Friday, 9 May 2025
Hard News Team

'บก.ตม.1'​ ห่วงใยต่างชาติ ลดแออัดป้องกันติดเชื้อโควิด-19 แจ้งต่ออายุวีซ่า ก่อนครบกำหนดไม่เกิน 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.64 นี้ เป็นต้นไป

19 กรกฎาคม 2564 พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะรอง โฆษก สตม. และโฆษก บก.ตม.1 เปิดเผยว่า กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 โดย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม. 1 ได้มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนชาวไทย และชาวต่างชาติที่มาติดต่อขอรับบริการที่ บก.ตม.1 (ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะฯ)

สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิดในขณะนี้ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากเพื่อลดความแออัด และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ทาง บก.ตม.1 จึงขอความร่วมมือผู้ที่จะมายื่นเรื่องขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ (เคาเตอร์ J,L,M,N) โดยเป็นการขออยู่ต่อระยะยาว ประเภท Non-Immigrant Visa อาทิเช่น NON-O, NON-B, NON-E, เกษียณอายุ, เยี่ยมคู่สมรส/เยี่ยมบุตร, สามีไทย/ภรรยาไทย/อุปการะบุตร, ธุรกิจ, ครู/นักเรียน, องค์การระหว่างประเทศ มูลนิธิ สมาคม, Tourist Visa (TR-60), Tourist MT Visa, Special Tourist Visa (STV) โดยให้เข้ามาติดต่อยื่นคำร้องขออยู่ต่อฯ ก่อนวันอนุญาตสิ้นสุด ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 วัน เท่านั้น ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

พล.ต.ต.ปิติ กล่าวว่า  ช่วงนี้การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และตามสั่งการของ​ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม. ที่ได้สั่งการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัดเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทาง บก.ตม.1 ได้มีความห่วงใย และตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงได้คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน 

ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความแออัดและลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการรวมกลุ่มคนจำนวนมากในการมายื่นขออยู่ต่อฯ ที่ บก.ตม.1 จึงขอความร่วมมือผู้ที่จะมายื่นเรื่องขออนุญาตอยู่ต่อฯ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ (เคาเตอร์ J,L,M,N) ยื่นคำร้องขออยู่ต่อฯ ก่อนวันอนุญาตสิ้นสุด ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 วัน เท่านั้น โดยได้มีการเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19  โดยจัดให้มีการเว้นระยะห่างในการจัดที่นั่ง และดำเนินตามมาตรการ Social Distancing  มีแผงกั้นระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้มารับบริการ รวมถึงมีการตรวจวัดอุณหภูมิคัดกรองก่อนเข้าพื้นที่ สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกฮอล์ และได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้มีความเอาใจใส่ระมัดระวังตนเองในการปฏิบัติงานและให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและเต็มความสามารถในการทำงาน 

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ขอฝากประชาสัมพันธ์และช่วยแจ้งข่าวให้ชาวต่างชาติ หรือผู้ที่มีชาวต่างชาติทำงาน หรือเป็นญาติพี่น้อง ให้ส่งต่อข้อมูลเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยทั่วกันว่า ผู้ที่จะมายื่นเรื่องขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ (เคาเตอร์ J,L,M,N) สามารมาติดต่อยื่นคำร้องขออยู่ต่อฯ ก่อนวันอนุญาตสิ้นสุด ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 วัน ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อจะได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางมาติดต่อแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้มาติดต่อรับบริการให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค เพื่อลดความเสี่ยงและการแพร่ระบาดอขงโรคไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวดและเคร่งครัดต่อไป
และทาง บก.ตม.1 ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา เรียกร้อง แพทย์กองทัพ ทั้งทหาร - ตำรวจ ร่วมกันตั้งโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่ช่วยแก้วิกฤตโควิด

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องให้ทหารแพทย์ทั้ง 3 เหล่าทัพและองค์กรตำรวจ ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่ในสถานการณ์วิกฤตโควิดระบาด

พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่า เหล่าทหารแพทย์ทั้ง 3 เหล่าทัพและสำนักงานแพทย์ใหญ่ตำรวจ ท่านจะต้องร่วมมือกันจัดตั้ง รพ.สนามขนาดใหญ่กันได้แล้ว โดยไม่มีข้อจำกัดใดใดทั้งสิ้น เพราะนี่คือสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ นี่คือภารกิจช่วยเหลือประชาชนอันเป็นภารกิจทางทหารของเหล่าทหารแพทย์

ผม คือ ทหารเก่าเหล่าแพทย์ ผู้มีกำเนิดชีวิตทหารจากนักเรียนแพทย์ทหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ผมถูกฝึกมาให้พร้อมทุกสถานการณ์ ไม่มีคำว่า 'ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว' จากปากของผม

โคราชเตียงรักษาโควิดเต็ม! ผู้ว่าสั่งทุกอำเภอตั้งโรงพยาบาลสนามด่วน พล.ต.เหรียญทอง ตั้งโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน 2 รักษาผู้ป่วยโควิด

แม้ผมลาออกจากราชการนานกว่า 14 ปีแล้ว ทั้งยังแก่กว่า 60 ปีด้วย ผมก็ยังสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียวตามพระราชนิพนธ์ขององค์จอมทัพไทยในอดีต ทั้งยังสนองพระราชดำริขององค์จอมทัพไทยในรัชกาลปัจจุบันโดยไม่จำเป็นต้องมีพระบรมราชโองการหรือพระบัญชา...แล้วทหารเหล่าแพทย์ทุกนาย หมายรวมถึงตำรวจด้วย ...ท่านพร้อมแล้วหรือยัง

ผมคาดหวังอย่างสูงว่า ทหารแพทย์ทุกนาย ซึ่งหมายรวมถึงนักเรียนแพทย์ทหาร นักเรียนพยาบาล นักเรียนนายสิบเหล่าแพทย์ทุกเหล่าทัพ จะร่วมแรงกายใจออกมาปฏิบัติหน้าที่ รพ.สนาม อย่างเกินกำลัง เกินกว่าอัตราศึก

ผมรอคอยท่านทั้งหลายว่า เราจะร่วมรบต่อสู้ภัยโควิดอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ ดั่งพี่น้องผองเพื่อนที่พวกเราผูกพันกันมาชั่วชีวิต เราจะสู้ภัยโควิดดั่งนักรบเหล่าแพทย์ของจอมทัพมหาวชิราลงกรณ์กันเพื่อพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์เจ้า


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กมธ.การสื่อสารมวลชนฯ จี้ประยุทธ์-ผบ.ตร รับผิดชอบกรณี ใช้กระสุนยางต่อ 'ผู้ชุมนุม-สื่อมวลชน' ซัดเเรง!! ทำเพื่อรับใช้นายใช่หรือไม่? ชี้ชัด!! ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล

ณัฐชา บุญอินไชยสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์กรณีกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค. เวลา 14.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยการชุมนุมดังกล่าว ชุมนุม เพื่อยืนยัน 3 เรียกร้อง ได้แก่

