Wednesday, 3 July 2024
Hard News Team

“สุชาติ” ย้ำขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์

สุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. ย้ำขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวการบริโภคสินค้าในประเทศตามนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ  ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เมษายน 2564 รวม 6 วัน นั้น จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น

ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดให้ลูกจ้างเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาขอให้ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปเดินทางด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติตัวตามชีวิตวิถีใหม่ และแนวปฏิบัติในการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค COVID-19

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.ได้ประกาศ ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนามีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญในการเดินทางประการหนึ่งขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ  ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

“บิ๊กป้อม” ปัด ส่ง “ธรรมนัส” คุมเลือกตั้งผู้ว่ากทม. พร้อมหนุน ‘จักรทิพย์’ โว 5 ปี นั่งผบ.ตร.ทำเพื่อประชาชนมาตลอด

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่าพล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ คุมการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และให้ส.ส.และส.ก.สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ในการสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ว่า ไม่มี ตนไม่ได้พูด ยืนยันว่าพรรคพปชร.ไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคแน่นอน แต่จะสนับสนุนใครเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สามารถทำได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าบุคคลที่พรรคสนับสนุน คือ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่รู้ เมื่อถามย้ำว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่าพล.อ.ประวิตร แนะนำว่าถ้ายังไม่ทำอะไรให้มาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามพล.ต.อ.จักรทิพย์ ส่วนตัวถ้าเขาจะลงก็ดี เพราะตั้งใจทำงาน เป็นผบ.ตร.มาตั้ง 5 ปี ทำงานให้กับประชาชนมาตลอด ก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าการสนับสนุน พล.ต.อ. จักรทิพย์ ลงสมัครเพื่อเป็นนอมินีให้กับพรรคพปชร.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวดูก่อน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวปัญหาภายในของพรรคพปชร. ที่มีการแบ่งกลุ่ม 4 ว และกลุ่ม 4 ช เพื่อชิงเก้าอี้เลขาธิการพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ๆ ส่วนจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อไหร่ เดี๋ยวบอกก็รู้เอง

เมื่อถามว่าจะเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้แล้วแต่สมาชิกพรรค

จับตา 'คลัง'เคาะภาษีบุหรี่ใหม่ ตอบโจทย์ 4 ด้าน ระบุไม่จำเป็นต้องคงอัตราเดียวกัน

วันที่ 5 เมษายน  2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า จะนำผลการศึกษาเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากโครงสร้างภาษีตุลาคม 2564 จึงต้องการสรุปรายละเอียดเพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและเตรียมปรับตัวในการดำเนินธุรกิจต่อไป

สำหรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่นั้น จะต้องตอบโจทย์ 4 เรื่อง คือ 1. ด้านสาธารณสุข 2. ด้านเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ จะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 3. ด้านรายได้ของรัฐบาลจะต้องไม่ลดลง และ 4. ด้านการดูแล บริหารจัดการบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอม ภายใต้โจทย์ทั้ง 4 เรื่องนี้ โครงสร้างภาษีใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าบุหรี่บางกลุ่มต้องการ เพราะว่ามีข้อเสนอที่สุดโต่งเกินไป

นายลวรณ กล่าวอีกว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัตราเดียวเหมือนต่างประเทศ หรือตามกฎหมายเดิมที่ใช้ในปัจจุบัน โดยจะมีการปรับให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบทของผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากที่สุด จึงยังบอกไม่ได้ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะอัตราเป็นอย่างไร จะเป็นอัตราเดียว หรือหลายอัตรา

"โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะมีการเสนอผลการศึกษาให้ รมว.การคลัง พิจารณาเห็นชอบมากกว่า 1 ทางเลือก ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เสนอว่าให้มีการจัดเก็บอัตราภาษีบุหรี่ 3 อัตรา โดยมีอัตราต่ำขึ้น เพื่อทำให้ ยสท. ขายบุหรี่ในราคาถูกได้นั้น ก็เป็นการเสนอได้ ส่วนการตัดสินใจทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกรมสรรพสามิต" นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันกรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีบุหรี่เฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภาษีบุหรี่ทั้งหมด ทั้งผู้ค้า และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ขายใบยาสูบได้ลดลง ซึ่งทางกรมสรรพสามิตได้มีการจ่ายเงินเยียวยาให้มาเป็นเวลา 2 ปีก่อนเรื่อง

