Friday, 16 May 2025
Hard News Team

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์เตือน!! ‘เจ้าของบ้าน’ ชี้!! มีหมาเห่า ทำให้เราไม่ Ship หาย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘หมา’ โดยมีใจความว่า ...

เวลามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน หมามันจะเห่า เพื่อเตือนเจ้าของบ้าน และไล่โจร ออกไป เวลาหมาเห่าเราจึงต้องออกไปดู ว่ามันเห่าทำไม ถ้าเราไม่กังวลเรื่องหมาเห่าเลย เราจะ Ship หาย โจรปล้นบ้านได้ นะครับ 

ปล.คนรักหมา อย่าไปด่าหมา ครับ

ผู้ที่ได้อ่านข้อความนี้ของนายชัยวุฒิ ก็น่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของการมี ‘หมา’ ไว้เฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่มีหมาเห่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี ที่มี ‘หมา’ คอยระวังรักษาผลประโยชน์ให้เรา ไม่ให้ ‘โจร’ มันมาปล้นเราได้

'เวทางค์' หนุนใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลกระตุ้นยอดขาย ช่วยยกระดับการแข่งขันธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทย

เวทางค์ ดันธุรกิจ E-Commerce เติบโต ดึงเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ข้อมูล กระตุ้นยอดขาย เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าและบริการให้ครอบคลุม ทั่วถึง ทันสมัย

เมื่อวันที่ (19 พ.ย.67) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) 2 โครงการ คือ โครงการการพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (www.ThailandPostMart.com) และโครงการ Digital Post ID โดยมีนายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารบริหาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพฯ

​นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในนามของคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลกองทุนดีอี และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ขอขอบคุณคณะของผู้รับทุนทุกท่านที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี การลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลโครงการให้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน 

โดยมีความมุ่งหวังว่า จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการไทย พร้อมยกระดับการแข่งขันในด้านธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากขึ้นในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าและบริการทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะธุรกรรมเกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce ให้สามารถใช้ Digital Post ID แทนที่อยู่ในการส่งไปรษณีย์ได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (ลักษณะคล้ายคลึงกับการใช้ Prompt Pay แทนเลขบัญชีในการโอนเงินหรือชำระสินค้า)

อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจ E-Commerce ที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกโดยตรงจากการนำ Digital Post ID ไปใช้งานในกระบวนการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จัดส่งสินค้าทั้งไปรษณีย์ไทยเองและบริษัทเอกชนรายอื่น จะได้รับความสะดวกสบาย ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำ และการขนส่งมีความรวดเร็ว 

เพื่อให้การวางแผนและการนำจ่ายไปรษณีย์ไปยังมือผู้รับปลายทางได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลูกค้าเกิดความประทับใจ พร้อมทั้งกลับมาใช้บริการกับไปรษณีย์ไทยในระยะยาว​

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการการพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการพัฒนาและปรับปรุงระบบของเว็บไซต์ ThailandPostMart ให้มี Ecosystem ที่สามารถรองรับการดําเนินงานต่าง ๆ ตั้งแต่กระบวนการเข้าถึงเว็บไซต์ การเข้าชมและซื้อขายสินค้าผ่านช่องทาง Mobile application ในรูปแบบ AR Gamification พร้อมระบบการให้บริการที่ทันสมัยเทียบเท่ากับ Marketplace รายอื่น ๆ โดยมุ่งสนับสนุนการค้าปลีก/ค้าส่ง ทั้งในด้านของผู้ประกอบการ ชุมชน ลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ต้นทุนต่ำ 

เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งยังได้วางแผนการพัฒนาระบบ Business Intelligence เพื่อนำข้อมูลจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในเว็บไซต์มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและสื่อสารข้อมูลกับลูกค้าได้ในลักษณะ Personalized Marketing ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำให้มีระบบการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายรู้จักเว็บไซต์ ThailandPostMart ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และเกษตรกรมีทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าชุมชนที่ต้องการ รวมทั้งสามารถสนับสนุนและส่งเสริมให้สินค้าชุมชนกระจายสู่ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

