Monday, 7 July 2025
Hard News Team

รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ติดตาม คืบ มาตรการ“พักทรัพย์ พักหนี้” ฟังเสียงสะท้อนจากเอกชน - มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู คาดต.ค.นี้ ธนาคารปล่อยถึงแสนล้าน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการ  “มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้”  ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2564 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของ COVID-19 ให้มีภาระหนี้ลดลงและสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ผ่านกลไกการรับโอนสินทรัพย์หลักประกันเพื่อชำระหนี้ของสถาบันการเงิน พร้อมให้สิทธิซื้อทรัพย์คืน และต่อมา ครม. ยังได้เห็นชอบมาตรการภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้อีกด้วย

สอดรับมติครม.ดังกล่าว กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อง ‘กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข กรณีหนี้ที่ต้องดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้’ และได้มีผลบังคับใช้เมื่อ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีแก่สถาบันการเงินและลูกหนี้ธุรกิจที่ร่วมโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” คาดว่าจะมีผลให้ผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะไม่ต้องกังวลกับภาระภาษี เป็นการลดต้นทุนให้กับลูกหนี้และสถาบันการเงิน

อีกทั้งสถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่างๆได้เพิ่มขึ้น และสำหรับภาคการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์  (ธ.ก.ส.) ได้มีมาตรการ “พักทรัพย์ พักหนี้” เช่นกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ(บุคคล หรือ นิติบุคคล) สหกรณ์ภาคการเกษตรที่ประกอบธุรกิจพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม บริการ และธุรกิจเกษตร ที่มีหนี้เงินกู้หรือมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันเงิน ก่อน 1 มี.ค. 2564 ผู้สนใจสามารถติดต่อ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

ในส่วนของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอดการปล่อยสินเชื่อทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ณ วันที่ 19 ก.ค. มียอดรวมทั้งสิ้น 7.8 หมื่นล้านบาท  ครอบคลุมลูกหนี้  2.5 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินเฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อราย ซึ่งทาง ธปท.วิเคราะห์ว่า การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มเป็นตามเป้าหมายร่วมของธปท.และสมาคมธนาคารไทยที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนต.ค.นี้ อีกทั้งสินเชื่อมีการกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภทธุรกิจและภูมิภาค จำนวน 46% กระจายไปยัง SMEs ขนาดเล็ก ขณะที่ 68% อยู่ในภาคพาณิชย์และบริการ และ 68% เป็นธุรกิจในต่างจังหวัด

นายกรัฐมนตรีได้ติดตามความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือต่างๆที่ได้ออกมาโดยตลอด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยประเมินผลการดำเนินงาน และรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ผ่านการหารือในหลายวาระด้วยกัน เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

เพื่อประเทศชาติ ! จุรินทร์ เข้ม “ตลาดนำการผลิต" ชี้ โอกาส "ส่งออก" นำรายได้เข้าประเทศ "พาณิชย์" ชู สินค้าเฉพาะกลุ่ม และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โอกาสงาม 

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การติดตามนโยบายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการส่งออก ขยายโอกาสทางการค้าเพื่อนำรายได้เข้าประเทศนั้น ล่าสุดจากรายงานความเคลื่อนไหวตลาดต่างประเทศของสำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่การทำงานเชิงรุกของทีมเซลล์แมนประเทศหรือทูตพาณิชย์ในต่างประเทศมีความคึกคัก  

" ขณะนี้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวตลาดจากทั่วโลกเพื่อผู้ประกอบการไทยสามารถวางแผนการพัฒนาและผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของตลาดแต่ละประเทศตามกลยุทธ์ "ตลาดนำการผลิต" ภายใต้ยุทธศาสตร์เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาดของนายจุรินทร์ อยากแจ้งให้ทราบว่ามีโอกาสในสินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Market และโอกาสในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  โดยโอกาสของตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม ล่าสุด มีที่สหภาพยุโรปที่ได้รับรองหนอนนกอบให้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ได้และยังมีอีก 14 รายการของแมลงที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบขึ้นทะเบียนพิจารณาเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ " นางมัลลิกา กล่าว 