โดยล่าสุดกรมสรรพสามิตได้เสนอสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบประมาณปี 2564 วงเงิน 159 ล้านบาท ในการจ่ายชดเชยให้ผู้ปลูกใบยาสูบในปีการผลิต 2564

“อนุทิน” เผย ไม่มี “การเมือง” แทรกแซง ” หมอพร้อม” ย้ำ สธ.ใจกว้าง พร้อมฟังทุกข้อเสนอแนะ

จากกรณีที่มีข่อสงสัยกันว่า แพลทฟอร์ม "หมอพร้อม" กำลังถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว ว่า 

เรื่องสุขภาพประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ และที่ผ่านมา ทุกฝ่ายช่วยกันทำ ช่วยกันคิด และตัดสินใจบนหลักวิชาการเป็นสำคัญ ไม่มีใครเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวแน่นอน และในอนาคต ก็ไม่คิดว่า ใครจะเอาการเมือง เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เช่นกัน 

ขอย้ำว่า แพลทฟอร์มหมอพร้อม เป็นระบบข้อมูล เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบเรื่องสุขภาพของประชาชน และในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แพลทฟอร์มข้างต้น มีไลน์ หมอพร้อม และ แอพฯหมอพร้อม เดิมทีไลน์บัญชี  “หมอพร้อม” มีหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับโควิด-19 ให้กับประชาชน ต่อมาในระยะที่ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณสุข จึงเห็นว่าควรให้เป็นช่องทางสื่อสาร ให้ประชาชนได้ใช้ไลน์แอพฯ ตรงนี้ อำนวยความสะดวกในการจองวัคซีน ไปจนถึงมีการบันทึกใบรับรองกรณีได้รับวัคซีนครบ

“ปัญหาคือ มีประชาชนจำนวนมากโหลดไลน์หมอพร้อมไปใช้ และได้เข้าไปจองวัคซีน โควิด-19 แต่ไม่มีรายชื่อ และเกิดความสงสัยขึ้น บางคนสงสัยว่าระบบมีปัญหา แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ อยู่ในช่วงของการให้วัคซีนระยะแรก เป็นการให้บริการวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเท่านั้น เพื่อประคองระบบสาธารณสุข กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เช่น แพทย์ พยาบาล คนทำงานด่านหน้า ไปจนถึงประชาชนที่หากได้รับเชื้อ จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

ดังนั้น ใครที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ จึงไม่มีรายชื่อ แต่ขอย้ำว่า จากนี้ เมื่อวัคซีนมีมากขึ้น การให้บริการจะอยู่ในแผนระยะต่อ ๆ ซึ่งประชาชน จะสามารถจองใช้บริการ มีรายชื่อปรากฏ และได้รับวัคซีนแน่นอน”

ที่ผ่านมา มีความพยายามให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยบรรเทางาน ซึ่งทางกระทรวงฯสาธารณสุข และตน ยินดี รับการสนับสนุนอยู่แล้ว หากจะทำให้การบริการเป็นประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุด และไม่คิดว่านี่จะเป็นการแทรกแซง แต่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือกันมากกว่า

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลสำหรับประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ได้วางแผนรองรับส่วนนี้ไว้แล้ว ให้ประชาชนสามารถติดต่อโดยตรงไปยังโรงพยาบาลที่ได้รักษาตัวประจำ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) จะทำการสำรวจประชากรและความต้องการรับวัคซีน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ครอบคลุม

