Thursday, 15 May 2025
Hard News Team

คปภ. คลอด 4 มาตรการแก้ปัญหากันบริษัทเครมประกันโควิดช้า

สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่มีบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดล่าช้า คปภ. ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ล่าสุดได้กำหนดมาตรการเร่งด่วน 4 มาตรการเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหา คือ

1. เร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย กรณีบริษัทกระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดฐานประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2549 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 20,000 บาท โดยจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ในวันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 และหากพบว่าบริษัทประกันภัยแห่งใด จงใจฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ก็จะยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ 

2. ให้บริษัทฯ เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด-19 ให้แล้วเสร็จ โดยในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เกี่ยวข้องของบริษัทฯ มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่มีการร้องเรียนในแต่ละกรณีเพื่อให้สามารถยุติเรื่องร้องเรียนโดยเร็ว

3. ให้บริษัทฯ ปรับปรุงหน่วยงานรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 โดยเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัย และให้นำระบบออนไลน์มาใช้ในการบริหารจัดการการรับเรื่องร้องเรียนและการติดตามความคืบหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาที่บริษัทฯ รวมทั้งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้เอาประกันภัย 

4. ให้บริษัทฯ เร่งปรับปรุงและเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้เอาประกันภัยให้ถูกต้องและชัดเจน 

ทั้งนี้ คปภ. จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับทุกบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมทั้งจะติดตามและดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้บริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และแก้ไขกรณีการจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเชื่อว่าปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้าจะคลี่คลายโดยเร็ว

รัฐบาลเล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ล็อตใหม่เริ่มต.ค.นี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ และสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือน ก.ย.นี้อย่างใกล้ชิด หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังทรงตัว และไม่มีคลัสเตอร์ใหม่ ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากเพิ่มอีก ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ เบื้องต้นอาจจะเริ่มในเดือน ต.ค.เป็นต้นไป โดยจะใช้ทั้งนโยบายใหม่ และนโยบายเดิม เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ยังมีอยู่และมีการขยายระยะเวลาออกไปก็ยังเดินหน้าต่อ

“นโยบายทุกอย่างอยู่ในลิ้นชักอยู่แล้วรอเวลาที่เหมาะสมที่จะเอาขึ้นมาใช้ได้ หากสถานการณ์ในตอนนี้เป็นไปด้วยดี ประชาชนดูแลตัวเองดี ก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนเศรษฐกิจในปีนี้จะยังขยายตัวได้หรือไม่นั้น ประเมินดูแล้ว ก็น่าจะยังขยายตัวได้ เพราะยังมีบางส่วนของเศรษฐกิจที่เติบโตได้อยู่”

คอลเกต สนับสนุนผลิตภัณฑ์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ผ่านโครงการ “ต้องรอด” โดยกลุ่มอาสา Up for Thai เพื่อส่งมอบแก่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม

โครงการ “ต้องรอด” โดยกลุ่มอาสา Up for Thai ยังคงดำเนินการเปิดรับบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคสำหรับโครงการเฉพาะกิจ ​#missionบุษราคัม75 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัม บุคลากรทางการแพทย์และอาสา ให้การดำเนินการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่นเป็นระยะเวลา 75 วัน ก่อนจะมีการย้ายไปยังสถานที่ใหม่ 

สำหรับในโอกาสนี้​ ต้องขอขอบคุณบริษัท คอลเกต-ปาล์ม โอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัดที่เล็งเห็นความสำคัญของโครงการดังกล่าว​ ซึ่งได้ร่วมบริจาคผลิตภัณฑ์ “ยาสีฟันคอลเกต Dare to Kiss” จำนวน 21,600 หลอด มูลค่าถึง 1,058,400 บาท โดยมีหม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ “ต้องรอด” และอาสาสมัครกลุ่ม Up for Thai เป็นตัวแทนส่งมอบให้แก่นพ.พงษ์ศักดิ์ นิติการูญ รองผู้อำนวยโรงพยาบาลสนามบุษาราคัม เพื่อให้บุคลากรด่านหน้าและผู้ป่วยมีกำลังใจ ยิ้มสู้ไปด้วยกัน 