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สินค้าตกแต่งบ้านแฮนด์เมดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ เสื่อรองจานตะกร้าสาน มีความต้องการมากในเยอรมัน ดังนั้นไทยจึงควรศึกษาเรื่องตรารับรอง SSC และกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของสินค้าสิ่งทอของยุโรปด้วย สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร มีความต้องการสินค้าเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยงในเพิ่มขึ้นเพราะคนเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เช่น กล้องวงจรปิด อุปกรณ์ติดตามการเคลื่อนไหวของสัตว์ และบริการสมัครสื่อบันเทิงสำหรับสัตว์ ส่วนสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง ด้านตลาดทางจีน ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อหลักในจีน คือ สตรีวัยกลางคน ที่มีการศึกษาและมีสถานะการเงินสูงกว่ารายได้เฉลี่ย

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสามารถใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่ในแต่ละประเทศ เพื่อเปิดเจาะตลาดได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและรายเล็ก หรือ Micro-SME และ SME หรือ MSME เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเท่าการเจาะตลาดในรูปแบบดั้งเดิม โดยที่ตลาดไต้หวัน มีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ ได้แก่ Momo,Pinkoi และ PC Home สำหรับสินค้าสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สินค้าอาหาร ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์ 3C  คอมพิวเตอร์ การสื่อสาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค และอาหารเสริม ซึ่งล้วนเป็นสินค้าของใช้ในชีวิตประจำวันที่ตอบรับกระแสการทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์ทั้งสิ้น 

ส่วนสำหรับผู้ที่สนใจขยายตลาดไปยังมาเลเซียอาจจะพิจารณาแพลตฟอร์ม Shopee ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในมาเลเซีย มีส่วนแบ่งตลาดถึง 82% ส่วนตลาดอินโดนีเซียเป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพ เพราะเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจาก จีน อินเดีย และ สหรัฐอเมริกา มีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ ได้แก่ Goto ของอินโดเซีย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่เกิดจากการควบรวมของ GoJek และ Tokopedia แต่ในอินโดนีเซียนั้น Shopee ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเลือกหลักของผู้ซื้อออนไลน์ในอินโดนีเซียเขาประกาศไม่ให้นำเข้าสินค้ากลุ่ม MSME จากประเทศอื่นทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่ม MSME ในประเทศของเขาเองเป็นตามนโยบายของรัฐบาลอินโดนีเซีย เราควรต้องทราบ 
 
" วิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในทุกประเทศ และพฤติกรรมของผู้บริโภคต่างแปรผันตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศค่ะ ผู้ประกอบการควรทำการตลาดสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าภารกิจทีมเซลส์แมนประเทศไทย ได้ติดตามและเร่งรัดการทำงานของเซลส์แมนจังหวัดให้ทำงานใกล้ชิดกับผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งต่อไปยังทีมเซลส์แมนประเทศ ที่อยู่ในต่างประเทศในการทำการตลาดได้ตรงกับความต้องการของแต่ละตลาดต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้นำรายได้เข้าประเทศมาช่วยชาติยามนี้ให้มากที่สุด เพราะตอนนี้ส่งออกเป็นขาหลักขาเดียวของประเทศเราที่เหลืออยู่ เวลานี้เพราะการท่องเที่ยวเดี้ยงไปแล้ว เวลานี้ประเทศชาติต้องการเรา ” นางมัลลิกา กล่าว