“ณัฐวุฒิ” ยังกั๊กร่วมม็อบ “จตุพร-เยาวชน” หรือไม่ ขอดูสถานการณ์ เสนอสร้างจุดร่วมเรียกร้องอิสรภาพคนหนุ่มสาวที่ถูกขัง ไม่ห่วงเรื่องตำแหน่ง ชมหนุ่มสาวไม่มีตำแหน่งก็มีพลังในตัวเอง พร้อมสวมกอดให้กำลังใจแม่ “เพนกวิน-ไมค์”

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาตามที่ศาลนัดพร้อมคู่ความคดี นปช. ชุมนุมเมื่อปี 2552 ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยภายหลังเข้าร่วมการพิจารณาแล้ว นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้นัดพร้อมฝ่ายโจทก์-จำเลย ซึ่งมีการสืบพยานกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นัดหมายเดิมถูกยกเลิก เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันนัดหมายใหม่ จำเลยหลายท่านได้ขอศาลพิจารณาลับหลัง จึงไม่ต้องมาศาล แต่ตนมาทุกนัด เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในเรือนจำต้องเบิกตัวมา จึงไม่ได้ทำเรื่องขอพิจารณาลับหลังไว้

ผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อการชุมนุมของกลุ่มสามัคคีประชาชนเมื่อวานนี้ (4 เมษายน) ที่มีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมนำ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนเคารพทุกการเคลื่อนไหวการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เวทีเมื่อคืนนี้ประกาศเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้พ้นจากอำนาจ เป็นเรื่องที่ผู้รักประชาธิปไตยเรียกร้องมาตลอดอยู่แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะพ้นจากอำนาจก็เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน และถ้ามีการชุมนุมต่อเนื่องก็ต้องติดตามกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือการรวมตัวกันของแกนนำทุกฝ่าย ผู้รักประชาธิปไตยที่มาแสดงตัว น่าจะเป็นการรวมตัวกันภายใต้เป้าหมายเฉพาะหน้าทางการเมือง คือ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นรูปธรรมของการรวมตัวกันเชิงอุดมการณ์ ทั้งในระดับแกนนำ ผู้ปราศรัย ประชาชนผู้ชุมนุม คงจะไปคาดหวังรวบรัดเอาเร็วคงลำบาก เพราะเพิ่งเริ่มกันวันแรก ยังมีนัดหมายวันต่อไป ต้องดูพัฒนาการตรงนี้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการหลอมรวมทางอุดมการณ์ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนมองได้ 2 แบบ อาจจะเติบโตขยายตัวเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายสอดคล้องกับความต้องการของผู้คน หรืออาจจะมีความแตกต่างกันทางอุดมการณ์ เนื้อหาสาระ จนทำให้ความเคลื่อนไหวก้าวเดินได้ไม่เร็วนัก

ถามว่าต้องใช้เวลาดูแค่ไหน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตัดสินใจไปถึงตรงนั้น สถานการณ์การเมืองวันนี้มีความแหลมคม ซับซ้อน เมื่อปรากฏความเคลื่อนไหวตนต้องติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว คงจะดูสถานการณ์ด้านอื่นรวมกันไปด้วย เวทีนี้ปรากฏขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันการต่อสู้ของกลุ่มเดิมคือนิสิต นักศึกษา เยาวชน มวลชนที่ขับเคลื่อนก็ยังทำหน้าที่อยู่ นัดหมายชุมนุมเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สองส่วนนี้ถึงที่สุดจะมีพัฒนาการอย่างไร แม้เวทีเมื่อคืนมีเป้าหมายชัดขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจะเป็นจุดร่วมกันได้ คือการเรียกร้องอิสรภาพให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ถูกจองจำอยู่เวลานี้ และจะถูกจองจำในอนาคตอันใกล้ จากคดีความที่แต่ละคนแบกรับกันหลายสิบคดี น่าจะถูกขับเน้นให้ชัดในทุกเวทีที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อถามถึงโอกาสที่นายณัฐวุฒิจะไปเคลื่อนไหวร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ ตนเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน ช่วงเวลาที่เราต่อสู้อย่างเข้มข้นผ่านมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้นแต่ละก้าวเดินต้องรอบคอบ รัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศไทย จุดยืนตนยืนยันชัดไปแล้ว ส่วนที่จะก้าวเดินก็ให้เวลา สถานการณ์เป็นตัวกำหนด

