Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

ไต้หวันเสียงแตก!! เกมการเมืองในช่วงวัคซีนขาดตลาด | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง 

คลิปนี้ชวนคิดไปกับสถานการณ์ในไต้หวัน​ ที่กำลังเสียงแตก!! แยกเป็น​ 2​ ฝั่ง​ หลังจากวัคซีนแห่งความหวังจากประเทศพันธมิตรส่งถึงล่าช้า​ จนไต้หวันกำลังเสี่ยงสู่วิกฤตโรคระบาดครั้งใหม่​ 

ยิ่งไปกว่านั้น​ ชนวนเหตุแห่งเกมการเมืองใหม่ในประเทศครั้งใหม่ ในจังหวะวัคซีนขาดตลาด​ ก็เริ่มเด่นชัด​ เมื่อพรรครัฐบาลอาจเสียงตก​ เพียงเพราะไม่ต้องการให้จีนยื่นมือมาช่วยเหลือ​ ทำให้มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายค้านเอาได้​ง่ายๆ​ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้

.

.

'ผู้นำคนพิการ'​ ใจปล้ำ!! เท 'หมดหน้าตัก'​ ช่วยคนพิการไทย​ มอบของยังชีพแบบจัดเต็มในช่วงโควิด

ที่ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพ 'สมาคมคนพิการภาคตะวันออก'​ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี 'อาจารย์ณรงค์ ไปวันเสาร์'​ นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก และตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย เปิดศูนย์ฝึกอบรมและสร้างอาชีพ สมาคมคนพิการภาคตะวันออก ให้ 'นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล'​ นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน เข้าชมการฝึกอาชีพการเย็บผ้า การสกรีนร้อน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่คนพิการ แต่ละประเภทสามารถนำมาเรียนรู้ และฝึกฝนเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว โดยใช้สโลแกน "นี่ไม่ใช่โรงงาน นี่ไม่ใช่โรงเรือน แต่ที่นี่ คือ ครอบครัวของคนพิการ" 

ซึ่งนอกเหนือจากการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนพิการแล้ว​ ที่แห่งนี้ยังเป็นที่พักอาศัยของคนพิการมากกว่า 30 ชีวิต และใช้ชีวิตความเป็นอยู่ด้วยความอบอุ่น ฉันพี่น้อง โดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รวมถึงยังใช้ชีวิตในการเป็นอยู่ "แบบครอบครัว" เดียวกัน อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน และร่วมกันส่งต่อความดีให้กับผู้อื่น เพราะคนที่ได้รับการฝึกฝน อาชีพการเย็บผ้าแล้วนั้น ยังได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานระดับชาติ เพื่อเป็น"ครูผู้สอนการเย็บผ้า" ให้กับคนพิการต่างๆในประเทศไทยมากมาย

ทั้งนี้​ ยังมีกิจกรรมเพิ่มเติม ที่ทาง "อาจารย์ณรงค์" ได้นำเสนอ​อย่าง "ผู้นำคนพิการที่ใจถึงพึ่งได้" ซึ่งเป็นการมอบข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภค บริโภค ให้กับผู้แทน โดยเป็น "ผู้นำคนพิการจังหวัด" นำไปมอบส่งต่อให้กับ คนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส ผู้ป่วยติดเตียง ตามบ้านเรือน ที่ไม่สามารถ ออกมาใช้ชีวิตทำมาหากินได้อย่างคนปกติ และยังเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่อสู้ชีวิตในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด - 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ด้วยความห่วงใย จากใจจริง

สุวัจน์ - ราชภัฎโคราช หนุน ช่วยชาวโคราช กู้วิกฤติ โควิด-19 ผลิตพยาบาล พัฒนาอาชีพ - ช่วยผู้ประกอบการ -กระตุ้นท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี  ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ได้กล่าวกับ ผศ. ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดี คณาอาจารย์ และเจ้าหน้าที่บุคลากรของมหาวิทยาลัย ในที่ประชุมบุคลากรของมหาวิทยาลัยประจำปีการศึกษา 2564 ในหัวข้อ “การปรับตัวของมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมาภายหลังโควิด- 19” ผ่านการประชุมทางไกล ว่า ความสำเร็จของการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 คือ ต้องเร่งรัดการได้มาของวัคซีน ที่มีจำนวนเพียงพอจากทุกแหล่ง ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อเร่งระดมฉีดให้กับประชาชนทั้งประเทศ เพื่อเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ที่วางแผนไว้ประมาณ 100 ล้านโดสให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีนี้ ยิ่งวัคซีนฉีดเร็ว โควิดก็จะจบเร็ว โควิดจบเร็ว เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวเร็ว