นอกจากโครงการเฉพาะกิจ ​#missionบุษราคัม75 กลุ่มอาสา Up for Thai ยังคงปฏิบัติภารกิจหลักโครงการ “ต้องรอด” ควบคู่กันไป ทั้งการแจกจ่ายอาหารปรุงสุกและสิ่งของอุปโภคบริโภคไปยังชุมชน คลัสเตอร์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงการรับบริจาคและส่งต่ออุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อส่วนบุคคล ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานีอนามัย ศูนย์พักคอย เจ้าหน้าที่กู้ชีพ กู้ภัย อาสาด่านหน้าทั่วประเทศ อีกทั้งยังจัดเตรียมชุดยังชีพอันประกอบด้วยอาหารแห้งพร้อมทานและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น จัดส่งให้แก่ชุมชน ผู้พิการ คนชรา ครอบคลุมถึงผู้ป่วยติดเตียง ผู้ติดเชื้อ COVID-19 และครอบครัวที่ต้องกักตัว

ร่วมส่งต่อความช่วยเหลือกับ "ต้องรอด" ได้ที่
สถานที่ปฎิบัติงานและรับบริจาค :
ศูนย์อาสาต้องรอด Up For Thai วัดเทวสุนทร https://goo.gl/maps/X6VJJXWgD7FxVM6X6

ที่อยู่ในการจัดส่งสิ่งของบริจาค :
กองอำนวยการ Up For Thai ต้องรอด วัดเทวสุนทร
เลขที่ 1 ม.19 ถ.กำแพงเพชร 6 ลาดยาว จตุจักร กทม. 10900

หากส่ง delivery กรุณาแจ้ง tracking มาที่ LINE
สมทบทุนเป็นเงินสดที่
กสิกรไทย 096-3-23974-2
(ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล และนางสมใจ พุ่มสมบัติ)

ครม. เห็นชอบจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 12 ล้านโดส รองรับการฉีดวัคซีนสูตรผสม ร่นระยะเวลาฉีดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วขึ้น 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ก.ย. มีมติเห็นชอบอนุมัติกรอบวงเงิน 4,254.36 ล้านบาท สำหรับจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม จำนวน 12 ล้านโดส เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ 

1.) กลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง (ปอดอุดกั้น หอบหืด) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 (ไตวายเรื้อรัง) โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน และโรคอ้วน (BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 35 น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม) 

2.) ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป

3.) เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ด่านควบคุมโรคตามชายแดน สถานกักกันโรค ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่เก็บขยะติดเชื้อเป็นต้น 

4.) ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

การจัดหาวัคซีนซิโนแวคจำนวน 12 ล้านโดสนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน เพราะเป็นวัคซีนที่ผลิตแล้ว ทำให้สามารถส่งมอบได้ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. และยังเป็นการรองรับการฉีดวัคซีนสูตรผสมและเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศที่รวดเร็วยิ่งขึ้น 

"ณัฐชา" ดักคอ อย่ายื้อเลือกตั้ง กทม.-พัทยา เบี่ยงกระแสหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ ควรเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับให้เร็วที่สุดแก้ปัญหาโรคระบาด พร้อมปลดล็อกระเบียบข้อบังคับส่วนกลาง ให้เกียรติผู้แทนปชช.

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบเฉพาะการจัดเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีเมืองพัทยาที่ประชุมยังไม่พิจารณาโดยคาดว่าจะมีขึ้นในปีหน้า ว่า สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ควรมีการจัดการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหาการจัดการโรคระบาดหลายพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการ หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนจริง เร่งจัดการเลือกตั้งอบต.ให้เร็วที่สุดเพราะมีความจำเป็นอย่างมาก และหากรัฐบาลต้องการแสดงความจริงใจไม่เบี่ยงประเด็นความบอบช้ำหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องเดินหน้ากำหนดวันเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในขณะนี้ 

