Monday, 30 June 2025
Hard News Team

‘สุทิน’ ซัด พปชร.ไร้จุดยืนสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ หวั่น หากรบ.แพ้เลือกตั้ง อาจใช้กลไกทำให้โมฆะ

‘สุทิน’ ซัด ‘นายกฯ’ มองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก จวก พปชร.โลเลไร้ จุดยืนสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ หวั่นแค่ป่วนล้มเลือกตั้ง ออกตัวไม่อยากชงตีความปม 8 ปี ‘บิ๊กตู่’ กลัวเป็นตราประทับ

เมื่อเวลา 09.10 น.วันที่ (22 ก.ค. 2565) ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 22 ก.ค.ว่า หากไม่มีอะไรเป็นอุบัติเหตุทางอารมณ์ในสภา จะสามารถอภิปรายปิดได้ในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. และเชื่อว่าคงเร็วกว่าทุกครั้ง ไม่ได้อภิปรายไปถึง 23.00 น.เหมือนทุกครั้ง แต่ทุกอย่างสามารถคลาดเคลื่อนได้ ส่วนภาพรวมการอภิปรายเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ถือว่าภาพรวมเป็นไปด้วยดี เราพอใจ เพราะมีเนื้อหาที่เข้มข้น มีการทำงานเป็นทีมที่ชัดเจน มีประเด็นใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น เรื่องการบรรจุลูกคนใกล้ชิดให้ได้เป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งเราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่และมาจากคนที่อยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรานำเสนอว่าฝ่ายการเมืองตอบแทนบุญคุณกันโดยไม่เกรงใจประชาชน ไม่ให้ความเป็นธรรมกับลูกชาวบ้าน แต่เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงคนอื่น ๆ ไม่ชี้แจงเลย ถือเป็นประเด็นที่ค้างคาใจประชาชน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเด็น อย่างเรื่องการใช้งบกลางไม่สอดคล้องวัตถุประสงค์ เรื่องเหมืองอัครา เรื่องเครื่องบินรุกล้ำน่านฟ้าประเทศ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่นายกฯกลับตอบให้เป็นเรื่องเล็ก ตนจะอภิปรายสรุปอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องงูเห่าจะปรากฎตัวเพิ่มเติมในการโหวตอีกหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่กังวล คิดว่าคงมีประมาณเดิมที่รู้กันอยู่ ซึ่งมีทั้งขาออกขาเข้า ตนไม่อยากให้ความสนใจมือในสภา แต่อยากให้คำนึงถึงศรัทธาและความรู้สึกของคนข้างนอก และประชาชนได้ประโยชน์จากการอภิปรายหรือไม่

'อนุสรณ์' ชี้ สึนามิทางการเมือง จะกวาดล้างระบอบสืบทอดอำนาจ จนสิ้นซาก

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุกลางสภา ไม่ได้เป็นคนทำปฏิวัติ คนที่ทำปฏิวัติเพียงคนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าได้ทำอะไรผิดไป ยังรีบแอ่นอก ยกมือรับ ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อยว่าได้ทำปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายเกียรติภูมิของประเทศ 

พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันกับผู้บังคับบัญชามาตลอดว่าจะไม่ปฏิวัติ แต่ก็พลิกลิ้น สบจังหวะก็กลืนน้ำลาย ชิงจังหวะลงมือปฏิวัติรัฐประหารพฤติกรรมแบบนี้ชายชาติทหารเขาไม่ทำกัน พล.อ.ประยุทธ์ ไปเอาความภาคภูมิใจมาจากไหนนักหนา ที่นำพาประเทศเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ นานาอารยะประเทศไม่ยอมรับ ประเทศถูกยึด ประชาชนผู้เห็นต่างถูกรวบ ฉีกรัฐธรรมนูญ ยื้อการเลือกตั้ง แล้วก็เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ ประเทศต้องจ่ายมหาศาลเพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ผ่านไป 8 ปี เห็นท่าไม่ดี กลัวว่าประชาชนจะสั่งสอน ไม่เห็นโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งครั้งหน้า ก็กลับลำพลิกลิ้น เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า กลับไปใช้สูตรหาร 500 ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด 

คนไทยถือครองคริปโทมากที่สุดในโลก?

