Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

‘บิ๊กตู่’ มั่นใจ มาตรการ สธ. ไทยรับมือโอมิครอนได้ ยกโพลล์ 71.4 % ปชช.เชื่อมาตรการครอบจักรวาล

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลโพลล์ DDC Poll ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดได้สำรวจกับประชาชนกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 4,800 คน รายงานว่า ประชาชน 71.4% เชื่อมั่นในมาตรการ Universal Prevention สะท้อนให้เห็นภาพของความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อมาตรการและระบบสาธารณสุขของไทย ที่ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี 

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนทุกฝ่าย ที่ร่วมด้วยช่วยกันในการปฏิบัติตนตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัด ตลอดจนความทุ่มเทของแพทย์และบุคลากรทางแพทย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่ช่วยกันทำงานอย่างหนักตลอดมา นายกรัฐมนตรียังมั่นใจว่า ประเทศไทยและคนไทย จะประสบความสำเร็จในการก้าวผ่านการแพร่ระบาดระลอกนี้ในอีกไม่นาน

กนง.คงดอกเบี้ย 0.50% ประเมินเศรษฐกิจไทยฟื้น

นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง การระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนคาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขในวงจำกัด ความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจโดยรวมจึงลดลง แต่ยังต้องติดตามการระบาดในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงแรกของปี 2565 จากราคาพลังงานและอาหารสดบางประเภท และมีความเสี่ยงด้านสูงเพิ่มขึ้น 

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนรายได้และกำลังซื้อที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามราคาพลังงานโลกและสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง 

ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ โดยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่กับมาตรการทางการเงินการคลังที่เน้นการฟื้นฟูและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ตลาดแรงงาน รวมถึงรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง 

เปิดความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนม.ค.2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 88.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.8 ในเดือนธ.ค. 2564 โดยกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งค่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกองค์ประกอบยกเว้นต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่ขยายตัว 

ทั้งนี้ สะท้อนจากคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งสินค้าคงทนและสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่รัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังดำเนินไปได้แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่ไม่ได้ส่งผลรุนแรงในภาคอุตสาหกรรมเรื่องจากมีการเร่งฉีดวัคซีนให้กับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

‘รุ้ง ปนัสยา’ รับ ‘เสียใจ โกรธ ผิดหวัง’ หลัง ‘นิวมธ’ กระทำความผิดทางเพศ

‘รุ้ง ปนัสยา’ ยอมรับเสียใจ-โกรธ ผิดหวังที่ ‘นิวมธ.’ กลุ่มแนวร่วมฯ กระทำความผิดทางเพศ ขณะที่ ‘พรรคโดมปฏิวัติ’ ออกแถลงการณ์ เผยอดีตหัวหน้าพรรคลาออกจากสมาชิกพรรคแล้ว

9 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำกลุ่มราษฎร และกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์เฟซบุ๊ก Panusaya Sithijirawattanakul มีเนื้อหาดังนี้...

“สวัสดีค่ะ จากกรณี #แฉนิวมธ รุ้งและเพื่อน ๆ แนวร่วมมธ. ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วนะคะ และในเบื้องต้นทราบว่าข้อเท็จจริงก็เป็นไปตามที่ปรากฏ เราทั้งรู้สึกเสียใจ โกรธ และผิดหวังที่เพื่อนของเราเองไปกระทำความผิดทางเพศกับผู้เสียหาย

รุ้งและเพื่อน ๆ แนวร่วมมธ. ขออภัยต่อผู้เสียหายและต่อสังคมที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นโดยสมาชิกของกลุ่มเราเอง เราขอยืนหยัดเคียงข้างผู้เสียหาย และพร้อมที่จะสนับสนุนทั้งในเรื่องของกระบวนการทางวินัยนักศึกษา หรือทางกฎหมายหากผู้เสียหายต้องการ รวมถึงการเยียวยาทางจิตใจ หรือทางอื่น ๆ ที่พวกเราสามารถทำได้

ทั้งนี้นอกจากกระบวนการลงโทษ พวกเรายังเชื่อในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ด้วยการเข้ารับการอบรมเรื่องสิทธิเหนือร่างกาย และความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุดที่จะให้นิวเรียนรู้ ปรับทัศนคติ และสร้างความตระหนักรู้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก

รุ้งและเพื่อน ๆ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนิวได้ยุติบทบาทในกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนเราจะได้รับผิดชอบการกระทำของตนเอง และเรียนรู้ให้เข้าใจถึงประเด็นทางเพศ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครอีก”

