Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

'กรณ์' ติงกู้เพิ่ม 7 แสนล้านต้องใช้ให้คุ้ม! พุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก แทนหว่านแจก

กรณ์ สะท้อนเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายผู้ประกอบการ กรอบเงินกู้ชนเพดาน เงินกู้ 7 แสนล้าน สำคัญอยู่ที่ว่า 'ใช้ถูกทางหรือไม่' ต้องพุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs ร้านอาหาร และภาคบริการ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีมติออกเงินกู้อีก 700,000 ล้านว่า นับเป็นรัฐบาลที่ออก พรก. กู้เงินฉุกเฉินนอกระบบงบประมาณ ถึงสองครั้งเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ โดยครั้งแรกสมัย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ตนเป็น รมว.คลัง เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลก Hamburger สำเร็จด้วย พรก.ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นไวเป็นอันดับ 2 ของโลก และอีกครั้งในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุงเหตุแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เพราะโครงการไม่พร้อม 

นายกรณ์ กล่าวว่า มาถึงรัฐบาลนี้ออก พรก.พิเศษกู้เงินแก้วิกฤตโควิดสองรอบ (1ล้านล้าน+7แสนล้าน) รวม 1.7 ล้านล้านบาท เท่ากับ 10% ของ GDP รอบล่าสุดนี้ ก้อนแรก 7 แสนล้านคือการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 2565 ก้อนสองอีก 7 แสนล้านโดยออกเป็นพรก.พิเศษ รวม 1.4 ล้านล้าน รวมสองปี การกู้ทั้งหมดของ ‘64 และ ‘65 รวมเกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของ GDP สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำ และฟื้นช้าเพราะวัคซีนยังไม่เรียบร้อยดี คนไทยยังกลับไปทำมาหากินยังไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องกู้ และกู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น

อย่างไรก็ตามหากถามว่า การกู้ครั้งใหม่นี้มีผลต่อเสถียรภาพทางการคลังหรือไม่ คำตอบคือในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน คำตอบคือ ไม่กู้ไม่ได้อยู่ดี โดยที่ ‘ภาระต่องบประมาณ’ ยังรับได้อยู่ (สัดส่วนงบดอกเบี้ยและงบคืนเงินต้น เทียบกับงบรายจ่ายโดยรวมของรัฐบาล) แต่นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ต่ำมาก และเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่นจะปรับขึ้น เพราะสัญญาณเงินเฟ้อเริ่มกลับมาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ทั้งหมดจะไม่เป็นปัญหาหากเศรษฐกิจเราฟื้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า GDP เราโตได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2-3% ไปอีก 4-5 ปี เราอาจจะเริ่มมีปัญหา ดังนั้นการใช้เงินจึงต้องเข้าเป้า และนี่คือ โจทย์ที่สำคัญที่สุด ต้องกู้แต่ต้องใช้เงินกู้ให้คุ้มที่สุด

“รอบแรก 1 ล้านล้านบาทผมให้แค่ 6/10 คะแนน จากส่วน 'เยียวยา' ผมถือว่ารัฐบาลทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ‘เราไม่ทิ้งกัน’ หรือ ‘คนละครึ่ง’ ฯลฯ แต่ที่หัก 4 คะแนน ผมว่าผิดเป้า เพราะเอาไป ‘ฟื้นฟู’ ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียเยอะ และเบิกจ่ายช้ามาก ไม่สมกับเป็น ‘งบฉุกเฉิน’ ตามนิยามของ ‘พรก.’ รอบใหม่นี้ไม่ควรแจกแนวเดิม และไม่ควรมีเรื่องฟื้นฟูไม่เป็นเรื่องอีกเลย แต่ต้องยิงให้เข้าเป้า นั่นคือเป้าหมายหล่อเลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็ก SMEs ร้านอาหาร ธุรกิจภาคบริการทั้งระบบให้อยู่รอดจนถึงการฉีดวัคซีนครบตามเป้า” อดีต รมว.คลัง กล่าว

