Friday, 4 July 2025
Hard News Team

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เกี่ยวกับสัดส่วนการส่งออกวัคซีนของไทย เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศว่า...

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เกี่ยวกับสัดส่วนการส่งออกวัคซีนของไทย เพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศว่า...

ไทยเตรียมกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน เพื่อให้มีวัคซีนเพียงพอที่จะใช้ภายในประเทศ

จากกรณีที่ประเทศไทย มีข้อตกลงเบื้องต้นที่จะได้รับวัคซีนจากบริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) จำนวน 61 ล้านโดส จากกำลังการผลิตทั้งสิ้น 180 ล้านโดสต่อปี คิดเป็น 1/3 ของกำลังการผลิต ที่เหลืออีก 2/3 จัดส่งให้กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน

โดยมีการวางแผนที่จะได้รับวัคซีน...

- มิ.ย. 6 ล้านโดส

- ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส

- ธ.ค. 5 ล้านโดส

ซึ่งเมื่อรวมกับวัคซีน Sinovac / Pfizer / Moderna / Sinopharm ก็จะทำให้ไทยมีปริมาณวัคซีน 105 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้

แต่เมื่อทาง บริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) เดินเครื่องการผลิตภายในประเทศ

เริ่มเดือนมิถุนายน ก็มีเหตุขลุกขลักเล็กน้อย แต่ในที่สุดไทย ก็ได้รับวัคซีนมาจำนวน 6 ล้านโดส

โดยที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนถูกเลื่อนการส่งวัคซีนออกไป

และในขณะนี้ มีข่าวว่า บริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย) กำหนดจะส่งวัคซีนให้กับประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 5-6 ล้านโดส ซึ่งเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของกำลังการผลิต ที่ได้เดือนละ 15 ล้านโดส

นั่นก็หมายความว่าวัคซีนที่ไทยจะได้รับในหกเดือนแรกจำนวน 61 ล้านโดส จะถูกกระจายออกไปเป็นได้รับเดือนละ 5 ล้านโดสเป็นเวลา 12 เดือนแทน

ซึ่งก็จะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ทางรัฐบาล จึงได้เตรียมการแก้ปัญหาดังกล่าวสองแนวทางด้วยกัน

>> แนวทางที่หนึ่ง การเจรจา โดยความเข้าอกเข้าใจ และชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นที่ไทยจะต้องได้รับวัคซีนในสิ้นปีนี้จำนวน 61 ล้านโดส แทนที่จะเป็นเฉลี่ย 12 เดือน

>> แนวทางที่สอง ถ้าการเจรจานั้นไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะเป็นการดำเนินการเหมือนที่สหภาพยุโรปและประเทศอินเดีย ได้ดำเนินการแล้ว คือ ใช้กฎหมายในสถานการณ์ที่มีโรคระบาด

ประเทศไทยเอง ก็ได้มีการเตรียมการกฎหมายดังกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2561 คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561

โดยในมาตรา 18 ระบุว่า…

ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อป้องกัน ควบคุม รักษา หรือลดความรุนแรงของโรค หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ

ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้

>> (2) สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ เมื่อเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็นสิ้นสุดลงแล้ว ให้รัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศนั้น

ทั้งนี้รัฐมนตรีในพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

และคณะกรรมการ หมายถึงคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน และมีผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเป็นกรรมการและเลขานุการ

มติของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติวันนี้ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค ไปทำการพิจารณาทบทวนเนื้อหาร่างประกาศดังกล่าว โดยให้พิจารณา…

1.) ผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านและบริษัทแอสตร้า (ประเทศไทย)

2.) ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชน

โดยขอให้เน้นการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตอย่างเต็มที่เป็นลำดับแรก แล้วกลับมารายงานถึงผลการเจรจา รวมทั้งร่างประกาศที่จะพิจารณาต่อไป

หวังว่าบริษัทผู้ผลิตคงจะเข้าใจและพยายามยืดหยุ่นการส่งวัคซีนให้ เช่นเดียวกับกรณีของสหภาพยุโรปและอินเดีย ก็ได้ใช้มาตรการเดียวกันนี้ เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดของประเทศเอาไว้ให้ได้