ราเมศ สนับสนุน พาณิชย์ จัดการเด็ดขาด ผู้ค้าออนไลน์ที่ฉวยโอกาส เอาเปรียบหลอกลวง ปชช. ร้อง สายด่วน 1569  ได้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเข้มงวดเรื่องราคาสินค้าและบริการเพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบประชาชนว่าพรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเรื่องการฉวยโอกาสเอาเปรียบและหลอกลวงประชาชนในเรื่องการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะช่องทางการซื้อขายทางออนไลน์ ที่ขณะนี้เป็นช่องทางที่สำคัญเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงทำให้มีการสั่งซื้อช่องทางนี้เป็นจำนวนมาก มีทั้งกรณีสั่งซื้อแล้วไม่ได้สินค้า สั่งซื้อแล้วเมื่อของมาส่งสินค้าก็ไม่ตรงตามที่ได้สั่งซื้อ บางรายกลับได้รับอีกชนิดหนึ่งซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีคุณภาพด้วย ติดต่อกลับไปก็ไม่สามารถติดต่อกลับได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก 

นายราเมศ กล่าวต่อว่า พรรคได้ประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ตลอดเพื่อช่วยเหลือประชาชน  ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 

ที่ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ติดตามให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด รวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เกี่ยวกับการแสดงราคาจำหน่ายปลีกสินค้าหรือบริการนั้นต้องแสดงให้ตรงกับราคาที่จำหน่ายหรือค่าบริการที่ให้บริการ อย่างเคร่งครัด

เพราะหากผู้ใดทำการฝ่าฝืนจะเป็นความผิด และมีโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ด้วย บางรายที่หลอกลวงประชาชนเข้าลักษณะการฉ้อโกงในความผิดอาญาก็มีไม่อยากให้มีการซ้ำเติมวิกฤติด้วยการเอาเปรียบประชาชนในสถานการณ์เช่นนี้ 

ขอเตือนว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์เข้มงวด ทำงานเชิงรุกในการสำรวจตรวจสอบ มีการตักเตือนบางรายที่ยังไม่รายแรงก็มีมาก มีดำเนินคดีก็หลายราย ร้านค้าบนสื่อออนไลน์ทุกประเภทต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เช่น การแสดงราคา รายละเอียดสินค้า จำหน่ายไม่ตรงราคาที่แสดง ไม่แจ้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นต้น 

ประชาชนสามารถร้องเรียนเรื่องสินค้าและบริการผ่านสายด่วน 1569 กรมการค้าภายในได้ ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบเชิงรุก ในสภานการณ์ควบคุมโควิด 19 เราคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน การฉวยโอกาสเอาเปรียบกัน เสมือนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนในทุกๆเรื่อง

ศูนย์ข่าวมุกดาหาร #ตร.มุกดาหาร ยึดกัญชา​ 443 กก.​ มูลค่า 19 ล้านบาทได้พร้อมผู้ต้องหา

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 เวลา 10.00น. ที่บริเวณหน้า สภ.เมืองมุกดาหาร พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร  และ พ.ต.อ.เกียรติภูมิ สุวรรณไตรย์ ผ.ก.ก.สภ.เมืองมุกดาหาร แถลงข่าวการผลการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 443 กก. ของกลุ่มขบวนการผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ต.ท.สุทธิศักดิ์ สอนสะอาด สว.หน.ชุด สืบสวนปราบปรามยาเสพติด สืบทราบว่า ที่บ้านเลขที่ 261 บ้านคำเม็ก หมู่ที่ 6 ต.คำอาฮวน อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร มีกลุ่มขบวนค้ายาเสพติดลักลอบนำกัญอัดแท่งที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาซุกซ่อนไว้ จึงได้สั่งการให้ ร.ต.อ.เศรษฐพงษ์ วิชาหารอง ประสานสนธิกำลังหน่วยงานด้านมั่นคงจังหวัดมุกดาหารเข้าทำการตรวจค้นบ้านดังกล่าว  ผลปรากฏว่าพบกัญชาแห้งอัดแท่งบรรจุในกระสอบปุ๋ยสีขาวหุ้มด้วยถุงพลาสติกที่ดำบรรทุกอยู่ในกระบะท้ายรถยนต์โตโยต้าสีเทา ทะเบียน บพ 6231 ยโสธร จำนวน 11 กระสอบ ภายในกระสอบบรรจุด้วยกัญชาอัดแท่งๆ ห่อด้วยกระดาษฟอยล์สีทอง รวมทั้งหมด จำนวน 443 แท่ง น้ำหนักประมาณ 443 กก. มูลค่าประมาณ 19,935,000 บาท ซึ่งขณะตรวจค้นมีนางโสภา อายุ 51 ปี รับว่าเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าว และนายเกษม อายุ 51 ปี รับว่าเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าว โดยกัญชาอัดแท่งดังกล่าวก็เป็นของพวกตนที่ได้รับการติดต่อจากนายหน้าซึ่งว่าจ้างในราคา 20,000 บาท ให้นำมาเก็บซุกซ่อนไว้เพื่อรอนายทุนจากภาคใต้ที่สั่งซื้อไว้มารับแต่ถูกจับกุมเสียก่อน 

