Wednesday, 25 June 2025
Hard News Team

'นักวิชาการอิสระ' โพสต์!! เพิ่งทำงาน 8 วัน ขอลากิจ 4 วัน ขณะที่ไอ้เฒ่าเป่าหูนศ. ในไทยไม่ให้ไปรับปริญญา

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค' ดังนี้...

ขำ ตลกร้ายเสียจริง

“ถ้าหยุด(งาน)ไป เวลาทำงานก็น้อยลง”

แต่หลังจากทำงานไป 8 วัน….

ผมขอลากิจ 4 วันนะครัช ลูกรับปริญญาที่ต่างประเทศ

ในขณะที่ไอ้เฒ่าเป่าหูเด็กนักศึกษาในเมืองไทย

“ไม่ให้ไปรับปริญญา”

ถ้าบริษัทของคุณ หรือหน่วยราชการของคุณ มีคนเพิ่งมาทำงานใหม่ยังไม่ถึงเดือน แล้วเขาขอลากิจ !

ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร หรือ เป็นผู้ร่วมงาน

คุณจะคิดว่า อย่างไร ?


ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=314988374174721&id=100566188950275

'ปธ.สภาฯ รัสเซีย' แฉ!! สหรัฐฯ แบนน้ำมันรัสเซีย แต่กลับเดินหน้าซื้อน้ำมันเพิ่มเกือบเท่าตัว

สหรัฐฯ เผยให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ตลบตะแลง ด้วยการประกาศแบนน้ำมันรัสเซีย แต่ความจริงคือยังคงเดินหน้าซื้อเชื้อเพลิงของมอสโกในปริมาณมาก จากการเปิดเผยของ ยาเชสลาฟ โวโลดิน ประธานสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย (สภาดูมา) เมื่อช่วงกลางสัปดาห์

วอชิงตัน อ้างว่า ได้เคลื่อนไหวห้ามนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบางส่วน ก๊าซธรรมชาติเหลวและถ่านหิน ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ส่วนหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานมอสโก ตอบโต้กรณีรุกรานยูเครน

"น้ำมันรัสเซียจะไม่เป็นที่ต้อนรับตามท่าเรือต่างๆ ของสหรัฐฯ อีกต่อไป" โจ ไบเดน ประธานาธิบดีอเมริกา ประกาศ ณ เวลานั้น แต่คำพูดไม่ได้มาพร้อมกับการกระทำ โวโลดิน เหน็บแนมผ่านข้อความที่โพสต์บนเทเลแกรมในวันพุธ (8 มิ.ย.)

ประธานรัฐสภารัสเซียเขียนต่อว่า "ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ บ่งชี้ว่ามีการส่งมอบน้ำมันจากรัสเซียเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในเดือนมีนาคม เปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ จาก 2,325 ล้านบาร์เรล เป็น 4,218 ล้านบาร์เรลตามลำดับ"

"แม้ประกาศแบน แต่ประเทศของเราขยับขึ้นจากที่ 9 สู่ลำดับ 6 ในอันดับประเทศที่ส่งน้ำมันป้อนแก่สหรัฐฯ มากที่สุด" เขากล่าว

โวโลดิน เน้นย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าในเดือนดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่วอชิงตันกำลังกดดันให้อียูละทิ้งน้ำมันรัสเซีย และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ "ชัดเจนว่ามันเป็นสัญญาณของ 2 มาตรฐาน" เขาระบุ "ตอนนี้ ปล่อยให้พวกนักการเมืองและข้าราชการในยุโรปอธิบายประชาชนของพวกเขาเองว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องอดทนกับการขึ้นราคาของไบเดน"

ความเห็นดังกล่าวเป็นการพาดพิงถึงประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่พยายามเชื่อมโยงภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ราคาก๊าซและอาหารที่พุ่งทะยาน กับปฏิบัติการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยให้คำจำกัดความมันว่า "การขึ้นราคาของปูติน"

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม สหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติที่ภูเก็ต