"คนไทยใช้ NFT มากที่สุดในโลก 5.65 ล้านคน"
"คนไทยถือครองคริปโตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก"

พาดหัวเหล่านี้คงเคยผ่านตาหลาย ๆ คนมาบ้าง1 หลายคนอาจจะดีใจ ว่าคนไทยก้าวทันเทคโนโลยี บางคนอาจจะเป็นห่วง ว่าคนไทยเอาเงินไปเก็งกำไรกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก

>> แต่คนไทยถือครองคริปโตมากขนาดนั้นจริงมั้ย?

ข้อมูลนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ก.ล.ต. หรือ ธปท. เพราะเป็นตัววัดว่าคนไทยสนใจ cryptocurrency มากแค่ไหน จะเกิดความเสี่ยงทั้งต่อเงินออม เงินลงทุนของประชาชน หรือความเสี่ยงต่อระบบหรือไม่ หรือหากเกิดเหตุการณ์ราคาคริปโทผันผวนมาก (เช่นกรณี UST ที่ผ่านมา) จะได้ใช้ประเมินได้คร่าว ๆ ว่ามีผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

บทความนี้จะลองมาดูว่าตัวเลขเหล่านี้มีที่มาอย่างไร น่าเชื่อถือแค่ไหน โดยจะพูดถึงสถิติสามตัวที่ได้รับการกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้แก่...

1. Digital 2022 Global Overview Report ที่ประเมินว่าคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ต อายุ 16–64 ถึง 20.1% ถือครองคริปโตอยู่ มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
2. Statista Digital Economy Compass 2022 ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโต 4 ล้านคน ขณะที่มีคนไทยที่มี NFT มีมากถึง 5.65 ล้านคน
3. TripleA's "Cryptocurrency across the world" ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโตอยู่ 3.6 ล้านคน

>> เรารู้อะไรบ้างจากข้อมูลของ ก.ล.ต.

ด้วยธรรมชาติของคริปโท ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า wallet ต่าง ๆ นั้นเป็นของใคร ของคนชาติไหน ในการหาคำตอบว่ามีคนไทยซักกี่คนที่ถือคริปโตอยู่ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดที่พอจะมีอยู่และเป็นจุดเริ่มต้นได้ ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่เรียกว่า administrative data (ภาษาไทยแปลว่า "ข้อมูลเพื่อการบริหาร" ซึ่งคือข้อมูลที่มีจุดประสงค์อื่น ๆ นอกจากการทำสถิติ เช่น ข้อมูลลงทะเบียน หรือข้อมูลบันทึกการทำธุรกรรม) ในกรณีนี้ ถ้าเราอนุมานว่าคนที่ถือคริปโทส่วนใหญ่จะมีบัญชีอยู่กับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ด้วย และ exchange เหล่านี้ก็ต้องรายงานกับ ก.ล.ต. ว่ามีบัญชีเปิดอยู่กี่บัญชี เราก็สามารถดูข้อมูลจาก ก.ล.ต. ได้เลย

จาก รายงานสรุปภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ ของ ก.ล.ต. จะพบว่า exchange ภายใต้กำกับของ ก.ล.ต. ทั้งหมดมีบัญชีรวมกันประมาณ 2.7 ล้านบัญชี (ณ เมษายน 2565) ซึ่งอันนี้อาจมีการนับซ้ำได้ (กรณีคนคนหนึ่งมีบัญชีอยู่กับ exchange สองแห่ง)

แน่นอนว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวม exchange เจ้าใหญ่ ๆ ของโลกอย่าง Binance, Coinbase, หรือ Kraken ที่ไม่ได้อยู่ใต้กำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นข้อจำกัดของข้อมูล adiministrative data นี้ ทำให้เราไม่สามารถทราบจำนวนคนไทยที่ถือคริปโททั้งหมดได้ แต่อาจจะลองใช้เป็น baseline ในการเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่น ๆ ได้

