Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

'อัศวิน' ปรับภูมิทัศน์คลองผดุงกรุงเกษมคืบหน้า 58% พร้อมเปิดตลาดนัดผดุงศิลป์พื้นที่เพื่อคนรุ่นใหม่

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครดำเนินโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลอง เพื่อพลิกฟื้นวิถีชีวิตประชาชนริมคลองควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ ปรับปรุงภูมิทัศน์คูคลองให้มีความสะอาด สวยงาม และปลอดภัย เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาแหล่งน้ำให้สวยงามสะอาดอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและแนวทางการอนุรักษ์และส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชน สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อาทิ เป็นเส้นทางสัญจร สถานที่พักผ่อน สถานที่ออกกำลังกาย เป็นต้น 

สำหรับโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองผดุงกรุงเกษม ระยะทางรวม 4,480 ม. แบ่งเป็น 6 โซน ได้แก่ 
โซนที่ 1 ตลาดน้อย ระยะทาง 680 ม. 
โซนที่ 2 หัวลำโพง ระยะทาง 1,250 ม. 
โซนที่ 3 โบเบ๊ ระยะทาง 450 ม. 
โซนที่ 4 นางเลิ้ง ระยะทาง 700 ม. 
โซนที่ 5 สถานที่ราชการ ระยะทาง 700 ม. 
และโซนที่ 6 เทเวศร์ ระยะทาง 700 ม. 

โดยในระยะแรกเป็นการนำร่องโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองผดุงกรุงเกษม โซนที่ 2 หัวลำโพง (ช่วงจากสะพานเจริญสวัสดิ์ถึงสะพานกษัตริย์ศึก) เริ่มสัญญาวันที่ 1 ต.ค. 64 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 29 มี.ค. 65 ระยะเวลาก่อสร้าง 180 วัน ปัจจุบันผลงานที่ทำได้ 58% ประกอบด้วย 

1.) รื้อราวกันตกเดิม 
2.) รื้อคันหินทางเท้าเดิม 
3.) สร้างคันหินทางเท้าใหม่ 
4.) ทุบรื้อพื้นทางเท้าเดิม 
5.) สร้างพื้นฐานทางเท้าใหม่ หนา 10 ซม. 
6.) ติดตั้งเสาไฟฟ้าส่องสว่าง 
และ 7.) งานสร้างท่าน้ำ 1 แห่ง

โรบินฮู้ด เชือดไรเดอร์กร่าง ทำร้ายร่างกายปชช. พบใช้ไอดีเพื่อนมาวิ่งงาน จ่อเอาผิดทั้งเพื่อน-คนทำ

สืบเนื่องจาก มีการเผยแพร่คลิปบนโซเชียลมีเดีย กรณีไรเดอร์ในเครื่องแบบ Robinhood ก่อเหตุขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้า บริเวณซอยสายไหม 78 เขตสายไหม กทม. และเฉี่ยวชนประชาชนที่กำลังใช้ทางเท้า ก่อนก่อเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายนั้น

ล่าสุด ทาง Robinhood ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลโดยทันทีที่ทราบเรื่อง และพบว่าไรเดอร์ที่ก่อเหตุ มิได้เป็นไรเดอร์ในระบบของ Robinhood แต่มีการนำไอดีของเพื่อนที่เป็นไรเดอร์ Robinhood มารับงานในช่วงเวลาเกิดเหตุ ซึ่งทางบริษัทได้ดำเนินการปิดระบบถาวรคนขับผู้ให้ยืมไอดีทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายอีกในอนาคต 

'นายกฯ' ขอ ทุกคนยกการ์ดสูง แม้ไทยติดโควิด-19 หลักหมื่น แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังต่ำ - โฆษกรัฐบาล เตือน ซื้อไม้ สวอป หวังเคลมเงินประกัน ผิดอาญา พบผิด ให้บังคับใช้กฎหมาย เคร่งครัด 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อจะเพิ่มจำนวนขึ้นถึงหลักหมื่นต่อเนื่อง แต่อัตราของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง และอัตราการเสียชีวิตยังถือได้ว่าค่อนข้างต่ำ นายกรัฐมนตรียังขอประชาชนพยายามระวังตัวเอง โดยเฉพาะจากการสังสรรค์และรวมตัวคนหมู่มาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วมาก การป้องกันตนเองที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิต้านโรค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