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ กทม. ที่อยู่ภายในการบริหารงานของผู้ว่าฯ และสมาชิกกรุงเทพฯ ที่แต่งตั้งมานานกว่า 7 ปี อยู่ในตำแหน่งโดยกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน แต่ประชาชนแทบไม่รู้ว่าทำอะไรไปเพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้นการเดินหน้าประกาศให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดคือทางออกวิกฤตในขณะนี้" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องตระหนักคือการมีตัวแทนประชาชนที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหา จึงควรเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ เพราะมีความใกล้ชิด รู้และเข้าใจปัญหาให้พื้นที่ตัวเองดี ระเบียบข้อบังคับหรืออะไรต่างๆ ที่ล็อกไว้จากส่วนกลางก็ต้องคลายล็อก เป็นการทำงานอย่างให้เกียรติและไว้ใจตัวแทนของประชาชน ไม่ใช่แค่หาประเด็นเบี่ยงกระแสหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สื่อมีเรื่องใหม่ไปตีข่าวแล้วก็ยื้อต่อไปในปีหน้า แต่ที่ต้องทำเช่นนี้คงเพราะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายแม้จะรอดทั้งคณะ แต่เชื่อว่าในใจท่านรู้ดีว่ามือที่ยกให้นั่นไม่ใช่ความไว้ใจของประชาชนอย่างแน่นอน

ราเมศ เผย ที่ประชุมพรรค มีมติ เห็นชอบ วาระสาม ร่าง รธน. ลุยผลักดัน ร่างกฎหมายป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงผลการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ว่า

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรค ได้ให้นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักได้รายงานความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาวาระสามในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ และที่ประชุม ส.ส.ได้มีมติเห็นชอบในวาระที่สาม ที่ประชุมไม่ได้มีความกังวลใดๆ และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบผ่านวาระสามไปได้อย่างแน่นอน พรรคผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ 
 
ในส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่มีนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้เสนอ ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นร่างที่ได้บรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมแล้ว ทางพรรคก็จะผลักดันให้มีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณาก่อน เพื่อจะได้พิจารณาทันก่อนปิดสมัยประชุม เพราะเมื่อรับหลักการในวาระแรก ในวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการก็สามารถพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุมได้ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวทางพรรคได้ให้ความสำคัญ ที่ผ่านมาได้เชิญภาคประชาชนที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในที่ประชุมพรรค เห็นตรงกันว่า ควรมีกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมที่ป้องกันการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกฎหมายที่จะมุ่งคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งสอดคล้องกับหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และหากเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาในวาระที่สองพรรคก็จะได้เชิญภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งนายชินวรณ์ บุญยเกียรติ จะได้นำไปหารือกันในวิปรัฐบาลต่อไป

สหรัฐฯ ตรวจพบ โควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ 'มิว' ครบทุกรัฐ ขณะยอดติดเชื้อในประเทศทะลุ 40 ล้านคน

โควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ “Mu” ตรวจพบเกือบครบทุกรัฐในสหรัฐฯ แล้ว และพบในกรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงด้วย ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อ Mu ในสหรัฐฯ พบกว่า 2,200 คน แซงหน้าโคลอมเบีย ประเทศต้นตอ “Mu” และเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ Mu ที่พบทั่วโลก ขณะยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในสหรัฐฯ ทะลุ 40 ล้านคน

Newsweek รายงานว่า สหรัฐฯ ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ “Mu” ใน 49 รัฐ และพบในกรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงสหรัฐฯ ด้วย เหลือเพียงรัฐเดียวที่ยังรอดจาก Mu คือ รัฐเนแบรสกา

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อ Mu ที่พบในสหรัฐฯ ล่าสุด มากกว่า 2,200 คนแล้ว แซงหน้าโคลอมเบีย ประเทศต้นกำเนิดสายพันธุ์ Mu ที่พบผู้ติดเชื้อราว 900 คน และคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ Mu ทั่วโลกกว่า 5,000 คน ในอย่างน้อย 39 ประเทศทั่วโลก 

