Wednesday, 2 July 2025
Hard News Team

ปลัดสปน. ปรับแผน ให้ขรก.ทำเนียบ เวิร์ก ฟรอม โฮม ถึง 14 ก.ย.

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีรภัทร กล่าวว่า ในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรีนั้นตนได้มีคำสั่งขยายวันเวิร์ก ฟรอม โฮม 95% ถึงวันที่ 14 กันยายน 2564 โดยมอบหมายผู้บริหารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ทุกคน ดำเนินการภารกิจประจำที่สำคัญ ดังนี้ 1. ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามงานตามนโยบายรัฐบาล ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและประเด็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ผ่านระบบการประชุมทางไกล 2. คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทำงานตามกฎหมาย ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและที่เกี่ยวข้อง ประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล 3. รับเรื่องราวร้องทุกข์และข้อเสนอแนะผ่าน 4 ช่องทาง คือ โทรสายด่วน 1111 ตู้ ป.ณ.1111 เวปไซต์และแอพพลิเคชันไลน์ และประสานการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายธีรภัทร กล่าวว่า 4. ประสานและติดตามงานการคุ้มครองผู้บริโภค 5. ติดตามการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดีและการพัฒนาศูนย์ราชการสะดวกของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศผ่านระบบการประชุมทางไกล 6. ประสานงานทุกกระทรวงเพื่อสร้างการรับรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลและผลงานของทุกกระทรวง 7. ประสานงานจิตอาสาภาครัฐช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การพัฒนาพื้นที่และการสนับสนุนแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ 8. ติดตามสถานการณ์การเกิดสาธารณภัยและภัยพิบัติทั่วประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันเรื่องอุทกภัย และประสานสนับสนุนการแก้ไขปัญหา

นายธีรภัทร กล่าวว่า สำหรับภารกิจสนับสนุนการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ที่สำคัญ ดังนี้ 1. รับเรื่องร้องทุกข์และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโควิด-19 เสนอ ศบค. และ ศปค.ศบค. ทุกวัน 2. จัดถุงยังชีพและถุงกำลังใจ ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเป้าหมายสำคัญ 3. ประสานงานการแก้ไขปัญหาวิกฤตโควิด-19  ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 4. มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ สปน. ทุกคนติดตามข่าวสารจาก ศบค. และโฆษก ศบค. รวมทั้งให้ช่วยประชาสัมพันธ์ต่อทุกกลุ่มเป้าหมาย 5. ร่วมเป็นคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เช่น การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย และการรับบริจาคเงินและทรัพย์สินการแก้ไขปัญหาโควิด-19 เป็นต้น

นายธีรภัทร กล่าวว่า การทำงานการให้บริการและช่วยเหลือประชาชนยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเรื่องทั่วไป สามารถแก้ไขปัญหาได้มากกว่า 92% และเรื่องที่เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆตามข้อร้องเรียนได้มากกว่า  99.57% ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบข้อมูลและสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้งให้ช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนทุกเรื่องโดยเร็ว

ดีอีเอส เอาผิด พ.ร.บ.คอมฯ เฟซบุ๊ก-ยูทูป  ปล่อยเฟกนิวส์ อีก 8 URLs ในรอบสัปดาห์ ดร.เพียงดิน โดนด้วย

รายงานข่าวจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยรายงานการเอาผิดผู้เผยแพร่ข่าวปลอม ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ  ระหว่างวันที่ 23–29 สิงหาคม2564 ว่า มีการดำเนินการกับผู้กระทาความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯจํานวน 8 URLs แบ่งเป็นพบผู้กระทําผิดทาง Facebook จำนวน 6 URLs  อาทิ ป้าหนิง DK, Khuntong Faiyen, Pruay Saltihead, จอมไฟเย็น ปฏิกษัตริย์นิยม, ผู้กระทําความผิดทาง YouTube จํานวน 2 URLs อาทิ ดร. เพียงดิน รักไทย Official, ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ

ส่วนเรื่องที่ศาลรับคำร้องและอยู่ระหว่างการนัดไต่สวน จํานวน 3 คําร้อง รวม 90 URLs  โดยศาลได้ให้ผู้ถูกกล่าวหา ได้ชี้แจงแก้ต่างตามกระบวนการ ก่อนจะมีคําส่ังปิดก้ันหรือลบข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ต่อไป ทำให้ขณะนี้มีคำร้องที่อยู่ระหว่างการนัดไต่สวน สะสม 11 คำร้อง รวม 235 URLs ประกอบด้วย คําร้องที่ยื่นต่อศาลเดือนมีนาคม 2564 จํานวน 2 คําร้อง รวม 57 URLs โดยมีคําร้องที่ยื่นต่อศาลเดือนมิถุนายน 2564 จํานวน 1 คําร้อง รวม 3 URLs คําร้องที่ยื่นต่อศาลเดือนกรกฎาคม 2564 จํานวน 5 คําร้อง รวม 85 URLs
และคําร้องท่ียื่นต่อศาลเดือนสิงหาคม 2564 จํานวน 3 คําร้อง รวม 90 URLs
โดยศาลอาญา นัดพิจารณาคดี ช่วงเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับการตรวจสอบ ข่าวปลอมหรือข้อมูลเท็จ ในช่วงวันที่ 23 – 29 สิงหาคม 2564 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตรวจสอบข้อมูล จํานวน 148 เรื่อง ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว 76 เรื่อง  แบ่งเป็น ข่าวปลอม 17 เรื่อง ข่าวบิดเบือน 8 เรื่อง และข่าวจริง 51 เรื่อง โดยมีหมวดหมู่ท่ีพบเบาะแสข่าวปลอมมากที่สุด อันดับท่ี 1 หมวดหมู่สุขภาพ จํานวน 78 เรื่อง ทั้งหมด 136 ข้อความ อันดับที่ 2 หมวดหมู่นโยบายรัฐฯ จํานวน 68 เรื่อง ท้ังหมด 114 ข้อความ
และ อันดับที่ 3 หมวดหมู่เศรษฐกิจ จํานวน 2 เรื่อง ทั้งหมด 4 ข้อความ

นายกรัฐมนตรี นำถกครม. ก่อนรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันพรุ่งนี้  กำชับคณะรัฐมนตรี พร้อมตอบทุกประเด็น 

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference โดยการประชุมในวันนี้ขยับจากเดิมที่ต้องประชุมในวันอังคารที่ 31 ส.ค.เนื่องจากที่ประชุมวิปรัฐบาลร่วมกับวิปฝ่ายค้าน กำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวม 4 วัน โดยเริ่มวันที่ 31 ส.ค. – 3 ก.ย.และลงมติวันที่ 4 ก.ย. ดังนั้น จึงเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีจากวันอังคารที่ 31 ส.ค.มาเป็นวันจันทร์ที่ 30 ส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีจะกำชับในที่ประชุม ให้เตรียมความพร้อมในการเข้าประชุมสภาษและตอบทุกข้อสงสัยในการอภิปรายวันพรุ่งนี้(31 ส.ค.) หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าต้องสร้างความเข้าใจ การรับรู้ถึงการทำงานของรัฐบาล ให้กับประชาชน

นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.จะมีการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 สถานการณ์เตียง รวมไปถึงสถานการณ์การกระจายวัคซีน ต่อที่ประชุมครม.เพื่อรับทราบถึงทิศทางในปัจจุบัน  รวมไปถึงเรื่องที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบ จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หลังจากที่ประชุมศบค.ได้มีมติเห็นชอบผ่อนคลายมาตรการในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 กันยายนนี้

นอกจากนี้ที่ประชุมจะพิจารณากรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน หรือ ASEAN Investment FacilitationFramework : AIFF )  รวมไปถึงขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565 )  และการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ าตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2 / 2564

นายกฯ ย้ำ ศบค. ผ่อนคลายพื้นที่สีแดงเข้ม เดินทางข้ามจว.ได้ สั่งหน่วยงานเข้มมาตรการเฝ้าระวังโรค

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ได้ผ่อนคลายมาตรการบางส่วน ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้การขนส่งสาธารณะข้ามจังหวัด โดยเฉพาะการการเดินทางเข้า-ออกจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้มให้สามารถดำเนินการ โดยกำหนดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 75% ของความผู้โดยสาร ของพาหนะแต่ละประเภท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามกำกับดูแลการกลับมาเปิดให้บริการทั้งในส่วนของรถโดยสารสาธารณะ รถตู้ รวมถึงอากาศยาน ให้ดำเนินตามมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคที่ยังต้องเข้มงวด และต้องเป็นไปตามแนวปฏิบัติในข้อกำหนดออกตามความในมาตรา9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 32 ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2564  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเป็นต้องเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงเวลานี้ ก็ขอความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด ตามแนวทางการป้องกันโรคในทุกกรณีทุกโอกาส หรือ Universal Prevention และขอให้ติดตามข้อมูลก่อนการเดินทางว่าจังหวัดปลายทางที่จะเดินทางไปนั้นมีมาตรการป้องกันโรคอย่างไร ผู้เดินทางจากพื้นที่ต่างๆ จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร เนื่องจาก ศบค. ผ่อนคลายให้เกิดการเดินทางได้มากขึ้น แต่ทุกจังหวัดก็ยังมีมาตรการเฉพาะพื้นที่