ถามต่อถึงกรณีนายจตุพรจะยกตำแหน่งประธาน นปช.ให้ หากร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นท่าทีของนายจตุพร ตนก็รับทราบ แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงจุดยืนทางการเมืองของตน คงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ในองค์กรไหน ไม่สัมพันธ์กับการมีหรือไม่มีตำแหน่งใดๆ ในการต่อสู้ทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ใครมีตำแหน่งไหนแล้วจะขับเคลื่อนได้มากได้น้อย มันอยู่ที่เราจะเดินไปทิศทางใด แล้วประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นอย่างไร ต้องพิสูจน์ทราบโดยการกระทำ กาลเวลา มีสถานการณ์ให้พิสูจน์ตัวตนได้ตลอดทางจนกว่าจะแตกดับหรือยุติการต่อสู้

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งที่เมียนมาก็ยกอองซานซูจีเป็นจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อชนะเลือกตั้งก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งถูกยกเลิกรางวัลสำคัญระดับโลก วันหนึ่งมีการรัฐประหาร อองซานซูจีก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ระบอบประชาธิปไตยงดงามตรงนี้ ทุกคนทุกฝ่ายเดินหน้าไปในฐานะประชาชน คนที่มีหลักการเดียวกัน ทำได้หมด เยาวชนคนหนุ่มสาวนำพาการต่อสู้มาขนาดนี้ ไม่มีใครมีตำแหน่งอะไรก็ยังมีพลังในตัวเอง

เมื่อถามถึงวันครบรอบเหตุการณ์สลายชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ในปีนี้จะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เราทำมาทุกปี มากน้อยในรูปแบบไหนอย่างไร เราก็ทำมา ปีนี้กำลังหารือกำหนดรูปแบบอยู่ เราไม่สามารถลืมเหตุการณ์นี้ได้ ต้องการให้คนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับทราบ จดจำพูดถึงเหตุการณ์นี้ คนที่บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ยังไม่ได้รับความยุติธรรม คดียังไม่ถึงศาล รายละเอียดถ้ามีความชัดเจนคงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์เสร็จ ปรากฏว่านางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และนางยุพิน จาดนอก มารดาของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ สองแกนนำกลุ่มราษฎร ที่เดินทางมายื่นประกันตัวบุตรชาย ได้เดินลงมาบริเวณบันไดหน้าศาลพอดี นายณัฐวุฒิจึงเข้าไปสวมกอดทักทายให้กำลังใจมารดาของแกนนำทั้งสอง โดยขอให้สู้ ๆ และหวังว่าบุตรชายจะได้ออกจากเรือนจำโดยเร็ว

รมว. สุชาติฯ เสนอขยายเวลาตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวถึง 16 มิ.ย. 64

วันที่ 5 เมษายน 2564  ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 มีมติเห็นชอบขยายเวลาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) จากเส้นตายเดิมวันที่ 16 เมษายน เป็น 16 มิถุนายน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ได้รับทราบข้อห่วงกังวลของนายจ้าง ผู้ประกอบการ ว่าแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 บางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 แม้ว่าสถานพยาบาลของรัฐและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีความพร้อมในการให้บริการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป 

“กระทรวงแรงงาน ได้กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ร่วมกับคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าว และมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ให้ออกไปจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 

ซึ่งกระทรวงแรงงานจะนำเสนอแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องต่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อหน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเบื้องต้นจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ มีจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานโรงพยาบาลเอกชนในการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ สถานที่ทำงานของคนต่างด้าว  และสาธารณสุขจังหวัดรับรองผลการตรวจโควิด-19 และทำประกันสุขภาพ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องวิธีดังกล่าวในจังหวัดชลบุรีที่ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากที่กรมการจัดหางาน เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวแจ้งบัญชีรายชื่อ หรือข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ตามมติข้างต้น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 64 ถึง 13 กุมภาพันธ์ 64 ผลการดำเนินการล่าสุด มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 422,305 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 68,575 คน ได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 68,548 คน และทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู/ใบอนุญาตทำงาน) 24,610 คน จากการแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของคนต่างด้าว ทั้งที่มีนายจ้าง และไม่มีนายจ้าง 654,864 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 64) ซึ่งหาก ครม.มีมติเห็นชอบ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามที่ที่ประชุมคบต.ได้เสนอไป คาดว่านายจ้าง/สถานประกอบการจะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ทัน โดยไม่ติดปัญหา