หลังจากนี้จะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับภัยโควิด-19 จบ ซึ่งขณะนี้ก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จาก พรก.กู้เงินฉบับใหม่อีก 5 แสนล้านบาท ขณะนี้ปัญหา คือ ความเดือดร้อน และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน การตกงาน ผู้ประกอบการขาดทุน เลิกกิจการ รวมทั้งความวิตกกังวลในเรื่องของโรคระบาด เรื่องความเจ็บป่วย การสูญเสียชีวิตต่างๆ ขอให้ ชาวราชภัฎทุกท่านร่วมกันคิด และแสวงหาทางออกในสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ และร่วมกันออกไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาเดือนร้อนตามบทบาทหน้าที่ และเจตนารมณ์ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อตอบสนองความต้องการและปัญหาของท้องถิ่น 

ที่ผ่านมาอธิการบดี ผู้บริหาร และนักศึกษา ได้ออกไปทำประโยชน์ช่วยเหลือสนับสนุนการแก้ปัญหาโควิด-19 ให้กับชาวโคราชเป็นอย่างดี  การออกไปช่วยเป็นจิตอาสาร่วมกับโรงพยาบาลมหาราชในการรับลงทะเบียนการฉีดวัคซีน การสนับสนุนคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ การออกไปมอบสิ่งเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ที่เดือดร้อน 

ในเรื่องเศรษฐกิจก็ออกไปช่วยให้คำแนะนำด้านวิชาการในการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การออกไปช่วยพัฒนาแหล่งน้ำตกเหวเสมา น้ำตกหินทรายที่สีคิ้ว การจัดทำผังแม่บทของการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม ของวัดบ้านไร่ การเป็นแกนหลักรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยราชภัฎในการผลักดันให้โคราชเป็น GEO PARK เพื่อสร้างโคราชให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เมื่อโควิดจบพวกเราต้องพร้อมกันออกไปช่วยเรื่องเศรษฐกิจกันต่อ ช่วยคนตกงาน ช่วยสร้างอาชีพให้กับพวกเขา ช่วยเสริมสร้างทักษะและขีดความสามารถให้กับ SMEs และผู้ประกอบการ ให้ยืนอยู่ต่อสู้กับวิกฤตให้ได้ 

และนอกจากนั้นมหาวิทยาลัยโดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยได้มีมติอนุมัติให้มีการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขนาดแคลนบุคลากรทางด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นอีก และดูแลสุขภาพให้ชาวโคราช  โดยจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2565 นี้โดยจะรับรุ่นที่ 1 ได้ถึง 72 คน “ผมขอเชิญชวนชาวราชภัฎโคราช ร่วมมือร่วมใจ ผนึกกำลังกันกับคนชาวโคราชตามบทบาทหน้าที่ของการเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน เพื่อความอยู่ดี กินดี ของชาวโคราชตลอดไปครับ”

“รมช.มนัญญา” กำชับ อ.ส.ค. และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมเฝ้าระวังการแพร่ระบาด “โรคลัมปี สกิน” ไม่ให้กระทบอุตสาหกรรมโคนมประเทศ นำทีมผู้บริหารฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง อ.ส.ค. จ.สระบุรี

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิด "โครงการรณรงค์ป้องกันโรคลัมปี สกิน" (Lumpy Skin Disease) ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี  โอกาสนี้ได้มอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง พร้อมถังฉีดพ่นให้กับสหกรณ์เขตภาคกลาง 15 แห่งที่ส่งน้ำนมให้ กับ อ.ส.ค. และร่วมฉีดพ่นยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรคลัมปี สกิน ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง อ.ส.ค. จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร พร้อมชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ณัฎฐ์ฟาร์ม ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี

รมช.มนัญญา กล่าวว่า "จากสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) ที่ยังวิกฤติหนักในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือทั่วประเทศ  ตนในฐานะกำกับดูแล อ.ส.ค. มีความห่วงใยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจึงได้สั่งการให้ อ.ส.ค. เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด และให้รายงานสถานการณ์ให้ทราบอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม หากไม่เร่งยับยั้งการระบาดในพื้นที่ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อาจส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศในอนาคตได้" รมช.มนัญญา กล่าว

ประกันสังคมลดเงินสมทบช่วยเหลือนายจ้าง ผู้ประกันตน กระทบโควิด-19 นายจ้าง ผู้ประกันตนม.33 ร้อยละ 2.5 - ม.39 เหลือเดือนละ 216 เริ่ม มิ.ย.- ส.ค. 64 นี้

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ลงนามในประกาศกฎกระทรวง กำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่3) พ.ศ.2564 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 โดยมีผลบังคับใช้ งวดเดือนมิถุนายน – สิงหาคม พ.ศ.2564 ตามมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้าง และผู้ประกันตน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประกาศกฎกระทรวง ได้กำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบ โดยให้จัดเก็บเงินสมทบฝ่ายนายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33 เดิมร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน (ค่าจ้างสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ถูกหักเงินสมทบ 375 บาท) และผู้ประกันตนมาตรา 39 เดิมร้อยละ 9 ลดลงเหลือร้อยละ 4.5 (จากเดิมที่จ่ายเดือนละ 432 บาทเหลือ 216 บาท) สำหรับรัฐบาลยังคงส่งเงินสมทบในอัตราเดิม คือร้อยละ 2.75 ของค่าจ้างผู้ประกันตน

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่าการลดเงินสมทบครั้งนี้จะช่วยลดภาระ แก่นายจ้าง 4.85 แสนราย ลดค่าใช้จ่ายลงได้ 9,487 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและรักษา การจ้างงานต่อไปได้ ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับประโยชน์จำนวน 11.1 ล้านคน ลดภาระค่าใช้จ่าย ลงได้ 9,487 ล้านบาท และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1.8 ล้านคน ลดค่าใช้จ่ายลงได้ 1,189 ล้านบาท และเมื่อรวมผู้ประกันตนทั้ง 12.9 ล้านคนแล้ว จะลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 10,676 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 20,163 ล้านบาท จึงขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจในการดำเนินงาน ของสำนักงานประกันสังคม ที่พร้อมดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แก่นายจ้าง และผู้ประกันตน ในระบบประกันสังคมอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ให้มากที่สุด

สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสัญชาติไทย 'ETRAN' ระดมทุนระดับ Serie A ได้กว่า 100 ล้านบาท

Startup สัญชาติไทย 'อีทราน' (ETRAN) สามารถระดมทุนสู่ระดับ Series A มูลค่าราว 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 100 ล้านบาท จากนักลงทุนอิสระ และ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางล้อรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติไทย โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น ทางอีทรานจะนําไปลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น เช่น แบตเตอรี่ และมอเตอร์สมรรถนะสูง รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่คํานึงถึงการเกิดลดมลภาวะในทุกขั้นตอน

ทั้งนี้ เป้าหมายของ ETRAN ได้แก่...

1.) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้เป็นแสนต้น

2.) ทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น มีเงินเหลือ ลดต้นทุนค่าน้ำมัน เพราะพลังงานไฟฟ้าสามารถผลิตได้จาก Renewable Source ได้ จะช่วยให้คนขับวินมีค่าใช้จ่ายลดลง (ค่าน้ำมัน ค่าเช่าซื้อ) ส่งผลให้มีเงินเก็บมากขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น

3.) ต้องตอบแทนสังคมได้ ทำให้โลกดีขึ้นได้ เพราะการมีรถแบรนด์ไทยดีต่อระบบเศรษฐกิจ และทำให้มีการเรียนรู้เทคโนโลยีในภาคการศึกษา คนมีคุณภาพดีสังคมก็ดีขึ้น และสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เป็นความสมดุลทุกด้านตามที่ ETRAN เป็นสตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