​“ในส่วนโครงการ Digital Post ID เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการระบุข้อมูลตำแหน่ง
ที่อยู่ให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือ Digital Post ID เพื่อผลักดันให้เป็นมาตรฐานที่ใช้งานโดยทั่วไปภายในประเทศ ซึ่งมีการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลของ Digital Post ID ของไปรษณีย์ไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการปกครอง เป็นต้น เพื่อรองรับการเข้าใช้งานของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ” นายเวทางค์ กล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ ร่อนจดหมายถึง ‘เลขา กกพ.’ สั่งเบรกรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ทันที

(22 พ.ย.67) รมว.พลังงาน ส่งหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เลขา กกพ.) สั่งระงับการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ เป็นการเร่งด่วน ชี้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐมนตรีพลังงานคนปัจจุบันจะเข้าบริหารงาน อีกทั้งผลการหารือกับกฤษฎีกา เห็นควรระงับการรับซื้อชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้นก่อน  

รายงานข่าวจากสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ระบุว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามในหนังสือราชการส่งถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องให้ระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เป็นการชั่วคราว

โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีข้อสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก “พลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT)” ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2566 วันที่ 9 มี.ค. 2566 ปริมาณ 2,180 เมกะวัตต์  แบ่งเป็นปริมาณการรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานลม และไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการดำเนินการมาก่อนที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเข้ารับตำแหน่ง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) นั้น

จากข้อสอบถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ประกอบกับต่อมามีการโต้แย้งของบุคคลภายนอก สอดคล้องกับข้อสอบถามดังกล่าวในบางประเด็น อีกทั้ง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในกรณีดังกล่าวด้วย  นายพีระพันธุ์ จึงหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งในเบื้องต้นเห็นควรระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมตามโครงการดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น

ด้วยเหตุข้างต้น จึงขอให้สำนักงาน กกพ. ระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น และให้ดำเนินการตามหนังสือดังกล่าวโดยด่วนที่สุด  

สำหรับกรณีดังกล่าว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้ประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” หรือไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรก เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา

โดยกำหนดรับซื้อไฟฟ้าเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานลม ไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ รวมเป็น 2,180 เมกะวัตต์ โดยจะเน้นให้สิทธิ์ผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกในโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟสแรก แต่ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิคขั้นต่ำ และได้รับการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพแล้ว ซึ่งมีทั้งสิ้น 198 ราย จะได้รับสิทธิ์ในการพิจารณาให้ร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 นี้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนอัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมอยู่ที่ 3.1014 บาทต่อหน่วย และไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มอยู่ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย

สำหรับโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรกนี้ เกิดขึ้นหลังจาก กกพ. เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟสแรก ไปเมื่อเดือน เม.ย. 2566 โดยมีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์ แต่มีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกทั้งสิ้น 175 ราย ปริมาณไฟฟ้ารับซื้อรวม 4,852.26 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากยังมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก ทาง กพช. ในสมัย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงมีมติให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 มีเป้าหมายรับซื้อ 3,668.5 เมกะวัตต์

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนายพีระพันธุ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กระบวนการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ยังดำเนินต่อไป โดย กบง. เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 จึงได้กำหนดให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรก จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ดังกล่าวก่อน จากนั้นจึงจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวที่เหลืออีกประมาณเกือบ 1,500 เมกะวัตต์ ในรอบต่อไป แต่ล่าสุด นายพีระพันธุ์ ได้สั่งการระงับการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ดังกล่าวแล้ว

'อีลอน มัสก์' วิจารณ์นายกฯ ออสซี่ เล็งออกกม.ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย

(22 พ.ย.67) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์ม X หรือ ทวิตเตอร์เดิม วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลออสเตรเลียที่เสนอร่างกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์ หลังจากที่ร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา

มักส์ เขียนข้อความด้วยการรีทวีตข้อความของนายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โดยระบุว่า “ดูเหมือนจะเป็นการใช้ช่องทางควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของชาวออสเตรเลียทุกๆ คน” ตอบกลับข้อความของนายกออสเตรเลียที่โพสต์ว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการผลักดันร่างกฎหมายนี้

สำหรับร่างกฎหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย หากผ่านการเห็นชอบจากสภา ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งเพื่อปกป้องเยาวชนที่มีความเสี่ยงสูงจากผลร้ายของสื่อออนไลน์ นอกจากนั้นร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดโทษสำหรับสื่อสังคมออนไลน์ที่พยายามละเมิดกฎหมายโดยให้ปรับเงินสูงสุดถึง 49 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ ประมาณ 1,100 ล้านบาทด้วย ซึ่งภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีความเห็นไปในทางสนับสนุนเพื่อปกป้องเยาวชน

ในประเทศอื่น ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา เคยพยายามกำหนดข้อจำกัดในการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็ก โดยมีกฎหมายกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี แต่ข้อเสนอของออสเตรเลียมีความเข้มงวดมากกว่า โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ไม่อนุญาตให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก็ตาม

เปิดบัญชีหนี้ 'ยูเครน' ค้างชำระชาติไหนเท่าไหร่บ้าง หลังไบเดนจ่อยกหนี้ 4,650 ล้านดอลลาร์ให้ฟรีๆ

(22 พ.ย.67) ใกล้ถึงช่วงหมดวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่ดูเหมือนรัฐบาลไบเดนกำลังทิ้งทวน จัดแพ็กเกจสารพันอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ยูเครนแบบชุดใหญ่ ล่าสุด รัฐบาลไบเดนแจ้งต่อรัฐสภาคองเกรสว่า มีแผนเตรียมยกเลิกหนี้สินที่ยูเครนติดค้างมูลค่า 4,650 ล้านดอลลาร์ (ราว 160 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สหรัฐต้องการสนับสนุนรัฐบาลเคียฟอย่างเต็มที่ ก่อนว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะกลับคืนสู่อำนาจ 

รายงานระบุว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมยกเลิกเงินกู้เกือบครึ่งหนึ่งของยอดเงินกู้ 9,000 ล้านดอลลาร์ที่ให้กับยูเครน หรือราว 4,650 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณช่วยเหลือเพิ่มเติมมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ที่อนุมัติเมื่อเดือนเม.ย.

โดยว่า การยกเลิกหนี้สินที่ช่วยให้ยูเครนได้รับชัยชนะ ถือเป็นผลประโยชน์ของชาติของสหรัฐและพันธมิตรสหภาพยุโรป (อียู), G7 และพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้)

ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปธน.ไบเดนที่ต้องการสนับสนุนยูเครนมากขึ้น ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมายังทำเนียบขาวในเดือนม.ค. ซึ่งทรัมป์บอกไว้ว่า สิ่งสำคัญของเขาคือ การผลักดันรัสเซียและยูเครนสู่การเจรจาอย่างสันติ ทำให้ผู้สนับสนุนยูเครนต่างกังวลว่าทรัมป์อาจตัดงบช่วยเหลือดังกล่าว

ทั้งนี้ กระบวนการยกเลิกหนี้จำเป็นต้องอาศัยการลงมติจากสภา ซึ่งขณะนี้รีพับลิกกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่จากพรรคเดโมแครตควบคุมวุฒิสภาอยู่ จึงอาจเป็นการยากที่จะผ่านมติตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎร 

ด้านสำนักข่าวสปุตนิกรายงานว่า จากข้อมูลของกระทรวงการคลังของยูเครน  ณ วันที่ 30 กันยายน หนี้สาธารณะและหนี้ค้ำประกันของยูเครนรวมอยู่ที่ 155.69 พันล้านดอลลาร์  (ราว 5.3 ล้านล้านบาท) จำนวนนี้เป็นหนี้สินในต่างประเทศถึง 112.06 พันล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นเจ้าหนี้ดังนี้ 

