Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

‘สถาบันราชพฤกษ์’ เดินหน้าประชุมใหญ่ COP ที่ ‘อาเซอร์ไบจาน’ ประสานความร่วมมือ!! ในระดับโลก เพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมระดับโลกที่สำคัญมากมาย ทั้งการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC การประชุมกลุ่ม G20 และการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลกของรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC หรือ COP) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม มาร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จุดมุ่งหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการปรับตัวต่อผลกระทบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้การประชุม COP เริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1995 โดย COP1 จัดที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เป็นการประชุมครั้งแรกหลังการลงนามใน UNFCCC ปี ค.ศ. 1992 ที่ประชุมแต่ละปีจะมุ่งสร้างความตกลงใหม่ ๆ และประเมินความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกในเป้าหมายลดโลกร้อน เช่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ในปี ค.ศ. 1997 เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปี ค.ศ. 2015 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศสมาชิกกว่า 190 ประเทศได้ให้คำมั่นต่อกันในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้อยู่ต่ำกว่า 2°C และพยายามรักษาไว้ที่ 1.5°C 

การประชุม COP จึงมีความสำคัญในฐานะเวทีที่สร้างความร่วมมือระดับโลกในการแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และในปี ค.ศ. 2024 ก็มีการประชุม COP29 จัดขึ้นที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เป็นโอกาสสำคัญในการแสดงบทบาทในเวทีสิ่งแวดล้อมโลก ของอาเซอร์ไบจานในฐานะประเทศเจ้าภาพมีความท้าทายและโอกาสในการนำเสนอแนวทางการพัฒนาพลังงานสะอาดและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน ประเด็นสำคัญหนึ่งที่จะได้รับการหยิบยกกันมาหารือในที่ประชุมคือการจัดหาแหล่งเงินทุนจากกลุ่มประเทศผู้บริจาคเพื่อสนับสนุนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือผลกระทบกับวิกฤติทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงการรณรงค์และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ในส่วนของไทยเรานั้น แม่งานหลักของเรื่องคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ที่จะทำหน้าที่สานต่อในส่วนของภาครัฐให้เป็นไปตามที่ไทยเราได้ลงสัตยาบันไว้ ตลอดจนจะได้แสดงความมุ่งมั่น ตั้งใจ แสวงหาความร่วมมือในทุกด้านจากมิตรประเทศเพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนานวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องร่วมกัน รวมถึงเป็นโอกาสให้เราได้ทบทวนการทำงานภายในประเทศ เพื่อจะออกมาตรการ กำหนดทิศทางที่ทันสมัยและตอบโจทย์เพื่อขับเคลื่อนการต่อสู้กับวิกฤตินี้ต่อไป

นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร

‘พรรคส้ม’ อาจถึงทางตัน! ถอยไม่ได้ไปต่อลำบาก เหตุติดกับดักความสุดโต่ง หวังอีกเฮือกเลือก ‘นายกอบจ.’

“...หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ย่อมได้เป็นรัฐบาลอย่างสง่างาม ไม่โดนพรรคร่วมขี่คอ แต่คุณทักษิณอาจยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะ หากพรรคเพื่อไทยยังน่าเกรงขาม การเจรจาให้เหล่าชนชั้นนำเห็นพ้องกันหมดยอมให้คุณทักษิณกลับบ้าน คงเป็นไปได้ยาก

แต่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งลำดับที่หนึ่ง กลับเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน เพราะ ชนชั้นนำทุกฝ่ายต้องสนธิกำลังสกัดพรรคก้าวไกล ไม่ให้เป็นรัฐบาล..”

เป็นมุมคิดมุมรู้สึกล่าสุดของอ.ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่  ตรรกะก็คือ..ประโยคสำคัญก็คือเพราะพรรคก้าวไกลเป็นแชมป์เลือกตั้งทำให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลและทักษิณได้กลับบ้าน..ซึ่งจะว่าไปก็ถูกต้อง แต่ไม่ถูกทั้งหมด..

หากจะว่าไปให้ถึงที่สุด  หากพรรคก้าวไกล(ขณะนั้น)ไม่ชูธงการแก้ไขมาตรา 112 แบบสุดโต่ง(แก้แบบยกเลิก) และมีแนวร่วมเครือข่ายแบบ ‘ปฏิกษัตริย์นิยม’ ที่เรียกขานกัน..โอกาสที่จะได้จัดร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่กับพรรคอื่นๆก็พอมี...

