Monday, 1 July 2024
Hard News Team

ผอ.สถาบันวัคซีนฯ ชี้!! ซิโนแวคป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% เตือน!! กลุ่มวิจารณ์วัคซีน ไม่ควรยึดข้อมูลเดียวมาตัดสิน

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลประสิทธิผลวัคซีนชิโคแวคต่อไวรัสโควิด-19 ในประเทศบราซิล พบว่าสามารถป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงได้ 50.4% อาการรุนแรงปานกลางได้ 83.7% และป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% ซึ่งวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนตัวเดียวที่ได้รับการทดสอบในกลุ่มบุลากรทางการแพทย์

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย จำนวน 61 ล้านโดส จะส่งมอบเดือนมิ.ย. มีข้อมูลตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีผลต่อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ป้องกันอาการป่วยได้ 70% ส่วนไวรัสอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์นั้นการป้องกันอยู่ที่ 85% ดังนั้นวัคซีนทั้ง 2 ตัวมีผลในการป้องกันอาการป่วยได้

นพ.นคร กล่าวอีกว่า การพิจารณาเรื่องวัคซีนนั้น ข้อสำคัญคือ ไม่สามารถจะมาเปรียบเทียบเฉพาะตัวเลข เพื่อบ่งชี้ถึงประสิทธิผลของวัคซีนเพียงลำพังเท่านั้น ต้องใช้ข้อมูลอื่นประกอบด้วยเช่น ผลการศึกษาระยะ 3 ที่แสดงผลของวัคซีนได้ทำในกลุ่มประชากรใด หากเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจำนวนมากจากพื้นที่ ที่มีการติดเชื้อสูงและพบเชื้อได้บ่อย จะไปเอาตัวเลขเปอร์เซ็นต์มาเปรียบเทียบกับวัคซีนบางตัวที่ใช้ในกลุ่มประชากรจากชุมชนทั่วไปไม่ได้ ต้องเอาทุกอย่างมาประกอบกัน

“ผู้ที่ออกวิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิผลของวัคซีนตัวนี้ ขอให้ใช้ข้อมูลความจริงทางด้านวิชาการตรงนี้ให้ครบถ้วน และพิจารณาเปรียบเทียบหลาย ๆ ส่วนกับวัคซีนตัวอื่น ที่มีการตีพิมพ์ผลงานของวัคซีนออกมาแล้ว ซึ่งจะเห็นความต่าง ความเหมือน หรือความใช้การได้ของวัคซีน ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนซิโนแวคที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิผลพอสมควรและมีประสิทธิผลมากในการป้องกันอาการรุนแรง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ และต้องฉีดให้ครอบคลุมอย่างมากและรวดเร็ว เราติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ความเชื่อหรืออคติแต่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในประเทศ และ ขององค์การอนามัยโลก”


ที่มา: https://www.facebook.com/101696788465808/posts/215848057050680/?sfnsn=mo

‘ศุภชัย ใจสมุทร’ โดดป้อง ‘เสี่ยหนู’ เปรียบดังยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่บ้านกระสุนตก ฝาก ‘บิ๊กตู่’ มองให้ดี ในสงครามโควิด ใครเป็นขุนศึกร่วมรบ - รับหอกดาบแทน ถ้าไม่ใช่ ‘อนุทิน’!

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม ถูกจับเป็น “แพะ” บูชายัญ จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู” ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวงหมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใด ๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้นเอาไว้แล้ว

ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ” ดังนั้น ในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต คนบางกลุ่มก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน” ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง

ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” ตัว “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใด ๆ แม้เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กทม. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของสธ. ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคนที่สุด แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้

การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้ แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก คน ๆ นี้ ไม่มี “เครดิต” เลยหรือ

ส่วนการที่ “นายกลุงตู่” ใช้วิธีพิเศษ รวบอำนาจจากหลายกระทรวง และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19 ก็ไม่ใช่เครื่องหมายที่จะมาตีตราว่า “เสี่ยหนู” กับ กระทรวงหมอจัดการไม่ได้ เพราะถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็น “ชัดในชัด” ว่าไม่มีอะไร “ใหม่” ทั้งการหาวัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน

แค่อยากฝากถึง “บิ๊กตู่” ว่าในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ใครคือขุนศึกร่วมรบ ก็เห็นมีแต่ “รองนายกหนูเพียงหนึ่งเดียว” ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้ลุงอย่างไม่เกรงสิ่งใด คำตอบชัดคือ “เสี่ยหนู” เวลานี้รัฐบาลควรเป็นหนึ่งเดียว อย่าให้ผู้ไม่หวังดีที่คอยเป่าขนหาแผล คิดว่าเจอรอยแยก แล้วปั่นให้ปริแตก “คนที่มีใจจริง” ไม่ใช่คนที่ออกฉาก แล้วมีแต่คำพูดที่สวยหรู แต่คือคนไม่ฆ่าน้อง ที่ทำงานใต้บังคับบัญชา ไม่ฟ้องนาย ที่เป็นผู้นำทีม ไม่ขายเพื่อน ที่ต้องทำงานร่วมกัน

#คนภูมิใจไทย

#พรรคภูมิใจไทย

เปิด 5 มาตรการ ศบค.ยกระดับ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ห้ามกินในร้าน ตรึงเวลา 14 วัน ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว

เปิด 5 มาตรการ ศบค.ยกระดับ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ห้ามกินในร้าน ตรึงเวลา 14 วัน ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว ให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. พ.ศ.2564

วันที่ 29 เม.ย. 64 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงผลการประชุมศปก.ศบค.ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดว่า โดยที่ประชุมพิจารณายกระดับการดูแลจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 ด้วยการยกระดับ 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ประกอบด้วย กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ

โดยมาตรการสำคัญสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ใน 6 จังหวัดคือ

1.) ให้พื้นที่กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

2.) ห้ามการจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน

3.) มาตรการควบคุมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กำหนดยกระดับมาตรการควบคุมบูรณาการขึ้นเพิ่มเติม สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

(3.1) ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในลักษณะของการนำกลับไปบริโภคที่อื่นได้เท่านั้น โดยงดบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และเปิดบริการได้ถึง 21.00 น.

(3.2) สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนสให้ปิดบริการ ยกเว้นสถานที่ใช้เป็นเอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ส่วนสนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ่ง เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 21.00 น. และสามารถจัดแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม

(3.3) ห้าง ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่คล้ายกัน ให้เปิดได้ตามปกติ จนถึง 21.00 น.ยกเว้นส่วนตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม และสวนสนุกที่งดบริการ

(4.) ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดปกติ แต่ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนร้านเปิด 24 ช.ม. ให้เปิดเวลา 04.00 น.

(5.) การงดการเดินทางอออกนอกพื้นที่ ให้ประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด งดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุจำเป็น

โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. พ.ศ.2564 ซึ่งยืนยันไม่ได้เป็นการประกาศใช้เคอร์ฟิว

'รศ.หริรักษ์' อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ใครก็ตามที่มีส่วนในการริเริ่ม หรือจัดการโครงการ บ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว ไม่มีสิทธิโจมตีรัฐบาลไหนทั้งสิ้นว่าทำให้ประเทศชาติเสียหายยับเยิน เพราะโครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว คือโครงการที่ทำให้ประเทศเสียหายยับเยินของจริง ชัดเจน

ทั้ง 2 โครงการนอกจากจะมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารแล้ว ยังทำให้ประเทศเสียเงินแบบสูญเปล่าอีกมหาศาลอีกด้วย