1.) พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข

2.) ปรับลดงบสถาบัน-กองทัพ สู้โควิด

3.) เปลี่ยนวัคซีนหลัก เป็นชนิด mRNA

โดยในขณะที่ผู้ชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังเคลื่อนขบวนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ระหว่างเส้นทางเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังเข้าควบคุมฝูงชน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) จำนวนมากยืนขวาง โดยมีรถจีโน่ 2 คันตรึงกำลังอยู่ มีการวางแนวรั้วเหล็กและลวดหนามหีบเพลง ซึ่งกลุ่มการ์ดผ้าพันคอสีเขียวพยายามเจรจาเพื่อขอผ่านไปเส้นถนนราชดำเนิน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศเตือนผู้ชุมนุม และเริ่มมีการฉีดน้ำ เพื่อต้องการให้ผู้ชุมนุมหรือทีมการ์ดถอยห่างออกจากสิ่งกีดขวาง ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าต้องการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินราชการ โดยแกนนำได้ประกาศให้ประชาชนปรบมือให้กำลังใจการ์ดวีโว่ที่อยู่ด้านหน้า เเละได้มีการเเจ้งว่า มีผู้บาดเจ็บจากการโดนยิง โดยใช้กระสุนยาง ซึ่งทราบภายหลังว่าคือ สื่อมวลชนที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในการชุมนุม

จากกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ผมเองต้องขอสะท้อนว่า การบริหารราชการของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มันล้มเหลว มันถึงจุดจบเเล้ว เเละที่สำคัญ มันสะท้อนให้เห็นว่า ท่านนำพาประเทศชาติมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราต้องสูญเสียบุคลากรทางการเเพทย์ ที่เปรียบเสมือนนักรบด่านหน้า ในการเผชิญต่อโรคระบาด ที่พวกเขาทำหน้าที่ด้วยจิตสาธารณะอย่างเต็มที่ เเต่กลับกัน นักรบตัวจริง กลับใช้อาวุธทำร้ายพี่น้องประชาชน เพียงเพราะเขาเห็นต่างกับสิ่งที่ท่านคิด ที่ท่านพยายามยัดเยียดให้ประชาชน เเต่ผลมันออกมาเเล้วว่า รัฐบาลของท่านไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข เเละคุณภาพชีวิตของประชาชน

“พวกเขาออกมาร้องขอ ให้รัฐบาลนำวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ให้กับประชาชนเเละบุคลากรทางการเเพทย์ เเละอาสาสมัครสาธารณสุข ท่านไม่ให้เขา หาให้เขาไม่ได้ไม่เป็นไร เเต่ท่านกลับใช้กระสุนยิงใส่ประชาชน ที่สำคัญเป็นสื่อมวลชน ผู้เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน การกระทำเช่นนี้ ท่านจะให้คำตอบว่าอย่างไร ท่านต้องการปิดปากประชาชน ท่านกำลังเป็นฆาตกรอย่างเลือดเย็น ที่มองการตายของประชาชนเป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่"

ทั้งนี้ ณัฐชา กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนยางยิงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม โดยไม่ได้มีการประกาศบอกกล่าวก่อนเหมือนทุกครั้ง กรณีเช่นนี้ ผมขอตั้งคำถามไปยังพลตำรวจเอกสุวัจน์ เเจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ ว่าท่านปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านกระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร การกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล กรณีนี้ลูกน้องท่าน ทำเพื่อเอาใจผู้บังคับบัญชาใช่หรือไม่ ท่านต้องให้คำตอบต่อพี่น้องประชาชน ว่าสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอยู่ นี่หรือ คือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตามคติของตำรวจไทย กรณีที่เกิดขึ้นหากสถานการณ์การเเพร่ระบาดโควิดดีขึ้น เเละรัฐสภาสามารปฏิบัติงานได้ปกติ ผมขอเชิญท่านเเละผู้เกี่ยวข้อง เข้ามาชี้เเจงต่อคณะกรรมาธิการ เพื่อตอบข้อเท็จจริงต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกทร.แจง ทร.ชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2-3 

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่า ตามที่พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ได้ทราบข่าวการขอชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2   และ 3 โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ซึ่ง พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้แถลงต่อ คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565/สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ไปแล้วนั้น ตนขอชี้แจงเป็นประเด็นดังต่อไปนี้ 
 
กองทัพเรือได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ และเป็นหน้าที่ที่กองทัพเรือจะต้องเตรียมกำลังรบที่มีความจำเป็น สำหรับการปกป้องอธิปไตยทางทะเล การดำรงเส้นทางคมนาคมทางทะเลให้ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลกว่า 22.89 ล้านล้านบาทนั้น ทั้งนี้การเตรียมกำลังรบในยามปกติ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อมสูงสุดอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้กองทัพเรือยังมีภารกิจสำคัญอื่นๆ อีกมากมายในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งกองทัพเรือมีความตระหนักและให้ความสำคัญในทุกภารกิจหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และต้องเตรียมการให้มีความพร้อมสูงสุดที่จะเผชิญภัยคุกคามในทุกรูปแบบ โดยไม่ย่อท้อ และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติทางทะเลตราบชีวิตจะหาไม่ ซึ่งกองทัพเรือได้พิจารณาไตร่ตรองโดยถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดหาเรือดำน้ำไว้ประจำการจำนวน 3 ลำ จะสามารถปฏิบัติการได้ครอบคลุมทั้ง 2 ฝั่งทะเล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับต่อภารกิจและหน้าที่ที่กองทัพเรือรับผิดชอบ และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพทางทะเลของกองทัพเรือไทยให้มีมากยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจัดหาเรือดำน้ำ จึงเป็นหนทางที่มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าสูงสุดกับการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน 
      
พล.ร.อ.เชษฐา กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 กองทัพเรือได้ให้ความสำคัญในการระดมสรรพกำลังทุกรูปแบบเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะกระทำได้ อาทิเช่น การจัดตั้งสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้แห่งแรก  การจัดตั้ง รพ.สนาม การจัดกำลังพลสนับสนุน ศปค.ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดฯ  การดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น  

ทั้งนี้กลาโหมและกองทัพเรือไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ประกอบกับกองทัพเรือได้ประเมินสถานการณ์ในภาพรวมร่วมกับทรวงกลาโหมแล้ว เห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการช่วยเหลือประชาชนในยามทุกข์ยากเช่นนี้ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีความวิกฤต กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด  อีกทั้งในส่วนของการดำเนินการด้านงบประมาณนั้น กองทัพเรือได้ส่งคืนงบประมาณในปี 2563 จำนวน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 3,925 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาล สามารถบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ตามความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป โดยการดำเนินการเสนอของบประมาณจัดหาเรือดำน้ำเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ ในปี 2565 กองทัพเรือได้พิจารณาถึงความเหมาะสมด้านงบประมาณที่ไม่เป็นการใช้งบประมาณแต่ละปีมากจนเกินไป โดยได้มีการเจรจากับทางฝ่ายจีนให้สามารถแบ่งจ่ายเงินสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่เหลือ เป็นเวลาถึง 6 ปี ซึ่งสามารถจ่ายเงินงวดแรกในปีงบประมาณ 65 ที่กำลังพิจารณานี้ เพียง 900 ล้าน จาก ยอดรวม จำนวน 22,500 ล้านบาท ของมูลค่าเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำ ทั้งนี้เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณปกติของกองทัพเรืออยู่แล้ว มิได้เป็นงบประมาณที่ขอใหม่แต่อย่างใด 