7 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลถูกยุบ ลอกคราบเป็นพรรคประชาชน แม้จะโหมประโคมว่า ‘ยิ่งยุบยิ่งโต’เลือกตั้งรอบหน้าจะโตเป็นสองเท่าหรือ 300 เสียง...แต่เมื่อเหลียวหลังแลหน้าดูแล้วก็ต้องฟันธงว่า..ยากมากถึงยากที่สุด...รักษาตัวเลข 151เสียง เท่ากับผลเลือกตั้งปี 2566 เอาไว้ได้ก็น่าจะเก่งแล้ว..

ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์-เงื่อนไข เหตุปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจัยจากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีความพร้อมพรึ่บ...แต่ปัญหา ‘ความสุดโต่ง’ ความแข็งตัวในแนวคิดเกี่ยวกับสถาบันสำคัญ คือการติดกับดักตัวเอง ที่ทำให้พรรคประชาชนก้าวไม่ไกลที่ควรจะเป็น..

เมื่อเร็ว ๆ นี้พรรคประชาชนประกาศชักธงรบชิงนายกอบจ.ล็อตใหญ่ที่จะเลือกกันวันที่ 1 ก.พ.2568 จำนวน 12 จังหวัด ที่มีเป้าหมาย/โอกาสจะชนะ จากจำนวนที่จะเลือกกันทั้งหมด 47 จังหวัด..

12 จังหวัดที่พรรคประชาชนจะลงชิงชัยนายกอบจ.ประกอบด้วย..ประกอบด้วย  

1. นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ เชียงใหม่ 2. นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ลำพูน 3.นายสุพจน์ สุอริยพงษ์ มุกดาหาร 4.นายอุรุยศ เอียสกุล หนองคาย 5. นายชลธี นุ่มหนู ตราด 6. นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล อบจ.ภูเก็ต 7. นพ.จิรชาติ เรืองวัชรินทร์ สุราษฎร์ธานี 8. นายสุทธิโชค ทองชุมนุม พังงา 9. นายนิรันดร์ จินดานาค สงขลา 10.นางสาวนันทิยา ลิขิตอำนวยชัย สมุทรสงคราม 11. นายนพดล สมยานนทนากุล สมุทรปราการ และ 12.นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ นนทบุรี

ว่ากันว่าใน 12 ผู้สมัคร..มีเพียงนันทิยา ลิขิตอำนวยชัย ว่าที่ผู้สมัครอบจ.สมุทรสงคราม ที่พอจะเห็นแสงสว่างชัยชนะปลายอุโมงค์ เหตุเพราะนายกอบจ.สายลุงป้อมคะแนนสาละวันเตี้ยลง...ที่เหลืออาจจะมีลุ้นสัก 1- 2 แห่ง

รวมความแล้ว..พรรคส้มต้องไปปรับกระบวนท่า ปรับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกันใหม่..แต่ต้องเริ่มต้นจากการตั้งโจทย์ประเทศให้ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง...เช่นถ้าสมมุติตั้งโจทย์ว่าปัญหาของประเทศคือสถาบันฯ แล้วชักธงรบ..ก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง ต้องก้าวข้ามความคิดนี้รวมทั้งการตั้งเป้ายกเลิก มาตรา 112..

อย่าคิดตายตัว ท่องคาถาว่า...เวลาอยู่อย่างข้างเรา คนรุ่นใหม่...เพราะพรรคอื่นเขาก็มีคนรุ่นใหม่เหมือนกัน ในขณะที่คนรุ่นใหม่ของพรรคส้มก็เริ่มเสพติดกาแฟสภา หอมกลิ่นอำนาจ..ดังนั้นก็จงอยู่กับความเป็นจริงใช้อำนาจใช้พลังของพรรคอันดับหนึ่งในขณะนี้ให้สร้างสรรค์ ทรงพลัง ไม่หมกมุ่นอยู่กับ มาตรา 112 หรือการแก้รธน.เป็นหลัก..

นักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ถ้าพรรคส้มออกจากกับดักที่ว่าได้ ก็จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ...แต่ถ้ายังติดกับดักเดิม ๆ ก็คงอยู่ในสภาพ..ถอยหลังไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึง(ฝัน)!!