Meta ออกโรง ขู่ปิด ‘Facebook - IG’ ในยุโรป หากถูกจำกัดด้านกฎหมาย ปิดกั้นโฆษณา

ดูเหมือนว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook สื่อโซเชียล อันดับต้นของโลกกำลังจ่อจะปิดตัวลงในยุโรป เพราะประเด็นข้อมูลกฎหมายความเป็นส่วนตัว General Data Protection Regulation (GDPR) หรือกฎหมายของยุโรปที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการดูแลข้อมูลส่วนตัวของบุคคล ที่จะถูกบริษัทหรือธุรกิจอะไรก็ตามแต่เก็บไป ซึ่งมีผลทำให้ Meta ไม่สามารถนำเข้าข้อมูลต่าง ๆ จากทางยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ของอเมริกาได้

ล่าสุดทาง Meta ออกมากล่าวว่า “หากเราไม่สามารถส่งข้อมูลต่าง ๆ ข้ามประเทศได้ในประเทศต่าง ๆ ที่เรานั้นให้บริการอยู่ มันอาจส่งผลต่อการให้บริการของเรา รวมถึงส่งผลต่อการยิงโฆษณาต่าง ๆ ที่เป็นไปอยู่” 

Meta บอกว่า ถ้าเค้าไม่สามารถจัดทำข้อตกลงใหม่ได้ภายในปี 2022 อาจเป็นไปได้ว่า จะต้องปิดให้บริการ Facebook และ Instagram ลงในประเทศแถบยุโรปทั้งหมด

London financial ก็มีการติดต่อเข้าไปหา Meta อยู่เหมือนกัน เกี่ยวกับรายงานข้างต้นว่าจริงเท็จแค่ไหน ซึ่งก็ได้คำตอบยืนยันเพิ่มเติมมาจากคุณ นิก เคล็กก์ (Nick Clegg) รองประธานฝ่ายกิจการของ Meta ว่า

“เราพยายามจัดการเรื่องนี้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจมากมายหลายรายสูญเสียรายได้ไปจากการพึ่งพา Facebook ในการดำเนินกิจการ และให้พวกเขาสามารถแบ่งปันข้อมูลให้กับเราได้อย่างปลอดภัย” 

ซึ่งแน่นอนว่าหาก Facebook และ Instagram ปิดตัวลงไปนั้นจะส่งผลต่อธุรกิจยิบย่อยต่าง ๆ มากมายในยุโรปอย่างแน่นอน ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่าทางยุโรปนั้นจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร


ที่มา : www.thebosstimes.com 

‘ราเมศ’ ตกใจ ‘ถวิล’ ลาออก ปชป.ซบก้าวไกล ยอมรับพรรคสูญเสียบุคลากรสำคัญ  

“ราเมศ” ตกใจ “ถวิล” มือ กม. ปชป. ลาออกซบก้าวไกล เผยส่วนตัวผูกพันมากถือเป็นครูด้านร่างกฎหมาย ยอมรับพรรคสูญเสียบุคลากรสำคัญ  

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่นายถวิล ไพรสณฑ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายของพรรคฯ ลาออกจากสมาชิกพรรคว่า ยังตกใจและเสียใจอยู่ เหตุเพราะนายถวิลกับตนมีความผูกพันกันมาก ทำงานร่วมกันมาโดยตลอดในด้านกฎหมาย นายถวิลจะรับผิดชอบงานกฎหมายในส่วนของร่างกฎหมาย ที่ร่างกฎหมายเกือบทุกฉบับต้องผ่านการตรวจตราจากนายถวิล เพราะมีความเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมายมาก 

โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น การกระจายอำนาจ และพรรคก็ได้ให้นายถวิลดูแลรับผิดชอบเรื่องท้องถิ่นมาโดยตลอด ในส่วนของพรรคให้ความสำคัญกับเรื่องท้องถิ่นเป็นอย่างมากเห็นได้จากนโยบายที่มีความก้าวหน้ามากกว่าทุกพรรค เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ยื่นแก้ รธน. เรื่องท้องถิ่น นายถวิลก็เป็นคนทำร่างฉบับนี้