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์วิกฤตดังกล่าวที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับและส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก จึงทำให้กองทัพเรือได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อหาหนทางปฏิบัติที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอชะลอโครงการจัดหา ด. ลำที่ 2 และ 3 ไปก่อน โดยไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งปรากฏรายการอยู่ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565  ทั้งนี้การชะลอการจัดหาเรือดำน้ำออกไปในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการจัดหาในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล  ที่รัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลือทางทหารหลายรายการ จึงอาจส่งผลกระทบบางประการที่กองทัพเรือจะต้องไปดำเนินการเจรจากับรัฐบาลจีน เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นของการชะลอโครงการดังกล่าว และไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังคงความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารกับกองทัพเรือต่อไป
 
“กองทัพเรือหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพิจารณาของกองทัพเรือในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยในสถานการณ์ที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหาของชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ตลอดจนลดความขัดแย้งทางความคิด อันจะนำไปสู่การมีความสมัครสมาน สามัคคี ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อ” พล.ร.อ.เชรษฐา กล่าว 

แบงก์แจ้งปิดสาขาในห้าง 13 จังหวัดเจอล็อกดาวน์

สมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า หลังจาก ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) ยกระดับเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในพื้นที่ 13 จังหวัด โดยให้มีผลบังคับใช้วันที่ 20 ก.ค. 2564 เป็นต้นไปนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและตอบรับมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาลอย่างเข้มข้น สมาคมธนาคารไทย ขอประกาศแนวทางในการให้บริการของสาขาเพื่อให้ลูกค้าประชาชนได้รับบริการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 

1. ธนาคารมีความจำเป็นปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า สาขาในศูนย์การค้า และสาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ทั้ง 13 จังหวัดดังกล่าวข้างต้น เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป และจะพิจารณาปิดให้บริการสาขาบางแห่งเพิ่มเติมตามความจำเป็น ตามประกาศของจังหวัด หรือรัฐบาล รวมถึงประกาศของเจ้าของพื้นที่ โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาใกล้เคียงที่เปิดให้บริการทาง website ของแต่ละธนาคาร

2.   กำหนดเวลาเปิดให้บริการของสาขา ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 2564 คือ  
– สาขาในห้างสรรพสินค้า สาขาในศูนย์การค้า หรือ สาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนอกเขตพื้นที่    ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยังคงเปิดให้บริการ แต่จะต้องเปิดให้บริการไม่เกิน 17.00 น.
– สาขาทั่วไปที่เป็นสาขา Stand Alone สามารถเปิดให้บริการได้ 5 วัน หรือ 7 วันทำการ ขึ้นกับการ  พิจารณาของแต่ละธนาคาร แต่จะเปิดให้บริการได้ไม่เกินเวลา 15.30 น.
– สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เปิดให้บริการเวลาไม่เกิน เวลา 15.00 น.   

3. จำกัดช่องให้บริการและจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และลดความแออัด และเพื่อความสะดวกในการใช้บริการ ธนาคารขอแนะนำการทำธุรกรรมผ่านช่องทาง Mobile Banking เช่น พร้อมเพย์ หรือการชำระเงินด้วย QR Code เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ลดการเดินทาง และลดการสัมผัส โดยสาขาของธนาคารจะกลับมาให้บริการตามปกติโดยเร็วที่สุดเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย

‘หมอทวีศิลป์’ โฆษก ศบค. แจง แผนควบคุม 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำ ถ้าไร้มาตรการควบคุมเข้มข้น หวั่น ติดสูงสุดกว่า 3 หมื่นรายต่อวัน

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ทาง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้มีการหารือร่วมกับสื่อมวลชนวิทยุ โทรทัศน์ และออนไลน์ ซึ่งมีการสอบถาม ศบค. ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศ โดยมีการคาดการณ์เป็น 2 รูปแบบ จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คาดการณ์จุดสูงสุดหากเราไม่ช่วยกัน ปล่อยให้ติดเชื้อไปเรื่อย ๆ หย่อนยานที่สุด จะพบว่ามีผู้ติดเชื้อสูงสุด 31,997 รายต่อวัน

แต่หากเราทำอย่างดีที่สุดตัวเลขจะอยู่ 9,018-12,605 รายต่อวัน ค่ากลางจะอยู่ที่ 9,695-24,204 รายต่อวัน ขณะที่คาดการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่องค์การอนามัยโลก (WHO) นำไปอ้างอิง คาดการณ์การฉีดวัคซีนถึงปลายปี 64 หากเราฉีดได้ดี สถานการณ์ที่ดีที่สุด ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลงมาในช่วงก่อนเดือนก.ย. คือขึ้นสูงและลงมา ตอนนี้เราเห็นภาพแล้ว ตัวเลข 10,000-15,000 รายต่อวัน ถึงในช่วงส.ค.-ก.ย. แต่กรณีสถานการณ์เลวร้ายที่สุด อาจสูงถึง 22,000 รายต่อวัน ในช่วง ส.ค.-ก.ย.

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดฉบับที่ 28 เป็นปรับระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด ขณะที่พื้นที่ควบคุมสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 53 จังหวัด จะเห็นว่าพื้นที่สีแดงครอบคลุมไปทั่วประเทศ และจากข้อกำหนดฉบับที่ 28 เป็นการให้งดภารกิจออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น คือ นอกจากประกาศเคอร์ฟิวในตอนกลางคืน ช่วงกลางวันก็ขอให้ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น

ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงจะตั้งด่านในพื้นที่ขอบนอกของ 9 จังหวัดภาคกลางที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงและเข้มงวด โดยจะมีด่านตรวจเข้มแข็งกระจายไปในบริเวณขอบนอกของ 9 จังหวัด จะมีด่านตรวจทั้งเข้าและออก ใครจะเดินทางต้องแสดงหลักฐาน 3 อย่าง คือ เอกสารที่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน เจ้าหน้าที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการเขต ต้องสแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะบริเวณด่านตรวจ และลงทะเบียนในเว็บไซต์ www.covid-19.in.th เพื่อจะได้รับคิวอาร์โค้ด ซึ่งที่ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบ

ขณะที่การเดินทางภายในพื้นที่สีแดงเข้มก็จะมีการตั้งด่านด้วยเช่นกัน โดยมาตรการนี้จะใช้กับ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้มด้วย จึงขอแจ้งให้ประชาชนทราบถึงความไม่สะดวกสบายที่จะเกิดขึ้น เพื่อต้องการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ขอให้อยู่ในเคหสถาน ตอนนี้ทั่วโลกก็ใช้วิธีการล็อกดาวน์และมาตรการเหล่านี้ ถือเป็นการหลักการสากลแล้ว ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงตำรวจ ทหาร จะทำงานเข้มข้นมากขึ้น


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม’ หรือ ‘หมอวรงค์’ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Click on Clear THE TOPIC เปิดใจถึงการเป็น ‘ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน’ และเป้าหมายต่อไปของพรรคไทยภักดี

ไม่นานมานี้ ‘นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม’ หรือ ‘หมอวรงค์’ รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Click on Clear THE TOPIC เปิดใจถึงการเป็น ‘ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน’ และเป้าหมายต่อไปของพรรคไทยภักดีว่า...

