันจัดขึ้น​ เพื่อส่งเสริมการค้าขายสินค้าผลไม้ไทย โดยจะเน้นการขายสินค้าผลไม้สดนำเข้าจากประเทศไทย คุณภาพสูง สินค้าอาหารแบรนด์ไทยชั้นนำ เป็นต้น 

ทั้งนี้งานเทศกาลผลไม้ไทยของห้างคาร์ฟูร์ ได้จัดขึ้นทุกปี และในปีนี้ได้ผลตอบรับเกินความคาดหมายและเป็นทางน่าพอใจเป็นอย่างมาก งานดังกล่าวยังได้รับความสนใจจากสื่อหลายสำนัก ได้แก่ Beijing TV, Beijing Youth Daily, Beijing News, Beijing business today, People's Daily ฯลฯ โดยหลังจากการไลฟ์สดสตรีมห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่ง​ มีการขายสินค้าผลไม้ทั้งหมดมากกว่างานเทศกาลไทยในปีที่แล้วถึง 105% อัตราการขายผลไม้โซนร้อนมากกว่าปีที่แล้ว 201% อัตราการขายทุเรียนมากกว่าปีที่แล้ว 238% การซื้อทุเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ของห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่งเพิ่มมากขึ้น​ 800% ส่วนการขายทุเรียนออนไลน์ของห้างคาร์ฟูร์ทั่วปักกิ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 551% โดยห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่งเป็นสาขาที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศจีน

บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบปรับลดเงินสมทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม มิถุนายน-สิงหาคม 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนจากผลกระทบโควิด-19 เตรียมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการประกันสังคม มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .....

โดยให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 3 ทั้งนี้ จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์หน้า

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การลดเงินสมทบในครั้งนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อนายจ้างและผู้ประกันตน นายจ้าง จำนวน 485,113 ราย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,164,384 คน และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,832,500 คน สามารถนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,163 ล้านบาท อันเป็นการลดปัญหาทางการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ประกันตนดีขึ้นและเป็นการรักษาระดับการจ้างงานของนายจ้างอีกด้วย

บิดเบือน > ไม่สร้างสรรค์ > ทำคนเข้าใจผิด

บางครั้งคนพูดต้องการสื่อสารอีกอย่าง แต่กลับมีคนบิดเบือน หรือ นำไปตีความเป็นอีกอย่าง ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ

ยุค Fake News เกลื่อนเมือง ต้องมีสติในการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top