บ้านเอื้ออาทรหลายแห่งกลายเป็นหมู่บ้านร้างที่มีสิ่งปลูกสร้างคล้ายบ้านที่ดูแล้วไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นที่อยู่อาศัยได้ เรียงกันเป็นแถวยาว ใกล้ชิดกันขนาดที่หากมีคนอยู่ ก็สามารถเปิดหน้าต่างออกมาทักทาย แทบจะจับมือกับผู้ที่อยู่บ้านติดกันได้ นี่คือเงินที่สูญเปล่าทั้งสิ้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโครงการรับจำนำข้าว ที่นอกจากจะมีการทุจริตเป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ จนบัดนี้รัฐบาลยังใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ไม่จบไม่สิ้น และยังอีก 13 ปีจึงจะใช้หนี้หมด

ดังนั้นอย่าได้วิจารณ์หรือโจมตีผู้อื่นซึ่งยังไม่แน่ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างที่ถูกโจมตีจริงหรือไม่ ในขณะที่ตัวเองมีส่วนในการทำให้ประเทศเสียหายยับเยิน ของจริง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4292240754119780&id=100000016923106

“อนุทิน” จับมือ สมาพันธ์ 11 วิชาชีพ สู้โควิด-19 เผย บุคลากรสาธารณสุข ฉีดวัคซีนเกิน 90%

วันนี้ 29 เมษายน 2564  ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะผู้บริหารสธ. เข้าร่วมในงานแถลงข่าว "สมาพันธ์สภาวิชาชีพรวมใจ สู้ภัยโควิด-19" โดยสมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ทั้ง 11 สภาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สัตวแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด และสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมระดมกำลังบุคลากรในแต่ละวิชาชีพสู้ภัยโควิด-19

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การดูแลประชาชนในทุกมิติ ทั้งการรักษา ป้องกันควบคุมโรค และการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงมือแพทย์โดยเร็ว ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมจำนวนประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สมาพันธ์วิชาชีพทั้ง 11 สาขา เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกการป้องกันและควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศไทย ทุกสัญชาติ เพราะเรายึดหลักการว่า "จะไม่มีใครปลอดภัย หากทุกคนยังไม่ปลอดภัย หากเราฉีดแต่คนไทย ไม่ฉีดสัญชาติอื่นที่อยู่ในเมืองไทย เราก็พูดไม่ได้ว่าเราปลอดภัย" ดังนั้น การที่กลุ่มสมาพันธ์วิชาชีพฯ  โดยสาขาวิชาชีพสุขภาพ เข้ามาสนับสนุนภารกิจการฉีดวัคซีน ก็จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และขับเคลื่อนให้การฉีดวัคซีนบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนุทิน กล่าวว่า สธ. ได้ดูแลบุคลากรสาธารณสุข ผู้ทำงานด่านหน้าที่มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ให้ปลอดภัยจากการปฏิบัติงาน ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 100% ในเดือน พ.ค. โดยขณะนี้บุคลากรสาธารณสุขได้รับการฉีดวัคซีนเกินกว่า 90% ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากสมาพันธ์ฯ จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุขได้ และรัฐบาลก็จะจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้ผู้ปฏิบัติงาน ทำงานอย่างปลอดภัยมากที่สุด

"ผมในนามของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคนไทยทุกคน ต้องขอขอบคุณความทุ่มเทเสียสละของจิตอาสาจากทุกสภาวิชาชีพ ที่เข้ามากับ สธ. ในการบริหารจัดการโควิด-19 ส่วนการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องขอความกรุณาจากสภาวิชาชีพที่มีสมาชิกกว่า 5 แสนคน ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นำมาสู่การเข้ารับวัคซีนตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข" นายอนุทินกล่าว

'กลุ่มเรือประมงพื้นบ้านระยอง' ร่วม 400 ลำ ยื่นหนังสือให้รัฐช่วยเยียวยา หลังเหตุถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดกว่า 1,000 ไร่ กระทบวิถีชาวประมงในพื้นที่

กลุ่มประมงพื้นบ้านชายหาดเมืองระยอง 9 กลุ่ม จำนวน 450 ลำ ยื่นหนังสือให้หน่วยงานภาครัฐ เยียวยา เหตุทะเลชายฝั่งระยองที่ทำมาหากิน ถูกถมกว่า 1,000 ไร่ วิถีประมงท้องถิ่นได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยให้ใช้มาตรฐานเดียวกับท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นโมเดลนำร่อง