“เมื่อวานนี้ (8 ก.พ.) เวลาประมาณ 16.30 น. หลังจากที่ผมได้เสร็จสิ้นการว่าความที่ศาลอาญา เห็นนายถวิลโทรมาในช่วงกลางวันสองครั้งแล้ว ผมไม่ได้รับสาย เมื่อโทรกลับไป นายถวิลบอกว่า ผมโทรมาลาคุณราเมศ ผมก็ถามว่าท่านจะลาไปไหน ได้รับคำตอบว่า ผมลาออกจากพรรคแล้ว โดยได้ไปยื่นใบลาออกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังพูดเลยว่า ท่านจะทิ้งผมไปไหนเหรอครับ ท่านก็บอกตรงๆ ว่าไปช่วยเรื่องท้องถิ่นพรรคก้าวไกล และได้พูดถึงเหตุผลที่ลาออก แต่ขอไม่พูดในส่วนนี้เพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว” นายราเมศ กล่าว

นายราเมศกล่าวด้วยว่า ต้องถือว่าพรรคฯ ได้สูญเสียบุคลากรที่สำคัญไปอีกหนึ่งคน นายถวิลถือได้ว่าเป็นครูในด้านการร่างกฎหมายที่คอยให้คำปรึกษาได้เป็นอย่างดี เป็นคนเดียวที่จะเข้าพรรคมาทำงานทุกวัน ทุ่มเททำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งคงไม่อธิบายอะไรมาก อธิบายความรู้สึกได้ในตอนนี้คือ รักและเคารพเสมอตลอดไปโดยส่วนตัวตกใจและเสียใจ แต่ก็ต้องเดินหน้าทำงานต่อไป ขณะนี้ในพรรค งานกฎหมายบุคลากรก็น้อยลงเต็มที คงต้องกลับมาคิดทบทวนเช่นกันว่าจะวางแผนการทำงานด้านกฎหมายอย่างไรต่อไปในอนาคต

‘สวิสโฮเต็ล’ ไล่ออกหนุ่มเทน้ำราดหัวนักมวยสาว ลั่นไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

‘โรงแรมสวิสโฮเต็ล’ ประกาศเลิกจ้างหนุ่มเทน้ำราดหัวนักมวยสาว ลั่นไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งในและนอกเวลาปฏิบัติงาน

จากกรณี น.ส.แพรพลอย แซ่เอี้ย หรือ ‘แพรพลอย ม.กรุงเทพธนบุรี’ ฉายา ‘เพชรพลอย ขวาท่อนซุง’ นักมวยสาว ถูกชายที่ไม่รู้จักราดน้ำใส่ที่หัว หลังจากปฏิเสธที่จะชนแก้วด้วย จึงได้ถีบพร้อมกับออกหมัดใส่ชายคู่กรณี

ต่อมา น.ส.แพรพลอย พร้อมด้วยพี่ชายและครูมวยเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.จำลอง เรือนใหม่ สว.(สอบสวน) สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีกับคู่กรณี ซึ่งเป็นพนักโรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ก่อนตำรวจจะสอบปากคำทั้งคู่ โดยแจ้งข้อหาฝ่ายชายฐาน ทำสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนและทะเลาะวิวาท ส่วน น.ส.แพรพลอย ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นและทะเลาะวิวาท ปรับคนละ 1,000 บาท

ล่าสุดทางเพจ Swissôtel Bangkok Ratchada ได้โพสต์ข้อความว่า

‘โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ขอเรียนชี้แจงกรณีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงาน

คณะผู้บริหารได้ทราบถึงเหตุการณ์ และพิจารณายุติการว่าจ้างตามนโยบายและมาตรฐานของโรงแรมฯ ในการลงโทษขั้นสูงสุด

ทั้งนี้ ทางโรงแรมฯ ไม่สนับสนุนการกระทำความผิด รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งในและนอกเวลาปฏิบัติงานของพนักงานทุกคน

ทางโรงแรมฯ ขอให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจ ในมาตรฐานการให้บริการ และนโยบายความปลอดภัยสูงสุดของโรงแรมฯ 

คณะผู้บริหารโรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา’

"ทิพานัน" ซัด "ไทยสร้างไทย" หรือ "ไทยทำลายไทย" ทำเข้าใจผิดปมม็อบรถบรรทุก แนะ ปชช.เลิกเชื่อ นักการเมือง ตัดตอนข้อความ "นายกฯ"

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ตัดข้อความบางช่วงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยนำไปทวีตข้อความในทวิตเตอร์ ว่า”แล้วมีคนเดือดร้อนเยอะไหมเรื่องน้ำมันเนี่ย"กรณีม็อบรถบรรทุกประท้วงเรื่องราคาน้ำมันแพง ไปวิจารณ์ว่าไม่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นการตัดต่อข้อความบางช่วงบางตอน แล้วไปนขยายเสนอสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคม เพราะเป็นเพียงช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเหมือนเป็นการย้อนถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ถึงความเดือดร้อนมันเกิดขึ้นทุกกลุ่ม และยังได้อธิบายความต่อ โดยนายกฯได้กล่าวว่า  