>> เปรียบเทียบข้อมูลของทั้งสามแหล่ง

ตัวเลขของทั้ง DataReportal และ Statista นั้น ต่างมาจากผลการตอบแบบสำรวจ โดย DataReportal อ้างอิงผลสำรวจโดย GWI (จำนวน 17,500 ตัวอย่าง2) ขณะที่รายงานของ Statista นั้น อ้างอิงข้อมูลจาก Statista Global Consumer Survey (อย่างน้อย 2,000 ตัวอย่าง3) โดยทั้งสองแบบสำรวจอ้างว่าเป็นการสำรวจแบบใช้โควต้า (quota sampling) กล่าวคือ จำกัดจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ตามกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา ที่ตอบแบบสอบถามให้ได้ตามสัดส่วนประชากรจริง ทำให้ได้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่าการสำรวจที่ไม่มีโควต้า

ที่มา: DataReportal / GWI (Q3 2021). FIGURES REPRESENT THE FINDINGS OF A BROAD GLOBAL SURVEY OF INTERNET USERS AGED 16 TO 64. SEE GWI.COM FOR FULL DETAILS.

'โรม' จัด ‘ตั๋วช้าง’ ภาค 2 พร้อมเซอร์ไพรส์ แฉ 'ประยุทธ์' ควัก 937 ล้าน กลบหนี้ ‘กองบินตำรวจ’

‘ตั๋วช้าง’ ภาค 2 ฉายแล้ววันนี้ ‘โรม’ จัดให้ BIG SURPRISE แฉแหลก ทำไม ‘ประยุทธ์’ ยอมควักงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม พล.ต.ต.ก กลบหนี้เน่าทุจริต ‘กองบินตำรวจ’

22 กรกฎาคม 2565 ณ ห้องประชุมสุริยัน สัปปายะสภาสถาน รัฐสภา รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ กรณีปล่อยปละละเลยทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจ ทั้งยังมีการยอมให้ใช้ ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งเป็นเกราะกำบังเพื่อไม่ให้ใครหรือหน่วยงานใดกล้าตรวจสอบได้

รังสิมันต์ กล่าววว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ พล.ต.ต.ก หรือชื่อจริงคือ กำพล กุศลสถาพร ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจ (บ.ตร.) โดยระหว่างนั้นได้ดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการซ่อมบำรุงอากาศยาน กับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2564 การบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดย พล.ต.ต.กำพล และพวก ได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของทั้งหมดนี้ กองบินตำรวจไม่สามารถเบิกจากคลังมาจ่ายได้ และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบกลับถูกเตะถ่วง ทำให้ล่าช้า และทำซ้ำไปมา ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบครั้งแรก เริ่มต้นจากการเสนอเรื่องให้ ผบ.ตร. สั่งให้จเรตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 2564 แต่กลับใช้เวลากว่า 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้ และเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2564 

“ทว่าภายหลังกระบวนการตรวจสอบโดยจเรตำรวจสิ้นสุด กลับมีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปกองวินัยตำรวจเพื่อตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่อีก ขนาดว่าทางกองบินตำรวจทวงถามเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ก็มีคำตอบกลับมาว่ายังร่างคำสั่งไม่เสร็จ และกว่าจะได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่กันจริง ๆ คือช่วงปลายเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าตั้งมาแล้วผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็ยังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนตัวกรรมการไม่เลิก” รังสิมันต์ ระบุ 

รังสิมันต์ ยังได้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจ ได้ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ สตช. ทำหนังสือขอความช่วยเหลือมายังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 และต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามท้ายหนังสือรับทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยปละละเลยไม่เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง หน่วงเวลาจนกระทั่งกรมบังคับคดีซึ่งดูแลเรื่องการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยส่งหนังสือทวงหนี้ 1,824 ล้านบาท มายัง สตช. อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะปฏิเสธหนี้ก้อนนี้ได้ เพราะตามขั้นตอน สตช. มีเวลาในการปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่ สตช. กลับล่าช้าทำหนังสือปฏิเสธหนี้ตอบกลับไปเกินเวลาที่กำหนด ทำให้ สตช. ต้องชำระหนี้การบินไทยเป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่หนี้ลดลงจากเดิม เนื่องจากทางตำรวจไปขอต่อรองกับการบินไทยให้ยกเลิกรายการบางส่วนที่ยังไม่ได้รับพัสดุมาได้

“ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงใช้วิธีอนุมัติงบกลางเพื่อใช้หนี้ใน วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 และในวันที่ 12 เมษายน 2565 ครม.ก็อนุมัติอีกที รวมถึงยังอนุมัติให้ สตช. สามารถก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในงบประมาณปี 2563 ด้วย มตินี้จึงเหมือนเป็นทั้งการฟอกขาวให้ไปในตัว ทั้งยังนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับการทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจอีกด้วย”

'สันติ' ชี้ เกียรติของทหาร ต้องได้มาด้วยการกระทำที่สุจริต ไม่ต้องไปเรียกร้อง หยุดอ้างความจงรักภักดี เพราะคนไทยที่ไม่ใช่ทหาร ก็จงรักภักดีเช่นกัน

วันนี้ (22 ก.ค.65) ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทหาร โดยระบุว่า ทหารส่วนใหญ่ก็คงยังเป็นทหารที่มีเกียรติศักดิ์ ทรงเกียรติภูมิ เพราะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างน่ายกย่องด้วยความทุ่มเท และยึดมั่นความสุจริตเป็นที่ตั้ง ซึ่งการกระทำของทหารเหล่านั้นย่อมต้องได้รับการยกย่องสรรเสริญ โดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ใครมาให้เกียรติ

“อย่าเรียกร้องให้ใครให้เกียรติ เพราะเกียรติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำอย่างสุจริตด้วยกาย วาจา และใจของผู้ที่มีเกียรติเท่านั้น” ดร.สันติ กล่าว 

ดร.สันติ ระบุต่อว่า แต่วงการทหารก็คงไม่แตกต่างจากวงการอื่น ๆ ที่มีความหลากหลายทางความคิด แม้จะมีวินัยกำกับให้การแสดงออกนั้นมีความจำกัด ซึ่งความแตกต่างทางความคิดดังกล่าวนั้น ทำให้ทหารที่ไม่มั่นคงในความสุจริต เมื่อมีโอกาสก็มีพฤติกรรมที่ทุจริต ไม่ว่าพฤติกรรมนั้นจะปรากฎหรือไม่ปรากฎ มีหลักฐานชัดเจนหรือบิดเบือนหลักฐานไปได้ก็ตาม แต่ก็ต้องนับว่าพฤติกรรมที่ทุจริตนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิดและลดทอนเกียรติศักดิ์และเกียรติภูมิของทหารลงไปอย่างช่วยไม่ได้

'นายกฯ' ยัน!! ทุกปัญหา 'ศก.-เงินเฟ้อ-พลังงาน' แก้ไขเต็มที่ พ้อ!! จุดแข็งประเทศมีมาก แต่หลายคนชอบโจมตีเรื่องลบ ๆ

นายกฯ ชี้แจง!! รัฐบาลแก้ไขวิกฤตราคาพลังงานสูง เงินเฟ้อ ยืนยันดูแลทุกด้านเศรษฐกิจสาธารณสุขตามแนวทางสายกลางอย่างเต็มความสามารถ

เมื่อค่ำของวันที่ 21 ก.ค.65 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยได้ชี้แจงต่อเรื่องวิกฤตด้านพลังงานสูง ของแพง น้ำมันแพง เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจริงกับไทย และเกิดกับทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเกิดจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สงคราม ผลพวงจากนโยบายการเงิน-การคลังของประเทศใหญ่ ๆ ที่ใช้ในการแก้ปัญหาโควิด-19 โดยเฉพาะนโยบาย Zero Covid Policy ในบางประเทศ ก่อให้เกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งอัตราค่าเงิน เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เกิดปัญหาขึ้นกับทุกประเทศ เป็นไปตามหลักการเศรษฐศาสตร์ 