พังงา ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญกำลังพลด้วยความหว่งใยหน่วยทหารเรือในฝั่งอันดามัน

นาวาโท นพดล กิ่งเกตุ ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 นำกำลังพลในสังกัด รับฟังโอวาท พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เนื่องในโอกาสเดินทางตรวจเยี่ยมหน่วยงานกองทัพเรือพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 3 ณ ฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา พร้อมกันนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือได้แสดงความห่วงใยต่อกำลังพลที่ปฏิบัติงานห่างไกลภูมิลำเนาและเน้นย้ำถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดยหลังจากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เดินทางมาตรวจโรงเลี้ยง-โรงครัว กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อรับทราบถึงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการ และทหารกองประจำการในสังกัด โดยเน้นย้ำด้านสวัสดิการ สิทธิกำลังพล และความเป็นอยู่ของกำลังพลในทุกส่วนและการดูแลสวัสดิการของทหารกองประจำการในด้านต่าง ๆ ให้ได้รับสิทธิตามระเบียบของทางราชการ 

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2567 : ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : เราควรจะใช้ธรรมะเรื่องใดสอนคนหน้าไหว้หลังหลอก

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : พระพุทธเจ้าตรัสว่า พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ เราให้เขา แล้วนำพาเขาเป็นผู้ให้ต่อ พอนาน ๆ เข้า ก็จะชนะ พึงชนะคนโกรธ ด้วยการให้อภัย ด้วยเมตตา พึงชนะคนเหลาะแหละด้วยถ้อยคําจริง

ส่วนคนที่หน้าไหว้หลังหลอก คนที่ปากอย่างใจอย่าง ก็ให้ใช้ความจริงใจ ความจริงแท้ ในการอยู่ร่วมกับเขา และเราควรมีอุเบกขา สิ่งใดที่เขาทำไม่ดีก็อย่าไปซ้ำเติม และควรหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคม เพราะคนเหล่านี้เหมือนคนป่วย พอได้ยินคนนั้นได้ดี ก็เป็นทุกข์ เป็นคนไม่มีมุทิตา

ชีวิตมีแต่ความเครียด ต่อไปก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท เผลอ ๆ อาจจะถึงขั้นเป็นบ้าก็ได้ เพราะคนที่ตนเกลียดชังนั้นได้ดี และอาจจะมีการก่อเวรก่อกรรมจนนำไปสู่การเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าเป็นชาวพุทธก็ถือว่าไม่ใช่ชาวพุทธที่ดี เพราะชาวพุทธที่ดีนั้นจะต้องลดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรด้วยตัวของเราเอง

‘ตำรวจลับราชวงศ์หมิง’ จุดเริ่มต้น ‘ราชวงศ์หมิง’ ล่มสลาย | THE STATES TIMES Story EP.157

ประวัติศาสตร์จีนในยุค ‘ราชวงศ์หมิง’ ได้ถือกำเนิดตำรวจลับขึ้นเพื่อใช้จัดการขุนนางฉ้อฉลและคอยปกป้ององค์จักรพรรดิ แต่กลุ่มตำรวจลับนี้เอง ที่กลับกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม จนต้องเกิดกลุ่มตำรวจลับใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อใช้ปราบปราม ทว่า กลับกลายเป็นวัฏจักรอันน่าอดสู และทำให้ราชวงศ์หมิงมีอายุได้เพียง 200 ปี เท่านั้น

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมเรื่องราวของตำรวจลับแห่งราชวงศ์หมิงมาเล่าสู่กันฟัง ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกัน…

ย้อนตำนาน ต้นกำเนิด!! ‘ปิกอัพมาสด้า’ ในประเทศไทยกว่า 74 ปี ยังคงสร้างสรรค์!! ยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างภาคภูมิใจ