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนประชาชนซึ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาตัวภูมิลำเนา ยังขอให้เป็นการเดินทางตามระบบในโครงการรับคนกลับบ้านหรือรับผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา โดยประสานงานผ่านสายด่วน สปสช. 1330 กด 15  ไม่เดินทางกลับเอง ทั้งนี้เพื่อการส่งตัวปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป 

“ศบค.เริ่มผ่อนคลายให้ระบบขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเข้มเริ่มกลับมาให้บริการได้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงหน่วยงานในพื้นที่ให้ร่วมกันติดตามดูแลการให้ดำเนินมาตรการต่างๆของผู้ให้บริการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับทั้งประชาชนและพนักงานผู้ให้บริการ และหากดำเนินการไปได้ราบรื่นก็จะนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการต่างๆที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไปได้” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 

“แรมโบ้”ลั่นรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีเพิ่ม “ เต้น-บก.ลายจุด"ข้อหาปลุกระดมป่วนเมืองสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ทำผิดพ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อและความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา116 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจัดชุมนุมคาร์ม็อบ คอลเอาท์ ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด พร้อมพวก พร้อมประกาศชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 2 ก.ย.ว่า ตนเองได้มอบให้ทนายความรวบรวมหลักฐานความผิดของนายณัฐวุฒินายสมบัติและพวก เพื่อเข้าแจ้งความเพิ่มเติมในหลายกระทง ความผิดต่างกรรมต่างวาระ เนื่องจากพบว่าการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมของนายณัฐวุฒิ ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณที่จัดกิจกรรมรวมถึงทำให้คนที่ใช้รถใช้ถนนได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อผิดกฎหมายอาญามาตรา 116และอื่นๆ ตลอดจนมวลชนที่ออกมาชุมนุมได้พกพาอาวุธปืน ระเบิดไฟ ระเบิดปิงปอง และอาวุธนานาชนิด ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง จะปฎิเสธเป็นคนละกลุ่มไม่ได้เด็ดขาด เพราะแกนนำทั้งสองเป็นคนประกาศเชิญชวนมวลชนออกมาลงถนนจะปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนการประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 2 กันยายนนั้น ขอให้นายณัฐวุฒิและพวกคิดด้วยว่าจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน โดยอย่าคิดเอาเองว่าคนทั้งประเทศเห็นใจและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายณัฐวุฒิและพวก เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แก้ไขปัญหาให้กับประเทศอยู่ ยิ่งในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังลดจำนวนลงและกำลังคลายล็อคหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจประเทศเดินไปได้ นายณัฐวุฒิไม่ควรจะนำประเด็นผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมาเป็นข้ออ้างในการที่จะขับไล่นายกฯ เพราะไม่มีใครอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น อีกทั้งนายกฯก็สามารถแก้ได้ดีทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ ถึงอย่างไรนายณัฐวุฒิก็ต้องแกล้งทำโง่ทำเป็นไม่รับรู้เพราะมีธงในใจรับงานจากนายใหญ่มา ใครก็อ่านทางออก

"การหลอกลวงชักจูงปลุกระดมป่วนเมืองให้คนลงมาสู่ถนน ทำผิดกฎหมายและหวังจะเหยียบข้ามศพประชาชนอีกครั้งเพื่อไปเอารางวัลตอบแทนจากนายใหญ่ ให้ตนเองร่ำรวย แกนนำประเภทนี้ ฝากประชาชนช่วยทบทวนและอย่าไปให้เครดิต ในสมองวันๆคิดแต่เผาบ้านเผาเมือง ทำลายประเทศ ไม่มีจิตสำนึกความรักบ้านรักเมือง ขอเพียงได้รับรางวัลจากนายใหญ่ สู้แล้วรวย สู้แล้วได้เป็นรัฐมนตรี ชีวิตทั้งชีวิตมีอาชีพทำได้แค่นี้ ทำอาชีพอื่นไม่เป็น สุดท้ายแห่งชีวิตคงมีจุดจบ คือไม่หนีออกนอกประเทศเหมือนแกนนำคนอื่นๆก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุกอีกรอบอย่างแน่นอน ขอประชาชนอย่าไปเป็นเครื่องมือให้กับคนเลวที่คิดแต่จะทำลายชาติบ้านเมือง ไม่มีจิตสำนึกที่จะคิดหวังดีต่อบ้านเมือง” นายเสกสกล กล่าว