ที่มา :

https://www.facebook.com/237959479586026/posts/4017685858280017/

https://www.blockdit.com/posts/60eee08194f99a0c8365034f

อ้างอิง:

https://www.prachachat.net/marketing/news-713812

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2140230

http://www.nvi.go.th/index.php/files/large/ad4b0a607855cf0


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กตู่” ย้ำการจัดทำแผนพัฒนาภาคกลุ่มจังหวัดและจังหวัด เน้นสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ครั้งที่ 2/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำความสำคัญของการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัด โดยการจัดทำแผนงานโครงการต้องคำนึงถึงศักยภาพของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ทั้งนี้ แผนงานโครงการต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และมีการบูรณาการเชื่อมโยงการพัฒนาจากระดับบน (Top Down) สู่ระดับล่าง (Bottom Up) รวมทั้งกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยมุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน  นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัด ต้องปรับให้เข้ากับเกณฑ์ของยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งการจะทำให้ประสบความสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับแผนปฏิบัติการที่ต้องลงไปยังพื้นที่ ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน และการพัฒนาต้องเป็นการพัฒนาอย่างพุ่งเป้า เป็นไปตามศักยภาพของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ต้องมีการจัดเตรียมแผน จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้ดี ในการใช้งบประมาณต้องมีแผนการใช้งบประมาณในแผนเร่งด่วนตามกรอบระยะเวลา ที่ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า และปรับให้ตรงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสถานการณ์โลก สถานการณ์ภายในประเทศ ที่สำคัญคือต้องทำให้สอดคล้องกับห้วงระยะเวลา โดยต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การฟื้นฟูของประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด รวมทั้งจะต้องมีเป้าหมายตัวชี้วัดการพัฒนาระดับความแตกต่างของรายได้ของประชาชน ของจังหวัด จีดีพีรายหัว ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ในวันนี้ต้องทำงานแนวเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น การจัดทำแผนงาน/โครงการต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลรายละเอียดที่เพียงพอ แผนปฏิบัติการต้องผ่านความเห็นชอบ ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผ่านคณะกรรมการจังหวัด เสนอขึ้นมาผ่านคณะกรรมการตรวจสอบ คัดกรอง ให้ได้ข้อยุติเป็นแผนที่สมบูรณ์ โดยรัฐบาลจะไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใดก็ตาม ทุกจังหวัดจะต้องได้รับความเท่าเทียมและเป็นธรรม เท่าเทียมในเรื่องของโอกาส เป็นธรรมก็คือจะต้องดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มากขึ้น ซึ่งในการจัดทำโครงการขอให้ทำให้ดีที่สุด เมื่อเสนอโครงการมาแล้วหากต้องส่งกลับไปใหม่ จะทำให้ล่าช้าไม่ทันการณ์ ฉะนั้น ท้องถิ่นและจังหวัดต้องตรวจสอบในเรื่องการจัดทำแผนงานโครงการให้สมบูรณ์ ทั้งนี้ การทำงานใดก็ตามที่มีลักษณะการทำงานแบบเดิม ๆ จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นการทำงานเชิงรุก ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ รวมทั้งในโครงการจะต้องมีแผนหลัก แผนรอง แผนเผชิญเหตุ ให้พร้อมสำหรับการอนุมัติโครงการ ทุกจังหวัด ทุกกลุ่มจังหวัดต้องเตรียมการให้พร้อม กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนตามห้วงระยะเวลา รัฐบาลเน้นให้ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้และมีประสิทธิภาพ  