หนี้ต่อสหรัฐ ข้อมูลระบุว่ายูเครนไม่มีหนี้ที่กู้ยืมจากรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน สหรัฐฯ อนุมัติแพ็กเกจช่วยเหลือยูเครนมูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงเงินกู้ 9 พันล้านดอลลาร์ โดยไบเดนมีแผนล้างหนี้ครึ่งหนึ่งของเงินกู้ดังกล่าวตามรายงานในข้างต้น

หนี้ต่อสหภาพยุโรป  ยูเครนมีหนี้ 44.17 พันล้านดอลลาร์ต่อสหภาพยุโรป 14.65 พันล้านดอลลาร์ ต่อธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (IBRD) และ 12.08 พันล้านดอลลาร์ต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)  

หนี้เงินกู้รัฐบาลต่างชาติ ยูเครนมีหนี้จากการกู้ยืมรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร รวมมูลค่า 7.74 พันล้านดอลลาร์ โดยแคนาดาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดที่ 5.11 พันล้านดอลลาร์  

หนี้ภาคเอกชน  ธนาคารแห่งชาติยูเครนระบุว่าธนาคารไซปรัสเป็นเจ้าหนี้หลัก คิดเป็น 48.4% ของหนี้ทั้งหมด ขณะที่สถาบันการเงินในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนีถือหนี้ 10.5%, 7.9% และ 3% ตามลำดับ  

หนี้ต่อบริษัทเอกชนระหว่างประเทศ ยูเครนมีหนี้ 1.61 พันล้านดอลลาร์จากการกู้ยืมธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศและองค์กรต่างชาติ อาทิ กู้เงินบริษัทคาร์กิลล์ (730 ล้านดอลลาร์) และธนาคารดอยช์แบงก์ (490 ล้านดอลลาร์)  

หนี้จากพันธบัตร  ยูเครนมีหนี้พันธบัตรยูโรปี 2024 อยู่ที่ 15.22 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ รัฐบาลเคียฟได้ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ยูเครนระงับการชำระหนี้ต่างประเทศเมื่อต้นปีที่ผ่านมา 

‘เอกนัฏ’ สั่ง ทบทวนมาตรฐานหม้อแปลงไฟฟ้า ด้าน สมอ. เตรียมประกาศใช้ 5 ม.ค. 68 นี้

เมื่อวันที่ (21 พ.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งกำหนดมาตรฐาน รวมทั้งทบทวนมาตรฐานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ  ของประเทศที่มีอายุมากกว่า 5 ปี เช่น มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับกระบวนการผลิตในปัจจุบัน โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้นำมาตรฐานไปใช้ยกระดับคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้หน่วยงานที่มีภารกิจโดยตรง ได้นำมาตรฐานไปใช้ในการอ้างอิงในการปฏิบัติงาน เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น 

โดยมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ สมอ. แก้ไขเรียบร้อยแล้วและกำลังจะมีผลใช้งานตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2568 เป็นต้นไป คือ มาตรฐาน 'หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง' ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนกระแสไฟเพื่อให้เหมาะสมกับระบบส่งกำลังไฟฟ้า โดยมีความสำคัญที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด เพราะหากหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดการขัดข้องหรือชำรุดเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อการใช้ไฟของประชาชน และกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งการทบทวนมาตรฐานดังกล่าวในครั้งนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าในตลาดต่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังมาตั้งแต่ปี 2524 และได้มีการทบทวนมาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศใช้ครั้งที่ 2 ปี 2543 และครั้งที่ 3 ปี 2567 ที่จะมีผลใช้งานในวันที่ 5 มกราคม 2568 นี้ การทบทวนมาตรฐานในครั้งนี้ เพื่อให้ทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน โดยการอ้างอิงตามมาตรฐาน IEC และแก้ไขขอบข่ายให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้มีคุณลักษณะตามมาตรฐานสากล และสามารถนำไปใช้งานร่วมกับมาตรฐานด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ครอบคลุมหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้งานภายในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสถานที่ต่าง ๆ ฯลฯ ไม่ครอบคลุมหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเล็กที่เคลื่อนที่ได้ เช่น หม้อแปลงติดตั้งบนเครื่องฉุดลาก หม้อแปลงสำหรับงานเหมือง หรือหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับใช้งานในน้ำ เป็นต้น และมีการแก้ไขข้อกำหนดในสภาวการณ์ใช้งานให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดจากอุณหภูมิแวดล้อม รวมทั้งแก้ไขมาตรฐานวิธีการทดสอบให้สอดคล้องกับวิธีทดสอบตามมาตรฐานสากลด้วย

สำหรับการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในการนำมาตรฐานไปใช้ สมอ. ได้เชิญผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 200 ราย เช่น การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมโรงงานอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการ เข้าร่วมสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ในวันนี้ (21 พฤศจิกายน 2567) เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในข้อกำหนดของมาตรฐานหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังฉบับใหม่ มอก. 384 เล่ม 1-2567 และการตรวจติดตามภายหลังได้รับใบอนุญาต รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการยื่นขอรับการรับรองตามมาตรฐานดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เลขาธิการ สมอ. กล่าว

ประกาศขายด่วน!! พระตำหนักเวนคอร์ต ในอังกฤษ ครั้งหนึ่ง ‘รัชกาลที่ 7’ เคยพำนักหลังสละราชสมบัติ

เว็บไซต์ ขายบ้านของอังกฤษ ประกาศ ขายพระตำหนักเวนคอร์ต ที่ 'รัชกาลที่ 7-สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ' ทรงประทับหลังการสละราชสมบัติ ช่วงปี 2480-2482 เผยราคาน่าสนใจ มหาเศรษฐีไทยจับต้องได้

เมื่อวันที่ (20 พ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ขายบ้านของอังกฤษ 'inigo.com' ได้ประกาศขาย พระตำหนักเวนคอร์ต (Vane Court) พระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงประทับหลังการสละราชสมบัติ ในช่วงระหว่างปี 2480-2482 ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านบิ้ดเด็นเด็น (Biddenden) ใกล้เมืองแอชฟอร์ด (Ashford) ในจังหวัดเคนท์ (Kent) ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 200 ไมล์

โดยเว็บไซต์ได้บรรยายว่า พระตำหนักเวนคอร์ต ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชินีแห่งประเทศไทย เคยเป็นห้องโถง Wealden อันเก่าแก่ในศตวรรษที่ 15 ในหมู่บ้าน Biddenden รัฐ Kent ที่เป็นที่ต้องการ บ้านหลังนี้มีลักษณะพิเศษ โดยเจ้าของปัจจุบันต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยให้ความเอาใจใส่อย่างระมัดระวังต่อองค์ประกอบในการบูรณะ ขณะเดียวกันก็นำแง่มุมของความทันสมัยมาใช้อย่างละเอียดอ่อน บ้านหลังหลักมีพื้นที่ภายในเกิน 6,500 ตารางฟุต ประกอบด้วยห้องนอน 7 ห้อง และพื้นที่นั่งเล่นและห้องอ่านหนังสืออเนกประสงค์หลายห้อง บ้านหลังนี้อยู่ในสวนประดิษฐ์และสระน้ำอันเงียบสงบบนพื้นที่ประมาณ 5.36 เอเคอร์ พร้อมด้วยสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส และโรงจอดรถสำหรับรถสี่คัน

เว็บไซต์บรรยายด้วยว่า ระหว่างการประทับที่พระตำหนัก เวนคอร์ต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงสำราญเป็นอย่างมาก พระจริยวัตรที่ทรงโปรดปรานคือการเสด็จลงทำสวน ปลูกต้นคาร์เนชั่น ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงตัดดอกไม้มาปักแจกันไว้ตามห้องต่าง ๆ ในพระตำหนักทุกวัน อีกทั้งสองพระองค์ยังโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรดอกไม้ในสวน มีสะพานเล็ก ๆ 