นายธนกร กล่าวว่า ที่มีกระแสข่าวการซื้อไม้สวอปจากผู้ที่ติดโควิด-19 หวังติดเชื้อเพื่อเคลมประกันนั้น ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว หากจงใจทำเพื่อหวังเคลมเงินประกัน ยังถือว่ามีความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย เป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง หากมีความจำเป็น ภาคธุรกิจประกันภัย ก็สามารถใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้โดยจะไม่ถือเป็นการประวิงการจ่ายสินไหมฯ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย 

‘น้องอ้อม’ บัณฑิตพิการสายตาคนแรกของไทย เรียนภาษาจีนด้วยอักษรเบรลล์จนจบหลักสูตร

ชื่นชม ‘ว่าที่คุณครู’ น้องอ้อม ‘นันทพร ก้อนรัมย์’ บัณฑิตพิการสายตาคนแรกของไทย เรียนภาษาจีนด้วยอักษรเบรลล์จนจบหลักสูตร

วันที่ 7 ก.พ. 65 เพจเฟซบุ๊ก หน่วยให้บริการสนับสนุนนักศึกษาพิเศษ DSS มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า น.ส.นันทพร ก้อนรัมย์ หรือ ‘น้องอ้อม’ จากสำนักวิชาจีนวิทยา สาขาวิชาการสอนภาษาจีน เป็นบัณฑิตพิการทางการมองเห็นคนแรกของไทย ที่เรียนภาษาจีนโดยใช้อักษรเบรลล์ภาษาจีน เป็นสื่อหลักในการเรียนการสอนตลอดหลักสูตร

ภาคเอกชนญี่ปุ่น เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ขอบคุณ “บิ๊กตู่” ดำเนินโครงการfactory Sandbox พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องมั่นใจในนโยบายของรัฐบาล

ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำนายเท็ตสึ ชิโอซากิ ประธานและกรรมการบริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ จำกัด (Minebea Mitsumi Inc.) และผู้บริหารบริษัทฯ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

นายสุชาติ กล่าวว่า เอ็นเอ็มบี-มินีแบ เป็นบริษัทใหญ่ที่มีการลงทุนในประเทศไทยยาวนานต่อเนื่อง และผู้บริหารบริษัทฯ ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้เพื่อขอบคุณการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลให้บริษัทยังดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมายาวนาน ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน อีกทั้งมีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและคำนึงถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจึงได้ดำเนินโครงการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้

รวมทั้งยังมีนโยบายที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2608 โดยรัฐสนับสนุนให้เอกชนมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low carbon society)

ด้านนายเท็ตสึกล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ให้การดูแลและอำนวยความสะดวกภาคเอกชนให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ รวมทั้งมีนโยบายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนภาคเอกชนต่างประเทศในไทย แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาโดยตลอด โดยเฉพาะการดำเนินโครงการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) ทำให้พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีน จนบริษัทสามารถดำเนินการได้เต็มกำลังการผลิต

สามารถจัดส่งชิ้นส่วนที่สำคัญของอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ จากประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง บริษัทฯ เชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการดำเนินนโยบายของรัฐบาล และศักยภาพของประเทศไทยที่มีภาคอุตสาหกรรมที่มั่นคง มี Supply Chain ที่มีความยืดหยุ่นและเข้มแข็ง แม้ยังคงต้องเผชิญกับโควิด-19