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (1) นโยบาย หลักเกณฑ์ วิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566 - 2570 (2) หลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติราชการจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 (3) แนวทางการกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดปีละ 28,000 ล้านบาท (4) หลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (5) ร่างกรอบแผนพัฒนาภาค พ.ศ. 2566 - 2570 ทั้ง 6 ภาค และหลักเกณฑ์การจัดทำแผนปฏิบัติการภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นกรอบในการจัดทำและเสนอขอโครงการที่สนับสนุนและขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ (6) ปฏิทินการดำเนินงานภายใต้กลไก ก.บ.ภ.ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 (7) แนวปฏิบัติสำหรับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด กรณีการชำระเงินประกันค่าธรรมเนียมให้สถาบันอนุญาโตตุลาการในการฟ้องคดีโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยใช้เงินเหลือจ่าย และ (8) การขอโอนเปลี่ยนแปลงโครงการเพื่อชดเชยเงินถูกพับไปของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 โดยจังหวัดเสนอคำขอเปลี่ยนแปลงเพื่อขอความเห็นจากคณะกรรมการบริหารงานจังหวัด/กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการและจัดส่งคำขอเปลี่ยนแปลงโครงการภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการปรับปรุงตัวชี้วัดการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ชุดใหม่ ที่ยึดโยงกรอบมิติการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ประกอบด้วย ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัด (32 ตัวชี้วัด) ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับกลุ่มจังหวัด (15 ตัวชี้วัด) ทั้งนี้ จังหวัด กลุ่มจังหวัด และส่วนราชการ สามารถใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการวัดสถานะการพัฒนาพื้นที่เชิงเปรียบเทียบ จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสามารถนำไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดได้ รวมทั้งชี้พื้นที่เป้าหมายการพัฒนาในระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้กับส่วนราชการเพื่อนำไปกำหนดแผนงานโครงการได้อย่างชัดเจน 

 

เริ่มแล้วจัดตั้งสถาบันวิจัยฯ พัฒนาระบบรางของประเทศ

กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2564 แล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.64 เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง สร้างความร่วมมือกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง  รวมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และจัดทำฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและการสนับสนุนอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศอย่างแท้จริง มีเป้าหมายเร่งด่วนคือ การวิจัยชิ้นส่วนในระบบรางเพื่อให้สามารถผลิตรถไฟในประเทศ 

ทั้งนี้ยังมีการวิจัยเพื่อสร้างรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ต้นแบบครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมกับการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการอื่นๆ ในอนาคต ส่วนเรื่องทุนและทรัพย์สินในการดำเนินการจะมีเงินประเดิม เงินอุดหนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน ค่าธรรมเนียมและค่าตอบแทนจากการให้บริการของสถาบันวิจัยฯ และดอกผลรายได้จากทรัพย์สิน 

โดยสถาบันวิจัยฯ จะมีแนวทางในการจัดองค์การในแบบศูนย์ความเป็นเลิศในแต่ละด้าน เช่น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟความเร็วสูง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟขนส่งสินค้า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านรถไฟฟ้าในเมือง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาบุคลากรระบบราง และศูนย์ความเป็นเลิศด้านข้อมูลระบบราง ซึ่งแต่ละศูนย์จะเน้นการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และหน่วยงานผู้ใช้เทคโนโลยี เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมระบบรางให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป

“ศักดิ์สยาม” ประชุมคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ เตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุประสบภัย

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ ประชุมคณะกรรมการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ด้วยระบบ Video Conference โดยมี ปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้แทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยาน และเรือที่ประสบภัย ในฐานะกรรมการเข้าร่วมการประชุม การประชุมครั้งนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมด้านการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2564 – 2565 ครั้งที่ 41 – 42 (SAREX 2021 - 2022) ซึ่งได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 

โดยมีสำนักงานคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยาน และเรือที่ประสบภัย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงาน ค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยาน ประสบภัยของประเทศ และประสานงานในการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลืออากาศยานที่อยู่ในภาวะอันตราย หรืออากาศยานที่สูญหายหรือขาดการติดต่อ และต้องการ การค้นหา และช่วยชีวิตผู้ที่ประสบภัยจากอากาศยานได้อย่างทันท่วงที คณะกรรมการฯ ได้รับทราบการเตรียมความพร้อมฯ ดังกล่าว และมีมติที่ประชุม ดังนี้ 

1.เห็นชอบในหลักการของแผนการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ พ.ศ. ... พร้อมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย กับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หารือในรายละเอียดร่วมกัน เพื่อให้มีความครอบคลุม ครบถ้วนยิ่งขึ้น 

2. อนุมัติการจัดการฝึกซ้อมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ประจำปี 2564 – 2565 ครั้งที่ 41 - 42 (SAREX 2021 - 2022) โดยมอบหมายให้

2.1 สำนักงานคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยาน และเรือที่ประสบภัย ทำหน้าที่เป็นแกนกลาง และเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบการฝึกซ้อม ณ ที่ตั้งหน่วย ในปีงบประมาณ 2564 ประกอบด้วย การฝึกซ้อมการติดต่อสื่อสาร (Communication Exercise), การฝึกซ้อมการประสานงาน (Coordination Exercise) และการอบรมสัมมนาหน่วยงานในระบบค้นหา และช่วยเหลือฯ ในเรื่องของแผนการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ

2.2 กองทัพเรือ ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการฝึกซ้อมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย ในปีงบประมาณ 2565 เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 คลี่คลาย

3.  แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดเขตความรับผิดชอบในการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยของไทย ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ จำนวน 13 หน่วย โดยมี รองปลัดกระทรวงคมนาคม ด้านอำนวยการ เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดเขตความรับผิดชอบในการค้นหา และช่วยเหลือฯ ของประเทศไทย ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ต่อไป 

4. มอบหมายให้เชิญผู้แทนศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการค้นหา และช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยแห่งชาติ เพื่อช่วยให้คำปรึกษาและแนะนำในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีที่เกิดเหตุอากาศยานประสบภัยทางทะเล

'สมุทรปราการ' ร่วมหารือ​ ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุโรงงานระเบิด

'สมุทรปราการ' ร่วมหารือ​ ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุโรงงานระเบิด

จังหวัดสมุทรปราการ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติกของบริษัท หมิงตี้ จำกัด จากบริษัทประกันภัย
โดยมี​ นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานการประชุมเพื่อร่วมหารือกำหนดแนวทางการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติกของบริษัท หมิงตี้ จำกัด จากบริษัทประกันภัย ณ ห้องประชุมชั้น 1​สำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ โดยมี สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการ (สคช. สป.) และสำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการได้ประชุมหารือกับสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยและบริษัท แม็คลาเรนส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหาย ได้กำหนดแนวทางการรับคำร้องขอรับค่าสินไหมทดแทนจากประชาชนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมกรอบเวลาการดำเนินการเบื้องต้นไปแล้วนั้น ที่ประชุมเห็นว่า เนื่องจากจังหวัดสมุทรปราการได้มอบหมายให้ทางอำเภอบางพลีรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายและความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงเห็นควรให้บริษัทประกันภัยและบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหายประสานขอข้อมูลจากอำเภอบางพลี
เพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อไป

โดยในวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 เวลา 10.00 น.สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสมุทรปราการและสำนักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยบริษัทประกันภัยและบริษัทสำรวจมูลค่าความเสียหายจะเดินทางไปร่วมหารือกับอำเภอบางพลีเกี่ยวกับการทำงานให้มีความชัดเจน และเป็นรูปธรรมต่อไป

'กระบี่'​ กำหนดมาตรการลานเทปาล์มน้ำมันคุณภาพ 18% ขึ้นไป​ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเมืองแห่งปาล์มน้ำมันคุณภาพ

พันตำรวจโท หม่อมหลวงกิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า จังหวัดได้ติดตามการดำเนินงานตามโครงการขับเคลื่อนนโยบายเมืองแห่งปาล์มน้ำมันคุณภาพ และตรวจกำกับลานเทปาล์มน้ำมันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยกำหนดมาตรการเพื่อให้ลานเทรับซื้อปาล์มน้ำมันคุณภาพ (18% ขึ้นไป) ได้ปฏิบัติ ดังนี้...