นายกรณ์ กล่าวาว่า พรรคกล้า เราเสนอทางออกไปหลายครั้งเพื่อแก้ปัญหา อย่างล่าสุดเราเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร แต่ก็ถูกกระทรวงการคลังปฏิเสธ ส่วนในเงินกู้ 7 แสนล้านใหม่ มีส่วนที่กันไว้เพื่อการฟื้นฟูสูงถึง 270,000 ล้าน ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ความผิดพลาดซํ้ากับปีที่ผ่านมา ตรงนี้ต้องปรับ และสำคัญที่สุดที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องเร่งทำคือ 'ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ' มิเช่นนั้นเงินกู้ทั้งหมดนี้ก็จะถูกละลายหายไปโดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวังมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือ เสียงสะท้อนจากเฮือกสุดท้ายของผู้ประกอบการ รวมไปถึงกรอบเงินกู้ที่ล้นชนเพดานแล้ว

กระทรวงแรงงาน กำชับนายนายจ้าง/สถานประกอบการ ดูแลคนต่างด้าวตามมาตรการป้องกันโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงกังวลการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ กำชับนายจ้างดูแลสถานที่ทำงาน และแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จากกรณีที่พบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้างช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบหมายกรมการจัดหางานเร่งประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกัน และปฏิบัติตัว ในสถานที่ทำงานตามมาตรการของ ศบค. แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เป็นภาษาประจำชาติ (ภาษากัมพูชา ลาวและเมียนมา) ของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีขอให้นายจ้างกำชับให้แรงงานต่างด้าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงานของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 มีการประสานนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่ของตนเอง ให้ทราบมาตรการป้องกันและควบคุมโรค รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบการ

โดยกำชับนายจ้างให้ดูแลสถานประกอบการให้มีความสะอาดปลอดภัย ถูกสุขลักษณะตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องควบคุมให้แรงงานต่างด้าวในความดูแลเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อตัวแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ ทานอาหารในจานตนเอง งดเว้นการรวมกลุ่มกัน เน้นทานอาหารปรุงสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อ งดการรวมกลุ่มสังสรรค์หลังเลิกงาน อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีที่ถึงที่พัก เพื่อป้องกันเชื้อที่ติดตามร่างกาย แพร่สู่ครอบครัว และหากมีอาการผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ ควรแจ้งหัวหน้างาน หรือนายจ้างทันที

"นายกฯ" สั่งกอ.รมน.แจงข่าว​ Fake News​ ในโซเซียล หวั่น ปชช. สับสน​ ย้ำ กอ.รมน.ทั่วประเทศสอดส่องเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)  พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกอ.รมน. กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VTC) โดยมี พล.อ. วรเกียรติ  รัตนานนท์ เลขาธิการ กอ.รมน. เป็นประธานการประชุม

พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า​ การประชุมในวันนี้ มีวาระการประชุมในเรื่องที่กอ.รมน.ร่วมประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อกฎหมายและผลกระทบที่มีการส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อให้ประชาชนใช้สื่อโซเชียลอย่างรู้เท่าทัน​ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน. มอบหมายให้กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด มวลชนของ กอ.รมน. ร่วมประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน​ กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความสับสนในลักษณะข่าวปลอม (fake news) ไม่มีที่มาที่ไป หากเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จอาจจะสร้างความแตกแยกความเข้าใจผิดต่อสังคม ตลอดจนทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 

“กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือประชาชนรับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลเป็นหลัก และขอให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์หรือส่งต่อให้ผู้อื่น จึงอยากเตือนผู้ที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่าได้ทำการเผยแพร่โดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นการกระทำอันผิดกฎหมายพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนความมั่นคง กอ.รมน. 1374 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” โฆษกกอ.รมน. กล่าว 

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประ​ชุมกอ.รมน. ใช้กลไก กอ.รมน.ภาค และกอ.รมน.จังหวัด ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐเฝ้าระวังติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย​ โดยเฉพาะการนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยให้สนับสนุนการปฏิบัติกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ป้องกันการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองตามแนวชายแดนโดยเน้นย้ำให้มีการดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกระบวนการนำพา​จึงขอความร่วมมือประชาชน เป็นหูเป็นตา​ หากพบเห็นขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการโดยทันที

อย่างไรก็ตาม​ กอ.รมน.ได้นำข้อมูลอ้างอิงจาก ศบค. และ สธ. มาให้เจ้าหน้าที่ call center ใช้ในการให้บริการข้อมูลการสอบถามขั้นตอนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนบน App หมอพร้อม คู่มือวัคซีนสู้โควิดฉบับประชาชน รวมถึงการรับแจ้งเหตุ​ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่เข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลโดยมีประชาชนโทรมาสอบถามข้อมูลข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

เอกชนหนุนรัฐบาลกู้ 7 แสนล. สู้โควิด-ฟื้นเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ภาคเอกชนเห็นด้วยกับการใช้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอสำหรับรองรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยการใช้เงินตาม พ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้ นอกจากจะใช้ในด้านสาธารณสุข ด้านการเยียวยา และชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง 

“เอกชนอยากเห็นกรอบการใช้เงิน โปร่งใส ตรวจสอบการใช้เงินอย่างรอบคอบ ไม่เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ควรนำเงินมาช่วยเหลือกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้างเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ต้องการให้พิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาทเป็น 6,000 บาท เพื่อช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 90,000 ล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท อยากให้เริ่มเดือนมิ.ย.เลย จากแผนเดิมเริ่มเดือนก.ค. เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก”  

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า กรอบการกู้เงินดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อเพดานหนี้สาธารณะของไทย ซึ่งไทยมีเงินทุนสำรองปริมาณสูง แข็งแกร่ง เมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวจะมีเงินใช้หนี้ได้ต่อเนื่อง และควรเร่งฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย ปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดความสับสน บริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเพื่อให้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

นอกจากนี้ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอยากให้เสริมมาตรการดึงกำลังซื้อจากประชาชนที่มีเงินออมด้วยการฟื้นโครงการช้อปดีมีคืน รัฐสนับสนุนมาตรการนำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าไปหักภาษีเงินได้ในวงเงิน 30,000-50,000 บาทต่อราย จะจูงใจให้ประชาชนในกลุ่มนี้นำเงินฝากมาใช้จ่าย ซึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มวงเงินคนละครึ่ง และฟื้นช้อปดีมีคืน จะมีเงินเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก 2-3 แสนล้านบาท จะช่วยประคองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ ให้ขยายตัวได้ระดับ 2% หรือมากกว่านั้นได้

‘บิ๊กตู่’ วาง 3 แนวทาง กระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ย้ำชัด ผู้ประกันตนทุกคนต้องได้ฉีดวัคซีนโควิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัว ถึงมาตรการการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกันตนในระบบมาตรา 33 ว่า “กลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 เป็นกลุ่มแรงงานที่ความสำคัญกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาชีพต้องสัมผัส ต้องเจอคนจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ

การเตรียมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนนี้ จะเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง แรงงาน กระทรวงการคลัง และภาคเอกชน โดยจะพร้อมฉีดตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. นี้ครับ

ผมได้กำชับให้ทำการฉีดให้ต่อเนื่อง และรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคบริการ ฟื้นตัวได้โดยเร็ว

สำหรับแนวทางการกระจายวัคซีนมีดังนี้ครับ

1.) สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ร่วมมือกับภาคเอกชน และ สปสช. ในการดำเนินการ โดยกลุ่มผู้ประกันตนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง จะให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการเนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมไปแล้ว

2.) สำนักงานประกันสังคมจะประสานกับนายจ้างของแต่ละบริษัทให้ส่งข้อมูลลูกจ้างที่จะฉีดวัคซีน เพื่อทำการจัดสรรเวลาการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โดยในระยะแรกจะเน้นการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนใน กทม. และในระยะถัดไปจะเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนใน 9 จังหวัดเศรษฐกิจ จากนั้นจะดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนในจังหวัดที่เหลือต่อไป ที่สำคัญคือ จำนวนวัคซีนต้องเพียงพอกับจำนวนคน หากไม่ได้ทั้งหมดก็จะจัดสรรทยอยให้ตามลำดับความเร่งด่วน