‘พรรคไทยภักดี’ เป็นอีกพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในการก่อตั้งขึ้น เพื่อต่อต้านคนสามกลุ่ม ได้แก่ พรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว โดยปัจจุบัน พรรคไทยภักดี ใช้ระยะเวลาเดินทางมากว่า 7 เดือนในการดำเนินการเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองของไทยอย่างสมบูรณ์

ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้น หมอวรงค์ เผยถึงเหตุผลที่พรรคไทยภักดี มีการดำเนินการที่ช้ากว่าพรรคอื่น ๆ นั่นก็เพราะต้องการก่อตั้งพรรคจากรากฐานอย่างแท้จริง โดยไม่อาศัยหัวพรรคคนอื่น สิ่งนี้เองทำให้ไทยภักดีเป็นศูนย์รวมของผู้ร่วมอุดมการณ์ที่เข้ามามีส่วนร่วมและนำมาสู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการตอบสนองความต้องการของประชาชน

อีกทั้งภายใต้กติกาทางการเมืองและยุธศาสตร์ที่เปลี่ยนไป จากกติกาในอดีตที่ใช้ ‘ระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ’ ที่แม้ว่าประชาชนจะเป็นผู้เลือก ส.ส. แต่แท้จริงแล้ว นายทุนคือผู้ที่ครอบงำพรรคการเมืองใหญ่เหล่านี้ และคือผู้ที่เลือก นายกฯ ให้ ส.ส. เข้าไปโหวตในสภาเสียมากกว่า

และด้วยระบบแบบบัตรสองใบนี้เอง ทำให้เกิดการแข่งขันในเชิงบุคคลเพราะประชาชนจะเลือกที่ตัว ส.ส. ไม่ใช่จากพรรคการเมือง อันนำมาสู่การซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่งหมอวรงค์มองว่าระบบดังกล่าว ‘ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน’

ในขณะที่ปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนกติกาไปใช้ ‘ระบบบัตรใบเดียว’ โดยระบบนี้เองประชาชนจะมองที่พรรคและตัวของนายกฯ มากกว่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปของกติกาทางการเมืองนี้ จะก่อให้เกิดการต่อสู้ โดยการก่อตั้งพรรคการเมืองในเชิงอุดมการณ์ ที่จะนำประโยชน์มาสู่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

หมอวรงค์ เล่าย้อนกลับไปถึงจุดยืนของพรรคที่ก่อตั้งขึ้นด้วยว่า พรรคไทยภักดีชัดเจนในการต่อต้านคนสามกลุ่มที่เรียกว่า ‘ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์’ ใฝ่ฝันอยากให้ประเทศไทยกลายเป็น ‘สาธารณรัฐ’ ซึ่งระบบดังกล่าว ไม่สามารถทำให้ประเทศไทยอยู่รอดได้

>> แต่ระบบการปกครองของไทยในปัจจุบันต่างหาก ถึงจะเป็นทางรอดของประเทศไทยที่แท้จริง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเสมือนจุดหลอมรวมความรู้สึกของความเป็นคนไทย และถ้าหากขาดสถาบันที่สำคัญนี้ไป ประเทศไทยจะถึงคราวแตกแยกอย่างแน่นอน!!

จากตัวแปรที่กล่าวมา จึงส่งผลให้เกิดเป็น ‘อุดมการณ์ 5 ข้อ’ และ ‘5 DNA’ ที่สะท้อนตัวตนของพรรคไทยภักดี ดังนี้

>> ‘อุดมการณ์ 5 ข้อ’

1.) ปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือ การยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2.) สืบสานความเป็นไทย เชื่อมั่นในวัฒนธรรม จารีต ประเพณี

3.) ต่อต้านทุนผูกขาด เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคม

4.) สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร

5.) เชื่อมั่นว่าประเทศต้องพึ่งพาตนเองถึงจะอยู่รอด

>> ‘ความเป็นตัวตน หรือ DNA 5 ข้อ’

1.) ต้องการทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง

2.) โปร่งใส

3.) สร้างคนใหม่

4.) นักการเมืองที่ไว้วางใจได้

5.) ภักดีประชา ศรัทธาสถาบัน

อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ และ DNA ของพรรคไทยภักดี ดูเหมือนจะขัดกับกลุ่มคนที่หมอวรงค์เรียกว่า ‘ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ แนวคิด มุมมอง หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

สังเกตได้จากเหตุการณ์ที่มีคนจำนวนไม่น้อยถูกแจ้งความด้วยข้อหามาตรา 112 กันมากมายในปัจจุบัน ซึ่ง ‘หมอวรงค์’ ได้ให้เหตุผลว่า การวิพากษ์ วิจารณ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย วิพากษ์ วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์และมีเจตนาที่บริสุทธิ์

ในส่วนของแนวคิดของกลุ่มพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว หมอวรงค์ให้เหตุผลว่า การกระทำหรือแนวคิดต่าง ๆ จาก คน 3 กลุ่ม ‘ไม่ใช่ของจริง’ เพราะไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักที่จะทำเพื่อประชาชน และของจริงต้องมีเจตนาที่สร้างสรรค์ต้องการปฏิรูปประเทศไปในทางที่ดีขึ้น มิใช่การทำลาย

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงบทบาทของพรรคไทยภักดี หากก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองในเมืองไทยอย่างสมบูรณ์แล้ว เรื่องแรกที่จะปฏิรูปคืออะไร? หมอวรงค์ได้ให้คำตอบว่า...

1.) เรื่องแรกที่จะปฏิรูป คือ ‘การแก้ปัญหาเรื่องโกง’ ทั้งนักการเมืองและในระบบราชการ โดยการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อต่อการนำไปสู่การทุจริต และการแก้ไขปัญหาจากตัวผู้นำ โดยการใช้ระบบแบบ Digital Government ซึ่งระบบนี้จะเป็นการยื่นแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเจอหน้ากัน ทำให้สามารถกำหนดระยะเวลาได้อย่างชัดเจนว่าจะต้องอนุมัติภายในกี่วัน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการทุจริตที่เอื้อต่อการรับสินบน

2.) หมอวรงค์ยังกล่าวอีกว่า พรรคไทยภักดี จะเป็นพรรคแรกที่กล้า ‘ปฏิรูปตำรวจ’ เพื่อตอบสนองประชาชน เพราะที่ผ่านมาตำรวจใช้โครงสร้างแบบทหาร รอคำสั่งจากทหาร ทั้งที่ตำรวจควรมีหน้าที่อยู่ดูแลประชาชนทั่วไปได้อย่างเต็มที่

3.) นอกจากนี้ คือเรื่องการ ‘ปฏิรูปผูกขาดของระบบต่าง ๆ’ แนวคิดของไทยภักดีมองว่า สาธารณูปโภคพื้นฐาน และเรื่องปากท้อง ราคาต้องไม่แพงจนเกินไป หรือแม้กระทั่งน้ำมันที่ยังเป็นระบบผูดขาด ทำให้เป็นปัญหาของน้ำมันราคาแพงในปัจจุบัน

4.) อีกหนึ่งหัวใจสำคัญคือเรื่อง ‘ระบบการศึกษา’ ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากมองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบการศึกษายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นระบบแบบเดิม ในขณะที่สังคมเดินหน้าไปมากแล้ว และเมื่อพูดถึงการปฏิรูประบบการศึกษา คงหนีไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้บริหาร ครู หรือผู้บริหารกระทรวงศึกษา เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเรียน เราจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้ครู เพื่อได้ครูที่เก่ง และมีความสามารถที่จะนำพาการศึกษาให้เดินหน้าต่อไปทันยุคดิจิทัลได้