- ลานเทปาล์มน้ำมันต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม พื้นที่ปฏิบัติงานมีจำนวนพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม และถูกสุขลักษณะของพื้นที่ปฏิบัติงาน

- เครื่องชั่งได้มาตรฐานเหมาะสมกับการใช้งานตามกฎหมายกระทรวงพาณิชย์

- ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ในการแยกลูกร่วง โดยรางทะลายปาล์มเป็นรางทึบ ไม่มีตะแกรง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ในการแยกลูกร่วง 

- มีป้ายแสดงราคาที่ชัดเจน และถูกต้องตามกฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 

- รับซื้อปาล์มทะลายและปาล์มร่วงในราคาเดียวกัน, รับซื้อปาล์มทะลายที่มีคุณภาพตาม มกษ.5402 โดยไม่ซื้อปาล์มดิบ และปาล์มที่ไม่มีคุณภาพ 

- ขนส่งปาล์มถึงโรงานภายใน 24 ชม. นับตั้งแต่รับทะลายปาล์ม

- ไม่กระทำการใดๆ ที่เร่งให้ปาล์มสุกเร็วโดยผิดแผกไปจากธรรมชาติ เช่น ไม่รดน้ำ บ่มปาล์ม ใช้สารเคมี อื่นๆ ที่เร่งให้ปาล์มสุกเร็วขึ้น

- รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ แสงสว่าง อุปกรณ์เครื่องมือ กล้องวงจรปิด ฯลฯ และได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO     

สำหรับลานเทที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่จังหวัดกำหนด และออกตรวจสอบกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวได้กำหนดโทษ ดังนี้...

- ลานเทปาล์มน้ำมันไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการ หากฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2552 มาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

- หากลานเทปาล์มน้ำมันไม่แจ้งปริมาณสถานที่เก็บและไม่จัดทำบัญชีคุมสินค้าน้ำมันปาล์มและผลปาล์มน้ำมัน ฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2442 มาตรา 24(5) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมี่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท

- ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะมีการแจ้ง ลานเทปาล์มน้ำมันต้องประทับแสดงเครื่องหมายคำรับรองของสำนักงานกลางหรือสำนักงานสาขาที่เครื่องชั่งตวงวัดทุกเครื่อง หากฝ่าฝืนมีความผิดตาม พรบ. มาตรการชั่งตวงวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2557 มาตรา 7 ต้องระวางโทษจำคุกไม่กินสามปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาท

- ห้ามแก้ไขหรือดัดแปลงส่วนประกอบของเครื่องชั่งหรือโปรแกรมที่ใช้กับเครื่องช่างโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอื่นที่คล้ายคลึงกันหรือกระทำด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้ความเที่ยงของเครื่องชั่งผิดเกินอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด หากฝ่าฝืนมีความผิด ตาม พรบ. มาตราชั่วตวงวัด (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2557 มาตรา 75 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิดเจ็ดปี และปรับไม่เกิดสองแสนแปดหมื่นบาท 

ข่าว/ภาพ​ มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

บริษัทซิโนแวคและซิโนฟาร์มของจีน ลงนามในข้อตกลงส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมกัน 550 ล้านโดส ให้แก่โครงการโคแวกซ์ ภายในกลางปีหน้า แต่ในระหว่างนี้พร้อมส่งมอบรวมกันก่อน 110 ล้านโดส

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ว่าองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (กาวี) ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญในโครงการโคแวกซ์ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ออกแถลงการณ์ เมื่อวันจันทร์ ว่าได้ลงนามอย่างเป็นทางการร่วมกับบริษัทเภสัชกรรมแห่งชาติจีน (ซิโนฟาร์ม) และบริษัทซิโนแวค ไบโอเทคของจีน ในการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมกัน 550 ล้านโดส

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ซิโนฟาร์มเตรียมจัดส่งวัคซีนให้ 170 ล้านโดส และซิโนแวคเตรียมจัดส่งวัคซีนให้ 380 ล้านโดส นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ การจัดส่งวัคซีนร่วมกันของบริษัททั้งสองแห่งเข้าสู่โครงการโคแวกซ์ จะเกิดขึ้น 110 ล้านโดส ซึ่งช่วงเวลาของการส่งมอบ เกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ 'เดลตา'