รัฐแคลิฟอร์เนียพบผู้ติดเชื้อ Mu มากที่สุด 384 คน เฉพาะในเขตปกครองลอสแองเจลิส พบ 167 คน

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพิ่งยกระดับ Mu เป็นโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่ “ควรสนใจ” และเตือนว่า Mu อาจสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนต้านโควิดได้ และอาจติดต่อได้ง่ายกว่าโควิดกลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ยังไม่ได้ยกระดับอันตรายของ Mu ในสหรัฐฯ ให้เท่ากับ WHO และเมื่อสัปดาห์ก่อน นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า ขณะนี้ Mu ยังไม่เป็นภัยคุกคามสหรัฐฯ ในเวลาอันใกล้ และยังไม่เข้าใกล้การเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดหลักในสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ กำลังจับตา Mu อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่ระบาดหลักในสหรัฐฯ ยังคงเป็น “Delta”

สหรัฐฯ ได้รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ Mu สูงสุดในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้น ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อ Mu ในสหรัฐฯ กลับลดลง เป็นสัญญาณว่า Mu อาจกำลังอ่อนแอลงก็เป็นได้ และยังไม่เป็นปัญหาในตอนนี้ แต่อาจเป็นปัญหาในอนาคตได้

ทั้งนี้ โควิดกลายพันธุ์ Mu พบครั้งแรกที่โคลอมเบียเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้ระบาดในทวีปอเมริกาใต้ สหรัฐฯ และยุโรป

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ล่าสุด ทะลุ 40 ล้านคนแล้วเมื่อวานนี้ (6 กันยายน) อยู่ที่ 40,865,794 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 666,559 คน สหรัฐฯ ยังครองอันดับ 1 ของโลก เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 18% ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก ส่วนผู้เสียชีวิตคิดเป็นเกือบ 14% ของผู้เสียชีวิตทั่วโลก

สาเหตุจากกลายพันธุ์ “Delta” ยังคงทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และอาการทรุดต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 

ขณะ 5 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในสหรัฐฯ อันดับ 1 คือ แคลิฟอร์เนีย ผู้ติดเชื้อสะสม 4,421,247 คน, อันดับ 2 เทกซัส 3,706,980 คน, อันดับ 3 ฟลอริดา 3,352,451 คน, อันดับ 4 นิวยอร์ก 2,304,955 คน และอันดับ 5 อิลลินอยส์ มากกว่า 1.5 ล้านคน และมีอีก 8 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 1 ล้านคน คือ จอร์เจีย, เพนซิลเวเนีย, โอไฮโอ, นอร์ธแคโรไลนา, นิวเจอร์ซีย์, เทนเนสซี, มิชิแกน และแอริโซนา


ที่มา : https://www.facebook.com/351495409269379/posts/520543789031206/

ส.อ.ท. ดันสินค้า Made in Thailand ขายภาครัฐ เผย 6 เดือน สร้างมูลค่า 6.8 หมื่นล้านบาท

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำผู้ประกอบการไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 เดินหน้าโครงการ Made in Thailand โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถผลักดันสินค้า Made in Thailand : MiT เข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้แล้วกว่า 68,000 ล้านบาท คาดสิ้นปี 64 จะมีมูลค่าการค้าทะลุ 100,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจับมือเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป นำผู้ประกอบการในเครือข่ายขึ้นทะเบียนเพิ่ม และต่อยอดส่งออก นำร่องเจรจาการค้ากับบาห์เรน จีน อินเดีย ขยายตลาดต่างประเทศ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในภาวการณ์  แพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง และการออกมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศ ดังนั้นจึงมีเพียงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเท่านั้นที่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านสภาวะที่ยากลำบาก 

โดยแนวทางที่สำคัญในการเจาะตลาดภาครัฐของเอกชน คือ โครงการ Made in Thailand ที่ ส.อ.ท. ได้ผลักดันร่วมกับภาครัฐในการปรับกฎระเบียบเอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการในประเทศไทย ที่เข้ามาขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand : MiT ได้มากขึ้น เพื่อเข้าถึงเม็ดเงินการจัดจ้างภาครัฐมีมากกว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี โดยในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand ให้กับผู้ประกอบการแล้วกว่า 2,000 ราย 