วันนี้ 29 เม.ย. พ.ศ.2564 นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน อ.เมือง จ.ระยอง พร้อมชาวประมงพื้นบ้านจำนวนมาก ได้นำเรือเล็กมารวมตัวกันที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อจะร่วมกันเดินทางไปยังบริเวณหน้าท่าเทียบเรือมาบตาพุด ไปยื่นหนังสือความเดือดร้อนให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามแผนที่ได้วางไว้

แต่ปรากฏว่าได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นอุปสรรคในการยื่นหนังสือ ทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงได้ประสานกับกลุ่มประมงพื้นบ้านว่าฝนตกไม่สะดวกที่จะลงทะเลไปรับหนังสือ จึงขอเดินทางมารับหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน

ต่อมาทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ได้เดินทางมายังชายหาดบ้านตากวน โดยมี ว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ นายอำเภอเมืองระยอง / เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานตำรวจภูธรเมืองมาบตาพุด และหน่วยงานที่เกี่ยงข้องทางทะเล ได้เดินทางมาเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือ และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่

ซึ่งในการนี้ ทางด้าน นายศรีนวน อักษรศรี ได้มอบหมายให้ นายอารักษ์ ศิริศรี ที่ปรึกษากลุ่มประมงพื้นบ้านระยอง เป็นผู้มอบหนังสือให้กับ นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อนำไปทบทวน และแก้ไขปัญหาให้กับชาวประมง โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าว มุ่งประเด็นให้ภาครัฐ หารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ เยียวยาชาวประมงพื้นบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

โดยให้นำแนวทางของการท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบัง มาเป็นโมเดลในการเยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดระยอง ตามสัดส่วนของความเดือดร้อน และระยะเวลาในการดำเนินการของการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุด

ทั้งนี้ นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน ได้กล่าวว่า "การมารวมตัวของชาวประมงในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ทางกลุ่มประมงไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการขัดขวาง หรือประท้วงไม่ให้มีการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดแต่อย่างใด เพียงต้องการให้ภาครัฐหันมาพิจารณา ดูแล เยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านระยอง ในกรณีได้รับความเดือดร้อนอย่างมากในวิถีประมงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะให้เปลี่ยนวิถีไปทำอาชีพอื่นคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยปัจจัยหลายประการที่ทางชาวประมงไม่สามารถเปลี่ยนวิถีได้ สุดท้ายเพียงต้องการให้รัฐเข้ามาเยียวยาช่วยเหลือ แบบเดียวกับที่ทางท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการ ให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ชาวประมงก็พอใจแล้ว"


ราชัญ กองทอง ข่าว/ภาพ

ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

เปิด 5 มาตรการ ศบค. ยกระดับ 6 จว.สีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. 64

วันที่ 29 เมษายน 2564 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงผลการประชุมศปก.ศบค.ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดว่า โดยที่ประชุมพิจารณายกระดับการดูแลจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 ด้วยการยกระดับ 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ประกอบด้วย กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ

โดยมาตรการสำคัญสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ใน 6 จังหวัดคือ 1.ให้พื้นที่กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

2.ห้ามการจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน

3.มาตรการควบคุมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กำหนดยกระดับมาตรการควบคุมบูรณาการขึ้นเพิ่มเติม สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

3.1ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในลักษณะของการนำกลับไปบริโภคที่อื่นได้เท่านั้น โดยงดบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และเปิดบริการได้ถึง 21.00 น.

3.2 สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนสให้ปิดบริการ ยกเว้นสถานที่ใช้เป็นเอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ส่วนสนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ่ง เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 21.00 น. และสามารถจัดแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม

3.3ห้าง ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่คล้ายกัน ให้เปิดได้ตามปกติ จนถึง 21.00 น.ยกเว้นส่วนตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม และสวนสนุกที่งดบริการ

4.ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดปกติ แต่ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนร้านเปิด 24 ช.ม. ให้เปิดเวลา 04.00 น.