สำหรับโครงการโคแวกซ์ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. ปี 2020 มุ่งสนับสนุนการพัฒนา จัดซื้อ และส่งวัคซีนไปยังกว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้นำ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (The Vaccine Alliance หรือ Gavi) ที่ก่อตั้งโดยบิลและเมลินดา เกตส์ และกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations หรือ Cepi)

โคแวกซ์ หรือ Covax ย่อมาจาก Covid-19 Vaccines Global Access Facility หรือโครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ระดับโลก


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/47630/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ผอ.สศค’ เผย! เตรียมคุยออนไลน์ฟู้ดเดลิเวอรี่ ดึงร่วม ‘คนละครึ่ง’ ภายใน ก.ค.นี้ ด้าน ‘ร้านอาหาร-ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ประสานเสียงหนุนรัฐปลดล็อก จ่ายคนละครึ่งผ่านแอปฯ ซื้ออาหาร-เครื่องดื่ม

‘ผอ.สศค’ เผย! เตรียมคุยออนไลน์ฟู้ดเดลิเวอรี่ ดึงร่วม ‘คนละครึ่ง’ ภายใน ก.ค.นี้ ยกเว้น! รายที่มีปัญหา ระบุ! รอเจรจาค่า GP เหตุมีการโปรโมทให้ร้านค้าและไรเดอร์ ด้าน ‘ร้านอาหาร-ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ประสานเสียงหนุนรัฐปลดล็อก จ่ายคนละครึ่งผ่านแอปฯ ซื้ออาหาร-เครื่องดื่ม

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงกรณีฟู้ดเดลิเวอรี่ต้องการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลว่า ล่าสุด ได้หารือกับผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ (Food Delivery) อย่างไม่เป็นทางการ 2 ราย จากผู้ให้บริการทั้งหมด 4 ราย โดยผู้ให้บริการยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งอย่างไม่มีปัญหา ยกเว้นผู้ให้บริการหนึ่งรายที่กระทำผิดกฎหมายอยู่ในขณะนี้ ไม่ตอบข้อหารือของสศค. หลังจากที่ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า ‘ไม่ว่าง’

“สศค.จะไม่ตัดสิทธิผู้ให้บริการรายใดออกไป แต่ต้องการทำให้ทุกอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นการชำระเงินระหว่างกันโดยตรงไม่ผ่านตัวกลาง (Face to Face)” น.ส.กุลยา ย้ำว่าภายในเดือนนี้จะเชิญผู้ประกอบการมาหารือผ่านระบบออนไลน์ เพื่อสรุปแนวทางการเข้าร่วมอย่างเป็นทางการ โดยในระหว่างนี้ สศค.ได้หารือกับธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้ให้บริการ ‘เป๋าตัง’ ในประเด็นการชำระเงินจากภาครัฐไปสู่ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ และจากฟู้ดเดลิเวอรี่ไปยังผู้ค้า เป็นต้น

ซึ่งประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องคำนึงถึงความโปร่งใส และไม่มีปัญหาเรื่องทุจริต ที่ผ่านมาสศค.ได้ตรวจพบการทุจริตโครงการคนละครึ่ง และได้ดำเนินการเข้มงวดแล้ว จึงไม่ต้องการเห็นเกิดช่องโหว่ของการทุจริตกลับมาอีก

ส่วนกรณี การลดค่าธรรมเนียม หรือ Gross Profit (GP) นั้น สศค. อยู่ระหว่างพิจารณาถึงความเหมาะสม และเตรียมหารือกับผู้ประกอบการฯ ทั้งนี้ อยากเห็นการมีส่วนร่วมของฟู้ดเดลิเวอรรี่ต่อประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการเคยให้ข้อมูลว่า มีการจัดโปรโมชันให้กับร้านค้า ไรเดอร์ และผู้สั่งซื้ออาหารอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เช่น โรบินฮู้ด ไม่เก็บค่าขนส่งลูกค้า เป็นต้น โดยมองว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกฝ่ายช่วยเหลือสังคมในช่วงที่ล็อกดาวน์

