Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

2 เข็ม AZ ภูมิพุ่ง 90% ไม่น้อยหน้า 'Pfizer - Moderna' ไม่ต้องเสียเวลาบินไปฉีดต่างแดน

เป็นอีกข่าวดีของผู้ที่เตรียมรับวัคซีนแอสตราเซเนกา เมื่อ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Warat Karuchit ว่า....

ขอแสดงความยินดี กับท่านที่ได้ฉีด AZ (แอตราเซเนกา) ด้วยนะครับ

ผลการศึกษาเบื้องต้นที่เก็บในโลกจริง (ไม่ได้บอกว่าที่ไหน แต่น่าจะเป็นที่อังกฤษ) พบว่า สองเข็มของ AZ นั้นสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงสุดถึง 90% เลยทีเดียว เอาจริงๆ สูสีกับไฟเซอร์และโมเดิร์นน่าเลยนะเนี่ย โดยไม่ต้องเสียตังบินไปต่างประเทศด้วย

 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4665180533497549&id=100000169455098

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/uk-analysis-finds-two-doses-astrazeneca-covid-19-vaccine-85-90-effective-2021-05-20/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Meet THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน | ประจำวันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564

Update ข่าววัคซีนในประเทศไทย และต่างประเทศ

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

การบินไทย ประกาศ 5 เที่ยวบินตรงรับภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์

นายนนท์ กลินทะ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค.-ก.ย.64 บริษัทฯ ได้จัด 5 เที่ยวบินตรงสู่ภูเก็ตจาก 5 เมืองในยุโรป ได้แก่ โคเปนเฮเกน แฟรงก์เฟิร์ต ปารีส ลอนดอน และซูริก เพื่อให้เป็นไปตามแผนการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้โมเดล “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox) ที่เปิดประเทศเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตแบบไม่ต้องกักตัว 

สำหรับรายละเอียดของ 5 เที่ยวบิน ประกอบด้วย

1.) เที่ยวบินที่ทำการบินทุกวันศุกร์ เริ่มเที่ยวบินแรก ในวันที่ 2 ก.ค.64 ได้แก่ เที่ยวบินที่ ทีจี 953 เส้นทาง โคเปนเฮเกน-ภูเก็ต ออกเดินทางจากโคเปนเฮเกน เวลา 14.25 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 06.25 น. ในวันถัดไป, เที่ยวบินที่ ทีจี 923 เส้นทาง แฟรงก์เฟิร์ต-ภูเก็ต ออกเดินทางจากแฟรงก์เฟิร์ต เวลา 14.45 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 07.10 น. ในวันถัดไป และเที่ยวบินที่ ทีจี 933 เส้นทาง ปารีส-ภูเก็ต ออกเดินทางจากปารีส เวลา 15.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 08.00 น. ในวันถัดไป 

2.) เที่ยวบินที่ทำการบินทุกวันเสาร์ เริ่มเที่ยวบินแรก ในวันที่ 3 ก.ค.64 ได้แก่ เที่ยวบินที่ ทีจี 917 เส้นทาง ลอนดอน-ภูเก็ต ออกเดินทางจากลอนดอน เวลา 12.30 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 06.10 น. ในวันถัดไป และเที่ยวบินที่ ทีจี 973 เส้นทาง ซูริก-ภูเก็ต ออกเดินทางจากซูริก เวลา 15.20 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 07.45 น. ในวันถัดไป

“บิ๊กบี้” สั่งรพ.สังกัดทบ.ทุกพื้นที่ร่วม “วาระแห่งชาติ ฉีดวัคซีนให้ปชช. ” สร้างภูมิคุ้มกันโควิด

ที่กองบัญชากการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ และมีกำหนดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบ “หมอพร้อม” เริ่มในวันนี้ (7 มิถุนายน 64)  ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้ ศบค. ทบ.และกรมแพทย์ทหารบก เตรียมการและประสานงานกับสาธารณสุขเพื่อร่วมดำเนินการฉีดวัคซีนดังกล่าวตามแผนการจัดสรรในแต่ละจังหวัดอย่างเต็มที่ เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ตามมาตรการป้องกันโรค และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ โควิดของประเทศไทยให้กลับมาสู่ปกติได้ในที่สุด

โดยขณะนี้โรงพยาบาลกองทัพบกทุกแห่งทั่วประเทศ ได้ใช้กำลังพลสายแพทย์ 950 นาย สนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลประจำจังหวัด ร่วมในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้สนับสนุนสถานที่ที่ใช้ในการฉีดวัคซีนจำนวน 38 แห่ง ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลค่ายหรืออาคารของหน่วยทหารตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการจัดกำลังพลจิตอาสาช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มารับวัคซีนด้วย 