'รศ.หริรักษ์' โพสต์ข้อความตั้งคำถาม ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจคดีผู้กำกับโจ้มากนัก ทั้งที่ไทยไม่ติด 1 ใน 10 อัตราการเสียชีวิตจากตำรวจ

แม้ข่าวฉาวของ 'อดีตผกก.โจ้' ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเป็นประเด็นที่สังคมต่างตามติด แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่า คือ เหตุการณ์นี้ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องน่าสนใจที่บรรดาสื่อยักษ์ระดับโลกหลาย ๆ สำนักต่างตามมาเกาะติดเรื่องนี้ 

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr เกี่ยวกับประเด็นนี้ให้ชวนคิดตามว่า...

สำนักข่าว The Standard รายงานว่าสำนักข่าวระดับโลกหลายแห่งคือ Washington Post, AP,  BBC, Bloomberg ต่างนำเสนอข่าวคดี "ผู้กำกับโจ้" และบอกว่าสำนักข่าว AP ชี้ว่า การใช้ความรุนแรงและทุจริตของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องที่พบได้ยากในไทย

เติมให้อีกก็ได้ว่า ยังมี The Guardian และสื่อญี่ปุ่นด้วยที่เสนอข่าวนี้ นับว่าเป็นการทำให้ตำรวจไทยเสียชื่อไปทั้งโลก

หากเข้าไปใน Google ใส่คำว่า "Police torture and kill" พบว่า มีเรื่องของ "ผู้กำกับโจ้" แห่งประเทศไทยขึ้นมาเป็นตับ แทบไม่มีประเทศอื่น 

>> คิดในมุมกลับ เราน่าจะตั้งคำถามเหมือนกันว่า เพราะอะไรที่สื่อระดับโลกเหล่านี้ให้ความสนใจขนาดนี้ กับเรื่องราวที่ตำรวจไทยคนหนึ่ง ทำให้พ่อค้ายาเสพติดที่ไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งในประเทศไทยต้องเสียชีวิตจากการทรมาน

>> ประหนึ่งว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน หรือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง จึงต้องป่าวประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ กระนั้นหรือ? 

ลองเข้าไปดูในเว็บที่ชื่อ World Population Review ดูว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะตำรวจในประเทศต่าง ๆ ในปี 2021 ปรากฏตัวเลข 10 อันดับแรกมีดังนี้... 

1.) Brazil – 6,160
2.) Venezuela – 5,287
3.) Philippines – 3,451
4.) India - 1,731
5.) Syria – 1,497
6.) United States – 1,099
7.ฉ Nigeria – 841
8.) El Salvador - 609
9.) Afghanistan – 606
10.) Pakistan – 495                           

ประเทศไทยไม่ติด 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ แล้วทำไม เรื่องนี้จึงต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก? 

สังเกตว่า สื่อระดับโลกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสื่ออเมริกัน ถ้าไม่ใช่อเมริกัน ก็เป็นสื่อของประเทศที่จับมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเหนียวแน่น เช่น อังกฤษและญี่ปุ่น ไม่เห็นว่าสื่อของจีนและสื่อของรัสเซียให้ความสนใจกับข่าวนี้

เช่นเดียวกับสื่อไทยที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล สื่อระดับโลกเหล่านี้ มักชอบลงเรื่องที่เป็นลบต่อประเทศไทย สำนักข่าวของไทยก็ปั่นกระแสกันเต็มที่ ไม่ทราบว่าต้องการเปิดช่องให้มีการโยงเรื่องลบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของรัฐบาลไทยหรือไม่ ซึ่งขณะนี้นักการเมืองฝ่ายค้านก็กำลังทำเช่นนี้อยู่อย่างแข็งขัน 