(9 มิ.ย. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งน่ายินดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th ISU Congress) ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสแสดงศักยภาพด้านการจัดประชุมนานาชาติ รวมทั้งผลักดันการท่องเที่ยวไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมนำเสนอความเป็นไทย การเป็นเจ้าภาพที่ดีเพื่อเปิดรับโอกาสในการจัดกิจกรรมและการประชุมระดับนานาชาติในอนาคต

นายธนกร กล่าวว่า ภายหลังรัฐบาลได้ปรับมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์โลก ประเทศไทยก็กลับมาสู่กระแสการท่องเที่ยว การกีฬา และการจัดการประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th Congress of the International Skating Union (ISU) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมฮิลตัน ภูเก็ต อาร์คาเดีย รีสอร์ต แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต ภายใต้แนวคิดต้นแบบการประชุมรักษ์โลก (Green Meeting) 

'อุตตม' ชี้!! เร่งฟื้นท่องเที่ยว รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม'

อุตตม โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้เร่งฟื้นภาคท่องเที่ยวสร้างรายได้ประเทศรองรับแรงกระแทกจากปัญหาเศรษฐกิจรอบด้าน แนะรัฐบาลต้องมีความพร้อม 3 ด้าน ทั้งการสร้างความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง การช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ใช้โอกาสนี้เร่งสร้างรายได้ชดเชยความเสียหายจากโควิด และส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
 
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กส์ ระบุว่า หลังจากที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเมื่อ 1  มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวต่างก็รู้สึกกลับมามีความหวังอีกครั้ง ซึ่งตนก็รู้สึกเช่นนั้น และยังคิดหวังต่อไปอีกว่า หากเราสามารถพลิกฟื้นการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อประเทศในแง่แหล่งรายได้ ที่มาช่วยดูดซับแรงกระแทกจากปัญหานานับประการที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และที่สำคัญจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันของผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม เป็นโอกาสให้พวกเขาฟื้นฟูกิจการและกลับมาเข้มแข็งได้อีก


 
อย่างไรก็ตาม การจะพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนนั้น รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม' ประกอบด้วย
 
1.พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเสริมสร้างให้เกิดความได้เปรียบเหนือประเทศคู่แข่งในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
 
2.พร้อมช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ ให้เข้มแข็งสามารถฟื้นฟูกิจการ และใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างรายได้โดยเร็ว

3.พร้อมสนับสนุนและลงทุน เพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวโดยเร็ว

“เราต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กระทบผู้ประกอบการอย่างรุนแรง นอกจากรายได้จะหายไปแล้ว ทุนที่มีอยู่ก็ถูกนำมาใช้จนร่อยหรอแทบหมดลง ผมเสนอว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยว ต้องร่วมกันจัดหามาตรการที่ถือเป็นมาตรการพิเศษ มาช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างเพียงพอโดยรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้โอกาสที่การท่องเที่ยวมีสัญญาณพลิกฟื้นได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งบรรเทาปัญหาหนี้สินก่อนที่จะทรุดหนักไปมากกว่านี้”

นายอุตตม ระบุอีกว่า การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเกิดการลงทุนใหม่ ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการเอกชนหลายรายในพื้นที่การท่องเที่ยวต่างๆของประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการต้องการลงทุน แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทายและความเสี่ยงมากเช่นนี้ มองว่ารัฐบาลสมควรพิจารณามาตรการที่จะส่งเสริมจูงใจให้เอกชนลงทุน พร้อมทั้งสื่อสารให้ผู้ประกอบการทราบอย่างชัดเจน เช่น แผนการลงทุนที่เกื้อหนุนภาคการท่องเที่ยวในทันที การช่วยผู้ประกอบการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพิจาณาสิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้นและจูงใจให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนในรูปแบบใดบ้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการในเรื่องเหล่านี้และอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้รวดเร็ว ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนเดินหน้าลงทุน ทั้งกลุ่มผู้ลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศ

อึ้ง!! หอยหวานหาดแม่รำพึง จานละ 1,530 นักท่องเที่ยวโอดแพงกว่ากุ้งมังกรอีก

นักท่องเที่ยวอึ้ง!! เจอร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง วางบิลเรียกเก็บค่าหอยหวาน 1 จาน ราคา 1,530 บาท