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวอีกว่า ขั้นต้นจะดำเนินการต่อเนื่องตลอดห้วงเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบก มีศักยภาพที่จะให้บริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้วันละ 3,000 คน โดยขณะนี้มีผู้ที่ลงทะเบียนขอเข้ารับวัคซีนกับโรงพยาบาลกองทัพบก 79,172 คน สำหรับโรงพยาบาลค่าย/สถานที่ฉีดวัคซีนที่กองทัพบกรับผิดชอบในแต่ละแห่ง จะมียอดให้บริการฉีดวัคซีนในแต่ละวัน 80-1,500 คน ตามการลงทะเบียนในระบบหมอพร้อม ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกกำชับให้โรงพยาบาลกองทัพบกได้บริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับความสะดวกที่สุด มีความรวดเร็วในขั้นตอนต่างๆ ทั้งด้านการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการฉีด การสังเกตอาการ รวมทั้งการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันเชื้อโควิด

“ผู้บัญชาการทหารบก ได้ไปตรวจเยี่ยมการบริการวัคซีนให้กับประชาชน พร้อมให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ที่รพ.พระมงกุฏเกล้า ซึ่งได้ใช้อาคารสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ชั้น G เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนเป็นการเฉพาะแยกออกจากบริเวณการรักษาและบริการผู้ป่วยของโรงพยาบาลโดยมียอดประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบเข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ 1,117 คน” โฆษกกองทัพบก กล่าว

ทอ.เปิดให้บริการฉีดวัคซีน ระยะที่ 2 เป็นวันแรกสำหรับประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรัง

ที่กองทัพอากาศ โดย ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ และกรมแพทย์ทหารอากาศ เปิดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในระยะที่ 2 เป็นวันแรกตามที่รัฐบาลประกาศให้มีการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิ.ย.2564 ซึ่งจะเป็นการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรัง ประกอบด้วย โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน

โดยกองทัพอากาศ ได้จัดตั้งศูนย์บริการฉีดวัคซีน ให้บริการกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรังดังกล่าว ที่ลงทะเบียนไว้แล้วจะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนที่ ชั้น 1 อาคารชุมนุมสัญญาบัตร โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ สามารถให้บริการได้วันละ 600 คน และ ห้องอาหาร ชั้น 2 อาคารสนับสนุน โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กรมแพทย์ทหารอากาศ สามารถให้บริการได้วันละ 200 คน

พร้อมกันนี้ จะดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่กำลังพลของกองทัพอากาศที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง หรือผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในการดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง และผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์บริการฉีดวัคซีนกองทัพอากาศ ณ อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ซึ่งสามารถให้บริการได้วันละ 1,000 คน ระหว่างวันที่ 8-11 มิ.ย.

“บิ๊กแก้ว” ตรวจจุดบริการฉีดวัคซีน ”บก.ทท”

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของจุดบริการฉีดวัคซีน ณ อาคาร 15 บก.ทท. ทั้งนี้ จากที่รัฐบาลได้มีการกำหนดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรค โดยเริ่มการฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ 

บก.ทท.ได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลในการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการกระจายวัคซีนและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลทั้งนี้ บก.ทท.มีความพร้อมทั้งในส่วนของสถานที่และบุคลากร สำหรับเป็นพื้นที่ให้บริการในการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

"โรม" ยัน "พิธา" ประกาศตัดงบไม่ขัดรธน. ลั่น ไม่ให้ค่า "เรืองไกร" คนเปลี่ยนสี ชี้ ถ้ากมธ.ตัดงบไม่ได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่กล่าวว่า การประกาศตัดงบประมาณของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่า ความจริงนายเรืองไกรก็ทำงานในกมธ. งบประมาณฯ ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทยมานาน ซึ่งก็ทำร่วมกับพรรคก้าวไกลด้วย ที่ผ่านมาเราก็ทำอย่างเต็มที่ ปี 64 เราก็ตัดงบประมาณไปได้กว่าหมื่นล้านบาท ตนคิดว่านายเรืองไกรก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้ผิด การที่เราประกาศตัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้อย่างอื่น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการวิ่งเต้นโครงการ หรือเสนอโครงการอะไรเข้ามา แต่เป็นการเสนอตามกลไกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าในการพิจารณางบประมาณจำเป็นต้องตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นและเป็นภาระออกก่อน แล้วนำไปกองไว้รวมกัน จากนั้นหน่วยงานรัฐต่างๆ ก็ทำโครงการมาเสนอก็ได้ บางทีนายเรืองไกรควรจะมองคนรอบข้างของตัวเองมากกว่าว่าอาจจะมีแนวโน้มที่จะไปกระทำความผิดขัดต่อมาตรา 144 ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาจะพบว่ามีความพยายามวิ่งเต้นโครงการต่างๆ เพื่อนำเงินที่ตัดออกไป ไปใช้ในลักษณะเพื่อพวกพ้องตัวเอง 