"อัตราเงินเฟ้อโลกพุ่งสูงมากในช่วงโควิด เกิดกับทุกประเทศแม้กระทั่งประเทศมหาอำนาจ ก็ได้รับผลกระทบ หากดูราคาน้ำมันดิบ ช่วงโควิด ราคาน้ำมันต่ำลงมากในช่วงที่ไม่มีการเดินทาง เมื่อเปิดประเทศมีการเดินทางและปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันดิบแพงขึ้น 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งไทยต้องนำเข้ามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และได้มาจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งก็ไม่มากนัก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติภัยครั้งใหญ่ของโลก เป็นคลื่นที่พัดพาความเสียหายเหล่านี้มายังประเทศไทย แม้ในบางพื้นที่จะดีขึ้น แต่ก็ยังฝากความเสียหายกับเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกอย่างมหาศาล ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เรียกประชุมหลายครั้ง และประชุมหารือในเรื่องจำนวนคนเสียชีวิตจากโควิดทั่วโลกยังคงมีจำนวนสูง มีการปิดเมือง ปิดประเทศและการเดินทาง ทำให้ธุรกิจเสียหาย และกว่าจะตั้งหลักใหม่ต้องใช้เวลาพอสมควร หลายประเทศเลือกใช้นโยบายเศรษฐกิจนำหน้าสาธารณสุข ส่งผลให้จำนวนคนตายเยอะกว่าค่าเฉลี่ยโลก บางประเทศเป็นผู้ผลิตวัคซีนและยา เมื่อเกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจ มีเกิดภาวะเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะสูง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเสียหาย ทำให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล หลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจัดการดูแลสิ่งเหล่านี้อยู่

"ขณะที่บางประเทศ ใช้สาธารณสุขนำหน้าเศรษฐกิจ ผลคืออัตราคนตายน้อยลง และเศรษฐกิจผันผวนน้อยกว่า อย่างไรก็ดี ไทยใช้ทางสายกลาง สร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพและปากท้อง ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ใช้มาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็น ขอยืนยันว่า ไม่ได้ใช้เพื่อควบคุมการชุมนุม เพียงต้องการควบคุมสถานการณ์โควิด ไม่ต้องการให้มีการเสียชีวิต จึงต้องรักษาทางสายกลางให้ได้ ไม่ให้เกิดความเครียดจากโควิด เศรษฐกิจ และความขัดแย้ง สังคมไทยต้องไม่เครียดเกินไป กิจกรรมที่มีความเสี่ยงมากต้องควบคุม"

นายกฯ กล่าวอีกว่า อัตราการตายของไทยอยู่ระดับต่ำมาก อยู่ในลำดับ 127 ของโลก อันดับที่ 6 ของอาเซียน แต่นายกรัฐมนตรียังคงไม่พอใจ รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งการกู้เงิน เพื่อจัดหาวัคซีน รักษาประชาชน ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 1.5 ล้านล้านบาท ใช้เงินกว่า 854,000 ล้านบาท แก้ไขปัญหาและช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบกว่า 45 ล้านราย ยืนยันว่า รัฐบาลนำเงินช่วยเหลือตรงกลุ่มเป้าหมาย ผ่านโครงการเราชนะ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ม.33 ช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ คนละครึ่ง รักษาการจ้างงาน SMEs

ในส่วนของการดำเนินการที่ผ่านมา นายกฯ เผยว่า เป็นผลดีพอสมควร ได้รับการร่วมมือจากนโยบายเปิดประเทศได้อย่างดี หลายประเทศชื่นชมไทย หารือความร่วมมือกับไทยเพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาโควิด และมีการจัดตั้งศูนย์โรคระบาดใหม่ที่ไทย จึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง องค์กรระหว่างประเทศชื่นชมไทยว่า ดูแลโควิดได้ดีที่สุด เป็นต้นแบบความสำเร็จอันดับ 3 ของโลก 