โดยผู้ที่ออกมาร้องเรียน คือ นางสาวอัจฉรารัตน์ หงษา พนักงานโรงงานอุตสาหกรรม อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ได้พาเพื่อนๆ ที่มีทั้งคนจีนและคนไทย รวม 6 คน ไปกินอาหารทะเลที่ร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และสั่งอาหารทะเลมาจำนวน 14 รายการ เช่น กุ้งมังกรเผา หอยนางรมสดทรงเครื่อง ปลานึ่งซีอิ๊ว ปูม้านึ่งและเผา ปลากะพงเผาเกลือ และอื่นๆ

1 ใน 14 เมนู มีหอยหวาน 1 จาน น้ำหนักรวมไม่น่าจะถึง 1 กิโลกรัม หลังจากที่กินกันเสร็จ ก็เรียกเช็กบิล ปรากฏว่า ราคารวมแล้ว 8,484 บาท แต่ที่ทุกคนตกใจคือเมนูหอยหวาน จานเดียวคิดราคา 1,530 บาท แพงกว่ากุ้งมังกร 1 ตัว ที่มีราคา 1,500 บาทเท่านั้น ส่วนราคาอาหารอย่างอื่นปกติ อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบลงมากำกับดูแล เพราะอาจจะส่งผลกระทบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหาดแม่รำพึง ที่อยู่ในช่วงของการฟื้นฟูจากผลกระทบคราบน้ำมัน


ที่มา: https://news.ch7.com/detail/574906

วุฒิสภา จัดใหญ่ “เหลียวหลัง แลหน้า วุฒิสภาเพื่อประชาชน” โชว์ผลงาน 3 ปี  “พรเพชร” ลั่นไม่เคยรับคำสั่งใคร เป็นกลางมาตลอด

วันที่ 8 มิ.ย. 65 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดกิจกรรม และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของวุฒิสภา ในโอกาสวุฒิสภาครบ 3 ปี กล่าวถึงการจัดกิจกรรมโครงการ “เหลียวหลัง แลหน้า วุฒิสภาเพื่อประชาชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกถึงอำนาจหน้าที่ และผลงานด้านต่างๆของวุฒิสภา ทั้งด้านกลั่นกรองกฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง และการเร่งรัดติดตามการปฏิรูปประเทศ รวมถึงรับฟังความต้องการ ข้อเสนอแนะของประชาชน

ด้าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ส.ว.ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2562 โดยดำเนินการด้านต่างๆ ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย อย่างเต็มกำลัง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศและประชาชน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ 4 ด้าน คือ ด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการให้คำแนะนำ และให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งสำคัญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และด้านสุดท้ายคืองานที่วุฒิสภาต้องปฏิบัติตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ได้เพิ่มอำนาจหน้าที่ให้ส.ว. ในการติดตามเสนอแนะเร่งรัดการปฏิรูป และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ

ดังนั้น กลไกสำคัญของส.ว. ในการปฏิบัติตามบทเฉพาะกาล คือต้องรับฟังความเห็นปัญหา และอุปสรรคต่างๆของประชาชนในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งการทำงานของส.ว. 3 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 จึงต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับงานในวันนี้เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเหลียวหลังทบทวนบทบาทหน้าที่ในวันเวลาที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแลหน้าอีก 2 ปี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน

จากนั้น นายพรเพชร ให้สัมภาษณ์ว่า ภารกิจของวุฒิสภาทั้งภารกิจปกติ และภารกิจที่เป็นบทเฉพาะกาล สิ่งเหล่านี้ควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คนไทยลืมง่ายว่าปี 2557 มีอะไรเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่ไม่มีใครสนใจ วันนี้ประวัติศาสตร์ก็ต้องบันทึกไว้ ตนสั่งให้บันทึกทุกอย่างที่พูดและแสดงในวันนี้ ไม่ใช่ดีทั้งหมดหรือแย่ทั้งหมด แต่มีทั้งดีและไม่ดี หากมีอะไรที่ประชาชนจะวิจารณ์ก็ทำได้ไม่มีปัญหา นี่คือวัตถุประสงค์ของงานนี้

