Wednesday, 3 July 2024
Hard News Team

รัฐบาลลดภาระหนี้ กยศ. ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 64 เป็นต้นไป 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยปัญหาหนี้ทั้ง กยศ. และปัญหาหนี้สินครู จึงมอบหมายให้หน่วยงานเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ดังนั้น รัฐบาลโดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงได้ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืนกองทุน สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินและทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

รวมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและมิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้หรือเคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564    พร้อมขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมสู้ภัยโควิดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นอกจากนี้ จะชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ผิดนัดชำระหนี้ประจำปี 2563 และปี 2564 ยกเว้นคดีที่จะขาดอายุความในปี 2564  ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากที่มีการเปิดตัว “กยศ. Connect”  เพื่อเป็นช่องทางดิจิทัลสำหรับการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป มียอดดาวน์โหลด ถึงวันที่ 28 เม.ย. ตำนวน 2,580,553 ราย โดยเงื่อนไขการกู้ยืมยังเป็น 4 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 นักเรียน/นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 นักเรียนหรือนักศึกษา ที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และลักษณะที่ 4 นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี เพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยเปิดให้กู้ในระดับปริญญาโทด้วยซึ่งเป็นตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องเห็นเด็กไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาทุกคน   

“จุรินทร์” ย้ำคำสั่งรมต.คุมโซนจังหวัดจบแล้ว ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด ยัน ณ เวลานี้พรรคร่วมยังทำงานมีเอกภาพอยู่ มั่นใจรบ.แก้ปัญหา “ศก.-โควิด-การเมือง”ได้ ปัดตอบยุบสภาปลายปี

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นากยรัฐมนตรี ยกเลิกคำสั่งมอบหมายรัฐมนตรี รับผิดชอบภารกิจขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันแลในแต่ละจังหวัด โดยให้รองนายกรัฐมนตรีดูแลกลุ่มจังหวัดแทน โดยอ้างสถานการณ์โควิด-19 แต่ ส.ส.ภาคใต้พรรคพลังประชารัฐยังไม่พอใจ และจะเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐได้ดูแลพื้นที่ภาคใต้ ว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ได้คุยกับพลังประชารัฐ เพราะเข้าใจว่า เป็นเรื่องของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีไม่ได้แจ้งอะไร แต่ตนได้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่เห็นตรงกันว่า การออกคำสั่งดังกล่าว น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์นี้

จึงเรียกได้ว่าอย่างน้อยในเบื้องต้นเรื่องนี้บอกว่าจบแล้วก็น่าจะได้ และถัดจากนี้หากจะมีเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ตนคิดว่าก็จะมีการหารือกัน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาโดยไม่จำเป็นเมื่อถามว่า ถือว่าเรื่องนี้เข้าใจกันดีแล้วใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือว่าจบได้ อย่างน้อยที่สุดในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนนายกรัฐมนตรี ได้ส่งสัญญาณใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งในที่ประชุมแล้ว ถึงการแบ่งงานให้รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในเขตจังหวัด แทนการแบ่งให้รัฐมนตรีไปดูแล จึงเป็นการยกเลิก และยุติความเห็นที่ไม่ตรงกัน 

เมื่อถามถึงปัญหารการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ลงรอยกัน ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นปัญหาจนถึงขั้นต้องยุบสภาเหมือนที่มีการปล่อยข่าวออกมาหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การเป็นรัฐบาลผสม ถือเป็นเรื่องปกติเพราะมาจากหลายพรรคการเมืองที่มารวมกันอาจจะมีปัญหาความไม่เข้าใจเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นธรรมชาติของรัฐบาลผสมทั่วโลก เมื่อมีปัญหาความไม่เขาาใจเกิดขึ้นก็ต้องหาทางคลี่คลายทำความเข้าใจกัน โดยถือเป้าหมายในการทำงานเพื่อบ้านเมืองร่วมกัน ถ้ามีกลไกลรูปแบบวิธีการเหมือนที่ผ่านมา ตนคิดว่าทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้ และผ่านพ้นสถานการณ์ที่อาจจะเกิดความไม่เข้าใจต่อกันไปได้ 