นอกจากนี้ เรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP หลายประเทศมีนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ไทยก็เช่นกัน และมีการกำหนดเป็นไปตามหลักการสากล โดยไทยรักษาหนี้สาธารณะได้อย่างดี ซึ่งจากข้อมูลของ IMF ไทยมีหนี้สาธารณะเป็นเพียงสีส้มอ่อน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ ไทยมีหนี้สาธารณะไม่มาก ทั้งนี้ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และวิกฤตพลังงาน ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่าลง รัฐบาลมีความพยายามในการแก้ไขปัญหามาตลอด เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยไว้ให้ได้ ดูแล ลดค่าครองชีพ ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ลดผลกระทบภาวะเงินเฟ้อ เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาปรับตัวด้วยมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น การช่วยเหลือซื้อก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้า ก๊าซ NGV รักษาราคาน้ำมันดีเซล เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าให้ได้มากที่สุด ขายสินค้าราคาถูกผ่านร้านธงฟ้า ตลอดจนได้เสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ และแรงงานในระบบประกันสังคม ด้วยการลดเงินสมทบประกันสังคม ในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตน ทุกมาตราเป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 34,540 ล้านบาท และได้ต่อมาตรการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง จนถึงเดือนกันยายน 2565 

"รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด และสามารถประคับประคองประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้ และแม้ปัจจุบันจะเผชิญหน้ากับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะสูงที่สุดในรอบ 13 ปี แต่ยังรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศไว้ได้ในระดับที่ดีเหมือนก่อนเจอวิกฤต ต่อจากนี้ วิกฤตเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะแย่ลง หลายประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ๆ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession ในขณะที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ถึงสูงมาก รัฐบาล และธนาคารกลางทั่วโลก ต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจตึงตัว รวมถึงการดึงเงินกลับเข้าประเทศ (Quantitative Tightening) และออกมาตรการต่างๆ ขึ้นดอกเบี้ย ขึ้นภาษี เพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ที่มีการกู้เงินในช่วงวิกฤตโควิด และกำลังเผชิญกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะทำให้รัฐบาลมีเงินเหลือใช้จ่ายประจำ และลงทุนน้อยลง ก็จะเป็นสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก"

'นริศ' มั่นใจ 'สมคิด' เหมาะเป็นผู้นำประเทศ ชี้พร้อมทั้งผลงานและประสบการณ์ นำพาประเทศผ่านหลายวิกฤติ ที่สำคัญ “ไม่คอรัปชั่น”

วันที่ (22 ก.ค. 2565) นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก พร้อมภาพที่ถ่ายร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี  และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคสร้างอนาคตไทย โดยระบุว่า ตนมีความภูมิใจอย่างมากที่ได้มีโอกาสถ่ายรูปนี้คู่กับอาจารย์สมคิด เมื่อวันครบรอบ 88 ปี ของการสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ได้รับมอบเข็มเกียรติยศอันทรงเกียรติจากมหาวิทยาลัย ที่มอบแก่ศิษย์เก่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยหลังจากพิธีมอบเข็มฯ ดังกล่าว ตนได้นั่งฟังอาจารย์ปาฐกถาถึงสาเหตุที่เข้ามาทำงานการเมือง มุมมองต่อการเมือง เศรษฐกิจของประเทศ   และข้อเสนอทางออกของประเทศให้พ้นจากวิกฤติในปัจจุบัน

แลกหมัด!! ศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาล

จากกรณีที่ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเด็นเหมืองทองอัครา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดินกระทำความผิด ใช้มาตรา 44 และมติครม. ออกคำสั่งระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำจนทำให้เกิดความเสียหาย แม้เรื่องเหมืองทองอัคราจะถูกนำมาอภิปรายในสภาไปแล้ว และดูจะไม่จำเป็นต้องเอามาอภิปรายอีกครั้ง เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั้น

ด้านรมต.อุตสาหกรรม ก็ได้ออกมาชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ปมพิพาทเหมืองทองอัครา ยืนยันนายกฯ สั่งศึกษารอบด้าน-ยึดประโยชน์ชาติ และโอกาสชนะทางคดีมีกว่า 60% 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีตามรับธรรมนูญมาตรา 151 ประเด็นข้อพิพาทเหมืองทองอัคราที่มีการใช้มาตรา 44 ปิดเหมืองทองอัครา กรณีที่น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ระบุว่า...