'อดีตบิ๊ก ศรภ.' ข้องใจ!! ใครเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภากันแน่ แนะ 'หมอชลน่าน' ควรทวงศักดิ์ศรีหัวหน้าพรรคด่วน

'พล.ท.นันทเดช' บอกในฐานะ FC หมอชลน่าน แนะต้องทวงคืนศักดิ์ศรีหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด่วน ไม่งั้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็พ่ายยับเหมือนกฎหมายงบประมาณ

(9 มิ.ย.65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ 'พรรคฝ่ายค้านใครเป็นผู้นำใครกันแน่' มีเนื้อหาว่า...

ในระยะนี้ ผมสงสารหมอชลน่าน ทั้งในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภา เพราะ...

1.การออกพบปะประชาชน ที่ จ.สุรินทร์ ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (คุณอุ๊งอิ๊ง) ซึ่งไม่สามารถมาได้ เนื่องจากป่วยนั้น ตามปกติผู้ที่มาปฏิบัติหน้าที่แทน ควรเป็นหัวหน้าพรรคคือ คุณหมอชลน่าน แต่กลับมีการมอบหน้าที่เรื่อง การพบปะประชาชนนี้ "ข้าม" ผ่าน หมอชลน่าน ไปให้ "คุณโอ๊ค" แทน…เสียหน้าหมอหมดไหมล่ะ

2.คราวนี้มาดูบทบาทของหมอ "ชลน่าน" ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้านบ้าง ผลการอภิปราย เรื่องงบประมาณ ที่ออกมาแพ้ยับเยินเกินความคาดหมาย หมอจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังมาถึงนี้ มีแนวโน้ม จะ "แพ้" ในรูปแบบเดิมอีก
 

'ปวิน' พอใจ ศาลญี่ปุ่นสั่งจำคุก 20 เดือน คนร้ายบุกบ้าน เจ้าตัวเชื่ออำนาจเก่าอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่มีศัตรูในญี่ปุ่น

(8 มิ.ย) ศาลแขวงโตเกียว ออกคำพิพากษาจำคุก ทัตสึฮิโกะ ซาโตะ (Tatsuhiko Sato) ชายชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีในความผิดบุกเข้าบ้านที่กรุงโตเกียวของ รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการชาวไทยและเป็นคนร้ายคดีหมิ่นที่กำลังลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่นเวลานี้ เมื่อปี 2019 และทำร้ายร่างกาย โดยศาลแขวงโตเกียวตัดสินโทษจำคุกนาน 20 เดือนในเรือนจำ เจ้าตัวยืนยันเชื่อกลุ่มอำนาจเก่าอยู่เบื้องหลังยืนยันพอใจต่อคำตัดสิน

เอเอฟพีรายงานว่า ทัตสึฮิโกะ ซาโตะ (Tatsuhiko Sato) ชายชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีผู้ต้องหาคดีบุกทำร้ายนักวิชาการคนดังสายเสื้อแดง รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ล่าสุด (วันพุธ 8) พบว่า ศาลแขวงโตเกียวได้ออกคำพิพากษาลงโทษจำคุก 20 เดือนในเรือนจำ จากการที่บุกรุกเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลและทำร้ายผู้เสียหายและอีกคนที่อยู่ด้านในด้วยการพ่นแก๊สน้ำตาใส่ อ้างอิงเวลาเกิดเหตุจากการให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ปวินสำหรับสื่อไทยพบว่าเกิดขึ้นราวตี 4 ของวันนั้น 