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการจับกุมตัวทั้งสองคนโดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท​(5) กัญชา ไว้ในความครอบครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

ภาพ/ข่าว ชุด ฉก.พญาอินทรีย์/พวงเพชร-เดวิท โชคชัย จ.มมุกดาหาร 092-5259-777

Click on Clear THE TOPIC EP.3/4 จับประเด็น เน้นความรู้ ตอน จิตอาสากับสังคมไทยในภาวะวิกฤต COVID-19

Click on Clear THE TOPIC EP.3/4 จับประเด็น เน้นความรู้ ตอน จิตอาสากับสังคมไทยในภาวะวิกฤต COVID-19

ในช่วงวิกฤตคนไทยไม่เคยทิ้งกัน และวิกฤต COVID19 นี้เราก็จะผ่านไปได้ด้วยความร่วมมือของเราอีกครั้งหนึ่ง

พบกับ ผศ.ดร เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการและเหรัญญิกพรรคกล้า

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สกพอ.ร่วมกับกลุ่มสตรีอีอีซีฉะเชิงเทรา ส่งมอบน้ำใจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ในฉะเชิงเทรา

(24 กรกฎาคม 2564) ที่ร้านอาหารบลูม ต.บางตีนเป็ด อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นายกำพล เลิศเกียรติดำรง สมาชิกวุฒิสภา และนางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ รองเลขาธิการสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ สกพอ. ร่วมกับกลุ่มสตรีอีอีซี ฉะเชิงเทรา

ส่งมอบถุงยังชีพจำนวน 250 ถุง และหน้ากากอนามัย 15,000 ชิ้น ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและพนักงาน สายงานนโยบายและแผน และสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ สกพอ. ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา ใน 5 อำเภอได้แก่...

อำเภอเมือง, บางปะกง, บ้านโพธิ์, บางคล้า และบางน้ำเปรี้ยว เพื่อเป็นนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

โดยสิ่งของที่บรรจุในถุง​ จะเน้นของที่เป็นผลิตภัณฑ์ใน อีอีซี เช่น ข้าวสารจากชลบุรี รวมกว่า 1,200 กิโลกรัม น้ำปลา กะปิและอาหารทะเลจากวิสาหกิจชุมชน จ.ระยอง

นอกจากนี้ นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ท แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านการจัดหาน้ำเพื่ออุปโภค บริโภคและน้ำเพื่ออุตสาหกรรมในอีอีซี ได้ร่วมบริจาคน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 3,600 ขวด เพื่อร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปด้วยกัน

​​​​​​

ผบ.ตร.​ เข้ม!! กวดขันจับกุมผู้มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายชัด​ ทั้ง Fake News ก่อความสับสน ตื่นตระหนก​ และอาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการตำรวจทุกหน่วยขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล หลังประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.64 เน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ พร้อมเข้มงวดกวดขันจับกุมผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายชัดเจน อาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน เน้นหนักการสร้าง Fake News ก่อความสับสน ตื่นตระหนก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆกษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ กล่าวว่า​ ตามที่เว็บไชต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ลงวันที่ 23 ก.ค.64 เรื่อง 'การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร'​ (คราวที่13) โดยให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีกคราวหนึ่งสำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ตั้งแต่ 1 ส.ค.64 – 30 ก.ย.64 นั้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ห้วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมกำชับการปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคง สาธารณะสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงขับเคลื่อนตามนโยบายของทางรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19​ (ศบค.) อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง 