“รัชดา” เผย รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมออมรายย่อย ผ่านกอช. วันละ30บาท สะสมบำนาญ 3พัน แจง สมาชิกที่หยุดส่งเงินจากเหตุโควิด -19 ไม่เสียสิทธิ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กำหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงในบั้นปลายชีวิต สร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัย โดยมีกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกลไกส่งเสริมการออมของประชาชนรายย่อย ผ่านการสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งจะได้บำนาญเมื่อสมาชิกมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบให้กับผู้ที่นำส่งเงินออมตามระดับอายุของผู้เป็นสมาชิก และเป็นอัตราส่วนกับจำนวนเงินสะสม  ซึ่งในช่วงปี 2561 จนถึงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 มีอัตราการเติบโตของสมาชิกและการนำเงินส่งออมเข้ากองทุนฯเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 จาก 6.1 แสนคน ปัจจุบัน  2ล้านกว่าคน แต่ด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้สมาชิกมีรายได้ลดลง ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ หยุดการนำส่งเงินเข้ากองทุน ทั้งนี้  รัฐบาลขอย้ำให้ประชาชนสบายใจว่า หากสมาชิกไม่สามารถส่งเงินออมสะสมทุกเดือน หรือไม่สามารถส่งได้เท่ากันในทุกเดือน กอช.จะคงสิทธิความเป็นสมาชิก เพียงแต่จะไม่ได้รับเงินสมทบจากรัฐ และเมื่อมีรายได้เพียงพอต่อการออมขอให้กลับมาส่งเงินสะสม เพื่อชดเชยส่วนที่ได้ขาดส่งไป เพราะหากมีเงินออมน้อยจะทำให้ได้รับเงินบำนาญน้อย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในปี 2565 กอช. จะเดินหน้าขับเคลื่อนวาระการออมแห่งชาติ ผ่านการแก้กฎหมายเพื่อจูงใจให้สมาชิกเข้ามาออมเพิ่ม โดยประเด็นสำคัญคือ การขยายอายุให้สมาชิกเข้ามาออมได้จาก 60 ปี เป็น 65 ปี และแก้กฎหมายให้ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 40 สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกกอช. ได้ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการออมได้มากขึ้น และรองรับสังคมสูงวัยอีกด้วย โดยขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกอช.แล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาในระดับนโยบายต่อไป นอกจากนี้ ยังจะมีการแก้กฎหมายให้สมาชิกที่เกษียณอายุและเกิดการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย สามารถเลือกรับบำเหน็จได้ จากเดิมกฎหมายระบุให้รับบำนาญได้อย่างเดียว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับประชาชนผู้ประกอบการอาชีพอิสระ หรือเยาวชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นการออม รัฐบาลขอเชิญชวนให้มาเริ่มต้นการออมกับกอช.ตัวอย่างผลตอบแทนที่น่าสนใจ อาทิ วัยทำงานเริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี วันละ 30 บาท จะมีเงินออมรวมประมาณปีละ 10,800 บาท พร้อมได้รับเงินสมทบจาก กอช. เพิ่มตามช่วงอายุ 600 บาท สูงสุด 1,200 บาทต่อปี หากคิดเงินสมทบเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยได้รับเพิ่มโดยประมาณ 3.5% ต่อปี  เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบำนาญตลอดชีพประมาณเดือนละ 3,000 บาท  

“บิ๊กป้อม” เผย สั่งจนท.ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวถ้ำนาคา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากติดค้างบนถ้ำนาคา อุทยานแห่งชาติ ภูลังกา จ.บึงกาฬ จะบริหารจัดการอย่างไร ว่า ตนได้บอกให้ดูแลความปลอดภัยประชาชนทั้งไปและกลับ โดยต้องให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมทุกคน และย้ำเจ้าหน้าที่ในการดูแลตนสั่งการเรื่องนี้ไปนานแล้ว แต่ก็ยังเห็นคนไปจำนวนมากก็เป็นห่วง เมื่อถามว่ากรณีมีนักท่องเที่ยวบางคนใช้เส้น เพื่อให้ได้ขึ้นไปก่อน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้มีการออกระเบียบใหม่ 

"จุรินทร์" ยัน ไม่ใช้โครงการ ก.พณ. หาเสียงล่วงหน้า ให้ว่าผู้สมัครผู้ว่า กทม.ปชป. ชี้ กมธ.ปปช. ดิสเครดิต "ดร.เอ้"  พร้อมปัดตอบปม รมต.ภท. โดดประชุม ครม.ยกทีม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสมในการไปร่วมโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ที่พรรคประชาธิปัตย์กำกับดูแล ว่า ตนไม่ทราบประเด็นดังกล่าว