โดยในปีนี้ อีทรานจะเปิดตัว 2 รุ่นแรก ได้แก่ KRAF และ MYRA โดยสําหรับ MYRA นั้น นับเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบมาเพื่อการขนส่งโดยเฉพาะ ทำความเร็วได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งต่อ 1 การอัดประจุ ได้ 180 กิโลเมตร รองรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ผ่าน Battery swapping staion ที่อีทรานจะทยอยติดตั้งในบริเวณกรุงเทพมหานครกว่า 100 สถานี นอกจากนี้ ตัวรถยังติดตั้ง กล่องขนส่ง ตู้เย็น อุปกรณ์ติดตาม และระบบบริหารจัดการเครือข่ายขนส่งขนาดใหญ่ รองรับตลาดกลุ่ม Delivery ที่กําลังเติบโตเป็นอย่างมากใน 1-2 ปีที่ผ่านมา

“ตามแผนการดำเนินธุรกิจ อีทรานในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท และปี 2566 คาดว่ารายได้จะเติบโตถึง 1,000 ล้านบาท” นายสรณัญช์ กล่าว

 

ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2129432910532322&id=1233859410089681


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“บิ๊กแก้ว” ปช. ส่วนราชการ ร่วมบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนภายใต้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  (ผบ.ทสส.) ในฐานะผู้อำนวยการปฏิบัติจัดการประชุมบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนภาคใต้ พร้อม หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 โดยมี นโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกรอบแนวทางที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้มอบไว้ในการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด19 ของจังหวัดชายแดน เมื่อวันที่ 24 พ.ค.64 

ทั้งนี้ พล.อ.เฉลิมพล  ได้เน้นย้ำให้จังหวัดชายแดนมีความเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมาย ตลอดจนการดำเนินมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ในพื้นที่ชายแดน โดยให้บูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ผ่านกลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ซึ่งเป็นกลไกของกองอำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (กอ.นชท.)  เพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติงานร่วมกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกลไก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาค และส่วนกลางหรือระดับนโยบาย โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะรองผู้อำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติของศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด

ผบ.ทสส. ได้เน้นย้ำให้ศูนย์ปฏิบัติการเหล่าทัพ โดย กองทัพภาคที่ 1-4 ทัพเรือภาคที่ 1-3 และ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ในฐานะศูนย์ควบคุมชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้การสนับสนุนการปฏิบัติของศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ทั้งในพื้นที่ชายแดนทางบก และทางทะเล เพื่อให้การปฏิบัติเกิดการบูรณาการจากทุกภาคส่วนมีความเป็นเอกภาพ สำหรับการปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน พื้นที่ถัดจากชายแดน และพื้นที่ตอนในนั้น จะต้องมีความประสานสอดคล้อง เชื่อมโยงกันในลักษณะโครงข่าย เพื่อให้การปฏิบัติมีความต่อเนื่อง มีการติดต่อสื่อสารที่ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ 

ในที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงแรงงาน ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากนายจ้างหรือผู้ประกอบการที่มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าว ดำเนินการจัดหาหรือจ้างแรงงานให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งเร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการตรวจสอบ หรือสืบสวน สอบสวน กรณีมีการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลบหนีเข้าเมือง จากกลุ่มขบวนการ ผู้นำพาหรือนายจ้าง เป็นต้น 

ทั้งนี้  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักและปฏิบัติงานตามหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มขีดความสามารถ เพราะทุกหน่วยงานถือเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนกลไกให้เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องตามหน้าที่ของแต่ละส่วน โดยขอให้มีการปรึกษาหารือและประสานการปฏิบัติระหว่างกันโดยใกล้ชิดในทุกมิติ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 

ไทย-เกาหลีใต้พร้อมกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน พร้อมเพิ่มพูนการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับ นายมุน แช-อิน (H.E. Mr. Moon Jae-in) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยเป็นการหารือเพื่อรักษาพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างกัน และเพื่อยืนยันการสนับสนุนเกาหลีใต้ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับผู้นำกรอบหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวและเป้าหมายโลกปี 2030 (Partnering for Green Growth and Global Goals 2030 : P4G) ครั้งที่ 2

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้จะเป็นการหารือเพื่อกระชับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-เกาหลีใต้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอขอบคุณ และเป็นเกียรติที่ไทยจะได้เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ P4G ครั้งที่ 2 ณ กรุงโซล ผ่านระบบวีดิทัศน์แบบถ่ายทอดสดร่วมกันกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ เชื่อมั่นว่าการประชุมฯ จะประสบความสำเร็จ