ด้านนายวรพจน์ พูลถนอมสุข เจ้าของร้านอาหาร ‘เป่าซิงสุกี้’ ย่าน ถ.เจริญลาภ กล่าวว่า เดิมร้านมี 5 สาขา ปัจจุบันเหลือ 3 สาขาและกำลังจะปิดอีก 1 สาขา เหลือเพียง 2 สาขาเพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสุกี้ฯ โดยหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด และรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้รายได้จากยอดขายลดลงมากกว่า 35%

ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะปลดล็อก เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิในโครงการของรัฐ โดยเฉพาะ ‘คนละครึ่ง’ สามารถจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มผ่านแอปฯ ของฟูดเดลิเวอรี่แล้ว เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ซบเซาจากนโยบายของรัฐ พอจะกระเตื้องขึ้นมาได้ โดยอยากให้ภาครัฐเร่งดำเนินในทันที ข้ามกฎระเบียบและขั้นตอนใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้โครงการดังกล่าวเกิดความล่าช้า เนื่องจากเวลาที่ทอดยาวออกไป ยิ่งเป็นการทำลายโอกาสของผู้ประกอบการร้านอาหารฯ

ขณะที่ น.ส.รัตนาภรณ์ เวชสวรรค์ เจ้าของร้านข้าวมันไก่ ‘ป.เจริญชัยไก่ตอน’ ย่าน ถ.ประชาราษฎร์ ห้วยขวาง กล่าวว่า ร้านได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดและมาตรการของรัฐ ทำให้ยอดขายหายไปราว 30-40% ส่วนหนึ่งเพราะประชาชนประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น แต่ที่สำคัญคือ ประชาชนไม่ออกจากบ้าน เพราะการประกาศล็อกดาวน์ของรัฐ ทำให้โอกาสที่ร้านฯ จะขายอาหารแก่ลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งยิ่งน้อยลงไปอีก

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐคลายล็อก และเปิดให้มีการใช้จ่ายค่าอาหารฯ ในโครงการคนละครึ่ง ผ่านแอปฯ เป๋าตังโดยเร็ว และเปิดให้ทุกแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่สามารถรับเงินแทนร้านอาหารได้ ส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งนี้จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติได้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารในตอนนี้คือ การกระตุ้นให้เกิดยอดขาย ไม่ว่าจะจากทั้งรัฐบาล หรือแอปพลิเคชัน เพื่อให้ร้านต่าง ๆ ยังมีสภาพคล่องและรักษาธุรกิจต่อไปได้

ส่วนผู้บริหารระดับสูงของแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่รายหนึ่ง (ค่ายสีชมพู) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มผู้ให้บริการแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่หลายแห่ง ได้ใช้เวทีการประชุมร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เสนอแนวทางการชำระเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่มาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากภาครัฐจะเปิดให้มีการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่จริง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่บริษัทเจ้าของแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่เท่านั้น เพราะผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด คือ ผู้บริโภคและร้านอาหาร รวมถึงระบบเศรษฐกิจในภาพรวมที่จะกระเตื้องตามกันไป

ดร.เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผอ.ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บเฝ้าติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งนี้ หากเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการฟู้ดเดลิเวอรี่สามารถเข้าร่วมได้ ทางแกร็บก็พร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน และพร้อมให้ภาครัฐตรวจสอบตรวจสอบความโปร่งใส

ส่วนในทางปฏิบัติ หากภาครัฐปลดล็อกให้มีการใช้จ่ายเงิน (สิทธิ) ในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่ แกร็บก็พร้อมร่วมหารือในรายละเอียดกับธนาคารกรุงไทย ที่ดูแลแอปฯ เป๋าตัง ถุงเงิน และระบบการชำระเงินในโอกาสต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบ.ทบ. มอบหมายให้ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. แจ้งความเอาผิดกับ 9 มือโพสต์ เป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ก 8 ราย ทวิตเตอร์ 1 ราย โพสต์กล่าวหาส่งกำลังพลไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯ ชี้ทำให้กองทัพบกเสียหาย