มีบ่อน้ำที่ทรงเลี้ยงเป็ดเทศไว้หลายพันธุ์ ชาวบ้านในละแวกนั้นก็ได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งสองพระองค์บ่อย ๆ เพราะแทนที่จะทรงสั่งซื้อของและให้ร้านในเมืองไปส่งที่พระตำหนัก แต่กลับทรงจักรยานตามถนนเล็ก ๆ เพื่อทรงจับจ่ายจากร้านในหมู่บ้าน โดยสัปดาห์หนึ่ง จะซื้อที่ร้านหนึ่ง อีกสัปดาห์ก็ซื้อของที่อีกร้าน รวมทั้งยังทรงทำหน้าที่เป็นมูลนาย (Squire) ประจำหมู่บ้าน ทรงเป็นองค์ประธานพระราชทานถ้วยรางวัลในการประกวดดอกไม้ งานแข่งม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านมั่นใจว่า พระองค์จะไม่กลับไปที่ประเทศสยาม เพราะทุกครั้งที่เห็นพระองค์ทรงพระดำเนินไปตามถนนในหมู่บ้านกับสุนัขพันธุ์แอร์เดล ที่ชื่อว่า แซม เขาเชื่อว่า พระองค์โปรดที่จะประทับในประเทศอังกฤษอย่างเงียบ ๆ มากกว่า

จากนั้นบรรยายส่วนต่าง ๆ ของบ้านทั้งภายในภายนอก หมดทุกซอกทุกมุม รวมถึงบริเวณโดยรอบของบ้านอย่างละเอียด ภายหลังเจ้าของบ้านปัจจุบันของพระตำหนัก เวนคอร์ต ทำการรีโนเวทบ้านหลังนี้ใหม่ โดยยังคงเอกลักษณ์บ้านเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด แต่สอดแทรกความโมเดิร์นเข้าไปได้อย่างลงตัว โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 3,950,000 ปอนด์ หรือ 173,618,300 บาท

จีนจับมือเมียนมา กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทลายรังฉ้อโกงขนาดใหญ่ตอนเหนือของประเทศ

(22 พ.ย.67) กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนรายงานการกวาดล้างศูนย์ฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ทั้งหมดทางตอนเหนือของเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายแดนจีน-เมียนมา

รายงานระบุว่ามีการจับกุมชาวจีนผู้ต้องสงสัยฉ้อโกงทางโทรคมนาคมกว่า 53,000 ราย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจของจีนกับเมียนมา นับตั้งแต่กระทรวงฯ ดำเนินการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมทางตอนเหนือของเมียนมาเมื่อปี 2023

เมื่อไม่นานนี้ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยฉ้อโกงทางโทรคมนาคมในพื้นที่เมืองตั้งยานทางตอนเหนือของเมียนมาเป็นครั้งแรก จำนวน 1,079 ราย ระหว่างปฏิบัติการร่วมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นเมียนมา

รายงานเสริมว่ามีการส่งตัวชาวจีนผู้ต้องสงสัยฉ้อโกงทางโทรคมนาคมที่ถูกจับกุมในพื้นที่เมืองตั้งยานของเมียนมาให้จีนทั้งหมด 763 ราย และปฏิบัติการร่วมดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ทั้งนี้ หน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะของจีนจะยังคงมุ่งมั่นปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดนอย่างเข้มงวดต่อไป โดยเฉพาะหลายพื้นที่ที่มีแหล่งมิจฉาชีพอยู่หนาแน่น

กระทรวงฯ จะเพิ่มความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจของจีนกับเมียนมา พร้อมเตือนประชาชนระมัดระวังข้อมูลการรับสมัครงานในต่างประเทศที่มีรายได้สูง เนื่องจากอาจเป็นการหลอกลวงเข้าสู่การก่ออาชญากรรม