“ขณะนี้ผมคิดว่านายกรัฐมนตรี ก็จะพยายามแก้ไขปัญหาไปที่ละเปาะก็น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สำคัญที่สุดก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดประชาชน เพราะตอนนี้รัฐบาลต้องเผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจ โควิด และปัญหาทางการเมือง แต่ผมมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้ว่าทั้งสามปัญหาจะสัมพันธ์กัน แต่สุดท่านน่าจะมีทางออกในการแก้ปัญหาร่วมกันได้” นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถูกถามย้ำว่า จากปัญหาดังกล่าวจะทำให้มีการยุบสภาในช่วงปลายปีนี้หรือไม่ นายจุรินทร์ได้แต่หัวเราะ ปฎิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว เมื่อถามย้ำว่า การทำงานร่วมกันของรัฐบาลยังเป็นเอกภาพอยู่หรือไม่ นายจุรินทร์​ กล่าวว่า ณ วันนี้การทำงานยังเป็นเอกภาพอยู่ ตามที่ตนบอกว่าเราเป็นรัฐบาลผสม

นายจุรินทร์ ยังกล่าวย้ำถึงการรวมอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ไปไว้ที่ตนเองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการออกประกาศขอใช้อำนาจตามกฎหมายของนายกรัฐมนตรี มีการดำเนินการมาตั้งแต่เกิปัญหาโควิด-19 ปีที่แล้ว และอำนาจที่นายกัฐมนตรีนำไปใช้ ก็เฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาโควิดเท่านั้น แต่เชื่อว่า เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง คาดว่าอำนาจการบริหาร ก็จะกลับไปสู่สถานการณ์ปกติ

กระทรวงอุตฯ คุมเข้มสกัดไวรัสระบาด สั่งทุกหน่วยในสังกัด WFH ถึงสิ้น 31 พ.ค.นี้ ย้ำพร้อมให้บริการประชาชนทุกช่องทาง

กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบรับมาตรการรัฐควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน เต็มพิกัด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคมนี้ มั่นใจยังให้บริการประชาชนได้ตามปกติ

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาดำเนินการ Work From Home มาตรการขั้นสูงสุดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อลดการรวมกลุ่มของบุคคล อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะลดการแพร่เชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น 

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ขอให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกแห่ง ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดส่วนกลางปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) เต็มพิกัด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของสัดส่วนจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้มาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานที่ตั้งส่วนกลาง รวมทั้งให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคน สามารถเหลื่อมเวลาปฏิบัติงานได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของโรคโควิด-19 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 

“เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงฯ ได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายลง พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตัวตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาหากจำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติงานในสถานที่ราชการ พร้อมจัดตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคนก่อนเข้าอาคาร โดยขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินงานจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอพพลิเคชั่นไลน์ หรืออีเมล์ มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดหรือเกิดปัญหากับการให้บริการประชาชนได้

ลุ้นแบงก์ชาติ ออกมาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อยเพิ่ม

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการทบทวน และกำลังประเมินภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งหารือกับภาครัฐและธนาคาร เพื่อพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมของ ธปท. โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่จะสิ้นสุดเดือน มิ.ย.นี้ เพราะที่ผ่านมาแม้ได้มีมาตรการไปแล้วแต่เป็นสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้น

“ต้องติดตามดูรายละเอียดมาตรการจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นบริโภคในประเทศเพิ่มเติม ซึ่งเชื่อภาครัฐรอประเมินผลกระทบเช่นกัน และ ธปท.ยืนยันมีมาตรการรองรับอยู่แน่นอน เพราะการระบาดระลอกนี้รุนแรงกว่า 2 รอบที่ผ่านมา เบื้องต้นจากดูข้อมูลเห็นว่าในช่วงนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง แต่ยังไม่เท่าการระบาดรอบแรก ต้องดูว่ายืดเยื้อแค่ไหน ยอมรับการระบาดเป็นวงกว้าง”

นางสาวชญาวดี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ธปท. ยังเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากเดิมคาดอยู่ที่ 3% ซึ่งที่ประเมินช่วงนั้นยังไม่รวมการระบาดรอบใหม่ โดยจะนำไปประเมินเบื้องต้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ 

กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่ม 3 นิ้ว เล่นแรง ลงมือปฏิบัติการ ‘ล่าแม่มด’ ขุดประวัติผู้พิพากษา ‘ชนาธิป เหมือนพะวงศ์’ พร้อมบุคคลในครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘เยาวชนปลอดแอก-Free YOUTH’ เจตนาชี้เป้าให้ชาวเน็ตรุมถล่ม