โดยล่าสุดข้อมูลจากกรมบัญชีกลางพบว่ามีผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกว่าร้อยละ 52 สามารถยื่นเสนองานต่อภาครัฐได้แล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 68,000 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมสินค้าหลากหลายทั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่รวมไปถึงผู้ประกอบการ SMEs

ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปี 2564 จะมีผู้ประกอบการเข้ามาลงทะเบียนกว่า 5,000 ราย มีจำนวนสินค้ากว่า 50,000 รายการ โดยที่ผ่านมามีสินค้าที่มาขึ้นทะเบียนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 

1.) อุปกรณ์งานก่อสร้าง
2.) ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 
3.) เครื่องปรับอากาศ 
4.) สินค้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 
และ 5.) สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม

“จากการดำเนินโครงการ Made in Thailand ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากหน่วยราชการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมที่ผู้บริหารต่างผลักดันนโยบายร่วมกัน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่สอบถามเพื่อสืบค้นส่วนของที่หน่วยงานมีความต้องการในฐานของ MiT เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ท่าอากาศยาน, กรมทางหลวง, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, กรมที่ดิน, กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น, โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งต้องขอขอบคุณแทนผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ถือว่าทุกภาคส่วนได้ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 ให้สามารถเดินต่อไปได้” นายสุพันธุ์ กล่าว

นางพิมพ์ใจ ลี้อิสระนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงาน Made in Thailand ของสภาอุตสาหกรรมฯ กล่าวว่า นอกจากหน่วยงานภาครัฐที่เป็นคู่ค้าสำคัญที่ตอบรับสินค้า Made in Thailand เป็นอย่างดีแล้ว โอกาสทางการตลาดอื่น ๆ ของสินค้า Made in Thailand ก็มีมากเช่นเดียวกัน โดย ส.อ.ท. ได้หารือร่วมกับหน่วยงานเอกชนในส่วนของการขายปลีกและขายส่ง ซึ่งในปัจจุบันได้มีพันธมิตรภาคเอกชนรายใหญ่ให้การสนับสนุน อาทิ กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่กำลังผลักดันผู้ค้าในเครือข่ายมาขึ้นทะเบียน Made in Thailand โดยกลุ่มบริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป เช่น ไทวัสดุ บีทูเอส และ ออฟฟิศเมท ได้เข้ามาเจรจาธุรกิจกับเอสเอ็มอี ที่ขึ้นทะเบียน Made in Thailand เพิ่มเติมด้วย และหลังจากนี้ ส.อ.ท. จะหารือกับภาคเอกชนรายอื่น ๆ ให้ช่วยสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย, สมาคมค้าปลีกไทย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยในภาวะที่ยากลำบาก 

นอกจากตลาดในประเทศแล้ว ส.อ.ท. ยังร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สร้างโอกาสทางการค้าในต่างประเทศ โดยนำร่องกลุ่ม SMEs เจรจาธุรกิจที่ตลาดบาห์เรน, ตลาดอินเดียและตลาดจีน ที่นิยมสินค้าไทยอยู่ระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งหากสินค้าได้รับการรับรอง Made in Thailand ก็ยังจะสร้างความน่าเชื่อถือและมั่นใจให้กับคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ก็จะได้เปรียบคู่แข่งขันรายอื่น ๆ โดยหลังจากนี้ ส.อ.ท. จะมีการผลักดันโอกาสทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการให้มาขึ้นทะเบียน เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

กระทรวงมหาดไทย เผย ขึ้นเงินเดือน 'พนักงานเก็บขยะท้องถิ่น' สูงสุดเดือนละ 2 หมื่นบาท