5.การงดการเดินทางอออกนอกพื้นที่ ให้ประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด งดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุจำเป็น
โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค.2564 ซึ่งยืนยันไม่ได้เป็นการประกาศใช้เคอร์ฟิว

“จตุพร”ระบุไล่ “ประยุทธ์” ยก 3 จัดเต็ม ร่วมทุกฝ่ายทั้งการเมือง-ปชช.-นักวิชาการ เผย 1-2 พ.ค.นี้ มี ส.ส. มาร่วมส่งเสียงไล่ประยุทธ์ออกไป “เสรีพิศุทธ์-วิโรจน์-วันมูหะหมัด-ชลน่าน” เชื่อ ปชป.-ภท.ถูกถีบออกก่อนยุบสภา แขวะนายกฯ รวบอำนาจ กม. 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึก?

เมื่อ 29 เมษายน 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยกล่าวถึงการจัดอภิปรายของคณะสามัคคีประชาชนในช่วงยก 3 วันที่ 1-2 พ.ค.นี้ จะมีนักวิชาการ ส.ส.หลายคนมาร่วมอภิปรายชำแหละระบอบประยุทธ์ ที่ปกครองประเทสไทยมากว่า 7 ปี แต่ไม่มีผลงานสำเร็จให้คนไทยได้ชื่นชมสักชิ้นงาน 

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอรวบอำนาจจากกฎหมายทั้ง 31 ฉบับมาไว้ที่คนเดียว เท่ากับเป็นการยึดอำนาจจาก ครม.และไม่มี รมต.คนใดคัดค้าน เปรียบเหมือนเป็นการรัฐประหารรูปแบบใหม่  

ดังนั้น การรวบอำนาจเช่นนี้ จึงแสดงถึงประยุทธ์ มีความคิดแยบยลในการยึดรวบอำนาจ จึงดูแคลนคนนี้ไม่ได้ เพราะหากไม่แน่จริงเขาคงจะไม่อยู่มาได้ถึง 7 ปี ทั้งที่การทำงานไม่ได้เรื่องสำเร็จสักเรื่องเลย 

ถึงที่สุดแล้ว การรวบอำนาจล่าสุดของประยุทธ์ เท่ากับทำให้สถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค. 2557 แม้ไม่มีทหารออกมาบนถนนก็ตาม โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปกครองของ “ระบอบประยุทธ์” ได้ชัดเจน ว่า ต้องการให้อำนาจทั้งปวงอยู่ที่คน ๆ เดียว คือ ประยุทธ์ เปรียบเหมือนการเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์อีกแบบหนึ่งที่ได้อำนาจต่อเนื่องมาจากการรัฐประหาร 

"มีผู้ใหญ่สงสัยว่า เมื่อประยุทธ์ ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ทำไมจึงไม่เข้าเฝ้าในหลวงเพื่อถวายรายงานโควิด และขอคำปรึกษาจากพระเจ้าแผ่นดิน เพราะบริหารแผ่นดินมา 7 ปี ทำเอาประชาชนย่อยยับในทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ใหญ่ฝากมาว่า ทำไมจึงไม่ขอเข้าเฝ้าอีก" 

พร้อมกล่าวว่า การบริหารที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องรวบอำนาจมาอยู่ที่คนเดียว ต้องเฉลี่ยอำนาจไปอยู่ที่ ครม.รับผิดชอบ ดังนั้น จะเชื่อมั่นในระบบคนๆเดียวได้อย่างไร เพราะเมื่อรัฐประหารมีอำนาจคนเดียวแล้ว ยังไม่มีความสามารถในการบริหารและตระบัดสัตย์คำมั่นสัญญา โดยสิ่งที่รับปากจะปฏิรูปทั้งหลายมาเคยทำได้สักเรื่องเดียว สัญญาจะแก้ รธน.ก็ตระบัดสัตย์ แล้วสุดท้ายกลับไปลงที่ต้องการสืบทอดอำนาจให้ยาวนานอีกตามเดิม 

"ผมขอบอกไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า วันหนึ่งต้องถูกเขี่ยทิ้งแน่นอนอยู่แล้ว การยึดอำนาจในกฎหมาย 31 ฉบับบอกได้อย่างดีและชัดเจนแล้ว อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยที่กลุ่มหมอไม่ทนออกมาไล่นั้น ไม่รู้หรือใครอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น สองพรรคการเมืองนี้ต้องถูกถีบออกก่อนยุบสภาอยู่แล้ว” 

อีกอย่าง ภายใต้ระบอบประยุทธ์นั้น พรรคการเมืองเข้ามาร่วมรัฐบาลทั้งหลายแทบไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่พรรคเหล่านี้ตระบัดสัตย์ต่อประชาชนไปเข้าร่วม แล้วการยึดอำนาจด้วยกฎหมาย 31 ฉบับ ยังไม่รู้สึกอะไรอีกหรือ และยังต้องการอยู่เพื่ออำนาจรัฐบาลเท่านั้นหรืออย่างไร 

“คณะสามัคคีประชาชนจึงต้องขับเคลื่อนไม่ให้ประยุทธ์ ทำงานอีก เพราะทำอะไรสำเร็จไม่ได้สักเรื่องตลอด 7 ปี แล้วการรวบอำนาจ 31 ฉบับจะอ้างว่า ไม่มีอำนาจอย่างนั้นหรือจึงแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเมื่อยึดอำนาจ 22 พ.ค. 2557 มีอำนาจเต็มยังทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น จึงต้องไล่ประยุทธ์ ให้ออกไป เพราะไม่สมควรให้เป็นนายกฯ ในประเทศไทยอีกต่อไปแม้แต้เพียงวันเดียว” 

นายจตุพร กล่าวว่า การไล่ประยุทธ์ ในวันเสาร์-อาทิตย์ (1-2 พ.ค.) ที่จะถึงนี้ แบ่งเป็น 2 ภาค โดยภาคเริ่มแรกบ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น จะมีหมู่มิตรคณะสามัคคีประชาชน ไทยไม่ทน เปิดเวทีปราศรัย ส่วนภาคสองเป็นช่วงสี่โมงเย็นเป็นต้นไป จะเป็นเวทีแขกรับเชิญทั้งนักการเมืองและนักวิชาการการเข้ามาร่วมด้วย 

โดยสัปดาห์นี้ (1-2 พ.ค.) มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าเพื่อไทยฝ่ายเศรษฐกิจ นายประพัฒน์ จงสงวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมทั้งนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ เต้ พระรามเจ็ด ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และมีอีกหลายคนต้องคิดตาม 

"ผมเชื่อว่าวันนี้ในซีกการเมือง กับฝ่ายประชาชนต่างส่งเสียงเหมือนกัน ว่า ประยุทธ์ ออกไป การมาร่วมของทุกฝ่ายนั้นล้วนจำเป็นอย่างยิ่ง หากไม่สามัคคีกันก็ถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง อยู่ในสภาพสังคมไร้อนาคตเหมือนเดิม จึงขอบอกว่า เจตนารมณ์ของคณะสามัคคีประชาชน คือ เปิดประตูทุกบาน ใช้หลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ต้อนรับทุกคนในฐานะปัจเจกมาร่วมกันมาไล่ประยุทธ์ ออกไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคนไทยในชาติ” 

ส่วนการประกันตัวเพนกวินและแกนนำราษฎรนั้น นายจตุพร ยืนยันว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาและทุกคนต้องเคารพในสิทธินี้ด้วย พร้อมกับหวังว่า ทุกคนจะต้องได้ประกันตัวกลับไปสู่อ้อมอก พ่อ แม่ พี่น้อง สิ่งนี้เป็นความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ขณะเดียวกันตนก็เคารพสิทธิของผู้พิพากษาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า การแสดงความคิดแตกต่างทางการเมืองนั้น ไม่ควรต้องมีใครไปถูกขังคุกแม้แต่รายเดียว 