“แล้วมีคนเดือดร้อนเยอะไหมเรื่องน้ำมัน หรือเฉพาะรถบรรทุก รัฐบาลดูแลทุกกลุ่มไหม ในเมื่อต้นทุนราคาน้ำมันมันเป็นอย่างนี้ รัฐบาลได้ใช้ทุกวิธีการที่จะดูแลให้ราคาไม่สูงเกิน ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนมาก รัฐบาลก็ต้องทำอย่างนี้”

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นายกฯชี้แจงต่อไปด้วยว่า “เรามีงบประมาณมากน้อยเพียงใด อันที่หนึ่ง อันที่สองกลไกต่างประเทศ เป็นอย่างไร ต้องเข้าใจ ไม่ใช่เดือดร้อนเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เดือดร้อนทุกกลุ่มนั่นแหละ ทั้งภาคการผลิต ภาคการบริโภค ภาคการขนส่ง ก็ต้องช่วยกัน สถานการณ์ในวันนี้เป็นอย่างนี้อยู่ รัฐบาลได้ทำหลายมาตรการมาอย่างต่อเนื่องเข้าใจไหม ก็กรุณาติดตามดูสถานการณ์ต่างประเทศเขาบ้าง เปรียบเทียบ  เทียบเคียงดูบ้าง มันก็เดือดร้อนทุกคน แต่รัฐบาลทำให้หรือเปล่า ก็ทำให้ไม่ใช่หรือ รัฐบาลเอาเงินไหนมาดูแล ก็เอาเงินส่วนรวมนั่นแหละมาดูแล ทุกกลุ่มทุกฝ่าย ขอให้เข้าใจสถานการณ์ตรงนี้ด้วย” 

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ยังสามารถหาชมได้เพราะอยู่บนอินเตอร์เนตมากมาย และเชื่อว่าหากพี่น้องประชาชนได้อ่านหรือฟังคำให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มของท่านนายกรัฐมนตรีจะเข้าใจถึงเจตนาในการสื่อสารดังกล่าว ว่าได้พยายามหามาตรการช่วยเหลืออกลุ่มมวลชนรถบรรทุกอย่างเต็มที่ และไม่ลืมที่จะต้องดูให้ครบทุกกลุ่ม แก้อันนี้ก็อาจกระทบกลุ่มอื่น ทุกการแก้ไขต้องสอดคล้องกัน  ในขณะเดียวกันก็ขอวิงวอนให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกลุ่มอื่นๆด้วย จะเห็นว่าเป็นความปราถนาดีต่อคนทุกกลุ่มนั่นเอง

หญิงสาวแชร์คลิปถูกแฟนเก่าทำร้ายจนสูญเสียดวงตา แต่อีกฝ่ายรอดคุก แถมเยียวยาไม่นานก็เงียบหาย

เฟซบุ๊ก 'Thanyarat Thamoi' หรือ ธัญญารัตน์ ถาม่อย ผู้สื่อข่าวจากช่อง 8 ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี นางสาวณัฐณิชา ประมูลชัย หรือ 'น้องนัท' หญิงสาววัย 23 ปี ที่ได้โพสต์คลิปการใส่ดวงตาเทียมของตัวเองลงใน TikTok พร้อมเขียนข้อความว่า “ตอนแรกก็อายที่จะลง แต่ว่าคนที่อายไม่ควรเป็นเรา” 

โดย นัท เล่าเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในใจของเธอมา 6 ปีเต็ม หลังเธอถูกแฟนเก่าซ้อมจนเกือบตายต้องเสียดวงตาไปหนึ่งข้าง นัทบอกว่าแม่ของเธอแทบใจสลายเพราะเงินแสนที่อีกฝ่ายต้องให้ เทียบไม่ได้กับอวัยวะที่แม่ให้มาครบ 32 

หลังคลิปนี้เผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาดูมากกว่า 2 ล้านครั้ง ให้กำลังใจและชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ

เรามีโอกาสได้คุยกัน... 