แต่ในกรณีของโครงการร้านข้าวแกง 20 บาท ถูกใจชุมชน เป็นสิ่งที่ นายชนินทร์ รุ่งแสง อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ประสานงานกับภาคเอกชน และจัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อช่วยให้ประชาชนในชุมชนต่างๆได้ซื้อข้าวแกงในราคาถูก ซึ่งมีร้านข้าวแกงหลายร้านที่เข้าร่วมโครงการ ดังนั้นกรณีนี้เป็นเรื่องความร่วมมือของอดีต ส.ส.กับภาคเอกชนให้ช่วยจัดหาวัตถุดิบไปให้ร้านข้าวแกงนำไปปรุงอาหารมาจำหน่ายในราคาถูก ซึ่งโครงการแบบนี้เป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้มีการจับจ้องที่โครงการพาณิชย์ลดราคา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ นำสินค้าอุปโภคบริโภคมาจำหน่ายให้ประชาชน ปรากฎว่ามีว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปร่วมกิจกรรมพร้อมแจ้งว่าเป็นผู้ประสานงานร่วมกับ นายสุชัชวีร์ให้นำมาจำหน่ายในชุมชน และติดรูปนายสุชัชวีร์ด้วย นายจุรินทร์ กล่าวว่า โครงการพาณิชย์ลดราคาเป็นสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่แล้วและมีการกำหนดวันเวลาและสถานที่ในการนำโครงการนี้ไปตามชุมชนต่างๆ ซึ่งได้มีการประกาศลงในเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนที่อยากซื้อสินค้าราคาถูกสามารถไปตามเวลาและสถานที่ได้ เป็นเรื่องที่รับทราบกันอยู่แล้วทั้งประชาชน ผู้สมัคร หรือใครก็ตาม ส่วนใครทราบเรื่องแล้วจะนำไปประชาสัมพันธ์ต่อก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่แต่ละคนจะไปดำเนินการ 

เมื่อถามว่าการที่มีภาพของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ และรูปนายสุชัชวีร์ ไปติดอยู่ในบูธจัดโครงการดังกล่าว ทำให้ถูกมองว่าเป็นการนำโครงการของรัฐบาลหรือกระทรวงมาหาเสียงล่วงหน้าให้ตัวเอง นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีประเด็นตรงไหนอย่างไร แต่ยืนยันว่าโครงการพาณิชย์ลดราคาเป็นไปตามกำหนดการที่ได้ทำไว้ล่วงหน้า ส่วนจะมีประชาชนหรือใครก็ตามเข้าไปร่วมงานด้วยก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดำเนินการในทางที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง พรรคการเมืองไหนก็ได้ถ้าอยากเข้ามาร่วมก็สามารถเข้ามาได้ จะพาชาวบ้านมาซื้อสินค้าราคาถูกในบูธโครงการนี้ก็ได้ ไม่ได้มีการจำกัดว่าพรรคไหนพาชาวบ้านมาซื้อของไม่ได้ และยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการหาเสียง 

ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าเป็นเกมการเมืองในการพยายามเล่นงานนายสุชัชวีร์ โดยมีการนำหลายๆเรื่องเข้ามาโจมตีใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ก็ต้องเข้าโหมดการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เราก็เห็นชัดในหลายกรณีที่นำไปเกี่ยวโยงกับนายสุชัชวีร์ เพื่อดิสเครดิตทางการเมือง อาทิ กรณีคณะกรรมาธิการ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่อยู่ๆมาตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายสุชัชวีร์ ทั้งที่ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

'ไตรศุลี' ชี้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรค หลังสะพัด รมต.ภูมิใจไทยโดดประชุมต้านขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ด้าน 'วิษณุ' ปัด ไม่รู้ ไม่ทราบ ปม รมต.ภท. ไม่เข้าครม. จะกระทบ ถก สายสีเขียวหรือไม่