"ผมหวังว่า เมื่อประชาชนทุกฝ่ายส่งเสียงเหมือนกัน นั่นคือเสียงไล่ประยุทธ์ ออกไป วันนั้นความสามัคคีของประชาชนคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของประเทศนี้ จึงชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมส่งเสียงในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ และต่อเนื่อง” 

'ฉะเชิงเทรา-ภาครัฐ' อืด!! ทำเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงโอด!! ชวดเงิน 18 ล้าน

ภาครัฐทำงานล่าช้า ส่งผลกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวดเงินที่รัฐบาลจะใช้ช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินกว่า 18 ล้านบาทเศษ

วันนี้ 29 เม.ย. นายพลูทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร โดยกล่าวถึงปัญหาขั้นตอนในการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าจนทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปที่กระทรวงพาณิชย์ใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนเงินที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจาก 27.81 ล้าน ขณะนี้ได้มีจังหวัดอื่นๆ ขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอีกหลายจังหวัด ทำให้ส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเหลือเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น

ด้านนายประโยชน์ โสรัจจกิจ (อดีตประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา) ประธานกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ซึ่งนำกลุ่มเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ กล่าวว่า ฉะเชิงเทราเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลากะพงมากที่สุดในประเทศ แต่เนื่องจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว จึงส่งผลให้ปลากะพงตกค้างในฟาร์มเลี้ยงจำนวนมากและมีราคาตกต่ำ เกษตรกรขาดเงินทุนหมุนเวียน และขาดทุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรที่ขอให้ช่วยเหลือ โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และมีการประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติงบประมาณจำนวน 27.81 ล้านบาท มาให้ดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อการระบายปลาจำนวน 600 ตัน ภายในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2564 แต่เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบภายในจังหวัดดำเนินการไม่ทันตามกรอบเวลาข้างต้น ทำให้งบประมาณถูกเรียกคืนไป

ทางหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา โดย นายประโยชน์ โสรัจจกิจ ประธานหอฯ จึงได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ติดตามโครงการที่ถูกยกเลิก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง

จากนั้นทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงปลัดกระทรวงพาณิยย์ และ อธิบดีกรมการค้าภายใน แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2564 นายประโยชน์ โสรัจจกิจ อดีตประธานหอการค้าฯ และประธานเกษตรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุทธิ มะหะเลา พร้อมด้วยเกษตรกรจำนวน 24 คน จึงได้เดินทางไปที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยการประสานงานจาก นายอมรชัย ปิ่นเจริญ เพื่อขอพบท่านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ พร้อมกับเจ้าหน้าที่บริหารของกรมการค้าภายใน เพื่อติดตามเรื่องความช่วยเหลือฯ และในวันที่ 8 เมษายน 2564

โดยสำนักงานปลัดกระทวงพาณิชย์มีหนังสือเรื่อง การเสนอโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงปี 2564 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการโครงการต่อ แต่งบประมาณที่จะนำมาช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะได้งบประมาณในการช่วยเหลือ 27 ล้านบาทเศษ


สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ/ฉะเชิงเทรา

เปิดราคาที่ดินเปล่า ลดลงครั้งแรกรอบ9ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยแนวโน้มราคาที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ราคาที่ดินเปล่าปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก และมีสัญญาชะลอตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายต่อเนื่องหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และยังพบว่าความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่มาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต

สำหรับ ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 1 มีค่าเท่ากับ 326.2 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 11.2% จากปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อไตรมาส  นอกจากนี้เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วยังพบว่าราคาที่ดินปรับตัวลดลง 2.2%  ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกรอบ 9 ปี นับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 55   

ส่วนทำเลที่มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 64 ส่วนใหญ่ยังเป็นที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑล สาย 4 ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการปรับดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 38.3% และเส้นทางสายนี้เป็นแนวรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค ที่เปิดให้บริการแล้ว 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top