มีผลแล้ว! ขึ้นเงินเดือน “พนักงานเก็บขยะท้องถิ่น” กลุ่มเสี่ยงเชื้อโรค เฉพาะ “อบจ. เทศบาล และ อบต.” สูงสุดเดือนละ 2 หมื่น เพิ่มเดือนละไม่เกิน 2,500 บาท หลากหลายกลุ่มงาน ส่วน “พนักงานกวาดขยะ” ได้เพิ่มเดือนละไม่เกิน 1,500 บาท

รายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 3 ระดับ ออกประกาศคณะกรรมการกลาง 3 ฉบับ

ลงนามโดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล และประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล

โดยทั้ง 3 ฉบับว่าด้วย เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับเงินเพิ่มสำหรับพนักงานจ้างผู้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะเป็นการเสี่ยงภัยต่อสุขภาพ พ.ศ. 2564 มีหลักการเพื่อให้ “พนักงานจ้าง” เช่น พนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างตามภารกิจผู้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะเป็นการเสี่ยงภัยต่อสุขภาพมีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม

สำหรับอัตราการจ่ายเงินเพิ่ม ที่ผ่านความเห็นชอบให้พนักงานจ้างสำหรับ อบจ. เทศบาล และ อบต. แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามลักษณะความเสี่ยงภัยต่อสุขภาพ ประกอบด้วย

พนักงานจ้าง กลุ่มงานขุดลอกท่อระบายนํ้า ขับรถบรรทุกสูบ ดูดหรือขนถ่ายสิ่งปฏิกูล มูลฝอยติดเชื้อ งานประจำรถสิ่งปฏิกูล อัตราเดือนละไม่เกิน 2,500 บาท

พนักงานจ้าง กลุ่มงานขับรถบรรทุกเก็บขยะมูลฝอย เรือบรรทุกเก็บขยะมูลฝอย หรือรถตักขยะมูลฝอย และคนงานประจำรถและเรือขยะบรรทุกเก็บขยะมูลฝอย อัตราเดือนละไม่เกิน 2,000 บาท

พนักงานจ้าง กลุ่มงานจัดเก็บ และกวาดขยะมูลฝอย รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์หรือหน่วยกำจัด ขยะมูลฝอยอัตราเดือนละไม่เกิน 1,500 บาท

ทั้งนี้ วิธีการจ่ายเงินเพิ่ม ให้จ่ายตามระยะเวลาการปฏิบัติงานจริงที่สัญญาจ้างกำหนด และหากในเดือนใดมีวันที่ปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามสัญญาก็ให้จ่ายเงินเพิ่มตามสัดส่วนจำนวนวันของเดือนนั้น

ปัจจุบันพนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างตามภารกิจ ในกลุ่มงานดังกล่าว เฉพาะ อปท. มีอัตราเงินเดือนระหว่าง 9,000 - 18,000 บาท และมีสวัสดิการเทียบเท่า “พนักงานจ้าง”

โดยอัตราดังกล่าว เป็นคนละส่วนกับลูกจ้างชั่วคราว กทม. หรือ ลูกจ้างของภาคเอกชน ที่ได้รับสัมปทานในการจัดเก็บขยะสิ่งปฏิกูลของ อปท.


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000087564

ญี่ปุ่นปิดดีล 'Novavax' 150 ล้านโดส พร้อมขอเป็นตัวแทนผลิตเพื่อกระจายสู่ภูมิภาค

ญี่ปุ่นกลายเป็นเสือปืนไวไปแล้ว หลังจากที่เคยเป็นประเทศที่เปิดตัวโครงการวัคซีนอย่างเชื่องช้าตามหลังกลุ่มประเทศชั้นนำอย่างมาก จนตอนนี้สามารถเร่งสปีดระดมฉีดวัคซีน Covid-19 ได้ครบโดสทั่วประเทศ ครอบคลุมแล้วเกิน 48% ของประชากรไปแล้ว 

และล่าสุดญี่ปุ่นได้ปิดดีลจัดซื้อวัคซีน Novavax ตัวใหม่ล่าสุดจากอเมริกาจำนวนกว่า 150 ล้านโดส คาดว่าจะสามารถฉีดได้ไม่เกินต้นปี 2022 นี้ 