โดยสั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปม.ตร.) ลงไปขับเคลื่อนกำชับทุกหน่วยงานในสังกัด ประสานการปฏิบัติหน้าที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สนับสนุนภารกิจเมื่อมีการร้องขอ

การจำกัดการเคลื่อนย้ายของบุคคลเพื่อสกัดกั้นป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสให้อยู่ในวงจำกัด​ การตรวจคัดกรองการ เข้า-ออกพื้นที่จังหวัดที่มีการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามที่รัฐบาลได้ประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) 

พร้อมเน้นสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ เพื่อปฎิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด ของ ศบค. และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกพื้นที่ และกวดขันบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่มีเจตนาฝ่าฝืนหรือท้าทายกฎหมาย โดยเฉพาะการผลิตและแชร์ Fake News ต่างๆ​ สร้างความสับสนตื่นตระหนกให้กับประชาชน

การรวมกลุ่มกัน การมั่วสุม การลักลอบจัดกิจกรรม  การมั่วสุม ลักลอบจำหน่ายสุราและยาเสพติด การลักลอบเล่นการพนัน อบายมุขในรูปแบบต่างๆ​ การแข่งรถ หรือกิจกรรมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค รวมทั้งดำเนินคดีอาชญากรรมที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชนห้วงการแพร่ระบาดโควิด19 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่ออีกว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่ร่วมกันปฎิบัติหน้าที่และมีผลการจับกุมผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยในห้วงที่ผ่านมามีผลจับกุมการรวมกลุ่มมั่วสุม ลักลอบจัดกิจกรรมสังสรรค์ เสพยาเสพติด เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ส่งดำเนินคดีไปแล้วหลายราย 

อีกทั้งยังได้กำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง หน่วยสาธารณะสุข และหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด สนับสนุนกำลังพลในการปฏิบัติภารกิจเมื่อมีการร้องขอ ออกตรวจสอบ ดำเนินคดีกับผู้ที่มีเจตนาฝ่าฝืนหรือท้าทายกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาทิ การมั่วสุม จัดงานสังสรรค์ ลักลอบเล่นการพนัน การแข่งรถหรืออบายมุขในรูปแบบต่างๆที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยึดการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพื้นที่ใดมีการปล่อยปละละเลย ก็จะพิจารณาความบกพร่องทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป 

นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติหมายเลข 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

​​​​​

"โควิด-19 วัคซีนซีรีส์ เรื่องนี้เมืองไทยไม่มีจบ” | MEET THE STATES TIMES EP.1

???? ชวนคุยปัญหาวัคซีน ที่ยืดยาวกันแบบซีรีส์ เรื่องนี้ควรไปทางไหน!

???? ห้ามพลาด! โควิด-19 วัคซีนซีรีส์ เรื่องนี้เมืองไทยไม่มีจบ!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ในหัวข้อ "โควิด-19 วัคซีนซีรีส์ เรื่องนี้เมืองไทยไม่มีจบ”

ดำเนินรายการโดย หยกTHE STATES TIMES

.

.


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมหารือ กระทรวงแรงงาน และบีโอไอ ขอรับการจัดสรรโควตาฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติที่ปฏิบัติงานในนิคมอุตสาหกรรม หวังเร่งกระตุ้นภูมิคุ้มกันนักลงทุนเดินหน้าเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด!