ด้านประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวขอบคุณการสนับสนุนของไทยต่อการเป็นเจ้าภาพการประชุม P4G ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าไทยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และพร้อมมีบทบาทในเวทีนานาชาติ เกาหลีใต้ให้ความสำคัญในการดำเนินนโยบาย มุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy - NSP) และ นโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัส (New Southern Policy Plus - NSPP) และให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงนโยบายขอขอบคุณบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่นำพาประเทศไทยได้อย่างเข้มแข็ง ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะผ่านความท้าทายนี้ไปได้ด้วยดี ซึ่งด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของไทย และเกาหลีใต้สามารถร่วมมือกันเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาความท้าทายในประชาคมโลกได้ 

จากนั้นทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือทวิภาคี ด้านการค้าการลงทุน โดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยตรงในไทยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เชื่อมั่นว่าไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการลงทุน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการค้าการลงทุนของเกาหลีใต้ และไทยมีความร่วมมือ และพยายามจัดการประชุมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ เป็นผลจากการพบกันในการเดินทางเยือนไทยของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อปี 2562 

ด้านเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เกาหลีใต้ชื่นชมนโยบายของไทยที่ให้ความสำคัญกับการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางควบคู่กับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) หรือโมเดลบีซีจี ซึ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการยกระดับอุตสาหกรรม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลกับธรรมชาติ และเป็นแนวทางที่สอดรับกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy: NSP) และนโยบายมุ่งใต้ใหม่พลัส (New Southern Policy Plus: NSPP) ของเกาหลีใต้ ในด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future Industries) นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าเป็นสาขาความร่วมมือที่มีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังโควิด-19 จึงได้เสนอเชิญชวนเกาหลีใต้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียว ในเขต EEC ซึ่งฝ่ายเกาหลีใต้ตอบรับการสนับสนุนการลงทุนในเขต EEC ส่วนด้านสาธารณสุข เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญในขณะนี้ ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ และมีประสบการณ์ จากการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังให้เร่งรัดจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อกำหนดขอบเขตความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนด้านสาธารณสุขระหว่างกันต่อไป

ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้หยิบยกประเด็นความร่วมมือแบบพหุภาคี เกาหลีใต้ชื่นชมบทบาทการเป็นแกนกลางในภูมิภาคของไทย ซึ่งไทยชื่นชมและพร้อมสนับสนุนบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของเกาหลีใต้ที่มุ่งรักษาความสมดุลระหว่างประเทศ ตามแนวทางสันติวิธีเช่นเดียวกับไทย ในอนุภูมิภาคและภูมิภาคผ่านกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - เกาหลีใต้ (Mekong – ROK Cooperation) กรอบ ACMECS และกรอบอาเซียน - เกาหลีใต้ (ASEAN - ROK) ทั้งนี้ ไทยมุ่งหวังว่าอาเซียนและเกาหลีใต้จะได้ร่วมกันสร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงสร้างสรรค์ต่อสถานการณ์ในเมียนมาในโอกาสนี้ด้วย 

นายกฯ สั่งการ รมว.เฮ้ง จับมือฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ลงพื้นที่นครปฐม ตรวจสอบต่างด้าวป้องกันลักลอบทำงานผิดกฎหมาย 

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ 
พลตำรวจตรีนันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เพื่อตรวจสอบการจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อป้องกันการลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สอดคล้องตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่สั่งการให้กระทรวงแรงงาน บูรณาการกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แก่แรงงานในสถานประกอบการอีกด้วย 

พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในวันนี้ ผมได้รับมอบหมายจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น 
ให้ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม ตรวจสอบการจ้างแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาล โดยมี นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นายอำเภอบางเลน ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครปฐม กอ.รมน.จังหวัดนครปฐม และจัดหางานจังหวัดนครปฐม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ตลาดกลางปลาน้ำจืด บางเลนพัฒนาการประมง อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งจากการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว พบผู้กระทำความผิดเนื่องจากไม่มีใบอนุญาตทำงาน และ ใบอนุญาตพำนักอาศัยในราชอาณาจักรไทยสิ้นสุด จำนวน 10 ราย ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้นำตัวไปดำเนินคดีต่อไป 