ที่ผ่านมามีการเสนอให้นายกฯ ยกเลิกการใช้มาตรา 44 ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้นายกฯ ใช้มาตรา 44 ระงับทำเหมืองอัคราชั่วคราว โดยไม่ใช้กฎหมายทั่วไป

พล.อ.ประยุทธ์ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเกือบ 3 ปี ก่อนใช้มาตรา 44 ตามข้อเสนอ เพื่อความปลอดภัยประชาชน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใด

ส่วนเอกสารกระทรวงต่างประเทศที่ทักท้วงการใช้มาตรา 44 นั้น เป็นการพูดความจริงครึ่งเดียว เอกสารดังกล่าวระบุว่า หากมีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 จะต้องทำเพื่อป้องกันสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม

กรณีนี้จึงออกคำสั่งที่คำนึงถึงสุขภาพประชาชนเป็นสำคัญ

ส่วนที่บริษัททนายฝ่ายไทยประเมินไทยแพ้คดีแน่ ก็ไม่เป็นจริง หนังสือดังกล่าว ตนเสนอครม.รายงานการต่อสู้คดี ประเมินว่า ฝ่ายไทยมีโอกาสชนะ 66% แพ้ 34% ไม่ใช่แพ้คดีแน่นอน ถ้าบริษัทคิงส์เกตมีโอกาสชนะ 100% ได้ค่าเสียหาย 3 หมื่นล้านบาท คงไม่มาเจรจารัฐบาลไทย

ที่ผ่านมา คิงส์เกตกำไรปีละ 800 ล้านบาท ต้องใช้เวลา 38 ปี จึงได้เงินดังกล่าว ถ้าคิดว่าชนะแน่ คงไม่เจรจา ถ้าได้เงิน 30,000 ล้านบาทแน่นอน หลังจากคิงส์เกตเห็นข้อต่อสู้ฝ่ายไทย จึงเข้าใจสิ่งที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ทางบริษัท อัคราจึงกลับมาขอประทานอาชญาบัตร พื้นที่ 44 แปลง ส่วนการขออาชญาบัตรแสนกว่าไร ปัจจุบันยังไม่เดินเรื่องขอ ยังไม่อนุญาตใดๆ หากมาเดินเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอนุญาต ต้องดูแผนสำรวจมีความเหมาะสมหรือไม่

'นายกฯ' หนุน ผู้ว่าฯ กทม. สั่งรถทหารช่วยขนประชาชนช่วงฝนตกหนัก

'บิ๊กตู่' สั่งการกองทัพหนุน กทม. ช่วยน้ำท่วมพร้อมส่งรถบรรทุกทหาร กำลังพล ช่วยเหลือผู้ประสบน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. ทันที เพื่อเคลื่อนย้ายคน สิ่งของ และเครื่องกีดขวาง 

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนัก ตั้งแต่คืนวันที่ 20 กรกฎาคม ถึงช่วงเช้าวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนักในหลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร จากปริมาณน้ำฝนที่ตกสะสม โดยเฉพาะบนถนนหลักในกรุงเทพฯ มากกว่า 20 เส้นทาง และตามจุดท่วมขังซ้ำซาก รวมถึงย่านที่อยู่อาศัย ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้กองทัพ เร่งสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ กทม. อย่างเต็มที่

'โจ ไบเดน' ปธน.สหรัฐฯ ติดโควิด หลังฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว 2 เข็ม

(21 ก.ค. 65) แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ มีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ในกรุงวอชิงตัน แต่มีอาการไม่มากนัก

ทั้งนี้ ไบเดน วัย 79 ปี ซึ่งได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว รวมถึงเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วถึง 2 ครั้ง จะกักตัวอยู่ในทำเนียบขาว และปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตามปกติ รวมถึงเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลและทาง ZOOM จนกว่าจะมีผลตรวจกลับมาเป็นลบ โดยในระหว่างนี้จะรับประทานยาแพ็กซ์โลวิด ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อโควิด-19

ส่วนคนใกล้ชิดของประธานาธิบดีไบเดน ทั้งสมาชิกสภาคองเกรส และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว และได้รับคำแนะนำให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที ส่วนจิลล์ ไบเดน สตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่รัฐแดลาแวร์ มีผลตรวจหาเชื้อเป็นลบ


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/668350


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top