“อย่างไรก็ดี ขอย้ำให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง เร่งนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ  พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด อย่ารอดำเนินการช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลา โดยสามารถสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ชี้ระบบราชการไทยใช้งบประมาณสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก แนะปฏิรูประบบราชการด่วน ด้วยการลดขนาด ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หากต้องการนำพาประเทศรอดพ้นวิกฤต

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรมว.คลัง เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตจำเป็นต้องเร่งหาทางแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายเรื่อง เพื่อประคับประคองจีดีพีของประเทศไม่ขยายตัวตามศักยภาพ โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถทำได้ คือ การปฏิรูประบบราชการ เพื่อลดรายจ่ายของรัฐ เพราะที่ผ่านมาระบบราชการของไทยใช้งบประมาณสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% เมือเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี นับเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด และจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว

“ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีได้เพียง 16% ของจีดีพี ส่วนค่าใช้จ่ายของราชการในแต่ละปีนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของภาษีที่จัดเก็บได้ในแต่ละปี ขณะที่ในกลุ่มประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี เก็บภาษีได้ประมาณ 35% ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนงบประจำสูงเกินครึ่ง สวนทางกับประสิทธิภาพ เพราะเมื่องบเยอะขึ้นทุกปี สะท้อนได้ว่าหน่วยงานราชการก็ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่เร่งแก้ไปจะทำให้การปฏิรูประบบราชการทำได้ยาก”

ทั้งนี้ ในแนวทางการแก้ไขปัญหามีสิ่งที่สามารนำมาใช้ได้เลย คือการลดขนาดของราชการลงให้ได้มากที่สุด โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เรื่องนี้เมื่อนำเข้ามานอกจากจะลดต้นทุนได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ ยังสามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่แก้มานานไม่ได้ คือเรื่องของทุจริต คอร์รัปชันให้ลดลงได้ เรื่องนี้เราสามารถมองเห็นได้จากหลาย ๆ ประเทศที่ทำมาเห็นผลสำเร็จแล้ว

โควิดซาพาเงินเฟ้อเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมีนาคม 2564 ว่า  เงินเฟ้อในเดือนมีนาคม หดตัวลงเล็กน้อย โดยลดลง 0.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นการหดตัวที่น้อยสุดในรอบ 13 เดือน หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่กลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 14 เดือน 

รวมทั้งน้ำมันพืช และเนื้อสุกรที่ยังมีราคาสูง โดยเนื้อสุกรปรับสูงขึ้นตาม ความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับมีต้นทุนในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มอาหารสด ยังหดตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา โดยลดลงร้อยละ 1.06 ตามการลดลงของ ข้าวสาร ไก่สด ไข่ไก่ และผักสด 

ขณะที่ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ปรับลดลงตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.นี้ สำหรับสินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตสินค้า การจัดโปรโมชั่น และอุปสงค์ที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ ยังได้ปรับสมมุติฐานสำหรับคาดการณ์เงินเฟ้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในปี 2564 จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 0.7-1.7% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจะมีการทบทวนอีกครั้ง

‘บิ๊กตู่’ ด่ากราดโควิดไม่จบเพราะมีพวกไม่มีจิตสำนึก ‘หวัง’ สงกรานต์จะดีขึ้น แต่ยังมีคนฝ่าฝืนกรอบกติกา ยันถ้ารวมใจคนทั้งชาติไม่ได้ปัญหาก็จะมีแบบเดิม