Novavax เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทยาโนวาแว็กซ์ ในรัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ที่หลายประเทศจับตามอง เนื่องจากมีการระบุประสิทธิภาพจากการทดสอบว่าสามารถป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมได้เกิน 90% และยังมีประสิทธิภาพต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างอัลฟาได้ 86% และ เบตาได้ 55% ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ อย่างเดลตา และแกมมา กำลังอยู่ในขั้นตอนการประเมินผล 

ถึงแม้ว่า Novavax จะไม่ใช่วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง mRNA แต่ใช้โปรตีนส่วนหนี่งของเชื้อไวรัสพัฒนาเป็นวัคซีน ที่เรียกว่า Protein Subunit Vaccine ที่เป็นเทคโนโลยีที่เคยใช้พัฒนาวัคซีนมาแล้วหลายชนิด อาทิ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ไวรัสป้องกันมะเร็งปากมดลูก แต่ด้วยผลประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโคโรนาที่ออกมาน่าพอใจมาก สามารถเก็บได้ในตู้แช่ทั่วไป และมีราคาถูกกว่าวัคซีน mRNA ทำให้หลายประเทศสนใจลองวัคซีนตัวใหม่นี้ แม้ในตอนนี้จะยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา หรือ องค์การอนามัยโลกก็ตาม

รวมถึงญี่ปุ่น ที่ได้ตัดสินใจสั่งซื้อวัคซีน Novavax ล่วงหน้าแล้วถึง 150 ล้านโดส โดยความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น และ Takeda Pharmaceutical Co. บริษัทยายักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นผู้จัดหน่ายวัคซีน Moderna ในญี่ปุ่นเช่นกัน และนอกจากจะสั่งซื้อวัคซีนแล้ว ยังขอเป็นตัวแทนผลิตวัคซีน Novavax ในประเทศญี่ปุ่น โดยจะผลิตวัคซีนจำนวน 250 ล้านโดส เพื่อใช้ในประเทศ และ 100 ล้านโดสจะกระจายไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคนี้  

และไม่ใช่มีแค่ญี่ปุ่นที่ได้จองซื้อวัคซีนตัวใหม่ล่าสุดแม้ยังไม่เห็นผลลัพธ์การทดสอบในขั้นสุดท้าย คณะกรรมการแห่งสหภาพยุโรปก็ได้เซ็นข้อตกลงสั่งซื้อวัคซีน Novavax ล่วงหน้าแล้วถึง 200 ล้านโดส 

สำหรับการใช้วัคซีน Novavax ยังคงต้องฉีด 2 เข็ม ระยะเวลาห่างกัน 21 วัน โดยราคาวัคซีนจัดจำหน่ายที่ 16 - 20 ดอลลาร์ต่อเข็ม ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในแต่ละประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าวัคซีนประเภท mRNA เล็กน้อยที่จำหน่ายอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ขึ้นไปต่อเข็ม ส่วนวัคซีนราคาประหยัดเพื่อชาวโลกอย่าง AstraZeneca จำหน่ายที่เข็มละ 2-3 ดอลลาร์ 

และถึงแม้ว่ากลุ่มประเทศชั้นนำในซีกโลกตะวันตก ทั้งในยุโรป และอเมริกาต่างเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วมากกว่าครึ่ง แต่ความต้องการวัคซีนยังคงสูง เนื่องจากหลายประเทศกำลังเริ่มเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ดังนั้นปริมาณวัคซีน Covid-19 ที่ผลิตได้ในโลกส่วนใหญ่ก็ยังคงป้อนสู่ตลาดประเทศที่พัฒนาแล้วจนถึงปีหน้า 2022  

ประเทศไหนไว ทุนสำรองถึง จึงมีสิทธิ์เอื้อมถึงวัคซีนได้ก่อน แต่สำหรับประเทศไหนที่ยังลังเล เพราะยังไม่เห็นของ ก็สามารถรอวัคซีน Novavax ผ่านโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลกได้ เพียงแต่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะถึงมือเมื่อไหร่นั่นเอง


เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์
อ้างอิง: Reuters / Japan Times


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top