5.) และสุดท้ายคือการ ‘ให้ความสำคัญกับพี่น้องเกษตกร’ เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ถูกเอาเปรียบเยอะมาก รัฐบาลควรเป็นตัวตั้งของแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้กลุ่มเกษตรเข้าสู่ระบบในการซื้อขายผ่านออนไลน์ ตรงนี้เกษตรจะได้ประโยชน์ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้ากลาง

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนพรรคการเมืองต้องใช้ทุนทรัพย์มาก และหมอวรงค์ ก็มองว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะต้องรอดูว่าอุดมการณ์พรรคจะสื่อไปถึงประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคแค่ไหน โดยผู้ที่จะร่วมอยู่ในร่มไม้เดียวกันกับพรรคไทยภักดีนั้น ไม่ได้จำกัดกลุ่มคน ขอแค่มีอุดมการณ์ และ DNA เดียวกัน คือ “นำการเปลี่ยงแปลง โปร่งใส สร้างคนใหม่ ไว้ใจได้ ไทยภักดี” ที่สำคัญคือธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสมือนจุดหลอมรวมความรู้สึกของความเป็นคนไทยมาอย่างยาวนาน

สุดท้าย ‘หมอวรงค์’ ยังกล่าวอีกว่า “พร้อมที่จะรับไม้ต่อจากพลเอกประยุทธ์ ในการจัดการปัญหาของแผ่นดินนี้!! ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี”

รับชมคลิปเต็ม >> ทัพหน้าต้านล้มเจ้าเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยน กับ 'หมอวรงค์ แห่งไทยภักดี’ ได้ในรายการ Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ : ตามลิงก์นี้ >> https://fb.watch/6QS6Va-5Rm/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นพ.พงศกร เปิด 10 มุมมอง ความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 3 ระบุ วันนี้ วัคซีน mRNA รับมือเชื้อกลายพันธุ์ได้ดี พร้อมแนะจับตา Novavax ยกเป็นวัคซีนตัวหลักในอนาคต รวมถึงวัคซีนรุ่นที่ 2 ของทุกยี่ห้อ

นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการสื่อสาร โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ Pongsakorn Chindawatana กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการฉีดวัคซีนโควิด ว่า วัคซีนเข็มที่สาม นี่มันยังไงกันนะ มาครับ ผมจะเล่าให้ฟัง

1.) เรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการฉีดวัคซีนแบบเชื้อตาย จนครบโดสไปแล้วสองเข็ม กลับพบว่าไม่สามารถป้องกันเชื้อที่กลายพันธุ์ได้ หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อหลายคน เมื่อตรวจภูมิคุ้มกันก็พบว่าระดับของภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว

2.) เลยเป็นที่มาว่าควรฉีดวัคซีนกระตุ้นดีหรือไม่ ถ้าฉีด ควรฉีดอะไร คำตอบก็ออกมาว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามน่าจะช่วยได้ แต่มีข้อแนะนำว่าควรฉีดวัคซีนที่ผลิตกันคนละวิธี จากการวิจัยเล็ก ๆ ของอาจารย์แพทย์หลายท่าน พบว่าเมื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่สาม ภูมิคุ้มกันจะอยู่ในระดับที่สูงและป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีขึ้น

3.) หลักการของวัคซีนเข็มที่สามนี้มีการวิเคราะห์โดยอิงจากหลักวิชาการ และมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ตัดสินใจใช้วิธีนี้กับบุคลากร จึงยังเป็นอะไรที่ใหม่มากเกินกว่าจะให้คำตอบว่า มันเพียงพอแล้วจริง ๆ หรือไม่ ต้องมีเข็มสี่อีกหรือเปล่า อันนี้ต้องดูกันต่อยาว ๆ และฟังข้อมูลอย่างมีสติ พิจารณาว่าข้อมูลไหนเชื่อได้ ข้อมูลไหน fake นะครับ

4.) สำหรับประเทศไทย ส่วนมากแล้วบุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งหมด ฉีดซิโนแว็กซ์ไปครบสองเข็มตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก-ไตรมาสที่สองของปี ดังนั้นเข็มที่สามของบุคลากรจึงมีวัคซีนให้เลือกใช้สองชนิด คือ AZ (Virus vector) หรือ Pfizer (mRNA)

สำหรับ AZ เรามีวัคซีนอยู่แล้ว บุคลากรที่เลือกเข็มสามเป็นตัวนี้ จึงสามารถฉีดได้เลย ขณะนี้ก็มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรหลายท่าน ได้ฉีดเข็มที่สามไปเรียบร้อยแล้ว Pfizer นั้น ในวันนี้ก็ยังมาไม่ถึง และยังกำหนดวันแน่นอนไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไร

เดิมที Pfizer 1.5 ล้านโดสนี้ มีแผนจะฉีดให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง แต่เมื่อสถานการณ์ในประเทศกำลังเข้าขั้นวิกฤติ ศบค. จึงมีการแบ่งโควตาบางส่วนมาให้บุคลากรด่านหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดและต้องดูแลคนไข้ที่ติดเชื้อ

5.) ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าซิโนแวคไม่ดีนะครับ วิจัยทางการแพทย์เกือบทุกแห่งพูดตรงกันว่า สามารถลดความรุนแรงของการติดเชื้อลงและลดอัตราตายได้อย่างชัดเจน แต่การที่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เป็นเพราะวันนี้ไวรัสได้กลายพันธุ์ไปไกลแล้ว

ซิโนแวคที่ใช้ฉีดกันในวันนี้ ผลิตมาจากไวรัสรุ่นเก่า ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด ถ้าวันนี้ไวรัสไม่กลายพันธุ์ ยังเป็นไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม หน้าตาเดิม ๆ ซิโนแวคก็ยังมีประสิทธิภาพที่ดีครับ

6.) การที่ mRNA vaccine เช่น Pfizer และ Moderna ยังรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ดี เป็นเพราะมีการนำเอาไส้ในของไวรัส หรือสารพันธุกรรมมาทำวัคซีน จึงยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้จดจำเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีกว่าวิธีอื่น แต่ถ้าไวรัสยังกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็มีแนวโน้มว่าในอนาคต ก็อาจจะป้องกันไม่ได้เช่นกัน และอย่างไรก็ตามวัคซีนที่ผลิตด้วยวิธีนี้ยังใหม่มาก ๆ จริง ๆ เราก็ต้องติดตามดูผลข้างเคียงในระยะยาวกันต่อไปด้วยครับ

7.) คำตอบที่แท้จริง จึงอยู่ที่วัคซีนรุ่นที่สองของทุกยี่ห้อ ทุก Platform ที่มีการนำเอาไวรัสกลายพันธุ์มาผลิตเป็นวัคซีนเวอร์ชั่นใหม่ กระบวนการนี้ทำได้ไม่เร็วครับ แต่น่าจะรับมือเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ดีขึ้น เป็นเรื่องที่เราก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปเช่นกัน