3.) การฉีดวัคซีนใน กทม. นั้น จะมีจุดฉีดวัคซีน 45 แห่ง และจุดฉีดวัคซีนใน 9 จังหวัดเศรษฐกิจอีก 22 แห่ง

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามแผน “วาระแห่งชาติ” เรื่องการฉีดวัคซีน ผู้ประกันตนทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ที่จะทั้งป้องกันโรคให้กับตนเอง คนรอบข้าง และผู้เข้ามารับบริการ เพื่อให้กิจการและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้”


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รู้จัก​ 'Ricult​' ฮีโร่ของเกษตรกรไทย 'อุกฤษ อุณหเลขกะ' ผู้ก่อตั้ง​ Ricult | Contributor​ EP.17

แม้แนวคิดด้าน​ Startup หรือการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะถูกนำมาบรรจุในโลกธุรกิจยุคนี้และประเทศไทย เพื่อ Disrupt ปัญหาและความล้าหลังของธุรกิจในอุตสาหกรรมเดิมที่เริ่มโรยรามากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าคิด คือ แนวคิด​ Startup​ ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ ดูจะยังไม่ค่อยโฟกัสมาที่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย อย่าง ‘การเกษตร’ สักเท่าไรนัก 

ทั้ง ๆ​ ที่ปัจจุบัน​ เกษตรกรไทยมักพบเจอปัญหาต้นทุนสูง ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ผลผลิตไม่ได้ตามเป้า พ่อค้าคนกลางกดราคา และยังเป็นหนี้กันมากขึ้น​เรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตาม​ ใช่ว่าจะไม่มีแนวคิด​ Startup ด้านนี้ปล่อยออกมาเลย​

Ricult​ (รีคัลท์)​ ‘ฮีโร่’ คนใหม่ของเกษตรกรไทย เกิดขึ้นจาก​ 'อุกฤษ อุณหเลขกะ'​ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Ricult’ (รีคัลท์) Startup​ ด้านเกษตรสายพันธุ์ไทย​ ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่​ ผ่านภาพถ่ายดาวเทียม และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาช่วยเกษตรกรในการวางแผนเพาะปลูกเพื่อลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศ ทำให้ผลิตผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อันที่จริงแล้ว อุกฤษ เป็นหนุ่มดีกรีนักเรียนนอกด้านเทคโนโลยีและการบริหารจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ที่มีอนาคตสดใสในสังคมแวดล้อมอย่างซิลิค่อนวัลเลย์ และมีรายได้มหาศาลในบริษัทใหญ่ ๆ รอเขา​ที่อเมริกา 

แต่ทำไมเขาถึงยอมทิ้งรายได้และโอกาสมากมายในต่างแดน และกลับมาพัฒนาธุรกิจที่ตั้งใจช่วยเหลือเกษตรกรไทย?

พบคำตอบนี้ ได้ใน Contributor EP.17

.

.

 

รอเลย คลังประกาศผลเก็บตกเราชนะ 21 พ.ค.นี้

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการเราชนะ จะประกาศผลการทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 6 มี.ค.-13 พ.ค. 2564 ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 

โดยผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรก จำนวน 8,000 บาท ในวันที่ 22 พ.ค. 2564 และจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ที่รัฐบาลสนับสนุนเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,000 บาท ในวันที่ 28 พ.ค. 2564 รวม 9,000 บาท โดยสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.-30 มิ.ย. 2564

สำหรับประชาชนประชาชนกลุ่มที่แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ โดยได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด รวมถึงกรณีที่ผลการทบทวนสิทธิ์ในกรณีอื่น ๆ ที่อาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง สามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป 

ปัจจุบันโครงการเราชนะ มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวม 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,897 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์เดิม จำนวน 7,000 บาท แล้ว จำนวน 25.6 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชันถุงเงิน ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 1.3 ล้านกิจการ