เมื่อวันที่ 29 เมษายน เฟซบุ๊ก ‘เยาวชนปลอดแอก-Free YOUTH’ ได้โพสต์รูปภาพ พร้อมข้อความประวัติของ นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พร้อมบุคคลในครอบครัว เนื่องจากไม่พอใจการทำงานของผู้พิพากษาท่านดังกล่าว

ที่มา : https://www.facebook.com/FreeYOUTHth/photos/a.115688233213576/502374804544915/

 

มท.แจ้งทุก จว.เตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวงเนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พ.ค.64

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 รัฐบาลเห็นสมควรดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยที่ในขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ขึ้น จึงเห็นควรจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ให้สอดคล้องกับมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่ให้กระจายไปในวงกว้าง และเพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

จึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเครื่องราชสักการะบริเวณอาคารสำนักงาน ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองร่วมกับผ้าระบายสีขาวบริเวณรั้วอาคารสำนักงานตลอดเดือน พ.ค. รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานให้สวยงามในระยะเวลาที่เห็นสมควร รวมถึงจัดทำคำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2564 พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ และสมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคลอิเล็กทรอนิกส์ลงบนหน้าหลักเว็บไซต์จังหวัด พร้อมทั้งเชิญชวนผู้บริหารและบุคลากรในสังกัด ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลผ่านระบบออนไลน์ ตลอดเดือนพฤษภาคม 2564 และแจ้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดดำเนินการจัดทำด้วย นอกจากนี้ให้เชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ร่วมประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ประดับธงชาติไทยคู่กับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และประดับไฟบริเวณอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย ตลอดเดือน พ.ค. ด้วยความสมัครใจ

รมว.สุชาติ รุดให้กำลังใจ จนท.ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราว 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตรวจ
โควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเปิดเป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 -11 พ.ค.นี้ 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย -ญี่ปุ่น) เขตดินแดง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ซึ่งเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะปิดศูนย์ชั่วคราว และเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5 - 11 พฤษภาคมนี้ เช่นเดียวกับศูนย์ตรวจโควิด-19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานีจะเปิดในวันนี้ (30 เม.ย.64) เป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5-11 พ.ค.นี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ได้หยุดพักและดำเนินการกลุ่มที่ตกค้างให้แล้วเสร็จ

จากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง นายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19  จึงกำชับให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช.เปิดศูนย์ตรวจคัดกรองโรคโควิด -19 เชิงรุก ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ซึ่งจากการดำเนินงานใน 5 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งภาพรวมตรวจแล้วทั้งหมด 40,353 คน พบผู้ติดเชื้อ 690 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เม.ย.64 เวลา 17.00 น.) ซึ่งแต่ละศูนย์มีผลการตรวจ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ตรวจแล้ว 27,095 คน พบผู้ติดเชื้อ 679 คน ซึ่งได้ประสานส่งเข้าโรงพยาบาลแล้วจำนวน 104 คน ส่งเข้า Hospitel จำนวน 397 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ชลบุรี ตรวจแล้ว 1,094 คน พบผู้ติดเชื้อ 11 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ปทุมธานี ตรวจแล้ว 7,389 คน เชียงใหม่ ตรวจแล้ว 2,783 คน นนทบุรี ตรวจแล้ว 1,992 คน ในส่วน 3 จังหวัดยังรอผลตรวจ

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 รวมทั้งกรณีที่ต้องการรถพยาบาลให้ไปรับที่บ้านเพื่อไปตรวจรักษา ประสานหาเตียงให้ผู้ที่ติดเชื้อ กระทรวงแรงงาน ยังมีสายด่วน 1506 กด 6 ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -17.00 น.ทั้งที่สำนักงานประกันสังคมและทีมงานหน้าห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด

“ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจได้ว่าจากการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ววันและให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

“ราเมศ” เตือนผู้ชุมนุมกดดันศาล อย่าใช้กฎหมู่ เหนือกฎหมาย  อัดส.ส.อยู่ในเหตุการณ์ควรห้ามปราบ จี้ศาลฯดำเนินการตามกฎหมาย หากปล่อยไว้ต่อไปใครไม่พอใจผลพิจารณาก็ยกพวกมาคุกคามอีก