เมื่อถามว่าหากพิจารณาตามตัวบท การประกาศตัดงบประมาณเช่นกรณีนายพิธา ถือว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่นายพิธาประกาศจะทำไม่มีทางขัดกฎหมาย เพราะการตัดงบประมาณสามารถทำได้ เพราะเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าตรวจคัดกรองโครงการของหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ ตามมาตรา 144 ระบุสิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น การเสนอโครงการเอง ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่เคยวิ่งเต้นโครงการ แต่เราเพียงให้ความเห็นว่าการของบทำโครงการบางโครงการไม่เหมาะสมในภาวะโควิด-19

เมื่อถามว่าการแสดงความเห็นของนายเรืองไกรจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นของสภาฯ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราก็ทำแบบนี้แล้วก็ไม่เคยผิดรัฐธรรมนูญ ถ้าเราผิด คงโดนร้องไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นายเรืองไกรมาแนะนำ หากเราไม่สามารถตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ เหมือนในยุคสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขอโครงการอะไรก็ได้หมด อำนาจของสภาฯ คือ สามารถตัดโครงการที่ไม่จำเป็นได้ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ร่วมกันไม่ใช่เฉพาะของส่วนพรรคก้าวไกลเท่านั้น ส่วนหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณทั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ก็มีหน้าที่ให้เหตุผลว่าโครงการที่เสนอมามีความจำเป็นหรือไม่ 

เมื่อถามว่ามองว่าเจตนาของนายเรืองไกรซึ่งปัจจุบันย้ายไปสังกัดของพรรคพลังประชารัฐแล้วนั้นคืออะไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่อยากจะวิจารณ์อะไรเยอะหรือให้ค่านายเรืองไกร คิดว่านายเรืองไกรก็คงพยายามทำหน้าที่ ในฐานะที่มาจากโควตารัฐบาลที่จะเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาลให้มากที่สุด ส่วนสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือการตัดในส่วนนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่ตัวเอง นายเรืองไกรก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น แต่การแสดงความคิดเห็นของนายเรืองไกรไม่ได้หมายความว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่นายเรืองไกรพูดไปทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ของประชาชน โดยปัจจุบันนายเรืองไกรได้เปลี่ยนสี ไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล ตนก็ขอให้นายเรืองไกรโชคดี แต่เราก็ยืนยันว่าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

“บิ๊กตู่” ปลื้ม 7 มิถุนายน 2564 คิกออฟ “ฉีดวัคซีน วาระแห่งชาติ” วอนร่วมกันสู้ไม่ย่อท้อ จนกว่าประเทศไทยจะได้ชัยชนะ”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวว่า “ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม ปี 2563 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ได้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อโควิดนอกประเทศจีน จนเกิดการแพร่ระบาดขึ้น รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ และระดมทั้งบุคลากรและทรัพยากรเพื่อควบคุมสถานการณ์ ทั้งการปิดสถานที่ สถานศึกษา งดการเดินทาง ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยว จนทำให้ธุรกิจจำนวนมากต้องหยุดกิจการ นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศต้องหยุดชะงัก แต่ด้วยมาตรการเหล่านี้ ทำให้เราควบคุมสถานการณ์จนผู้ติดเชื้อลดลงจนเหลือศูนย์ได้ในเดือนพฤษภาคม และประเทศไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิดได้ดีที่สุดของโลก ในขณะที่หลายประเทศยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทุกวัน แต่ประชาชนชาวไทย เริ่มกลับมาสู่การใช้ชีวิตได้เหมือนก่อน ภายใต้รูปแบบชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง 

แต่การต่อสู้กับโควิดนั้นยังไม่ได้จบง่ายๆ เราต้องเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เช่นเดียวกับอีกหลายๆประเทศที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราก็ยังต้องต่อสู้กับโควิดในระลอกนี้ในหลายพื้นที่ 

แต่ในวันนี้ กว่าหนึ่งปีครึ่งหลังจากพบผู้ติดเชื้อคนแรกในประเทศไทย อาวุธของเราไม่ได้มีเพียงหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ เหมือนการต่อสู้ของเราในปีที่แล้ว แต่เรามีอาวุธสำคัญที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ และเอาชนะไวรัสร้ายนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นคือ “วัคซีน” 
“วัคซีน” จะเป็น “เกราะป้องกัน” ให้คนไทยไม่เจ็บป่วยจากโรคร้าย ช่วยลดภาระการทำงานหนักของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเทเสียสละมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว

“วัคซีน” จะเป็น “กุญแจ” ที่ช่วยเปิดประตูของประเทศ ให้กลับมารับนักท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เปิดร้านค้าทำมาหากิน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ 
และ “วัคซีน” จะเป็น “พลัง” ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยความสำคัญของ “วัคซีน” ที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ผมและรัฐบาล ได้พยายามอย่างเต็มที่ ทุกหนทาง ที่จะจัดหาวัคซีนโควิด-19 มาให้ได้มากที่สุด เพื่อประชาชนชาวไทย และผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ร่วมกับเราทุกคน และได้ประกาศให้การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่ให้สำเร็จลุล่วง

