Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

ททท. ประกาศผลผู้ชนะ ‘TAT Travel Tech Startup 2024’ ทีม HAUP คว้าชัย พร้อมได้อีก 11 ทีม หัวกะทิ Travel Tech

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศผลผู้ชนะโครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 กิจกรรมบ่มเพาะและโจทย์ด้านการท่องเที่ยวสุดท้าทาย ภายใต้แนวคิด WORLD & ME โดยทีมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่มีแผนธุรกิจที่โดดเด่นและได้รับคัดเลือกคะแนนสูงสุด

โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ทีม HAUP  / ทีม CERO / ทีม Carbonwize จากทั้งหมด 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. มอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า โครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 สะท้อนความตั้งใจของ ททท. ในการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย หรือ สตาร์ทอัพ ผ่านการบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

รวมทั้งสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าคุณภาพ และมาตรฐานแก่สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นสร้างความประทับใจในทุก Touch Point ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดโลกแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในอนาคต

การประกวด TAT Travel Tech Startup ครั้งนี้ กำหนดภายใต้แนวคิด WORLD & ME โลกและเรา ท่องเที่ยวแบบห่วงใย ใส่ใจ ให้ทั้งโลกยังสวยงามและธุรกิจของเราเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน โดยอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมที่ทำได้จริง ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยผู้เข้าร่วมประกวดจะมีโอกาสในการร่วมงานกับ ททท. และพันธมิตรที่ร่วมดำเนินโครงการฯ ในการนำเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว มาใช้รองรับเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในตลาดท่องเที่ยวที่เหมาะสม ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจของ Startup อีกทางหนึ่ง โดยการจัดแข่งขันในรอบสุดท้ายและมอบรางวัล ในงาน Opportunity Day  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

สำหรับทีม Startup ที่คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวไปครอง โดยนายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ททท. เป็นประธานมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม HAUP รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม CERO รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ทีม Carbonwize เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร 

ซึ่งผู้ชนะทั้ง 3 ทีม ยังได้รับสิทธิ์ประโยชน์ต่าง ๆ จาก พันธมิตรในโครงการ อาทิ โอกาสเข้าร่วมงาน Startup Showcase ที่งาน Startup Thailand Event 2025 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ NIA 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากพันธมิตรที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนโครงการนี้ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ The States Times เข้าร่วมแสดงความยินดี พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจในโครงการ Travel Tech Startup  สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขัน การทำกิจกรรมต่างๆของโครงการ ได้ที่ Page Facebook: TAT Startup Thailand และ www.TATStartup.com

สื่อนอกปูด รมว.กลาโหมจีนถูกสอบทุจริต ปักกิ่งกวาดล้างทุจริตครั้งใหญ่สะเทือนนายพล

(27 พ.ย.67) หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า พลเรือเอก ต่ง จวิน รัฐมนตรีกลาโหมของจีน กำลังถูกสอบสวนในปฏิบัติการกวาดล้างคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อนายทหารระดับสูงในกองทัพจีน

รายงานดังกล่าวอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐทั้งในอดีตและปัจจุบัน ระบุว่า พลเรือเอกต่ง อายุประมาณ 62-63 ปี เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนที่ 3 ของจีนที่ถูกสอบสวนในคดีทุจริต โดยเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2566 ต่อจากพลเอก หลี่ ซ่างฝู ซึ่งดำรงตำแหน่งได้เพียง 7 เดือน อย่างไรก็ตาม พลเรือเอกต่งไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีในการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม และไม่ได้รับตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารกลาง (CMC) ซึ่งเป็นองค์กรทหารสูงสุดของจีน โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประธาน

ทั้งนี้ การประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งโดยปกติรัฐมนตรีกลาโหมจะต้องเป็นสมาชิกทั้งคณะรัฐมนตรีและ CMC แต่พลเรือเอกต่งไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว

สำหรับรัฐมนตรีกลาโหมจีน 2 คนก่อนหน้า พลเรือเอกต่ง ได้แก่ พลเอกหลี่ ซ่างฝู วัย 66 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม-ตุลาคม 2566 และพลเอก เว่ย เฟิ่งเหอ วัย 70 ปี ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมีนาคม 2561-มีนาคม 2566 ทั้งคู่ถูกถอดยศและขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนมิถุนายน ด้วยข้อหาฝ่าฝืนวินัยร้ายแรง

พรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุในขณะนั้นว่า การกระทำของทั้งสองเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของพรรคและ CMC ทำให้บรรยากาศทางการเมืองในกองทัพเสียหาย และสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของผู้นำอาวุโสในกองทัพ

อย่างไรก็ตาม สื่อในภูมิภาคเอเชียที่คอยเกาะติดรายงานความเคลื่อนไหวของจีนแผ่นดินใหญ่ อย่าง เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หรือ สำนักข่าวนิเคอิ ยังไม่มีรายงานข่าวดังกล่าวว่าจีนกำลังกวาดล้างนายพลในกองทัพตามรายงานข้างต้น

“แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับ ไม่ชอบก็เลื่อนผ่าน บล็อกทุกคนที่ด่าครับ”

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ว่า วันนี้แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ
ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับไม่ชอบก็เลื่อนผ่านครับบล็อกทุกคนที่ด่าครับ

พร้อมกับโพสต์ข้อความในช่องคอมเมนท์ต่ออีกว่า ทุกคนที่ไม่ชอบผมก็เลื่อนผ่านไม่ต้องเข้ามาดูครับเพจทนายคลายทุกข์เป็นเพจให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย

‘ดร.สุวินัย’ ซูฮก 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ไม่หลงในเงินตรา หลังบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดให้การกุศล

(27 พ.ย. 67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าบั้นปลายของ "เทพสมบัติ" อันดับหนึ่งของโลก

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ปิดฉากอาณาจักรความมั่งคั่งของเขา ด้วยการ บริจาคเงินทั้งหมดของเขาให้การกุศล โดยเขาได้บริจาคเงินให้การกุศลเพิ่มอีก 1.1 พันล้านดอลลาร์ และตั้งทรัสตี 3 คนรับไม้ต่อจากลูกทั้ง 3 เพื่อบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเขาไม่วางใจคนรุ่นต่อไปว่าจะบริหารสินทรัพย์ได้ดีแค่ไหน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างจากมหาเศรษฐีหลายคน ด้วยการตัดสินใจ ไม่สร้างอาณาจักรความมั่งคั่ง ให้กับทายาทของตนเอง

เพราะแทนที่จะส่งต่อทรัพย์สินมหาศาลให้ลูกหลานโดยตรง บัฟเฟตต์กลับเลือกที่จะแต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คนเพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกนำไปใช้เพื่อการกุศลอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง หลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิตลง พร้อมกับบริจาคหุ้น Berkshire Hathaway เพิ่มอีก 1,100 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิทั้ง 4 แห่งของครอบครัว เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเขา

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้ให้สัญญามาโดยตลอดว่าจะบริจาคเงิน 99% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ได้มาตั้งแต่ปี 1965 แทนที่จะทิ้งเป็นมรดกให้กับลูกทั้ง 3 คน เพราะเขามองว่ามรดกอาจทำให้ขาดแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง และสร้างความแตกแยกในครอบครัว 

นอกจากนี้ การที่ทรัพย์สินมหาศาลตกทอดไปยังคนรุ่นหลัง อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางสังคมได้เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนรุ่นถัดไปจะเลือกกระจายทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร

บัฟเฟตต์ไม่ได้ต้องการสร้างอาณาจักรธุรกิจมอบให้ลูกหลาน แต่เลือกที่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับการกุศลแทน เนื่องจากกังวลว่ารุ่นต่อ ๆ ไปอาจไม่สามารถบริหารจัดการความมั่งคั่งมหาศาลได้อย่างเหมาะสม