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย

เมื่อวันที่ (20 พ.ย.67) เวลา 14.00 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนางสาวหว่อง เสี่ยว ผิง แคเทอริน (H.E. Ms. Wong Siow Ping Catherine) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา โดยมีนายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ นางสาววิธาวีร์ ประทุมสวัสดิ์ โฆษกคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ที่ราบรื่นและมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในหลากหลายมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน (ASEAN) และทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันในเวทีระหว่างประเทศทำให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรของประเทศทั้งสองเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2568 ที่จะถึงนี้ จะเป็นปีครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดในทุกระดับทั้งในระดับผู้นำและกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภา เป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ วุฒิสภาไทยยินดีจะทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตฯ ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติของไทยและสิงคโปร์ให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

ด้านเอกอัครราชทูตฯ แสดงความขอบคุณประธานวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับ สิงคโปร์และไทยนับเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดกันทั้งในระดับภูมิอาเซียนและระดับโลก มีการขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์มีกำหนดการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นอกจากความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศยังมีความร่วมมือที่เข้มแข็งในด้านการศึกษาและความมั่นคง อีกทั้งมีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาระดับทวิภาคีและพหุภาคีที่ดีในกรอบความร่วมมือสหภาพรัฐสภา (IPU) และสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) โอกาสนี้ ขอเรียนเชิญประธานวุฒิสภานำคณะสมาชิกวุฒิสภาเยือนสิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีและผลักดันความร่วมมือระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป และเป็นเกียรติร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีหน้าด้วย

ผบ.ตร. มอบหมาย รอง ผบ.ตร. ตรวจสอบคลิปแก๊งต่างด้าวท้าทายกฎหมาย หากพบเป็นความผิด ให้ติดตามสืบสวนจับกุมทันที ย้ำทุกพื้นที่จัดระเบียบคนต่างด้าวให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย

(22 พ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีปรากฏคลิปในสื่อโซเชียล พบพฤติกรรมของกลุ่มคนต่างด้าวที่มีลักษณะตั้งเป็นกลุ่มแก๊งท้าท้ายกฎหมายบ้านเมือง ว่า ได้รับทราบการรายงานคลิปที่ปรากฏแล้ว ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ที่รับผิดชอบงานสืบสวน ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึกทุกมิติ ว่าตามคลิปที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์ในประเทศหรือไม่ ให้ทุกหน่วยตรวจสอบว่าเป็นพื้นที่ใด โดยเดินหน้าตรวจสอบ สืบสวนจับกุมทันที ต้องนำตัวมาดำเนินการตามกฎหมายให้ได้

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำว่า ได้สั่งการลงไปทุกพื้นที่ ห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นที่ปรากฏในคลิปอย่างเด็ดขาด หากปล่อยปละละเลย จะพิจารณาทางวินัยและปกครองกับผู้บังคับการในพื้นที่ทันที จะไม่ยอมให้คนต่างด้าวเข้ามามีพฤติการณ์เช่นนี้ในประเทศไทยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้กำชับไปยังตำรวจพื้นที่และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ให้ดำเนินการจัดระเบียบคนต่างด้าวให้อยู่ในกรอบกฎหมายคนเข้าเมือง ห้ามไม่ให้มีกลุ่มแก๊ง มีพฤติกรรมท้าทายกฎหมาย หากพบว่าหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองใดหย่อนยาน เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีการเรียกรับประโยชน์ จะถูกดำเนินการทางอาญา วินัย และปกครองอย่างเด็ดขาด ถือเป็นนโยบายของตนที่ยอมไม่ได้ที่จะให้มีแก๊งต่างด้าวมีพฤติกรรมผิดกฎหมายในประเทศไทย

ด้าน พล.ต.อ.ธนา ฯ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการบริหารราชการงานสืบสวนสอบสวน ครั้งที่ 13/2567 วันเดียวกันนี้ เวลา 13.30 น. ณ ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการในที่ประชุม โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ตรวจสอบกรณีดังกล่าวตามที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. โดยเร็ว และดำเนินการตามข้อสั่งการและนโยบายของ ผบ.ตร.โดยเคร่งครัด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top