โดยที่ผ่านมา เราฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มอาชีพเสี่ยงไปแล้วมากกว่าสี่ล้านโดส ในวันนี้ เรามีวัคซีนพร้อมฉีดแล้ว 3.54 ล้านโดส ทั้งวัคซีนจากแอสตราเซเนกา 2.04 ล้านโดส และซิโนแวก 1.5 ล้านโดส และจะทยอยได้รับวัคซีนเพิ่มอย่างต่อเนื่องจากการผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย อยู่ในประเทศไทยของเราเอง รวมทั้งวัคซีนอื่นๆ ที่รัฐบาลจัดหามาเพิ่มตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ 

โดยในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ผมได้มอบหมายหลักการในการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากที่สุด นั่นคือ 

1.) ทุกจังหวัดจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เริ่มต้นได้พร้อมกัน ไม่มีจังหวัดใดถูกทอดทิ้ง

2.) จำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรร จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญคือ จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนอาชีพกลุ่มเสี่ยง และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่นพื้นที่ท่องเที่ยวหรือพื้นที่เศรษฐกิจ โดยแต่ละจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดการจัดสรรวัคซีนให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดเอง

3.) ทุกคนที่จองคิวไว้แล้วจะต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันที่จองไว้เดิมให้ได้มากที่สุดในการดำเนินการตามวาระแห่งชาติในครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคน โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ดำเนินการอย่างดีเยี่ยม จนทำให้วันนี้เรามีวัคซีนอย่างเพียงพอ เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และในการดำเนินการกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศ

“ผมขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ที่ต่างดูแลรับผิดชอบ ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด และบริหารจัดการให้ประชาชนในจังหวัดของท่านได้รับวัคซีนให้ได้มากที่สุด”

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ อสม. และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่อยู่ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนต่างๆทั่วประเทศ ที่รับภารกิจสำคัญอย่างยิ่งในการให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ซึ่งต้องดำเนินการต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน ผมขอขอบคุณที่ทุกท่านทุ่มเท เสียสละ และร่วมต่อสู้โควิดร่วมกับผมและประชาชนคนไทยทุกคนมาโดยตลอด ผมขอให้กำลังใจและขอชื่นชมท่านจากใจจริง

วันนี้ วันที่ 7 มิถุนายน 2564 จะต้องบันทึกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสงครามไวรัสในครั้งนี้ เป็นหมุดหมายในการเริ่มต้นโต้กลับของคนไทยพร้อมกันทั้งประเทศ ว่าเราจะไม่ยอมแพ้ให้กับไวรัสโควิด-19 และเราจะร่วมกันสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนกว่าประเทศไทยจะได้ชัยชนะ”

ย้อนอดีต​ สังหารหมู่ ‘เด็กพื้นเมือง’ ใน ‘แคนาดา’ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

สังหารหมู่ ‘เด็กพื้นเมือง’ ในโรงเรียนกินนอน
ประวัติศาสตร์ดำมืดที่ยากจะลืมของ ‘แคนาดา’

News Gen Times ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง 
.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ธ.ก.ส. เตือน! ระวังมิจฉาชีพ ปลอมเฟซบุ๊กแอบอ้างเสนอเงินกู้ พร้อม จ่อดำเนินคดีพวกหัวหมอ!

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ช่องทาง Facebook โดยใช้ชื่อบัญชี “Sara Sourour” แอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ของธนาคาร และมีการโพสต์เสนอเงินกู้ตามช่องแสดงความคิดเห็น โดย ธ.ก.ส. ขอแจ้งว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชี Facebook ดังกล่าว อีกทั้งธนาคารไม่มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อผ่านทาง Facebook จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มี Facebook Page ที่เป็นทางการคือ “ธกส BAAC Thailand” เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า และ Facebook Page “ธกส บริการด้วยใจ” เพื่อเป็นช่องทางสอบถามข้อมูล ให้ความช่วยเหลือและรับข้อร้องเรียนจากลูกค้า 

อีกทั้งยังมี LINE Official : BAAC Family ที่เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์เบื้องต้นในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งหากถูกต้องตามหลักเกณฑ์จึงจะนัดหมายทำสัญญาต่อไป โดยจุดสังเกต LINE Official : BAAC Family จะมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวที่บริเวณหน้าชื่อและมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 8 ล้านคน

“ปัจจุบันมีการหลอกลวงจากมิจฉาชีพในหลากหลายรูปแบบผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ธ.ก.ส. จึงขอให้ใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ หากพบเห็นการแอบอ้างต่าง ๆ หรือต้องการสอบถาม โดยธนาคารจะดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top