8.) สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้วัคซีนอีกหนึ่ง Platform กลายมาเป็นวัคซีนที่ทุกคนต้องจับตามองนั่นก็คือ Novavax

Novavax ผลิตด้วยวิธีที่สี่ เรียกกันว่า Protein subunit คือดึงเอาโปรตีนจากไวรัสมาทำวัคซีน ซึ่งโปรตีนนี้เป็นสารพื้นฐานที่ไวรัสดั้งเดิม หรือไวรัสที่กลายพันธุ์ไปแล้ว ต่างก็มีเหมือน ๆ กัน จากการทดลองในอาสาสมัครพบว่ารับมือกับไวรัสกลายพันธุ์ได้ดี

แถมยังมีผลข้างเคียงน้อยมาก แม้ว่าในอนาคต ไวรัสอาจจะกลายพันธุ์ไปอีก การปรับเปลี่ยนสูตรโปรตีนในวัคซีนก็จะทำได้รวดเร็วและรับมือกับการกลายพันธุ์ได้ดี ดังนั้น นี่จึงเป็นวัคซีนที่อาจจะกลายมาเป็นวัคซีนตัวหลักในอนาคตครับ

9.) แล้ววันนี้ล่ะ สำหรับประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มไปแล้วจะต้องทำอย่างไรบ้าง ควรจะต้องลงทะเบียนรับวัคซีนเข็มที่สามหรือไม่ จากข้อมูลล่าสุดของศบค. บอกมาว่าเข็มที่สามสำหรับประชาชน ยังไม่เปิดลงทะเบียน เนื่องจาก อยากให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อนครับ

อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามข้อมูลกันต่อไปนะครับ เพราะเรื่องวัคซีนเป็นอะไรที่ใหม่มากจริง ๆ และข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน วันนี้บอกว่า ประชาชนยังไม่ต้องลงทะเบียนเข็มที่สาม แต่อีกสักหน่อยอาจจะมีประกาศให้ลงทะเบียนก็เป็นได้ ยังไงผมจะคอย update ข้อมูลให้ทราบกันเป็นระยะครับ

10.) และสรุปสุดท้ายครับ แม้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้รับวัคซีนเข็มที่สามแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์ของวัคซีนทุกชนิดก็คือ ลดความรุนแรงหากบังเอิญติดเชื้อ และลดอัตราการเสียชีวิต วัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% เราจึงควรป้องกันตัวเองให้เต็มที่ต่อไปครับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไข

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขว่า...

เรื่องโรคโควิด และวัคซีนโควิดตามข้อมูล ณ ปัจจุบัน คือ

1.) ตอนนี้ประเทศไทยมีการระบาดมาก คนตายวันละหลายสิบราย ระบาดมากใน กทม.และปริมณฑล เตียงรับผู้ป่วย โดยเฉพาะ ICU ไม่พอ

2.) เชื้อไวรัส มีการกลายพันธุ์เรื่อย ๆ ปัญหาของการกลายพันธุ์คือ ทำให้มีการแพร่เชื้อและติดได้ง่ายขึ้น มีการดื้อต่อวัคซีนทุกชนิด

3.) วัคซีนที่กระตุ้นภูมิได้สูงกว่า ก็จะต้านการดื้อต่อวัคซีนของเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีกว่า ถ้าพูดถึงความสามารถในการกระตุ้นภูมิของวัคซีนที่มีในตลาดปัจจุบัน

mRNA สูงกว่า viral vector และ viral vector สูงกว่า เชื้อตาย

ซึ่งภูมิที่สูงกว่า ล้อไปกับ ผลข้างเคียงที่มากกว่า

แต่ผลข้างเคียงของวัคซีนทุกชนิด ยังเกิดในอัตราต่ำมาก การฉีด มีประโยชน์มากกว่าการกลัวผลข้างเคียงแล้วไม่ฉีด

4.) สายพันธุ์ที่ระบาดใหญ่ในประเทศไทยเดือนเมษา คือ แอลฟา ตั้งแต่มิถุนายนเริ่มมีเดลตามากขึ้น (ซึ่งติดง่ายและดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น) ตอนนี้เดลตาครองพื้นที่ กทม.แทนแอลฟาแล้ว และกำลังจะครองทั่วประเทศในอีกไม่นาน

5.) วัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทยตอนนี้ คือ แอสตร้าฯ และซิโนแวค ตัวที่โดนบูลลี่มาก ๆ คือ ซิโนแวค

ผลการใช้ซิโนแวค ในสถานการณ์จริงของไทยต่อเชื้อสายพันธุ์แอลฟา พบว่าป้องกันการติดเชื้อได้ดี 70-90% ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 51% ที่พูด ๆ กันมาหลายเดือน

6.) ข้อมูลเฟส 3 Pfizer ป้องกันติดเชื้อ 95%, ซิโนแวคป้องกันติดเชื้อได้ 51% ดูเหมือนช่องว่างเยอะ แต่เราจะเอาการศึกษาที่ต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างสายพันธุ์ ต่าง criteria ในการเก็บข้อมูลมาเทียบกันโดยตรงไม่ได้

ที่พอเทียบกันได้ คือ การใช้ในสถานการณ์เดียวกันที่ชิลี ดังนี้

ลดโอกาสการตาย PZ 91.8%, SV 86.4%

ลดโอกาสเข้า ICU PZ 98.4% SV 90%

ลดโอกาสติดเชื้อแบบมีอาการ PZ 90.9%, SV 63.6%

7.) การมาของเดลตา ทำให้ซิโนแวคป้องกันการติดเชื้อได้ลดลง (ลดลงทุกวัคซีน แต่วัคซีนเชื้อตาย ต้นทุนในการกระตุ้นภูมิต่ำกว่าตัวอื่น จึงด้อยลงมากที่สุด) แต่ยังป้องกันอาการหนัก ป้องกันตายได้ดีเหมือนเดิม

8.) ในไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีน 2 โดสแล้ว (ส่วนใหญ่เป็น SV) เกิด breakthrough infection (คาดว่าเป็นผลจากเชื้อเดลตาดื้อวัคซีน และระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน ก็เริ่มต่ำลงตามเวลาที่ผ่านไป) ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ต้องกักตัวรักษา และขาดกำลังคนทำงาน ยังไม่ทราบตัวเลขในภาพรวมที่แน่ชัด คงรอรวบรวมข้อมูล

มีเสียงเรียกร้องขอกระตุ้นภูมิ (เข็ม 3)ให้บุคลากรการแพทย์ด้วยวัคซีน "ดี ๆ" ซึ่งการศึกษาการกระตุ้นเข็ม 3 ยังไม่เรียบร้อย แต่ใกล้ได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน

ทั่วโลก ก็มีรายงาน vaccine breakthrough infection กันทุกยี่ห้อ แต่ mRNA น่าจะ breakthrough น้อยสุด

9.) เมื่อ 3 วันก่อนมีการแชร์เอกสาร note การประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ "ชุดเล็ก" 3 คณะ เรื่องการใช้ PZ บริจาค 1.5 ล้านโดส เบื้องต้น เสนอให้ระดมฉีดเข็ม1 ให้กลุ่มเสี่ยงก่อน (โดยยังไม่ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ให้ HCP)