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมรามา การ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยกล่าวช่วงหนึ่งถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด) ว่า

ที่ผ่านมาเราสามารถทำได้ดีและถือว่าดีมากในอันดับต้นของโลกซึ่งเราต้องทำให้ดีมากขึ้นกว่านี้ทั้งส่วนราชการ รัฐบาล และทุกคนที่ช่วยกันอย่างเต็มที่แต่ทุกอย่างต้องยอมรับว่าก็ต้องมีปัญหาบ้าง เนื่องจากเรามีจำนวนประชากรจำนวนมากมีทั้งเรื่องความแตกต่างทางความคิด การยับยั้งช่างใจ หรือความสนุกสนานอย่างเลยเถิด เพราะนี่คือมนุษย์ หรือคน ที่อยู่ในโหล มันก็วุ่นกันไปหมดเพราะต่างคนต่างมีความคิด จึงอยากขอร้องว่า หากจะแสดงความคิดก็ขอให้เป็นเชิงสร้างสรรค์ ในทางที่ไม่ขัดแย้ง ทุกคนที่เป็นคนไทยคุณเป็นแบบนี้ แต่ถ้ามีความขัดแย้งก็แก้ไขปัญหากันไปในช่องทางที่มีอยู่ ไม่ใช่ช่องทางที่ไม่ควรจะใช้ จนทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกจำนวนมาก เช่นการหยุดเชื้อไวรัสโคโรนา แม้ว่าจะรับมือได้ดี แต่ก็ยัง ไม่ได้ 100%

“รัฐบาลคาดหวังว่าในช่วงสงกรานต์ทุกคนจะมีความสุข แต่มันก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ เพราะนี่คือคน ต่อให้มีมาตรการอะไรออกมาก็ตามแต่เมื่อคนไม่ปฏิบัติตาม ยังไม่มีจิตสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน ก็จะเป็นแบบนี้นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงนี้มาก ๆ ในการรวมพลังไทยทั้งชาติ ทั้งในแง่ของประเทศชาติปลอดภัย ดับทุกข์ภัยทุกเรื่อง หลายๆ เรื่องก็โทษกันไปมา โทษรัฐบาลทั้งเรื่องอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การสูญเสียทรัพย์สิน ก็โทษแต่เจ้าหน้าที่อยู่นั่น เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลโดยเฉพาะการติดตามการใช้กฎหมาย แต่ต้องยอมรับว่ามีการเล็ดลอดทุกอย่าง มีการฝ่าฝืนมาตรการต่างๆที่กำหนดขึ้นมา มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกหรือ ทุกอย่างจะต้องแก้ตรงนี้ แก้ให้ทุกคนมีจิตสำนึก ว่าเราจะร่วมมือกันในการแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร

เพราะไม่ว่าเราจะออกกฎหมายมากี่ฉบับก็ตาม ต่อให้มีกฎระเบียบมีคนคุมหรือใช้กฎหมายรุนแรงต่างๆก็ไม่สามารถทำได้ถ้าเรารวมใจคนไทยทั้งชาติไม่ได้ ด้วยแรงศรัทธาด้วยความรักประเทศชาติ เราทุกคนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางภาวะเศรษฐกิจเกิดจากหลายอย่างเราต้องเดินหน้าไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ โดยการปรับวิธีคิดร่วมกัน ต้องร่วมกันคิด ร่วมกันทำและเดินไปข้างหน้าแต่ก็ยังมีคนบางคนก็ยังตั้งคำถามว่าเราจะทำไหวหรือ ทำไมต้องบ่นทำลายกันแบบนี้ ทำลายขวัญเจ้าหน้าที่ ทำลายขวัญกำลังใจกันเอง ทำไมไม่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมามีการพัฒนากันไปตามลำดับทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงเราต้องช่วยกันหาให้เจอ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั้งหมดทั่วโลก หลายคนมองแต่ประเทศไทยลองหันไปดูประเทศอื่นด้วยว่าได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจกันแค่ไหน เราต้องมีวิธีคิดแบบนี้ ถ้ามองเฉพาะใกล้ตัว ก็จะเห็นแต่ปัญหาของตัวเองโดยไม่รู้ว่าวิธีจะแก้ปัญหาในภาพรวมทำอย่างไร ถามแต่ว่าทำไม ไม่มีเงินแจกเงินช่วยถ้าคิดอยู่แค่นี้ก็ได้แค่นี้ ดังนั้นต้องคิดเหมือนรัฐบาลคิดว่าจะมีการทยอยดูแลคนของเราได้อย่างไรในช่วงเวลาต่าง ๆ ขณะเดียวกันต้องสร้างความเข้มแข็งด้วย อีกทั้งก็ต้องช่วยเหลือตัวเองควบคู่กันไปโดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มี ถ้าร่วมมือกันแบบนี้ทุกปัญหาจะลดลงประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไปได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงต้นว่า เช้าวันนี้ถือเป็นวันที่สดใส วันนี้แม้ฟ้าจะครึ้มมีฝนตกจึงต้องระมัดระวังสุขภาพและความปลอดภัยต่างๆในช่วงพายุฤดูร้อน มีปริมาณฝนตกทั่วประเทศในช่วงระยะเวลาต่อไปนี้เป็นบางวัน ทุกคนต้องระมัดระวัง