ปรากฏการณ์นี้ ยิ่งทำให้น่าเชื่อยิ่งขึ้นว่า สหรัฐอเมริกาได้เข้าแทรกแซงการเมืองไทยมานานแล้ว แน่นอนว่า เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ หรือ National Interest ของสหรัฐอเมริกาเอง ไม่ใช่ทำเพื่อช่วยให้ประเทศไทยมีสังคมที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

โปรดใช้วิจารณญานของท่านเอง อย่าได้รีบเชื่อผมนะครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4713151062028745&id=100000016923106


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

สศช. แนะรัฐทบทวนมาตรการช่วยค่าไฟบ้านเช่า-หอพัก ไม่ถูกเอาเปรียบ 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่ามีผู้บริโภคจำนวนมากที่พักอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ หอพัก ห้องเช่าและบ้านเช่า ได้ร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ว่าถูกเรียกเก็บค่าไฟฟ้าและน้ำประปาในอัตราที่สูงเกินจริง ซึ่งสศช. เห็นว่า กรณีนี้ภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือเร่งด่วน โดยทบทวนมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าทั้งหมด เพื่อให้ได้รับประโยชน์เท่าเทียมกับกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทบ้านหรือคอนโดมิเนียม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออกมาตรการมากำกับดูแล โดยเฉพาะกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าของผู้เช่า อย่างจริงจัง

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ อาจกำหนดให้ผู้ให้เช่าสามารถเรียกเก็บค่าไฟฟ้าได้ในอัตราที่ไม่เกินกว่าที่ผู้ให้เช่าจ่ายจริงให้กับผู้ให้บริการ ไฟฟ้า และแยกเก็บค่าส่วนกลางหรือค่าสาธารณูปโภคอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการคำนวณเพิ่มตามระดับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องหารือกัน เพื่อให้มีข้อกฎหมายที่บังคับใช้ได้จริง สามารถให้ความเป็นธรรมกับผู้เช่าได้โดยที่ไม่กระทบกับผู้ให้เช่ามากนัก รวมถึงจะต้องมีกลไกตรวจสอบความเหมาะสมของค่าสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อความเป็นธรรมต่อผู้เช่า 

ขณะเดียวกัน ผู้เช่าเองยังสามารถตรวจสอบและรักษาประโยชน์ของตัวเองได้ในเบื้องต้น โดยการตรวจสอบเลขใช้ไฟฟ้าที่มีการจดครั้งก่อน และเลขใช้ไฟฟ้าจดครั้งหลังในใบแจ้งหนี้กับเลขบนมิเตอร์ไฟฟ้าว่าตัวเลขนั้นมีความสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงหากพบผู้ให้เช่ากำหนดอัตราค่าสาธารณูปโภคที่สูงเกินไป ก็สามารถร้องเรียนไปยังสคบ. ได้ทันที 

“ปชป.” นัดถกส.ส. 31 ส.ค.ก่อนศึกซักฟอกจะเริ่มขึ้น มั่นใจไม่มีอะไรน่าห่วง เผย”เฉลิมชัย”ยันตอบข้อกล่าวหาได้ เพราะหยึดหลักทำงานเพื่อประเทศ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล ว่า ตนได้นัดประชุม ส.ส. ของพรรคในวันที่ 31 ส.ค. เวลา08.30 น. ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มในเวลา 09.30 น. เพื่อสรุปการเตรียมความพร้อมของพรรคอีกครั้ง ทั้งนี้เมื่อดูเนื้อหาที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค ถูกอภิปรายแล้ว ไม่น่ามีอะไรมาก ซึ่งนายเฉลิมชัยยืนยันว่าสามารถตอบชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้เพราะยึดหลักการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มีเป้าหมายให้ประชาชนได้ประโยชน์  ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงมั่นใจว่าจะสามารถนำเสนอข้อมูลต่างๆ มาทำให้ ส.ส. ในสภาฯ และประชาชนที่ติดตามการอภิปราย เข้าใจได้อย่างชัดเจน และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจาก ส.ส. เสียงข้างมาก หลังจากได้ฟังคำชี้แจงต่างๆ แล้ว 

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนผลการลงมติว่าใครจะได้รับความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจด้วยคะแนนเสียงเท่าไหร่นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะโดยทั่วไปของการลงมติไม่ไว้วางใจจากการอภิปรายที่ผ่านมาในอดีต เสียงไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านมักได้เสียงไม่พอเอาชนะเสียงของฝ่ายรัฐบาล แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ฝ่ายค้านทำงานสมศักดิ์ศรี มีข้อมูลเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นตามข้อกล่าวหาหรือไม่ และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะสามารถชี้แจงแสดงเหตุผลหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้อย่างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ไม่ต้องตกใจ..!!! ทบ. แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ตั้งแต่ 30 ส.ค. – 3 ก.ย. 64

กองทัพบก ได้แจ้งการเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 รักษาพระองค์ เพื่อออกทำการฝึกเป็นหน่วยกองร้อยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกศูนย์ฝึกทางยุทธวิธีกองทัพบก อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19) ในวันที่ 30 ส.ค. 64 เวลา 05.00 น. 