สำหรับคดีนี้อัยการต้องการให้ศาลสั่งลงโทษจำคุกซาโตะในเรือนจำ 2 ปี

เจแปนไทม์สรายงานก่อนหน้าว่า ในการไต่สวนนัดแรกของศาลแขวงโตเกียวพบว่าคนร้ายยอมรับต่อข้อหาและกล่าวว่า การบุกรุกเข้าบ้านของผู้เสียหายที่กรุงโตเกียวเมื่อกรกฎาคม ปี 2019 นั้นเป็นไปตามคำสั่งของ “รุ่นพี่” โดยเขาใช้คำว่า “เซ็นไป” (senpai) แต่ปฎิเสธที่จะเปิดเผยต่อในรายละเอียดรวมไปถึงชื่อของผู้สั่งการรายนั้น

นักวิชาการเสื้อแดงกล่าวต่อศาลว่า เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความกลัวต่อไป

อ้างอิงการรายงานจาก NHK อัยการญี่ปุ่นกล่าวต่อศาลว่า พบว่าซาโตะเคยไปดูลาดเลาที่บ้านพักมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ครั้ง

ขณะที่ รศ.ปวิน ได้กล่าวต่อศาลโดยชี้ให้เห็นว่า เขาไม่มีศัตรูอยู่ในญี่ปุ่นและการที่เขาเป็นผู้ทำลายขนบด้วยการเปิดการอภิปรายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับระบบสถาบันกษัตริย์ของไทยทำให้เขาเชื่อว่า รัฐบาลไทยอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีบุกทำร้ายนี้

'อลงกรณ์' แจงปัญหาทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนหลังมีคลิปแชร์ว่อนโลกโซเชียล

'อลงกรณ์' แจงปัญหาทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนหลังมีคลิปแชร์ว่อนโลกโซเชียล ยอมรับส่งออกทุเรียน 120 ล้านลูก 4 แสนตันใน 4 เดือนย่อมมีผิดพลาดบ้าง ยืนยันฟรุ้ทบอร์ดแก้ไขปัญหาจนสถานการณ์ดีขึ้น ทำให้ไทยครองแชมป์ส่งออกทุเรียนไปจีนเป็นอันดับหนึ่งทะลุแสนล้านเป็นครั้งแรก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ (เฉพาะกิจ) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็นคลิปทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีนที่แชร์กันในโลกโซเชียลโดยบทความที่นายอลงกรณ์คีย์แมนคนสำคัญของฟรุ้ทบอร์ดเขียนมีสาระน่าสนใจดังข้อความต่อไปนี้

…เพื่อนแชร์คลิปของสุภาพสตรีท่านหนึ่งพูดถึงประเด็นทุเรียนไทยไร้คุณภาพส่งออกไปจีน”จึงคิดว่าควรเขียนทำความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องครับ

ปัญหาทุเรียนไร้คุณภาพเช่นทุเรียนอ่อนทุเรียนแก่มีจริงเพราะ 4 เดือนมานี้มีทุเรียนที่ส่งออกกว่า 4 แสนตันหรือกว่า 120 ล้านลูก ย่อมเกิดผิดพลาดจากมือตัด มือคัดและผู้ประกอบการโดยเฉพาะมือใหม่ที่เข้ามาค้าขายทุเรียนในช่วงปี 2 ปีนี้เนื่องจากราคาดีตลาดโต

แต่ปัญหาทุเรียนอ่อนทุเรียนแก่ทุเรียนสวมสิทธิ์ในฤดูกาลปีนี้ลดลงและมีแนวโน้มดีขึ้นมาก

เพราะ 2-3 ปีมานี้ ทางราชการเข้มงวดกวดขันจับกุมไปหลายราย ลองไปดูตัวอย่างแถวระยอง จันทบุรีและตราด เจ้าหน้าที่ ชาวสวนและล้งร่วมมือกันเข้มแข็งมากๆ เพื่อรักษาคุณภาพทุเรียน ตั้งแต่ในสวนจนถึงตลาด มีชุดตรวจพิเศษจับเอาโทษหนักทั้งจำคุก-ปรับและถอนใบอนุญาต รวมทั้งการป้องกันทุเรียนต่างชาติมาสวมเป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออกเป็นไปตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ และภายใต้ 18 มาตรการของฟรุ้ทบอร์ด ซึ่งมาตรการลำดับที่ 1 คือ มาตรการรักษาคุณภาพและมาตรฐานทุเรียน สวนทุเรียนและล้ง