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีการภาพกำลังพล กองร้อยส่งทางอากาศ ที่เดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operation) กับกองทัพบกสหรัฐฯ ณ Fort Bragg รัฐนอร์ทแคโรไลนา ระหว่างวันที่ 10-26 ก.ค. 64 ที่สนามบินไปเผยแพร่และบิดเบือน โดยกล่าวหาว่าเดินทางไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็ม 3 และใช้ภาษีประชาชนเป็นค่าตั๋วเครื่องบินในการเดินทางนั้น

.ล่าสุด พล.อ.ณรงพันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้มอบหมายให้ พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ทำหน้าที่แทนดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับบุคคลที่นำภาพไปบิดเบือน จนทำให้กองทัพบกเกิดความเสียหาย พร้อมให้ พ.อ.ณครสม เนาวบุตร ผู้อำนวยการกองคดี สำนักพระธรรมนูญทหารบก เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลล็อตแรก จำนวน 9 ราย ประกอบด้วย ผู้ในเฟซบุ๊ก จำนวน 8 ราย ทวิตเตอร์ จำนวน 1 ราย และจะมีการทยอยแจ้งความกับบุคคลอื่นเพิ่มเติมอีก ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท จำคุก 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศบค.ย้ำ ร้านเสริมสวย-ตัดผม นอกห้างฯ เปิดได้!! แต่พบติดเชื้อพุ่ง ก็ถูกสั่งปิดได้

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตอบข้อซักถามถึงกรณีข้อสงสัย คลินิกเสริมความงาม ร้านตัดผม ร้านทำเล็บ ร้านสัก ในพื้นที่ล็อกดาวน์สามารถเปิดได้หรือไม่ ว่า ตามข้อกำหนดฉบับที่ 27 ที่ได้ประกาศระบุ 6 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ เท่านั้น ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 4 จังหวัดทางภาคใต้นั้นไม่ได้อยู่ในหลักการเดียวกันนี้

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า โดยสรุปได้เป็นในส่วนของที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า และนอกห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอล ซึ่งส่วนที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า เช่น ร้านตัดผม, ร้านเสริมสวย, ร้านทำเล็บ, สักผิวหนัง, คลินิกทันตกรรม, คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก, คลีนิคเวชกรรมเสริมความงาม, รวมไปถึง ร้านบริการล้างรถ, ซักรีด จะต้องปิดทั้งหมด ซึ่งโดยรวมแล้วกรมควบคุมโรคมีคำแนะนำว่าห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอล จะเป็นที่รวมกลุ่มของคนจำนวนมาก

ดังนั้น จึงต้องขอให้สถานบริการเหล่านั้นที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าจำเป็นจะต้องปิดด้วยทั้งหมด แต่ถ้าร้านหรือคลีนิคเหล่านั้นเปิดอยู่นอกห้างสรรพสินค้าขอให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัด หากจังหวัดไหนพิจารณาให้เปิดดำเนินการได้ ก็ขอให้ฟังประกาศของจังหวัดที่ท่านตั้งอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำว่าหากมีการเปิดดำเนินการแล้วมีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ก็เป็นไปได้ที่จังหวัดนั้น ๆ จะพิจารณาสั่งปิดในโอกาสต่อ ๆ ไป

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ตอนนี้พบว่าคลินิกเสริมความงามหรือร้านเสริมสวยต่าง ๆ ที่แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้า โดยหลักการทางจังหวัดอนุญาตให้เปิดได้แต่เจ้าของกิจการคลินิกเหล่านี้หลายที่ ก็พบว่าปิดดำเนินการชั่วคราวในช่วงนี้เพื่อเป็นการช่วยกันเวิร์คฟอร์มโฮมให้มากที่สุด

ก็ต้องขอขอบคุณคลินิกเหล่านี้ที่มีความเป็นห่วงและร่วมด้วยช่วยกันอาจจะต้องเดือดร้อนสูญเสียรายได้แต่ในระยะที่ปิดชั่วคราวนี้ ก็เพื่อลดการเดินทางลดการที่ประชาชนจะออกนอกบ้านถือได้ว่าให้ความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top