(23 พ.ย. 67) การไหลผ่านของเวลาที่ล่วงเลยมาอย่างยาวนานของมาสด้า คือบทพิสูจน์บนเส้นทางแห่งความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนายานยนต์ไปพร้อมกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และความภาคภูมิใจแห่งยนตรกรรม ตลอดระยะเวลาอันยาวนานยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ด้วยก้าวย่างที่มั่นคง แข็งแรง สร้างพื้นฐานไว้อย่างแน่นหนา จวบจนปัจจุบัน เป็นบทสรุปแห่งความสำเร็จกว่า 74 ปี ในประเทศไทย ‘มาสด้า’ ก่อตั้งโดย คุณจูจิโร่ มัทซึดะ เริ่มต้นจากอุตสาหกรรมจุกไม้คอร์กในปี พ.ศ. 2463 ต่อมาเริ่มผลิตเครื่องมือกลไกในปี พ.ศ. 2472 เนื่องจากเป็นผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยีของรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ มร. มัทสึดะ ก้าวเข้าสู่โลกของการผลิตมอเตอร์ไซค์ กระทั่งในปี พ.ศ. 2474 จึงได้เริ่มผลิตรถบรรทุกสามล้อ เรียกว่า ‘มาสด้า โก’ เป็นรถคันแรกที่ผลิตออกสู่ตลาดในนาม ‘มาสด้า’ ก่อนที่จะได้เริ่มผลิตเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เป็นรายแรกของโลก ปัจจุบัน ‘มาสด้าเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ผลิตเครื่องยนต์โรตารี่’

ตำนานที่คงอยู่ตลอดกาล หลังจากเริ่มนำรถมาสด้าเข้ามาให้คนได้รู้จัก ในปี พ.ศ. 2507 โดย บริษัท กมลสุโกศล ได้นำเข้าปักอัพมาสด้าตัวแรก รุ่น 800 ซีซี 4 สูบ เข้ามาจำหน่ายในชื่อรุ่น ‘Familia 800’ ความจุ 782 ซีซี 48 แรงม้า แบบ 4 ประตู ซึ่งได้รับความนิยมและถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 มาสด้าได้ตกลงร่วมทุนกับพันธมิตรก่อตั้ง บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์แห่งใหม่ที่จังหวัดระยอง และเริ่มทำการผลิตเต็มอัตราในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 บนเนื้อที่ 529 ไร่ ด้วยเงินลงทุนถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำลังการผลิต 135,000 คันต่อปี และผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน รุ่น B2500 สำหรับส่งออก และจำหน่ายภายในประเทศ รวมถึงรถยนต์นั่งรุ่น 323 โปรทีเจ

มาถึงปี พ.ศ. 2542 ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จึงได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น จัดตั้งคณะผู้บริหารใหม่ เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น ‘บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด’ มุ่งเน้นแนวทางการบริหารไปที่ด้านการตลาด การขาย การบริการลูกค้า และการสนับสนุนผู้จำหน่าย เพื่อนำเสนอรถยนต์มาสด้ารุ่นต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้มาสด้าเริ่มต้นการผลิตรถปิกอัพที่ ชื่อว่า มาสด้า ไฟเตอร์ โฉมใหม่ ถือเป็นผู้บุกเบิกรถปิกอัพที่มีประตูแค็บเปิดได้เป็นครั้งแรกของโลก และทำให้มาสด้าประสบความความสำเร็จอย่างสูง โดยมียอดขายสะสมสูงกว่า 55,000 คัน

เดือนมีนาคม 2549 มาสด้าเปิดตัวแนะนำรถสปอร์ตปิกอัพ MAZDA BT-50 เครื่องยนต์คอมมอลเรล ให้พลังแรงเต็มพิกัด ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทั้งภายนอกและภายใน พิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียด ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ซูม-ซูม’ โชว์เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมยานยนต์สุดล้ำแห่งอนาคต พร้อมระบบความปลอดภัยเต็มคัน สร้างชื่อเสียงของแบรนด์มาสด้าให้กระหึ่มทั่วโลกอีกครั้ง

รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ได้รับการออกแบบภายใต้ DNA ของมาสด้า ประกอบด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว พิถีพิถันทุกรายละเอียด และขีดสุดแห่งพลังที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว เป็นรถปิกอัพโฉมเฉี่ยวสไตล์ ซูม-ซูม รวมถึงเครื่องยนต์อันทรงพลัง คอมมอนเรล ชื่อ มาสด้า BT-50 เป็นชื่อที่ใช้สำหรับตลาดทั่วโลก คำว่า มาสด้า BT-50 มาจาก B-Series Truck ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้เรียกรถปิกอัพมาสด้ามาอย่างยาวนานและถือเป็นตำนานรถปิกอัพมาสด้า ส่วนตัวเลข 50 หมายถึงความสมดุลที่อยู่กึ่งกลางของน้ำหนักการบรรทุกของปิกอัพครึ่งตัน และมีน้ำหนักบรรทุกมากกว่า 1 ตัน ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อรถรุ่นนี้ได้เปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลก โดยผลิตจากโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ มีมาตรฐานเดียวกับโรงงานมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ควบคุมดูแลโดยทีมวิศวกรมาสด้า ผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปกว่า 130 ประเทศ ทั่วโลก

ต่อมาเดือนมกราคม 2564 ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับวิกฤตโคโรน่าไวรัส แต่มาสด้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ มาสด้าเปิดตัวปิกอัพที่ลูกค้าทั่วโลกใฝ่ฝันและเฝ้ารอมานาน กับ All-New Mazda BT-50 เจเนอเรชั่นใหม่ ด้วยการผนวกคุณสมบัติของรถปิกอัพที่ดีที่สุดในโลกรวมเป็นหนึ่งเดียว คือ รถปิกอัพที่ถูกออกแบบอย่างสง่างามที่สุดโลก คัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ประหยัดน้ำมันมากที่สุด มีความทนทานสูงสุด รวมทั้งค่าดูแลรักษาต่ำสุด  กลับมายึดฐานลูกค้าเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถปิกอัพอีกครั้ง

นี่คือเรื่องราวความเป็นมาของรถปิกอัพมาสด้า นับจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน ก้าวผ่านเรื่องราว ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาแล้วมากมาย แต่ด้วยสปิริต ความเป็นมาสด้า กล้าที่จะแตกต่าง ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคเฉกเช่นเดียวกับชาวฮิโรชิมา 

กว่า 104 ปี ของมาสด้าญี่ปุ่น กว่า 74 ปี ในประเทศไทย มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ผู้ขับมาสด้าได้มีประสบการณ์ที่ดี ในทุกช่วงเวลาของชีวิต และกลายเป็น ‘มาสด้า แฟมิลี่’  นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจของมาสด้าในประเทศไทย

ต้องรีบซื้อ!! ท๊อป จิรายุส ชี้!! แบงก์ชาติ ควรเร่งเก็บ Bitcoin เป็นทุนสำรองของประเทศ ก่อนจะสายเกินไป

ท๊อป จิรายุส แนะแบงก์ชาติ!! ควรเร่งเก็บ ‘Bitcoin’ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองของประเทศโดยเร็ว ก่อนที่จะสายเกินไป

‘พีระพันธุ์’ นำคณะทำงาน!! ตรวจราชการ จ.ระยอง ลงพื้นที่!! โรงกลั่น เพื่อกำกับดูแลราคา ให้ความเหมาะสม

(23 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความขณะที่ได้เดินทางไปตรวจราชการ โดยมีใจความว่า ...

“สวัสดีครับ วันนี้ผมได้เดินทางไปตรวจราชการในตําแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ คือจังหวัดระยอง ซึ่งผมก็ได้ไปพบกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเพื่อสอบถามปัญหาของจังหวัดและหน่วยราชการต่าง ๆ และถือโอกาสเดียวกันนี้ไปตรวจเยี่ยมโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไออาร์พีซี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ซึ่งผมก็ไปดูตั้งแต่กระบวนการที่เรือขนน้ำมันดิบเข้ามาเทียบท่า แล้วขนถ่ายน้ำมันดิบไปเก็บที่คลัง แล้วก็เข้าสู่ขบวนการกลั่น ที่ไปดูในส่วนนี้ก็เพื่อจะนํารายละเอียดข้อมูลมาปรับปรุงกฎหมายที่กําลังจะออกมา ในเรื่องของการกํากับดูแลราคาน้ำมันให้มีความถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ผมจะพยายามทําหน้าที่ให้ดีที่สุด และพยายามดูแลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนให้เต็มที่ครับ”

แฉ!! คุณหมอคนดัง หลอกลวงลงทุน หลายคนไว้ใจ!! เพราะดูน่าเชื่อถือ

(23 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Stapnavatr Vajira’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘หมอบุญ’ หรือ นายแพทย์บุญ วนาสิน หมอนักธุรกิจชื่อดัง โดยมีใจความว่า ...