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมที่ศาลอาญา รัชดา เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาของแนวร่วมกลุ่มราษฎร เพื่อยื่นเรียกร้องศาลอนุญาตให้ประกันตัวแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎรว่า การกระทำดังกล่าวของผู้ชุมนุม ไม่ถือว่าเป็นการเรียกร้องที่ชอบกฎหมาย แกนนำและผู้ชุมนุมทราบกระบวนการต่างๆของศาลดี ว่าศาลต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพื่อนำมาชั่งน้ำหนักออกมาเป็นดุลพินิจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกันตัว หากจำเลยหรือผู้ต้องหาที่จะขอประกันตัวได้ประกันตัวมาแล้วหลายต่อหลายครั้งแต่กลับไม่ใช้โอกาสในการใช้ชีวิตในสังคม กลับเดินหน้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การอนุญาตให้ประกันตัว ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงต่างๆเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจด้วย และการที่ผู้ชุมนุมเปิดปราศรัยที่หน้าบันไดศาล โดยมีถ้อยคำมุ่งหมายโจมตี ศาลอย่างชัดเจน 

“ที่น่าสลดใจคือมี ส.ส.อยู่ในบริเวณใกล้ๆนั้นด้วย ซึ่งควรจะห้ามปราม และไม่ควรสร้างพฤติกรรมที่บุกไปประชิดถึงบริเวณหน้าบันไดศาล ซึ่งถือว่าอยู่ในบริเวณศาล การกล่าวปราศรัยด้วยถ้อยคำที่คุกคามศาล ผู้ชุมนุมต้องระวัง ควรให้อยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมือง อย่าชุมนุมด้วยเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันตุลาการ  ควรให้ทนายความเตรียมหลักฐานต่อสู้คดี โดยยึดหลักที่กฎหมายกำหนด หากใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย บ้านเมืองก็วุ่นวายไม่จบสิ้น” นายราเมศ กล่าว

 
นายราเมศกล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำนักงานศาลยุติธรรมควรดำเนินการตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดตัวอย่างที่ไม่ดีในบ้านเมือง หากปล่อยให้ทำได้ ต่อไปใครไม่พอใจผลการพิจารณาของศาลก็ยกพวกมากดดัน ข่มขู่ คุกคาม ก็จะเกิดความวุ่นวายไม่จบสิ้น การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดศาลอย่างชัดเจน และเทียบเคียงได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมวางพวงหรีดหน้าศาลแพ่งรัชดาฯ และชูป้ายข้อความ วิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่ง แต่กรณีนี้ชัดเจนกว่ามาก

แรปเปอร์สาว มิลลิ เจ้าของเพลงดัง​ 'พักก่อน'​ ออกมาพูดถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมติดแฮชแท็ก #saveเพนกวิน จนชาวเน็ตแห่รีทวิตต่อเนื่อง

แรปเปอร์สาว “มิลลิ หรือ มินนี่-ดนุภา คณาธีรกุล”เจ้าของเพลงดังอย่าง #พักก่อน ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง​ โดยโลกโซเชี่ยลอย่างทวิตเตอร์ ได้มีการรีทวิตของนักร้องสาวคนดังหลังจากที่เธอได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมกับติดแฮชแท็ก #saveเพนกวิน

ส่งผลให้แฮชแท็ก และประเด็นของเพนกวิน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น ถูกพูดถึงมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาก และมีกระแสแรงขึ้น เมื่อศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเป็นครั้งที่ 9

และนั่นก็ทำให้สาวมิลลิ ได้ออกมาทวิตผ่านทวิตเตอร์ของเธออีกครั้งว่า “พี่คะ ทำไมหนูหมดหวังในความยุติธรรมขนาดนี้ มันจะไม่มีเหลือเลยจริง ๆ​ หรอคะ #saveเพนกวิน”

ข้อความดังกล่าว​ ทำให้คนในโลกออนไลน์ต่าง ออกมาร่วมแสดงความเห็น พร้อม ๆ กับการรีทวิต อย่างต่อเนื่อง อาทิ...

"ไม่ใช่ไม่เหลือ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับการปล่อยมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงจำไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่ปล่อย ไม่ให้ประกันตัว เพราะศาลนี้คือ ศาลสลิ่ม ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย!"

