รัฐสภา หรือ ตลาด?
เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ใยมีแต่คนเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือขอแค่ให้ได้เสียดสี ไม่มีแก่นสารก็ไม่แคร์

เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ใยมีแต่คนเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือขอแค่ให้ได้เสียดสี ไม่มีแก่นสารก็ไม่แคร์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ทำคนไทยมืด 8 ด้าน อัด ‘เศรษฐกิจ 3 แกน’ คือ ความกลวงปลอมเปลือก แท้ที่จริงคือ
1.ทำลายศักยภาพในประเทศสร้าง-ซุกหนี้สารพัด
2.ทำลายศักยภาพในต่างประเทศ เสี่ยงโดนกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ และ 3.ทำลายศักยภาพประชาชน ละเมิดสิทธิเสรีภาพ-หลักนิติรัฐอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมเผยตัวเลขน่าตกใจ โรคระบาดในไทยที่มีคนตายมากกว่าโควิด
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นผู้สรุปการอภิปรายว่า 8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ซึ่งกลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต เมื่อไปดูในรายละเอียดก็พบว่ากลวง เป็นของปลอมที่มีแต่เพียงเปลือก อย่างแกนที่ 1.โครงสร้างพื้นฐานก็ช้าและมีแต่จะเจ๊ง แกนที่ 2.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มต้นช้าตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ความหวังเป็นศูนย์กลางแทบไม่มีทางเป็นไปได้ และ แกนที่ 3.การเงินการธนาคารที่จะให้คน 30 ล้านเข้าถึงขนาดมีอำนาจเต็มยังทำไม่ได้ อีกทั้งแผนการเงินที่พูดมาก็เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ และขนาดที่ผู้บริหารธนาคารระดับประเทศเองก็บอกว่างงเป็นไก่ตาแตกกับแผนนี้
“เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุดคือนายกรัฐมนตรีไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับคือไม่มีความหวัง ท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาแบบนี้ประชาชนต้องการให้นายกเป็นผู้นำที่จะสร้างความหวังกลับมาให้ประเทศ ไม่ใช่ให้ สมช. คิดแผน แล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการ เดี๋ยวก็ตั้งคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการก็ไปตั้งที่ปรึกษา ไม่ได้มีแก่นสาร ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยออกจากวิกฤติได้เลย” พิธา กล่าว
พิธา กล่าวอีกว่า สำหรับ 3 แกนที่แท้จริงของประยุทธ์ คือ 3 ทำลาย ได้แก่ 1.ทำลายศักยภาพในประเทศ ผ่านการบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลว ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะมีแต่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหนี้นโยบายและหนี้กองทุนน้ำมันที่ซุกไว้อีกด้วย
2. ทำลายศักพยภาพของไทยในต่างประเทศ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ทันโลก ไม่เจนจัดสนามการเมืองโลก ขาดลูกล่อลูกชน และโดยหลักการคือควรวางตัวเป็นกลางเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประเทศกลับไม่ทำ อย่างกรณีเครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลากขึ้นศาลได้ ขณะที่การตั้งผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา ก็ดันไปเอาบุคคลที่มีมลทินเคย มีความผิดเกี่ยวกับความเป็นล็อบบี้ยีสต์มาดำรงตำแหน่ง
และ 3.ทำลายศักยภาพประชาชน ซึ่งก็คือการทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกคน ละเมิดสิทธิประชาชนด้วยคดีความที่เป็นการทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่สำคัญคือการแอบอ้างเรื่องสถาบัน ที่ทำให้มีคนจำนวนมากถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
(22 ก.ค. 65) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน เป็นวันที่ 4 ภายใต้ยุทธการ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ ซึ่งเป็นการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า วันนี้ตนจะมาฉายมหากาพย์การปล้นชาติกินเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากนายก ฯเพิกเฉยหมายความว่า นายกฯ ทุจริตไปด้วย แต่รัฐบาลพยายามบอกว่านายกฯ เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งนายกฯ รองนายกฯ ปลัดกระทรวง และอธิบดี สวาปามกินทั้งดิน ทั้งน้ำ ทั้งลม และทั้งไฟ โดยนายกฯ ปล่อยให้พวกพ้อง บุคคลแวดล้อมทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