การหลอกลวงครั้งนี้น่าจะเป็นการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี 2567 จำนวนเม็ดเงินที่เสียหายอาจไม่มากกว่าดิไอคอน น่าจะใกล้เคียงกัน แต่แบ๊คกราวนด์ของผู้หลอก ที่เคยเป็นทั้งแพทย์, อาจารย์แพทย์ จบถึงจอห์นฮ๊อปสกินส์ สหรัฐ เป็นถึงผู้ก่อตั้ง รพ.เอกชนแห่งแรก ๆ ของไทย เคยผ่านยุครุ่งเรืองสุดขีด 

ได้ยินว่าผู้เสียหาย หมอเป็นร้อยคน ส่วนใหญ่เอกชน มีแม้กระทั่งคนทำงานธนาคารจนวันเกษียณ เชื่อใจในชื่อเสียง เอาเงินทั้งครอบครัวหลายสิบล้านมาเท

ผมเองเบื้องหลังก็เคยถูกชักชวนไปลงทุนกับแก ตั้งแต่ช่วงต้นโควิด แต่ผมไม่สนใจแบ๊คกราวนด์ ไปค้นดูผลงานการลงทุนของคุณหมอบุญ ที่ก็ไม่ยากที่จะสืบ พบว่า ทั้งคอนโดผู้สูงอายุและรพ.เอกชนที่ลงทุนไปในช่วงเกือบสิบปีหลัง ถือว่าล้มเหลว ทุนจมไปเกือบหมื่นล้าน ผลตอบแทนกลับมาน้อยมาก ในมุมมองผม แกจะเคยเก่งอะไรมามากเพียงใด ไม่สนใจ ผมอยู่กับปัจจุบันครับ ช่วง 2566-2567 ยังเคยถูกคุณหมอคนหนึ่งแซะผมเล็กๆ ว่ากังวลเกินไป คุณหมอบุญ แกเป็นคนระดับไหนแล้ว

สรุปที่ผมเคยสรุปไว้ก่อนลงทุน ตีให้แตกเรื่องภูมิหลัง มองข้ามความสัมพันธ์เสมอ เพราะคนมาหลอก มาดีก่อนเสมอ อย่างกรณีหมอบุญ เห็นว่า มีคนหนึ่ง รู้จักกันมา 20 ปี อาชีพนายหน้า เจอหน้ากันเรื่อยๆ ดีกันมาตลอด โดนไปหมดตัวเป็นร้อยล้าน ปัจจัยที่สามคือ คนจะหลอก จะเอาผลประโยชน์อะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจ มาล่อ 

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ให้การรับรอง รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในงานเลี้ยงรับรอง บนเรือ ทร.รัสเซีย 

เมื่อ (22 พ.ย.67) เวลา 17.30 น. พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววาณิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ให้การรับรอง พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ รองผู้บัญชาการเรือ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสงานเลี้ยงรับรอง บนเรือกองทัพเรือ รัสเซีย (เรือ ทร.รัสเซีย) โดยมี น.อ.อเล็กเซย์ แอนต์ซิเฟรอฟ รองผู้บังคับการ หมู่เรือที่ 36 ปริมรอสกายา กองเรือแปซิฟิก กองทัพเรือรัสเซีย ให้การต้อนรับ ซึ่งทาง ทร.รัสเซีย ได้จัดให้มีการเยี่ยมชมเรือ RFS Rezkiy และจัดงานเลี้ยงรับรอง ที่เรือ RFS Aldar Tsydenzhapov โดยเรือทั้งสองลำ เป็นเรือคอร์เวตที่มีขีดความสามารถสูงของหมู่เรือเฉพาะกิจภาคพื้นแปซิฟิกของ ทร.รัสเซีย (Russian Pacific Naval Task Group) มีภารกิจเดินทางมาเยือนและดำเนินการฝึกร่วมกับ กำลังทางเรือของ ทร.ชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อีกทั้งยังเป็นโอกาส ในการสร้างความคุ้นเคยระหว่างกัน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น                   

โดย บรรยากาศในงานเลี้ยงรับรอง เป็นไปด้วยความอบอุ่น และรื่นเริง จัดขึ้น ณ บริเวณท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ  จว.ชลบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top