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็น "เทพสมบัติ" โดยแท้ 
คือเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตที่เหนือเงินตรา เป็นนายของเงินตรา 
โดยที่เงินตราเป็นข้ารับใช้ที่ดีของเขาเท่านั้น
คนแบบนี้น่าจะมีแค่หนึ่งในพันล้าน
ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเป็น "ผู้ชนะถาวร" อย่างชนิดอยู่เหนือเกมการเงิน
แต่กลับกินอยู่อย่างสมถะ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ติดหรู ไม่อวดรวย ไม่ฟุ้งเฟ้อ 
เพราะมีปัญญาญาณที่มองทะลุถึง 'มายาของเงินตรา'
ภายหลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว กลับบริจาคเงินเกือบทั้งหมด (99%) ให้กับการกุศล เพื่อบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่ง

นี่คือการใช้ชีวิตดุจ "เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง" อย่างแท้จริง
เพราะกระทำเช่นนี้ เรื่องราวของเขาจักเป็นตำนานตลอดไปอีกนานเท่านาน

‘พีระพันธุ์’ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ลดค่าไฟลงจาก 4.18 บาท เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย

(27 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. ซึ่งจะปรับลดค่าไฟในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก และเหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่ น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลักขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว

ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

'ตชด.ภาค 4' ระดมกำลังลงพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ ช่วยเหลือชาวบ้าน ขนของหนีน้ำท่วมโรงพยาบาล 

(27 พ.ย.67) พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( รอง ผบช.ตชด. ) ในฐานะ โฆษก บช.ตชด. เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้น้ำท่วมภาคใต้ฝั่งตะวันออกหลายจังหวัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) ได้สั่งการตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ทุกกองร้อยระดมกำลังออกช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เข้าถึงยาก มีน้ำท่วมสูง 

โฆษก บช.ตชด.กล่าวด้วยว่า บช.ตชด.ได้กำชับ ให้ ตชด. พร้อมนำยานพาหนะ เรือยาง เรือท้องแบน ช่วยอพยพประชาชาชนโดยเฉพาะผู้ป่วย คนชรา และเด็ก ออกไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง พร้อมเข้าสนับสนุนช่วยเหลือในพื้นที่หน่วยราชการสำคัญ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น รวมถึงให้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และเข้าช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองร้อย ตชด.446 นำโดยพ.ต.ท.อเนชา ตาวัน ผบ.ร้อย ตชด.446 ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสำรวจระดับน้ำในพื้นที่ อำเภอ.แว้ง จว.นราธิวาส ช่วยขนสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นที่สูง

ช่วงเช้าวันนี้ ( 27 พฤศจิกายน 2567 ) พ.ต.อ.มานิต นาโควงศ์ ผกก.ตชด.44 มอบหมายให้ พ.ต.ต.เศรษฐา แสงโพธิ์ดา สว.กก.ตชด.44 จัดกำลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมือง จว.ยะลา โดยเข้าอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และยกสิ่งของไว้ที่สูงให้กับประชาชนที่น้ำท่วมบ้านเรือน

ส่วนในพื้นที่ จว.สงขลา เช้าวันเดียวกัน พ.ต.ท.ภัคพล คุ้มวงศ์ ผบ.ร้อย ตชด.437 ร.ต.อ.ชวิศา บุญมี หน.ชป.ขล.ร้อย ตชด.437 ได้สั่งการให้ชุดจิตอาสาของ กองร้อย ตชด.437 เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม บ้านน้ำลัด ต.สำนักแต้ว อ.สะดา จว.สงขลา 

ด้าน พ.ต.ท.วีระเทพ หลางหวอด รอง ผบ.ฉก.ตชด.43 (1),ร.ต.อ.หญิง สุรัตน์ ฤทธิรัตน์  หน.ฝกร.ฉก.ตชด.43 นำกำลังพร้อมด้วยนางอุบล อุบลมณี ประธานโฆษกชาวบ้านจังหวัดสงขลาและชาวบ้านในพื้นที่เข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉาง อ.นาทวี จว.สงขลา ช่วยขนของขึ้นชั้น 2 เนื่องจากน้ำท่วมในบริเวณชั้น 1