“บิ๊กป้อม” คุ้มครองทรัพยากรทะเล ประชุม คกก. พอใจผลคืบหน้า ขอบคุณ ปชช.ร่วมปกป้องพะยูน โลมา ลดขยะทะเล เห็นชอบพื้นที่เพิ่มเติม อนุรักษ์ป่าชายเลน/ปะการัง อนุมัติเกณฑ์ชดใช้ค่าเสียหาย เสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ

เมื่อ 5 เมษายน 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบาย และแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม  ณ  ห้องประชุม 109  สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี

ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งนับเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศชาติได้ อย่างมหาศาล และกำลังเป็นกระแสสังคมระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์/รักษาความอุดมสมบูรณ์ อย่างดีที่สุด  ซึ่งการประชุมในวันนี้ ที่ประชุม ได้รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองพื้นที่ ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ซึ่งผ่านการพิจารณาแล้วได้แก่หมู่เกาะกระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และแผนอนุรักษ์ พะยูนแห่งชาติ (ระยะที่ 1 พ.ศ.2563-2565)  จากนั้นที่ประชุม ได้เห็นชอบ(ร่าง)รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลฯ และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ.2563  

โดยสรุป ระบบนิเวศทางทะเลมีแนวโน้มดีขึ้นทั้งป่าชายเลน และแนวปะการัง  คุณภาพน้ำทะเลร้อยละ 70 อยู่ในเกณฑ์ดี และเห็นชอบ(ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการจัดการปะการังระยะ 5 ปี(พ.ศ.2564-2568) โดยมีเป้าหมายแนวปะการัง 149,025 ไร่ รวมถึงเห็นชอบหลักเกณฑ์การคิดคำนวณมูลค่าความเสียหาย ที่เกิดจากการทำลายพื้นที่แนวปะการัง  นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ให้ออกกฎกระทรวงป่าชายเลน จ.ระยองและจ.ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ ด้วย  สำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้ให้ความเห็นชอบ ความร่วมมือกับจีนในการตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยร่วมกัน  แผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล รวมถึงการเสนอขอเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ UNเพื่อการพัฒนาการศึกษาวิจัย ด้านมหาสมุทร

 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดขับเคลื่อนแผนงานที่ได้ดำเนินการมาแล้วให้เสร็จสิ้นภายในกรอบเวลาที่กำหนด อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรทางทะเลฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน พร้อมทั้งขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันอนุรักษ์ และเห็นคุณค่าทรัพยากรทางทะเลฯ ทั้งป่าชายเลน/ปะการัง/สัตว์ทะเลหายากและลดปัญหาขยะทะเล ที่ผ่านมา เพื่อเก็บมรดกทางธรรมชาติบริสุทธิ์ เหล่านี้ไว้ให้ลูกหลานไทย สืบไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top