เมื่อวาน อ.อุดม ในฐานะที่ปรึกษาแก้ไขสถานการณ์โควิดของนายก แถลงหลังประชุมกรรมการ "ชุดใหญ่" ว่าถ้าผลการศึกษาได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระตุ้นภูมิ จะกระตุ้นภูมิให้ HCP เป็นกลุ่มแรก ด้วย AZ หรือ PZ

10.) เกิด Dilemma ขึ้น ในการบริหารทรัพยากรที่มีจำกัด ระหว่างการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เพื่อกันติดให้ HCP กับ ฉีดเข็ม 1 ให้กลุ่มเสี่ยง เพื่อกันตาย ต่างคนต่างมีเหตุผล แล้วแต่มุมมอง แต่ถ้าพูดในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ ย่อมมีประเด็น conflict of interest แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยุติแล้ว โดยการแถลงของ อ.อุดม

11.) ผู้เชี่ยวชาญของโลกและของไทย พูดตรงกันว่า หน้าที่หลักอันดับแรกของวัคซีนโควิด คือ ป้องกันการตายและอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบัน วัคซีนทุกชนิดยังทำหน้าที่หลักของมันได้ดีมาก คือประมาณ 90% แม้เชื้อจะกลายพันธุ์

12.) ประเทศไทยเตรียมแผนวัคซีน"ฟรี"สำหรับปีนี้ไว้อย่างต่ำ 100 ล้านโดส คร่าว ๆ คือ

AZ 61, PZ 20, JJ 5*2, Sputnik V น่าจะประมาณ 5, SV มากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนวัคซีนไม่ฟรี คือ Moderna ที่รัฐเป็นตัวกลาง ช่วย รพ.เอกชน ซื้อมาขายต่อให้คนที่อยากมีทางเลือกเพิ่มขึ้น (เพราะผู้ผลิตยืนยันไม่ขายให้เอกชนโดยตรง) บริษัทบอกขายให้ได้ 5 ล้านโดส เริ่มทยอยส่งให้ได้เร็วสุดปลายปีนี้

และ Sinopharm ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามาขายราคาทุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ซื้อไปฉีดให้ประชาชนฟรี นำเข้ามาแล้ว 2 ล้านโดส และน่าจะมีมาอีก

13.) ทั่วโลกขาดแคลนวัคซีนประเทศต่าง ๆ ใช้ทุกสรรพกำลังในการต่อรองแย่งชิงวัคซีนกัน วัคซีนแทบทุกชนิด ส่งล่าช้ากว่าสัญญาที่ทำไว้ทั่วโลก ประเทศที่ไม่ขาดแคลน คือ ประเทศมหาอำนาจที่ร่ำรวย และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ที่กักตุนยอดวัคซีนไว้ตั้งแต่ช่วงวิจัย ใช้ไม่ทัน มีบางส่วนใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุไปแล้วโดยไม่ได้ฉีด และเริ่มมีการบริจาควัคซีนมากขึ้น

14.) ประเทศไทยก็โดนผลกระทบจากการเลื่อนส่ง เช่น AZ วัคซีนหลัก เดิมคาดว่าจะได้ 61 ล้านโดสภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะได้เดือนละ 10 ล้านโดส ตอนนี้บริษัทแจ้งว่าจัดสรรให้ได้เดือนละ 5-6 ล้านโดส ส่วน Pfizer บริษัทแจ้งว่าส่งได้อย่างเร็วสุด ปลายปีนี้

15.) ที่ผ่านมา ในบรรดา 5 วัคซีนในแผนวัคซีนฟรีของไทย มีซิโนแวคยี่ห้อเดียว ที่สามารถขยายจำนวน และเร่งเวลาส่งให้เร็วขึ้นได้ เป็นเหตุให้ต้องสั่งมาเติมส่วนที่ล่าช้าของวัคซีนอื่น

16.) ตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ผู้ซื้อต้องยอมทำสัญญาตามเงื่อนไขที่เสียเปรียบผู้ขาย เช่น ผู้ขายมีสิทธิ์เลื่อนส่งได้, ส่งช้ากว่ากำหนดไม่มีค่าปรับ, ถ้ารอไม่ไหว ยกเลิกได้ แต่ไม่คืนเงิน ถ้าเราไม่รับเงื่อนไข ผู้ขายไม่ง้อ มีแต่ต้องพยายามเจรจาให้เสียเปรียบน้อยที่สุด ผู้ขาย (หรืออาจจะประเทศผู้ขาย) กำหนดคิวเอง ไม่ใช่ระบบบัตรคิวที่เรียงลำดับก่อนหลังเพียงอย่างเดียว ทั่วโลกมีข่าวแซงคิว ข่าวทางลัด

17.) จำนวนและกำหนดส่งวัคซีน mRNA ที่เราจองไว้ กำหนดไว้แล้ว ว่า PZ 20 ล้าน, MDN 5 ล้าน เริ่มทยอยส่งปลายปี การดีลเริ่มต้นนับ 1 มาตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่รอนับ 1 หลังเซ็นสัญญาซื้อ แล้วบวกไปอีก 4 เดือนอย่างที่บางคนพูด

การเซ็นสัญญาต่าง ๆ มีกรอบระยะเวลาแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเซ็นเดือน พ.ค. มิ.ย. ก.ค. หรือ ส.ค. ก็ได้ของปลายปีเหมือนเดิม มีการต่อรองเพื่อให้เสียเปรียบน้อยที่สุด

18.) สัญญาซื้อ PZ เริ่มจากคุยกันเบื้องต้น แล้วลงนามใน

- confidential disclosure agreement เซ็นแล้ว

- binding term sheet เซ็นแล้ว

- Manufacturing and supply สัญญาสุดท้าย เมื่อวาน ครม. มีมติให้ลงนามแล้ว

สัญญา confidential disclosure agreement เป็นตัวเปิดทาง ไม่เซ็นก็ไม่ขาย เซ็นแล้วก็ห้ามเปิดเผยข้อมูล เพราะผู้ขายเค้าเจรจากับแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ราคา ผลประโยชน์ ต่างกัน ที่ผ่านมา เราจึงแทบไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกเลย คนทำงานอยู่ในภาวะพูดไม่ได้

แต่ละประเทศก็มีแนวทางเจรจาของตน เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ จำนวนดีลต่างกัน ดีลเล็กของประเทศประชากรน้อย ดีลได้ง่ายกว่าดีลใหญ่ ๆ ของประเทศประชากรเยอะ, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างกัน และการดำเนินนโยบายการเมืองโลกของประเทศมหาอำนาจ ก็มีส่วนอย่างยิ่ง

ประเทศไหนดีลได้ด้วยข้อเสนอแลกผลประโยชน์ใดบ้าง คือสิ่งที่เราไม่อาจรู้ แต่มีข้อสังเกตว่า บางประเทศเจรจาซื้อ mRNA มานาน ไม่คืบหน้า พอมีข่าวสั่งซื้อขีปนาวุธ และฝูงบินจากมหาอำนาจ ดีลก็เร็วขึ้น

19.) (ความเห็นส่วนตัว) ตอนนี้คนไทยติดเชื้อวันละหลายพัน ตายวันละหลายสิบ ถ้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ ก็ต้องหาวัคซีนกันติดมาให้มาก ๆ และเร็ว ๆ แล้วทุกอย่างจะดีตาม แต่นั่นมันความฝัน ความจริงคือ วัคซีนที่ให้ผลกันติดที่ดีที่สุดตอนนี้ ยังไม่บินมาช่วยเรา ในจำนวนและเวลาที่ทันต่อสถานการณ์