และในพื้นที่ จว.สตูล พ.ต.ท.คำนึง อุ่นปลอด ผบ.ร้อย ตชด.436 มอบหมายให้ ร.ต.อ.อดิเทพ พัดลม ผบ.มว.ฯ/ หน.ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกำลังพล ออกแจ้งเตือนประชาชน และช่วยยกของขึ้นที่สูง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น

วิจัยเผยมนุษย์แก่ตัวแบบไร้กฎเกณฑ์ อวัยวะแต่ละส่วนเสื่อมสภาพไม่พร้อมกัน

(27 พ.ย. 67) ซินหัว เผยว่าคณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดค้นพบว่าความแก่ตัว (aging) เกิดขึ้นอย่างไร้กฎเกณฑ์มากกว่าที่คาดกันไว้มาก โดยอาจเริ่มต้นจากส่วนต่างๆ ของร่างกายในเวลาแตกต่างกันไป และอาจเกิดมาเนิ่นนานก่อนที่เจ้าของร่างกายจะทันคิดเรื่องความแก่ตัวเสียอีก

“ความแก่ตัวยังเป็นเรื่องปัจเจก มันเกิดขึ้นในระดับโมเลกุลภายในตัวเราแต่ละคน และเราอาจควบคุมกระบวนการนี้ได้เพียงบางส่วน” รายงานระบุ พร้อมเสริมว่าเมื่อเรารู้ว่าอวัยวะแก่ตัวลงอย่างไร เราอาจสามารถหยุดยั้งหรือเร่งกระบวนการนั้นได้ผ่านวิถีการดำเนินชีวิต

คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ชีววิทยาโมเลกุลขั้นสูง พันธุศาสตร์ และคลังข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดจากคน จนสามารถบอกได้ว่าผู้คนบางส่วนมี “หัวใจแก่” ที่หมายความว่าหัวใจของพวกเขาแก่กว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายเป็นอย่างมาก หรือมี “สมองแก่” หรือ “สมองอ่อนวัย” ซึ่งหมายถึงมีสมองค่อนข้างอ่อนวัยกว่าอวัยวะอื่นในร่างกาย และอาจมี “กล้ามเนื้อแก่” หรือ “ตับอ่อนวัย” ซึ่งอวัยวะแทบทุกส่วนสามารถเป็นอวัยวะแรกที่ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณของความแก่ตัวเร็วกว่าปกติได้

รายงานชี้ว่าผลสืบเนื่องจากความแก่ตัวต่อสุขภาพมนุษย์นั้นมีอยู่จำนวนมาก โดยในผลการศึกษาเกี่ยวกับการแก่ตัวลงของอวัยวะในมนุษย์ครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่ง คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่าผู้มีหัวใจแก่มีแนวโน้มเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าคนอื่น ขณะผู้มีสมองอ่อนวัยมีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมช่วงบั้นปลายชีวิตน้อยกว่าผู้มีสมองปกติหรือสมองแก่ประมาณร้อยละ 80

ด้านแฮมิลตัน เซ-ฮวี โอ นักวิจัยหลังปริญญาเอก ผู้นำการศึกษาวิจัยระหว่างศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผลลัพธ์ข้างต้นตอกย้ำว่า “ความแก่ตัวเป็นเรื่องซับซ้อนเพียงใด” และถือเป็นหนึ่งในข้อสรุปแรกๆ ที่เป็นไปได้จากในบรรดาศาสตร์ด้านการแก่ตัวลงของมนุษย์ที่มักถูกพูดถึงแบบเกินจริงไปมาก