ทั้งนี้ หากตรวจพบนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุก และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานอีก 3 ปี ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และถูกส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี หากผู้ใดพบเห็นหรือสงสัยว่ามีคนต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

พาณิชย์ลดราคา ! ช่วยประชาชน Lot11 "Food Delivery" จุรินทร์ "นำเคาะ" ลดGPเหลือ 25%  ลดค่าอาหารสูงสุด 60% 

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” Lot 11 (Food Delivery)

นายจุรินทร์ กล่าวว่าวันนี้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมกันให้ความช่วยเหลือร้านอาหาร โดยประชุมร่วมกับแพลตฟอร์มทั้งหมด 5 แพลตฟอร์ม ที่ให้บริการ Food Delivery และตัวแทนร้านอาหารทั่วประเทศ เช่น สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด สมาคมร้านอาหารและบันเทิงเชียงใหม่ ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหาร เป็นต้น และผู้แทนสถาบันการเงิน 6 สถาบัน 1.SME D Bank 2.ธนาคารกรุงไทย 3.ธนาคารออมสิน 4.ธนาคารอิสลาม 5.ธ.ก.ส. และ6. บสย.

มี 2 ประเด็น เพื่อช่วยสนับสนุนร้านอาหารในภาวะวิกฤตโควิดประเด็นที่ 1 จัดโครงการพาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 11 เพื่อช่วยเหลือบุคคล 2 กลุ่ม

1.กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารที่ขายอาหารผ่านแพลตฟอร์ม 2.กลุ่มผู้บริโภคซึ่งซื้ออาหารผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารจะมีการลดค่า GP ที่แพลตฟอร์มคิดกับร้านอาหารจากเฉลี่ย 35% -25% ลงมาเหลือ 25% มีแพลตฟอร์มที่จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 5 แพลตฟอร์ม 1.Robinhood 2. foodpanda 3.Grab 4.Gojek และ 5.Lineman
ลดค่า GP เหลือ 25% ในภาพรวม ยกเว้น Robinhood ไม่คิดค่า GP และ foodpanda ไม่คิดค่า GP สำหรับร้านใหม่

สำหรับผู้บริโภคมี 2 ส่วน 1.ลดราคาอาหารที่ขายผ่านแพลตฟอร์มทั้ง 5 แพลตฟอร์มสูงสุด 60% และจะลดค่าขนส่ง 4 แพลตฟอร์ม ใน 3-5 กิโลเมตรแรก ลดสูงสุดจาก 40 บาทเหลือ 0 บาท ประกอบด้วย 1.Robinhood 2.foodpanda 3.Grab และ 4.Gojek ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2564  ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับค่า GP ส่วนค่าอาหารจะลดทั่วประเทศ

และประเด็นที่ 2 จัดโครงการแมตช์ชิ่งเงินกู้ให้กับร้านอาหารทั่วประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นตัวกลางช่วยร้านอาหารสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี  ได้รับความร่วมมือจาก 6 สถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1.SME D Bank 2.ธนาคารกรุงไทย 3.ธนาคารออมสิน 4.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 5.ธ.ก.ส. และ 6.บสย. มีการจัด 2 กิจกรรม 1.ให้สถาบันการเงินให้ข้อมูลกับร้านอาหารที่สนใจเข้าถึงแหล่งเงินกู้วันที่ 1-6 มิถุนายน 2564ในรูปแบบออนไลน์ และต่างจังหวัดจะให้พาณิชย์จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการให้ร้านอาหารที่สนใจสอบถามข้อมูลจากสถาบันการเงิน 2.จะมีการจับแมตช์ชิ่งให้ยื่นเรื่องเพื่อขอกู้เงินตามเงื่อนไขทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ในวันที่ 7-20 มิถุนายน 2564 เพื่อช่วยให้ร้านอาหารในช่วงวิกฤติโควิดได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี

โดยร้านอาหารที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จดทะเบียนไว้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นนิติบุคคล 15,967 ร้าน และบุคคลธรรมดา 103,000 ร้าน รวมแล้ว 118,967 ร้าน 
โดยผู้ประกอบการแพลตฟอร์มจะสูญเสียรายได้ 250-350 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top