ในแต่ละปีมีสวนที่ส่งออกทุเรียนและผลไม้ไปจีนต้องมีใบรับรอง GAP เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 แสนแปลง โดยในปี 2565 เพิ่มเป้าหมายเป็น 120,000 แปลง และ GMP plus สำหรับล้ง ซึ่งยังไม่มีประเทศใดในโลกที่พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานได้แบบนี้ 

ด้วยมาตรฐานเช่นนี้ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศเดียวที่จีนยอมให้ส่งทุเรียนสดไปขายในจีนได้

ส่วนทุเรียนประเทศอื่นต้องแช่เย็น แช่แข็งหรือแปรรูปถึงจะส่งออกไปจีนเพราะสวนทุเรียนไม่ผ่านมาตรฐานของจีนครับ

วันนี้ทุเรียนไทยสามารถครองตลาดจีนเป็นที่หนึ่งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำเงินเข้าประเทศจากการส่งออกทะลุกว่าแสนล้านบาทในปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากไม่กี่หมื่นล้านเมื่อ 4 ปีก่อน



ถ้ารวมผลไม้ทั้งหมด ไทยครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดจีนกว่า 40% เป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือ ชิลี 14% อันดับ 3 ได้แก่ เวียดนาม 6% ทั้งที่เวียดนามมีพรมแดนติดจีน

เรียกว่าทุเรียนไทยผลไม้ไทยครองตลาดและครองใจคนจีนแบบแน่นหนามั่นคง

อย่างไรก็ตาม การส่งออกด้วยปริมาณมากๆและภายในเวลาที่จำกัดย่อมมีผิดพลาดบ้างแม้จะช่วยกันดูแลเข้มข้นแค่ไหนก็ตาม เพราะมีปริมาณการส่งออกทุเรียน 4 แสนกว่าตันหรือกว่า 120 ล้านลูกในช่วง 4 เดือนแรกของฤดูกาลผลิตผลไม้ปี 2565

นี่คือความจริงและความยากในการค้าขายทุเรียนสด

ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นคือผู้ค้ารายใหม่ทั้งไทยและจีนที่เห็นตลาดโตราคาดีเข้ามาค้าขายเพิ่มขึ้นแต่ขาดประสบการณ์จึงมักเกิดปัญหาเรื่องการตัดการคัดทุเรียน กรมวิชาการของกระทรวงเกษตรจึงต้องจัดหลักสูตรฝึกอบรมบ่มเพาะพัฒนาฝีมือมือตัดและมือคัดทุเรียนและล้งเช่นสวพ.6ที่จันทบุรี

นอกจากนี้ทุเรียนกว่า 120 ล้านลูก ต้องขนส่งไปจีนข้ามน้ำข้ามเขาข้ามลาวข้ามเวียดนามด้วยระยะทางกว่า 2 พันกิโลเมตร บางครั้งติดด่าน 10 วัน 20 วันย่อมมีโอกาสบอบช้ำหรืองอมมากไปบ้าง ซึ่งพ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากขายครั้งเดียวแล้วเลิกจากการขายทุเรียนอ่อนหรือทุเรียนแก่นอกจากคนเห็นแก่ตัวบางส่วน ซึ่งมีการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่นำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบแปลงใหญ่ (Big Farm) การใช้เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมใหม่เช่นเครื่องมือตรวจเปอร์เซ็นต์เนื้อแป้งแบบดิจิตอล ระบบความเย็น (cold chain system) แบบไนโตรเจน ฟรีซเซอร์ (Nitrogen Freezer) ซึ่งติดตั้งแล้วหลายยูนิตที่ภาคตะวันออกและภาคใต้มีคุณภาพเหนือกว่าระบบแช่แข็งแบบเดิมที่ใข้ในเวียดนามและมาเลเซีย

'รองฯ รอย' นำทีมบุก ยึดยาไอซ์ กว่า 200 โล ซุกซ่อนอยู่ในรูปปั้นโมอาย ในลานจอดรถ ท่าเรือแหลมฉบัง