ดาต้าเซ็นเตอร์-โลจิสติกส์ โตรับตลาดอีวีในไทย ส่วนนิคมอุตฯได้อานิสงส์ 'ทรัมป์ 2.0' ดันราคาที่ดินพุ่ง

(27 พ.ย.67) เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเผยความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่เช่าที่ยอดเยี่ยม โดยคาดว่าผลรวมพื้นที่เช่าของบริษัทในสิ้นปีนี้จะถึง 7.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้เปิดมุมมองในแง่ของเทรนด์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยระบุว่า ตลาดอาคารสำนักงานไม่น่ากังวล แต่กำลังเห็นการย้ายจากอาคารเก่าที่คุณภาพต่ำไปยังอาคารใหม่ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ส่วนในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนา ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แม้กระแสความต้องการจะร้อนแรงก็ตาม

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคแรก ๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่มีการใช้งานแบบเดี่ยว ๆ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่นำอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีความทันสมัย ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายรูปแบบของผู้เช่า

สำหรับตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ นายไมเคิลกล่าวว่า อาคารเก่าในกรุงเทพฯ จำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับอาคารใหม่ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้เจ้าของอาคารเก่าต้องทำการปรับปรุงหรืออัปเกรด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งเทรนด์ Flight to Quality หรือการย้ายไปยังอาคารที่มีคุณภาพดีกว่า จะยังคงเป็นกระแสที่แข็งแกร่งในตลอดปี 2024 และปี 2025

นายไมเคิลเสริมว่า แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2024 จะมีความท้าทาย แต่ตลาดอาคารสำนักงานกลับคึกคัก โดยหลายบริษัทเริ่มย้ายจากอาคารเก่ามายังอาคารใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า ซึ่งแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2025 เนื่องจากมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัวในปีหน้า และหลายบริษัทเตรียมย้ายออฟฟิศ

"แม้ราคาค่าเช่าจะสูงขึ้น แต่เทรนด์ Flight to Quality จะยังคงมีความสำคัญอย่างมาก โดยบริษัทต่าง ๆ ยังต้องการย้ายออกจากอาคารเก่าไปยังออฟฟิศใหม่ที่มีมาตรฐานสูง การเติบโตของอาคารสำนักงานในประเทศไทยจะยังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง" 

นอกจากนี้นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มาแรงในปี 2568 ว่า ในปีหน้าต้องยกให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการที่มีนักลงทุนเข้ามาดูทำเลในเขตนิคมขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่ EEC พื้นที่ย่านสมุทรปราการ รวมถึงตอนเหนือของกรุงเทพฯ 

ส่วนธุรกิจรองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอานิสงส์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งมีความต้องการใช้พื้นที่ตั้งแต่ 20 ถึง 1,000 ไร่

นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึง ผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะทำให้หลายภาคอุตสาหกรรมพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย คาดว่าจะส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของไทยปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

อีกสองธุรกิจที่มีแนวโน้มน่าจับตาคือ ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจโรงแรมได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งเปิดใหม่และซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะที่อาคารสำนักงานให้เช่า จะเติบโตจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ที่มีความทันสมัยในพื้นที่ใจกลางกรุง

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตลาดเช่า เนื่องจากปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านยังสูง และเทรนด์คนรุ่นใหม่สนใจเช่ามากกว่าซื้อ คาดว่าจะดันราคาเช่าคอนโดในเขตกรุงเทพสูงอีก 40%

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' นำทีมพบ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ สรุปผลสอบ ‘ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.’ พบหลายรายส่อทุจริต

(26 พ.ย. 67) นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นำ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กระทรวงพลังงาน กรณีโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่าสืบสวนสอบสวนเข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.)

โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวดำเนินการตามสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนทุจริตโครงการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยมูลค่าตามสัญญาที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกือบ 1 พันล้านบาท ซึ่งผลการตรวจสอบพบมีบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดหลายรายโดยเอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะได้มอบให้กับ กฟผ.ในฐานะผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวภายหลังเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า “ในวันนี้ท่าน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผมและคณะทำงานมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสอบกรณีปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ. หรือโครงการปลูกป่าทิพย์ กฟผ. ซึ่งวันนี้เป็นการนำเรียนให้ท่านรองนายกฯ ทราบเป็นสรุปผลการตรวจสอบที่คณะอนุกรรมการและคณะทำงานได้ดำเนินการ โดยตรวจสอบจากเอกสารโครงการ TOR สัญญาจ้าง และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ซึ่งผลการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถระบุบุคคลและกลุ่มบุคคลทีเข้าข่ายกระทำความผิดที่ต้องให้ กฟผ. ไปดำเนินการต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ท่านรองนายกฯได้ชื่นชมและขอบคุณคณะทำงานด้วย”

สำหรับโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) นั้น เป็นโครงการอันเนื่องมาจากนโยบายการลดคาร์บอนจากการผลิตพลังงานพลังงานไฟฟ้า โดยการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศปีละ 1 แสนไร่ ระยะเวลา 10 ปีรวม 1 ล้านไร่ โดยนอกจากจะเป็นโครงการปลูกป่าแล้วยังต้องมีการบำรุงรักษาป่าต่อเนื่องไปอีก 9 ปีตามโครงการซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณที่สูงโดยโครงการเริ่มดำเนินการในปี 2565 และ 2566 ปัจจุบันโครงการได้ถูกระงับอันเนื่องมาจากการร้องเรียนดังกล่าว

เผยมิสไซล์ Oreshnik บึ้มฐานสหรัฐในอาหรับเพียง 15 นาที ยิงถึงฐานเพิร์ลฮาร์เบอร์-แผ่นดินใหญ่สหรัฐใน 25 นาที

(27 พ.ย.67) สำนักข่าวสปุตนิกเปิดเผยว่า หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เปิดตัวขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ 'Oreshnik' ที่ใช้ตอบโต้ยูเครน ซึ่งก่อนหน้านั้นยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธ ATACMS จากสหรัฐโจมตีพื้นที่รัสเซีย ชาตินาโต้เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของขีปนาวุธดังกล่าว  

Oreshnik มีพิสัยการยิงครอบคลุมทั่วยุโรปและยังสามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐในตะวันออกกลางได้ในเวลาเพียง 15 นาที นักวิเคราะห์รัสเซียเผยว่า ขีปนาวุธนี้สามารถเข้าถึงฐานทัพในตะวันออกกลาง แปซิฟิก อลาสกา และไซโลขีปนาวุธในสหรัฐได้อย่างรวดเร็ว  

หากยิงจากฐาน Kapustin Yar ในแคว้นอัสตราฮัน ทางตอนใต้ของรัสเซีย จะสามารถโจมตี ฐานทัพสหรัฐในคูเวต ระยะทาง 2,100 กม. ใน 11 นาที  ฐานทัพเรือที่ 5 ในบาห์เรน ระยะทาง 2,500 กม. ใน 12 นาที  ฐานทัพอากาศในกาตาร์ ระยะทาง 2,650 กม. ใน 13 นาที ฐานทัพในจีบูติ แอฟริกา ระยะทาง 4,100 กม. ใน 20 นาที  

สำหรับแถบแปซิฟิกและอลาสกา หากยิงจาก Kamchatka ในไซบีเรีย จะโจมตีฐานทัพในอลาสกา ระยะทาง 2,400 กม. ใน 12 นาที  เกาะกวม ระยะทาง 4,500 กม. ใน 22 นาที เพิร์ลฮาร์เบอร์ ระยะทาง 5,100 กม. ใน 25 นาที  

ขณะที่จากฐาน Chukotka ในรัสเซีย ขีปนาวุธ Oreshnik สามารถยิงถึง ฐานปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปในมอนทานา ระยะทาง 4,700 กม. ใน 23 นาที ไซโลขีปนาวุธในนอร์ทดาโกตา ระยะทาง 4,900 กม. ใน 24 นาที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top