ถ้าไม่รู้เรื่องราวมาก่อน เราแทบไม่สังเกตเห็นร่องรอยความเจ็บปวด นัทไม่ต่างจากเด็กสาววัยรุ่นบุคลิกสดใสคนหนึ่ง 

นัทเล่าว่าเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้าย เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ขณะเธออาศัยอยู่ที่บ้านแฟนเก่าที่ #จังหวัดภูเก็ต แล้วเกิดมีปากเสียงกันเรื่องเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายซึ่งมีพฤติกรรมรุนแรงอยู่แล้ว ทำร้ายร่างกายและชกเข้าที่เบ้าตาจนเธอสลบไป 

นัทตื่นมาอีกทีที่โรงพยาบาล... 

แพทย์แจ้งว่าต้องผ่าตัดเอาเนื้อดวงตาของเธอออกหนึ่งข้าง เนื่องจากดวงตาและเบ้าตาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก นัทรักษาตัวอยู่นาน จนถึงวันนี้เธอยังคงต้องใส่ดวงตาเทียมและใช้สายตาได้เพียงแค่ข้างเดียว 

ส่วนผู้ก่อเหตุ... 

ขณะนั้นเขาอายุ 17 ปี ถูกจับขึ้นศาลเยาวชนในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่นานก็ได้รับการประกันตัวออกมา ศาลสั่งให้จ่ายค่าเยียวยา 270,000 บาท โดยฝ่ายผู้ก่อเหตุเจรจาขอผ่อนจ่ายเดือนละ 5,000 บาท แต่ชดใช้ไม่นานก็หายเงียบ 

นัทกับแม่ก็เลือกที่จะกลับมาใช้ชีวิตและหางานที่กรุงเทพฯ เพราะไม่มีเงินไม่มีเวลาจ้างทนายความไปเดินเรื่องที่ภูเก็ต ตอนนี้เธอใส่ตาเทียม 1 ข้าง และขายของเป็นแชมพูสำหรับหมาแมวทางออนไลน์ มีแฟนที่ดี และมีชีวิตของตัวเองที่เลือกจะสู้ต่อ 

สาเหตุที่นัทตัดสินใจออกมาเล่าเรื่องของตัวเอง 

นัทเล่าว่าเธอไปเห็นคลิปข่าวต่างประเทศเรื่องการตัดสินคดีที่เยาวชนก่อเหตุรุนแรงและต้องถูกจำคุก จึงนึกย้อนถึงเรื่องของตัวเองที่ติดอยู่ในใจมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายไม่เคยต้องเสียอิสรภาพ และยังใช้ชีวิตดีๆ อยู่ โดยไม่ชดใช้เยียวยาเธอด้วยซ้ำ

นัทอยากให้กำลังใจหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ถูกกระทำหรือตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ให้ออกมาพูดและยืนหยัดต่อสู้ นอกจากนั้นคือการภูมิใจในร่างกายของตัวเอง เหมือนที่เธอภูมิใจและมั่นใจ แม้จะไม่มีร่างกายครบ 32  

ไม่จำเป็นต้องอาย เพราะคนที่ควรต้องอายคือผู้กระทำ


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10220793801343625&id=1495843487

“นายกฯ” ขอบคุณสหรัฐฯ มอบอุปกรณ์สู้โรคโควิด-19 ชี้ แสดงถึงมิตรภาพใกล้ชิดสองประเทศ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯและนายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ส่งมอบอุปกรณ์เพิ่มเติมในการตรวจวินิจฉัยและการฉีดวัคซีนมูลค่ากว่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (49.5 ล้านบาท)ให้แก่ประเทศไทยในการต่อสู้โรคโควิด-19 โดยน้ำใจไมตรีของสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของไทย-สหรัฐฯ มาเป็นระยะเวลายาวนาน รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่ต้องการแก้ไขสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ร่วมกัน

สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้ส่งมอบอุปกรณ์ในนามขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development: USAID) ประกอบด้วยน้ำยาตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR และตรวจหาการกลายพันธุ์ด้วยเทคโนโลยี NGS (Next Generation Sequencing) อุปกรณ์สำหรับการฉีดวัคซีน และชุดป้องกันร่างกายส่วนบุคคล โดยส่งมอบให้แก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ณ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่ง USAID มอบความช่วยเหลือให้แก่รัฐบาลไทยในการรับมือกับโรคโควิด-19 แล้ว กว่า 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (409 ล้านบาท) ผ่านหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมยังสนับสนุนไทยส่งเสริมศักยภาพในการวินิจฉัยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ในช่วงแรกของการระบาด มอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทย สื่อสารข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรคโควิด-19 แก่แรงงานข้ามชาติและบุคคลในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงเสริมสร้างศักยภาพในการวินิจฉัยและกำลังคนในการตรวจโรค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top