"จึ้งหวะ ดาราในวงการควรออกมาดูมิลลี่เป็นตัวอย่างนะ"

"คือความหวังทั้งหมดในวันนี้ มันพังแบบ สามเสาหลักค้ำ มันพังลงเพราะมือของตัวศาลเอง"

"นี่คือประเทศไทยจริง ๆ​ หรือในยุคนี้...เปลี่ยนแปลงไปมาก"

"ศาลให้ประกันหลายครั้ง แต่ทำผิดเงื่อนไขเองซ้ำ ๆ ซาก ๆ เองหรือต้องให้ศาลตัดสินตามใจพวกคุณ"


ทึ่มา: https://www.komchadluek.net/news/ent/465303

ภาพ : https://www.instagram.com/phuckitol/

ธนาคารแห่งประเทศไทย จับมือธนาคารกลางสิงคโปร์ จับ PromptPay - PayNow โอนเงินระหว่างประเทศแบบเรียลไทม์ เป็นคู่แรกของโลก

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการเปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายย่อยระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ โดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของประเทศไทย และระบบเพย์นาว (PayNow) ของประเทศสิงคโปร์ ว่า การเชื่อมโยงระบบในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือและการทำงานอย่างเข้มแข็งของทุกฝ่าย ทั้ง ธปท. และธนาคารกลางสิงคโปร์ ผู้ให้บริการระบบการชำระเงินสมาคมธนาคาร และธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ในระยะแรก ผู้ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมให้บริการ จะสามารถโอนเงินระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ได้ในจำนวนไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 25,000 บาท ต่อวันผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมให้บริการ โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับโอน และไม่จำเป็นต้องใส่ข้อมูลอื่นเหมือนบริการโอนเงินระหว่างประเทศทั่วไป เช่น ชื่อ-นามสกุล และรายละเอียดของบัญชีผู้รับโอน บริการนี้จะช่วยให้ผู้โอนสามารถโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และทำได้ทุกที่ทุกเวลาเสมือนกับการโอนเงินภายในประเทศด้วยหมายเลขโทรศัพท์ผ่านพร้อมเพย์หรือเพย์นาว โดยการโอนใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที เร็วกว่าการโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบันซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย 1-2 วัน

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการได้ตกลงร่วมกันให้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของพร้อมเพย์-เพย์นาว ถูกกว่าการโอนเงินในรูปแบบปัจจุบันและแข่งขันกับบริการโอนเงินระหว่างประเทศอื่นในตลาดได้ โดยผู้ใช้บริการจะเห็นค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนก่อนตัดสินใจโอนเงิน โดย ธปท. และ MAS มีความตั้งใจที่จะขยายผลของการบริการพร้อมเพย์ - เพย์นาว ทั้งการเพิ่มจำนวนธนาคารที่ให้บริการ และการขยายวงเงินการโอนเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในอนาคต

"ธปท. มีความตั้งใจที่จะยกระดับการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านความร่วมมือกับประเทศอาเซียนและประเทศอื่น ๆ โดยได้พัฒนาบริการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านคิวอาร์โค้ดกับประเทศญี่ปุ่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งบริการจากความร่วมมือของ MAS และ ธปท. นี้ จะช่วยแก้ปัญหาที่มีมานานในการโอนเงินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องระยะเวลานานในการทำธุรกรรม และต้นทุนที่สูง ในระยะต่อไป ธปท. จะยังคงผลักดันนวัตกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศและโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับการบูรณาการทางการเงิน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของประเทศและภูมิภาคอาเซียน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นายระวี เมนอน กรรมการผู้จัดการ MAS กล่าวว่า พร้อมเพย์ - เพย์นาว เป็นความพยายามริเริ่มร่วมกันที่ทำให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินและภาคธนาคารมีศักยภาพรองรับการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศอย่างไร้รอยต่อ เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้ารายย่อย โดย MAS และ ธปท. มีเป้าประสงค์ร่วมกันที่จะต่อยอดการเชื่อมโยงระหว่างประเทศไปสู่ระดับอาเซียนต่อไป


ที่มา : https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Speeches/Gov/SpeechGov_29Apr2021.pdf


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top