เคลื่อนย้ายทางรถไฟจาก กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 รักษาพระองค์ – สถานีรถไฟย่านสินค้าพหลโยธิน – สถานีรถไฟบ้านป่าหวาย ปลายทาง พื้นที่ฝึกศูนย์ฝึกทางยุทธวิธีกองทัพบก อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี และเคลื่อนย้ายกลับ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 รักษาพระองค์ ตามเส้นทางเดิม ในวันที่ 3 ก.ย. 64 เวลา 20.00 น.จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบ และขออภัยในความไม่สะดวก

รมว.เฮ้ง ติดตาม แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ และการฉีดวัคซีนผู้ประกันตนในสถานประกอบการ จ.ชลบุรี 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ (Factory Sandbox) พร้อมตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนและให้กำลังใจแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัท เอดับเบิ้ลยู (ไทยแลนด์) จำกัด ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และบริษัท แวนด้าแพค จำกัด ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายภัครธรณ์  เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายยูกิฮิโร โทริยามา ประธานกรรมการบริษัทริโก้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด นายวราวงศ์ ตั้งกิจเวทย์ ประธานกรรมการบริษัท แวนด้าแพค จำกัด พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

โดย นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารของท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ให้ความห่วงใยและติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงทำงานบูรณาการร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการดูแลคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ มุ่งเป้าหมายที่โรงงานภาคการผลิตส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกหลักที่พยุงเศรษฐกิจประเทศ สำหรับจังหวัดชลบุรี มีสถานประกอบการ 11 แห่งที่ดำเนินโครงการแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ มีผู้ประกันตน 12,836 คน โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดชลบุรี สาธารณสุขชลบุรี และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ได้ร่วมดำเนินการตรวจสถานประกอบกิจการดำเนินการตรวจ RT – PCR แล้ว และในวันนี้ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอดับเบิ้ลยู (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท แวนด้าแพค จำกัด 

จากนั้น รมว.แรงงาน และคณะ ได้พบปะพูดคุยกับสมาคมนักลงทุนชาวญี่ปุ่น (CRJA) ซึ่งทางสมาคมได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ได้ดำเนินการเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ผู้ประกันตน เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยมีมาตรการในการดูแลคนงานของบริษัทเป็นอย่างดี รวมทั้งมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แรงงานและทำให้ภาคธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ 

“ผมขอชื่นชมผู้บริหารของบริษัท เอดับเบิ้ลยู (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท แวนด้าแพค จำกัด ที่ได้ดำเนินกิจกรรมของบริษัทตามแนวทางแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ ซึ่งมีหัวใจหลัก คือ ตรวจ รักษา ควบคุม และดูแล โดยดำเนินการในลักษณะ “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” คือ การดำเนินการควบคู่กันระหว่าง “สาธารณสุข” และ “เศรษฐกิจ” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พนักงานและสร้างความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ นับเป็นการช่วยประเทศชาติให้ก้าวพ้นวิกฤตโควิดนี้ไปด้วยกัน” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด 

สำหรับโครงการแฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ เป็นมาตรการการป้องการและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน ในพื้นที่เฉพาะ ร่วมมือดำเนินการโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหัวใจหลักในการดำเนินงาน ตรวจ รักษา ควบคุม และดูแล ให้กับผู้ใช้แรงงานในโรงงานภาคการผลิตส่งออกหลักขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกที่พยุงเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งมี 4 sector ได้แก่ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับโรงงานขนาดใหญ่ที่มีผู้ประกันตน 500 คนขึ้นไป โดยมีโครงการนำร่องการป้องการและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) ในเฟสแรกดำเนินการไปแล้วใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี สำหรับในเฟส 2 จะขยายไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2564 ที่จะถึงนี้ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top