“แรมโบ้” วอน “โทนี่-ยิ่งลักษณ์” หยุดวิพากษ์ วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล “ชี้” ทำให้เกิดความสับสน ยืนยันทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง นายทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตสายกรัฐมนตรี ที่เคลื่อนไหวและวิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ว่า ควรหยุดวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขสถานการณ์โควิดของรัฐบาลได้แล้ว ยืนยันว่านายกฯ รัฐบาล ได้ทำทุกอย่างเพื่อที่จะแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งดูแลสุขภาพ และความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ มาตรการสินเชื่อ พักทรัพย์ พักหนี้ และมาตรการทางภาษี การลดภาษี และอีกมากมายหลายโครงการ ในส่วนของวัคซีนโควิดที่นำมาฉีดให้กับประชาชนนั้นทางแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ยืนยันแล้วว่าวัคซีนที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ของแอสตร้าเซนเนก้าทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว และพร้อมส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 เดือนมิถุนายน 6 ล้านโดส และเดือนต่อไปอีกเดือนละ 10 ล้านโดส จนครบ 61 ล้านโดส ยังไม่นับ วัคซีนทางเลือก ที่รัฐบาลจะสั่งเข้ามาอีก

ยืนยันว่ามีวัคซีนเพียงพอให้กับประชาชนส่วนวัคซีนไฟเซอร์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้พูดคุยกับผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เพื่อเจรจาจัดซื้อวัคซีน และผู้แทนบริษัทฯ แจ้งว่าพร้อมจัดหาวัคซีนให้ประเทศไทย จำนวน 10 ล้านโดส ถือเป็นการยืนยันได้แล้วว่าจะมีวัคซีนของไฟเซอร์เข้ามาอย่างแน่นอน 

“สำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำนั้น นายกฯ ได้สั่งการให้เร่งแก้ปัญหาตรวจเชิงรุกให้มากและเร็วที่สุดที่สุด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจำแล้ว เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา หากมีผู้มีอาการรุนแรงจะนำออกมารักษาในโรงพบาลเฉพาะทางตามระบบต่อไป ให้การรักษาผู้ติดเชื้ออย่างดีที่สุด ด้วยความเท่าเทียม 

"มองว่านายโทนี่และนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ควรออกมาพูดวิพากษ์ วิจารณ์ การทำงานของ นายกฯ รัฐบาล หรือประเทศไทย เพราะทั้งสองคน ก็ไม่ได้มาเห็นว่านายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์  หรือทุกหน่วยงาน ทำงานแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนทำงานหนักตลอดเวลา  

ดังนั้นก็ขอให้หยุดเคลื่อนไหว หยุดพูดจะดีกว่า เพราะยิ่งพูดออกมาเคลื่อนไหวบ่อยๆยิ่งสร้างความสับสนต่อประชาชน เหมือนกรณีวัคซีนไฟเซอร์ ที่นายโทนี่ให้ข้อมูลผิดพลาดจนหน้าแตกเย็บไม่ติดมาแล้ว” นายเสกสกล กล่าว

‘โฆษกรัฐบาล’ แจง ฝ่ายค้านเข้าใจผิด งบ กห.มากว่า สธ. ยันใช้เงินเพื่อดูแลปชช.มากกว่ากองทัพ   พร้อมยัน รพ.บุษราคัม จัดระบบเหมือนรพ.ปกติ เครื่องมือดูแลรักษาครบ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังอยู่ในขั้นตอนกฎหมาย รับ “บิ๊กตู่’ห่วงเรื่องค่าโดยสาร

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา บูรพไชยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่กระทรวงกลาโหม ได้งบประมาณมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข 5 หมื่นล้านบาท ว่า คงไม่สามารถไปดูเฉพาะงบที่กระทรวงกลาโหมได้อย่างเดียว ตัวเลขงบที่กระทรวงกลาโหมได้ในปี 2565 ระบุตัวเลขไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประมาณ 1.53 แสนล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่ต่างกันนี้อาจจะทำให้ฝ่ายค้านเข้าใจผิด เพราะ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งงบประมาณภายในกระทรวงเอง ซึ่งมีหน่วยงานอื่นที่อยู่ภายใต้กระทรวงฯ แต่ไม่ได้ขอรับงบประมาณผ่านกระทรวงฯ แต่เป็นการของบโดยตรง ยกตัวอย่าง การตั้งงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีตัวเลขงบประมาณทั้งสิ้นอีก 1.4 แสนล้านบาท 