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เข้าประชุมหารือร่วมกับนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้นักลงทุนและผู้ปฏิบัติงานที่เป็นชาวต่างชาติในประเทศไทย

โดยก่อนหน้านี้ มีนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการสนับสนุนวัคซีนจากความร่วมมือของกระทรวงแรงงานและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประมาณ 36,000 คน ในการนี้ตนได้แจ้งว่า ยังมีชาวต่างชาติที่ปฏิบัติงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของนักลงทุนบีโอไออีกประมาณ 8,000 คน จึงขอให้กระทรวงแรงงานและบีโอไอนำไปพิจารณาเพื่อขอโควตาเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุขให้แก่นักลงทุนและผู้ปฏิบัติงานในกลุ่มนี้เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นบุคลากรกลุ่มสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ กนอ.มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติงานชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย ซึ่งกระทรวงแรงงานเห็นควรให้ กนอ.ประสานข้อมูลการขอรับการจัดสรรวัคซีนร่วมกับบีโอไอในคราวเดียว เพื่อให้การจัดสรรวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันท่วงที สำหรับหลักเกณฑ์การสนับสนุนวัคซีนแก่นักลงทุนต่างชาติของ กนอ. คือ ผู้บริหารและผู้ชำนาญการจากต่างประเทศ กลุ่มสมาร์ทวีซ่าที่อยู่ในไทยเกิน 6 เดือน และครอบครัวอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มแรกที่อื่นมาก่อน

ส่วนวัคซีนที่จะนำมาฉีดให้กับกลุ่มดังกล่าวคือ วัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ได้รับบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น สถานที่ฉีดจะใช้จุดบริการที่มีอยู่แล้วของกระทรวงแรงงาน โดยกำหนดจุดในกรุงเทพมหานคร 10 จุด และในต่างจังหวัดที่ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ จังหวัดละ 1 จุด คาดว่าจะเริ่มทยอยฉีดได้ประมาณเดือนสิงหาคมนี้

“กนอ.จะพยายามติดตามความคืบหน้าในการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้กับบุคลากรภายใต้การกำกับดูแลให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ผู้ปฏิบัติงานในนิคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนเหล่านี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการผลิตและการส่งออก และช่วยนำพาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้มีความแข็งแกร่งตามไปด้วย เมื่อปัญหาโควิดบรรเทาลง” นายวีริศ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีมติอนุมัติการปฏิรูปนโยบายการจัดหาเงินกู้เพื่อสนับสนุนกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำให้สามารถฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น

แถลงการณ์ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า "การปฏิรูปนโยบายการจัดหาเงินกู้ให้กลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำนั้น มีเป้าหมายที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่า ในระยะกลางนี้ไอเอ็มเอฟมีศักยภาพในการตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ โดยไอเอ็มเอฟจะจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยให้กับประเทศกลุ่มนี้

นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟจะขยายเพดานการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ตามปกติเพิ่มขึ้นอีก 45% และจะลดข้อจำกัดที่เข้มงวดเพื่อให้ประเทศที่ยากจนที่สุดสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้"

นายฌอน โนแลน รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของไอเอ็มเอฟ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “การตัดสินใจปรับเพิ่มเพดานการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าคณะกรรมการไอเอ็มเอฟ อนุมัติการปล่อยกู้เพิ่มขึ้นในทุก ๆ โครงการ แต่จะเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ ด้วยการจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อให้ประเทศกลุ่มนี้มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพียงพอในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 และพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพในวันข้างหน้า”

ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 6% ในปีนี้ อย่างไรก็ดี นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวในแต่ละประเทศยังคงมีความแตกต่างกัน โดยบางประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่บางประเทศเป็นไปอย่างล่าช้า

นอกจากนี้ นางจอร์เจียวาเตือนว่า เศรษฐกิจโลกจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ หากอัตราการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ไม่เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ และหากอัตราการฉีดวัคซีนยังคงอยู่ในระดับปัจจุบันต่อไป โลกจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในสิ้นปี 2565


ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/950641


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top