และทุกวัคซีนจะเสื่อมประสิทธิภาพกันติดไปเรื่อย ๆ เพราะไวรัสกลายพันธุ์อยู่เสมอ Herd immunity ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นได้ด้วยวัคซีนใดที่มีอยู่ในตอนนี้ แต่วัคซีนทุกชนิดยังป้องกันป่วยหนักได้ดี

ถ้าเรียงลำดับความสำคัญตามสถานการณ์ สิ่งที่ทำได้จริง คือต้องเร่งลดคนอาการหนักก่อน คนตายก็จะลด, ภาระ ICU ก็จะลด ต่อให้ติด ก็มักจะอาการน้อยซึ่งแพร่เชื้อได้น้อยกว่าคนอาการมาก ดังนั้น จึงไม่ควรต่อต้านหรือด้อยค่าการซื้อวัคซีนกันตายที่ส่งมาช่วยเราได้จริง จนกว่าทุกคนจะได้รับการกันตาย และควรจะรับรู้ร่วมกันว่า อย่าฝากความหวังไว้กับวัคซีนทั้งหมด หน้ากาก ล้างมือ ปรับวิถีชีวิต ตั้งสติ ความร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเราได้มาก ๆ

ส่วน mRNA ก็อยากให้รัฐพยายามต่อรองเอาเข้ามาเพิ่มเท่าที่ทำได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เราไม่เสียเปรียบเกินไป ทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องพยายามสื่อสารสร้างความเข้าใจให้ดีกว่าที่ทำมา (แต่ประชาชนควรเข้าใจด้วยว่า การพูดอะไรล่วงหน้าต่อสาธารณะ ก่อนที่การเจรจาจะคืบหน้า จะทำให้การเจรจายากขึ้น) ปัญหาตอนนี้คือ คนส่วนหนึ่ง ไม่เชื่อใจว่ารัฐได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่หรือยัง ในการเอา mRNA เข้ามา รัฐต้องพยายามชี้แจงจุดนี้ให้มากขึ้น

แล้วปีหน้าค่อยไปมองหาวัคซีน generation ใหม่ รวมถึงวัคซีนสัญชาติไทย ที่กำลังพัฒนากันอยู่

20.) (ความเห็นส่วนตัว) วัคซีนทุกชนิดสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตคนจากโรคระบาด แต่เรากลับเอาวัคซีนมาเป็นเหตุทะเลาะกัน บางคน แค่อาจารย์ผู้ใหญ่บางท่านพูดไม่ถูกใจ ผสมโรงกับสื่อเสี้ยม ก็ไปคุกคาม เหยียดหยามอาจารย์ซะแล้ว

อยากชวนให้พวกเราขับเคลื่อนประเทศด้วยวิธีสร้างสรรค์ ใช้พลังเชิงบวก การใช้พลังบวก ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการทำเป็นโลกสวย โลกสวยคือ การแสร้งมองสิ่งต่าง ๆ ว่าดีงาม น่าเห็นใจ แต่ไม่อยู่ในข้อเท็จจริงและเหตุผล

พลังบวก เช่น ความรัก ความสามัคคี ความเสียสละ ความรอบคอบ ความมีเหตุผล ความสุภาพ ความอดทน การให้อภัย การให้เกียรติ ความซื่อสัตย์ ความยั้งคิด การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น พลังเหล่านี้ จะช่วยให้เราแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติซึ่งเป็นภัยธรรมชาติได้ดีที่สุด

พลังลบ เช่น ความคิดอคติ ความโกรธ ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว ความหยาบคาย ความกร้าวร้าว ความใจร้อน ความไม่ยั้งคิด ความบิดเบือน ความคดโกง ความชวนทะเลาะ พลังเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร และทำลายทุกฝ่าย

เราอาจจะเข้าใจผิด ว่าพลังการด่าของเราช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งไม่จริงเลย การด่า ดูเหมือนจะได้ผลในบางเรื่อง แต่ที่มันได้ผล ไม่ใช่เพราะความกร้าวร้าวหยาบคาย มันได้ผลเพราะพลังบวกอื่น เช่น ความพร้อมเพรียงในการแสดงออก หรือคนรับฟังเค้ามองข้ามเสียงด่าของเรา แล้วเก็บเอาเนื้อความที่ซ่อนอยู่ในคำด่าไปพิจารณา

ในขณะที่เราด่าใคร ถ้าคนที่เราด่า ศีลเสมอหรือต่ำกว่าเรา สิ่งที่เราจะได้รับคือ การด่ากลับ โดยไม่มีใครสนใจเนื้อหา แถมเราก็ยุยงกัน เช่น ดี ๆ ฟาดอีก, ฟาดมากแม่ เอาอีก ๆ

หลาย ๆ ครั้ง เราด่า เพราะเราถูกปั่นให้โกรธ ความโกรธทำให้เราปิดรับข้อมูล ด่าไปโดยที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งทุกวันนี้ มีสื่อเสี้ยมและบิดเบือนเต็มโลก social

ถ้าเราเชื่อว่าการด่าจะขับเคลื่อนสังคมให้ดีได้ เราก็คงต้องเชื่อว่าการดุด่า ประชดแดกดัน หรือทุบตีเด็ก จะช่วยให้เด็กรับฟังสาระที่เราต้องการบอก และปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ ซึ่งไม่จริง

เราสามารถวิจารณ์ ตำหนิ เสนอแนะได้ตามเหตุผล และข้อเท็จจริงรอบด้าน โดยเลี่ยงการใช้ hate speech ก็สื่อสารได้รู้เรื่อง และดีกว่าการด่าหรือประชดแดกดันกันอย่างแน่นอน


ที่มา : https://www.facebook.com/226733814031758/posts/4304807856224313/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โฆษกพปชร.” แนะ “ศุภชัย”  อย่าติดกับคนผู้ไม่หวังดี ชี้ ภาวะวิกฤตต้องมีสติ-หนักแน่น จับมือแก้ปัญหา

น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม.ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ตัดพ้อถึงการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ว่า การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 เต็มที่ การบริหารจัดการสถานการณ์ปัจจุบันในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีทั้งข้อจำกัดและแรงกดดันมากเป็นทวีคูณ การตัดสินใจดำเนินการสิ่งใด ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนอย่างสูงสุด แต่สิ่งที่ยากก็คือข้อจำกัดที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้อาจจะไม่สามารถทำอย่างที่เราต้องการได้ทั้งหมด

น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีและบิดเบือนความจริงจำนวนมาก ยิ่งต้องรับแรงกดดันด้วยสติ และแก้ปัญหาต่อไปโดยไม่กล่าวโทษไปมา เพราะทุกการตัดสินใจผ่านคณะที่ปรึกษา และคณะรัฐมนตรี ร่วมตัดสินใจด้วย จึงอยากให้มีความหนักแน่น เพื่อพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็วที่สุด และนำความปกติสุขคืนสู่ประชาชน ไม่หวั่นไหวไปกับการกระพือข่าวสร้างความแตกแยกของผู้ไม่หวังดีต่อชาติ แต่หากเสียงสะท้อนนั้นสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top