นายอนุชา กล่าวว่า ดังนั้นค่ารักษาพยาบาลและการบริการทางการแพทย์ จะรวมทั้งสิ้นมากกว่า 3 แสนล้านบาท จะทำให้งบประมาณที่ดูแลเรื่องสุขภาพประชาชนมีมากกว่ากระทรวงกลาโหม อีกเกือบ1 แสนล้านบาท นอกจากนี้งบกระทรวงกลาโหม ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับบุคลากรและอัตรากำลังพลต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย เช่น บริเวณชายแดน จึงอยากเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่กันอย่างเข้มแข็งในปัจจุบันด้วย 

พร้อมทั้งแถลงถึงการใช้งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี ว่า โรงพยาบาลดังกล่าว ไม่ใช่โรงพยาบาลสนาม แต่เป็นโรงพยาบาลแบบเต็มรูปแบบ ไม่สามารถนำไปเปรียบกับหอพักที่มีแค่เตียง ฟูก หมอน ผ้าห่มได้ เพราะมีเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องออกซิเจน เครื่องเอ็กซเรย์ รวมถึงการติดตั้งเครื่องช่วยหายใจเหมือนกับโรงพยาบาลทั่วไป ที่ทำหน้าที่รับผู้ป่วยที่ออกจากไอซียูหรือผู้ป่วยสีแดง เช่น จากโรงพยาบาลรามาธิบดี หรือโรงพยาบาลศิริราช ทั้งนี้อยากจะให้ประชาชนที่อยู่พื้นที่บริเวณนั้นอย่ากังวล เพราะเราดูแลระบบการถ่ายเทอากาศเป็นอย่างดีตามกระทรวงสาธารณสุขวางไว้

นอกจากนี้ ยังแถลงถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาตามกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยพล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นห่วงเรื่องค่าโดยสาร ที่จะมีผลกระทบกับประชาชนโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ

รมว.พม. นำทีม เรามีเรา ลงพื้นที่ดินแดง มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโควิด-19

วันนี้ 19 พฤษภาคม 2564 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ ณ ชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์บริการสาธารณสุข 4 ดินแดง ซอยประชาสงเคราะห์ 19 แฟลต 64 กรุงเทพฯ เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้กับผู้แทนชุมชนนำไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กลุ่มเปราะบางในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กิจกรรม “เรามีเรา” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เราจะตามไปช่วย

นายจุติ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เรามาดูแลช่วยเหลือดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่
ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีใครดูแลขาดความช่วย คนพิการ ผู้สูงอายุ และครอบครัวที่ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างดูอาการไปไหนไม่ได้ เราก็เข้ามาดูแลตรงนี้ ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้มีจำนวนมาก และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมไทยได้ด้วยการบริจาคสิ่งของอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น โดยกระทรวง พม. จะเป็นส่วนกลางให้ สำหรับของที่ทุกคนมอบให้มายังคงไม่พอเพียง และเรายังมีกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ถ้าทุกคนช่วยกัน ตนเชื่อว่าเราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ไปด้วยกัน

นายจุติ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และคนไร้ที่พึ่ง โดยกระทรวง พม.ได้เตรียมจัดสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม. และปริมณฑล ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ดูแล 24 ชม. ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้เร่งวางแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายภายหลังวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากประชาชนกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300

สำหรับกรณีการฉีดวัคซีนนั้น รัฐบาลได้จัดลำดับตามที่ทุกคนลงทะเบียนผ่านแอบพลิเคชั่นไว้แล้ว ซึ่งใครที่ใช้แอบพลิเคชั่นไม่เป็น สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือบริการจองให้ โดยกระทรวง พม. จะร่วมบูรณาการกับทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top