(8 มิ.ย.65) ที่บริเวณลานจอดรถ ท่าเรือแหลมฉบัง พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร,พล.ต.ท สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส.,พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จว. ยะลา ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า เมื่อประมาณช่วงเดือนมีนาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ยะลา ร่วมกับ สตม., บช.ปส., ภ.2 และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งเบาะแสขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ในเครือข่ายของคนจีนไต้หวัน นาย PUN สงวนนามสกุล ชาวไต้หวัน และได้ตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ในการพยายามลักลอบนำเฮโรอีนและเคตามีนออกนอกประเทศไทย โดยนาย PUN มีแฟนเป็นหญิงไทย ทราบชื่อว่านางสาวจู นามสมมุติ จึงได้ทำการสืบสวนติดตามพฤติกรรมพบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยไปประเทศไต้หวันอยู่บ่อยครั้ง และพบพฤติกรรมน่าสงสัยในการติดต่อเช่าโกดังสินค้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและลงพื้นที่เข้าทำการตรวจสอบโกดังสินค้าดังกล่าว พบว่าภายในโกดังสินค้ามีรูปปั้นโมอายอยู่ภายใน ซึ่งเชื่อว่าภายในรูปปั้นน่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่

จากการสืบสวนพบว่ามีการส่งรูปปั้นเข้ามาจากประเทศไต้หวัน และนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 โดยสำแดงผ่านพิธีทางศุลกากรว่านำเข้ามาในประเทศเพื่อจัดนิทรรศการ แสดงโชว์แต่เมื่อนำเข้ามาในประเทศไทยแล้วได้นำเอารูปปั้นดังกล่าวมาก็บไว้ในโกดังสินค้าและไม่ได้นำออกไปจัดนิทรรศการ หรือแสดงโชว์ที่อื่นแต่อย่างใด โดยมี นางสาวกัญญาภัค สงวนนามสกุล ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและจ่ายค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังและว่าจ้างเคลื่อนย้ายรูปปั้นจากท่าเรือแหลมฉบังไปเก็บไว้ในโกดังสินค้าดังกล่าว

ซึ่งจากการติดตามพฤติกรรมของ นางสาวจู พบว่ามีการโอนเงินให้แก่ นางสาวกัญญาภัคฯ จำนวนหลายครั้งโดยที่ นางสาวจู และ นางสาวกัญญาภัคฯ ไม่พบว่าประกอบอาชีพและมีรายได้ที่แน่นอน แต่พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาท

ต่อมาประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบว่ามีการเตรียมการที่จะขนย้ายรูปปั้นดังกล่าวกลับไปยังประเทศไต้หวัน โดย นางสาวกัญญาภัคฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อว่าจ้างบริษัทโลจิสติกส์ ในพื้นที่ อ.แหลมฉบัง ให้ทำการขนย้ายรูปปั้นเพื่อทำการส่งรูปปั้นดังกล่าวกลับไปที่ประเทศไต้หวันและได้มีการขนย้ายรูปปั้นดังกล่าวจากโกดังสินค้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร นำมาเก็บรักษาไว้ที่บริษัทฯ พื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างที่รอคิวการขนส่งลงเรือเพื่อเดินทางไปยังประเทศไต้หวันต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาวจีนไต้หวันกลุ่มนี้มีพฤติกรรมในการนำเอารูปปั้นเข้ามาในประเทศไทย โดยสำแดงว่านำมาใช้จัดนิทรรศการหรือแสดงโชว์ จากนั้นจะ ซุกซ่อนยาเสพติดไว้ในรูปปั้นดังกล่าวแล้วนำออกนอกประเทศไทย โดยจะสั่งการให้กลุ่มของผู้หญิงไทยทำหน้าที่ในการจัดหาสถานที่ เป็นโกดังสินค้าทำการเก็บรูปปั้นและเมื่อนำเอายาเสพติดซุกซ่อนไว้เรียบร้อยแล้วก็จะจัดส่งรูปปั้นดังกล่าวออกนอกประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top