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เนื่องจากไม่เห็นด้วยกรณีกระทรวงมหาดไทยจะเสนอให้ครม. เห็นชอบการต่อสัมปทานขยายสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า ขณะนี้ยังไม่รับรายงานและไม่มีข้อมูลว่าใครลาประชุมบ้าง และจะทราบเมื่อถึงเวลาการประชุมว่าใครขาดประชุม 

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าเหตุผลที่ไม่เข้า เนื่องจากไม่เห็นด้วยการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว น.ส.ไตรสุรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้ใหญ่และครม. ส่วนตัวตนยังไม่ทราบเรื่อง

กระทรวงอุตฯ X ดีแทค เชื่อมภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับสู่ ‘หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์’

กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกับดีแทคเน็ตทำกิน นำดิจิทัลเชื่อมต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นยกระดับ “หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” จำนวน 152 หมู่บ้าน จาก 76 จังหวัด พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยววิถีใหม่ ตั้งเป้ารายได้กว่า 250 ล้านบาท

นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “เราตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อนำชุมชนร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรมได้วางแผนและตั้งเป้าหมายในการพัฒนาหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ที่มีศักยภาพจำนวน 152 หมู่บ้าน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภคเศรษฐกิจระดับชุมชน (Local Economy) โดยการพัฒนาผู้ประกอบการชุมชนและปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวสร้างและพัฒนาไกด์ชุมชน (Local Guide) สร้างและพัฒนานักขายชุมชน ถอดรหัสผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นเชิงอัตลักษณ์สู่สากล และเตรียมความพร้อมพื้นที่สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยว แต่ทั้งหมดจะทำได้ยั่งยืนก็ต่อเมื่อทุกชุมชนสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการเชื่อมต่อมาสร้างคุณค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ 

กระทรวงจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ “ดีแทค เน็ตทำกิน” ที่จะร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงฯ ช่วยเสริมศักยภาพการทำการตลาดออนไลน์ การสร้างตัวตนดิจิทัลเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในชุมชน โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 250 ล้านบาท (เป็นรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ รายได้จากการขายของที่ระลึก รายได้จากการท่องเที่ยวเช่น ค่าที่พัก อาหาร อื่นๆ) สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่  อันจะเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ”

ปัจจุบันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดผลกระทบไปถึงการชะงักงันของเศรษฐกิจการค้า การทำงานผลิต อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โรงแรม ร้านอาหาร รวมทั้งส่งผลโดยตรงกับภาคเศรษฐกิจและบางกลุ่มประชากร ยังน่าเป็นห่วงว่าอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงกับรายได้จากการท่องเที่ยวของหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่มีรายได้ลดลงมากกว่าร้อยละ 70 และหากมีการถูกกระทบอีกระลอกจะเป็นความเสี่ยงต่อเนื่องที่ภาครัฐควรยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อที่จะสร้างรายได้ที่มีเสถียรภาพและกระจายรายได้อย่างสมดุล สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมสร้างมูลค่าเศรษฐกิจภูมิปัญญาท้องถิ่นของหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ดีแทคเห็นในศักยภาพที่โดดเด่นของภูมิปัญญาชุมชนที่ตกผลึกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น จนมีอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เมื่อนำภูมิปัญญาของชุมชนผสานกับดิจิทัลจะติดปีกให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา ดีแทคมองเห็นช่องว่างทางดิจิทัลในการปรับตัวของคนไทย จึงได้ดำเนินโครงการดีแทค เน็ตทำกิน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างทักษะการทำธุรกิจยุคดิจิทัลให้กับคนตัวเล็กที่สุดในสังคม ที่ผ่านมาพบว่าผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการดีแทค เน็ตทำกินมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 40-50% และเพื่อสร้างโอกาสหาเลี้ยงชีพใหม่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ทีมดีแทคเน็ตทำกินจะเริ่มฝึกทักษะให้กับ 20 หมู่บ้านนำร่องจาก 152 หมู่บ้าน ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมนี้ พร้อมขยายผลลงพื้นที่ให้ครอบคลุมทั้ง 152 หมู่บ้านภายใน 1-2 ปีนับจากนี้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top