นายจิรายุ กล่าวว่า เริ่มจากกองทุนทรัพยากรน้ำบาดาล ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดทำน้ำขวดบาดาลแจกจ่ายประชาชน หลังจากตนได้อภิปรายเมื่อต้นปี 65 ได้ยกเลิกโครงการไปแล้ว 2 ครั้ง แต่กลับแอบเดินหน้าโครงการต่อ โดยให้กรมทรัพยากรน้ำ 12 เขต จัดซื้อจัดจ้างขวดน้ำ เฉพาะ จ.สุพรรรณบุรี ได้งบประมาณ 4.4 ล้านบาท จัดซื้อขวดน้ำจำนวน 4.8 ขวด ที่มีฉ้อฉลว่าราคาขวดน้ำเปล่าที่กรมทรัพยากรน้ำซื้อมีราคาที่ต่างจากราคาท้องตลาดทั่วไป พร้อมทั้งข้อสังเกตงบประมาณปี 2566 ของกรมทรัพยากรน้ำดาล 10 โครงการ 1,800 ล้านบาท เหตุใดรีบเสนอโครงการทั้งๆ ที่สภายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาวาระ 2-3
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องพลังงานที่มีราคาแพงไม่ได้เกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามยูเครนรัสเซีย แต่เป็นเพราะรัฐบาลห่วยแตกโหลยโท่ย บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดบกพร่องโทษโน้นโทษนี่ ซึ่งมาตรการรอบใหม่ลดค่าครอบชีพช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลทั้ง 8 ข้อนั้น โดยเฉพาะขอความร่วมมือประหยัดพลังงาน วันนี้ตนขอหยิบวิธีประหยัดพลังงานที่นายกฯ บอกประชาชน คือ เตาเศรษฐีใช้แล้วดีมีแล้วรวย ที่มีสัญลักษณ์ เบอร์ 5 ที่สนับสนุนโดยกระทรวงพลังงาน กรณีที่จะขอลดค่ากลั่นและจะใช้เป็นตัวเลือกสุดท้ายนั้น ก็ยังหลอกประชาชน เพราะไม่ได้เจรจาจริง ทำให้น้ำมันแพงขึ้นทุกวันๆ และยังไม่ลดค่าการตลาดลงอยู่ที่ 1.40 สตางค์ แต่พบว่าค่าการตลาดอยู่ที่ 1.76-4.75 สตางค์ ขณะที่บริษัทไทยออยล์เพิ่มกำลังการผลิต จากเดิม 2.8 แสน บาร์เรลต่อวัน แล้วเพิ่มอีก 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อการส่งออกแต่ไม่ได้ขายในประเทศเพราะได้กำไรดีกว่า
หลังจากที่ร้านขายปลาสวยงามย่านจตุจักรร้านหนึ่ง ได้มีการว่าจ้างพริตตี้สาว 2 คนมาร่วมสร้างบรรยากาศ ด้วยการให้ทั้งสองที่อยู่ในชุดบิกินีเข้าไปอยู่ในตู้ปลามังกรราคากว่าล้านบาท และมีผู้นำคลิปและภาพลงไปแชร์ผ่านสังคมออนไลน์กันอย่างมากมาย จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากนั้น
ล่าสุดพริตตี้ตู้ปลามังกร โพสต์ภาพตัวเองนอนแอดมิทในโรงพยาบาล บอกตัวเองเกือบตาย หลังสตาฟในงานเอาบราวนี่กัญชามาให้กิน
เฟซบุ๊กของพริตตี้สาวรายหนึ่ง โพสต์เตือนภัย เล่าว่าเมื่อวันที่ (20 ก.ค. 65) ที่ผ่านมา ตนเองและพริตตี้รวมกว่า 20 คนไปร่วมงานเปิดตัวปลาที่จตุจักร ไม่มีใครได้กินข้าว พี่สตาฟใส่เสื้อดำคล้าย ๆ คนในงาน ซึ่งกลุ่มพริตตี้ไม่รู้จัก เข้ามายื่นขนมให้ สาว ๆ เลยแบ่งกันคนละชิ้น แต่ตนเองกินมากกว่าคนอื่น โดยกินบราวนี่ไปเต็ม ๆ ชิ้นและคุ้กกี้อีกชิ้นใหญ่ จากนั้นไม่ถึง 10 นาที เริ่มรู้สึกหนัก ๆ ที่ตา หน้ามืด เริ่มเวียนหัว เพื่อนต้องพยุงไปเข้าห้องน้ำ
จากนั้นเริ่มหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก กล้ามเนื้อเริ่มกระตุก รู้สึกเหมือนกำลังจะชัก จึงรีบตะโกนบอกเพื่อนให้เรียกรถพยาบาล ตอนนั้นหายใจเริ่มไม่ออกและเริ่มชัก โชคดีที่แฟนอยู่ใกล้ ๆ จึงอุ้มขึ้นรถพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เข้าห้อง ICU หมอตรวจคลื่นหัวใจ พุ่งทะลุไปถึง 150 ขณะนั้นขยับตัวไม่ได้แล้ว ชาไปทั้งตัว แต่ยังรู้สึกและได้ยินทุกอย่าง วินาทีนั้นเข้าใจคำว่าใกล้ตาย แล้วมีห่วง
เธอเล่าว่า มีหลายครั้งที่หัวใจเกือบหยุดเต้น ทุกครั้งที่อาการเริ่มแย่หัวใจจะหยุดเต้น จะได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ ได้ยินเสียงพยาบาลตะโกนเรียกหมอ แล้วทุกคนยืนล้อมเตียงเยอะมาก ๆ พร้อมตะโกนว่าอย่าหลับนะคะคนไข้ ตั้งสติไว้ วินาทีนั้นคิดในใจเลยว่าห้ามหลับนะ ถ้าเราหลับเราอาจไม่ตื่นแน่ แล้วภาพก็ตัดไป ข้ามไปอีกวัน
กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง มหาดไทย ก.ทรัพย์ สภาอุตฯ ลงนาม MOU พร้อมผู้ว่าฯ 39 จังหวัดเป้าหมาย พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เน้นบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น “เมืองน่าอยู่ คู่อุตสาหกรรม” ครบทั้ง 5 มิติ คือ มิติกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 5 การสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม พัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริม สนับสนุน ผลักดัน ยกระดับเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมตามเป้าหมายการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยมอบหมายให้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพดำเนินงาน
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรอ. กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และจังหวัดเป้าหมายการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 39 จังหวัด เพื่อการแสดงเจตนารมณ์ที่เห็นพ้องต้องกัน ในการร่วมบูรณาการความร่วมมือพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของหน่วยงานภาครัฐให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมขับเคลื่อนและพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Ecosystem) เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
โดยได้รับเกียรติจาก นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายธัญญา เนติธรรมกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยาน และลงนามบันทึกความเข้าใจโดย นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายธนิศร์ วงศ์ปิยะสถิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายเฉลิมชัย ปาปะทา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม นายอัฐพล จิรวัฒน์จรรยา รองผู้ว่าการ (ประจำสำนักผู้ว่าการ) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด 39 จังหวัดเป้าหมาย แบ่งเป็น…
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส. พะเยา พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ #เด็ดหัวสอยนั่งร้าน ชำแหละปัญหาหมูแพง เนื่องจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) โชว์หลักฐานว่าที่รัฐบาลพยายามชี้แจงว่าควบคุมโรคระบาดในไทยได้สำเร็จนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะได้ติดตามและส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ 3 ครั้ง ติดเชื้อทั้ง 3 ครั้ง เรื่องนี้กระทบผู้บริโภคและเกษตรกรขนาดกลางและย่อยรุนแรง
วิสุทธิ์เท้าความก่อนว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้ติดตามประเด็นหมูในฟาร์มรายเล็กและรายย่อยของไทยติด ASF ตายเป็นเบือ ส่งผลให้ราคาหมูดีดตัวสูงขึ้นกระทบพ่อค้าแม่ขายและดันราคาอาหารพุ่งชนิดเท่าตัว และได้มีการอภิปรายเรื่องนี้ไปแล้วในการอภิปรายแบบไม่ลงมติ (ตามมาตรา 152) เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ครั้งนั้น รัฐบาลรับปากว่าจะแก้วิกฤตให้พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและแก้ปัญหาหมูแพง
ต่อมา ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลจัดโครงการเอาหมูมาขายราคาพิเศษ คือ 140 บาท / กิโลกรัม ขณะที่ราคาท้องตลาดอยู่ที่ราว 250 บาท วิสุทธิ์จึงได้ซื้อเนื้อหมูจากโครงการนั้นไปส่งตรวจ พบว่าตัวอย่างทั้งหมดติดเชื้อ 100% และเมื่อสุ่มตรวจอีกครั้งในเดือนเมษายน โดยครั้งนี้ไม่ได้ซื้อจากโครงการรัฐแต่ซื้อจากร้านค้าปลีกในท้องตลาดทั่วไป ก็ยังพบว่าติดเชื้ออยู่ถึง 75%
11 พ.ค. 2565 เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย สรวิศ ธาโตนี อธิบดีกรมปศุสัตว์ ได้ออกแถลงว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดจากโรค ASF กำจัดโรคในหมูอยู่หมัด เรื่องนี้วิสุทธิ์ทวงถามในสภาเสียงเครียดว่า “เอาอยู่ตรงไหน?”
เมื่อเห็นประกาศเช่นนั้น วิสุทธิ์จึงไปหารือกับ ประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้ตรวจสอบและนำงบ กมธ. ไปตรวจสอบดูว่า ที่ รมว. เกษตรพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ และเมื่อตรวจแล้วก็ยังพบตัวอย่างหมูในประเทศติดเชื้ออยู่ถึง 40%
ค่านิยมเดิม ๆ ของชาวเอเชียส่วนใหญ่ ที่ผู้ชายมักนิยมเลือกภรรยาที่ระดับการศึกษาน้อยกว่าตัวเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า หรือ ผู้หญิงที่มักเลือกผู้ชายที่มีการศึกษาสูง ๆ โดยคาดหวังว่าเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวได้ดี กำลังจะเปลี่ยนไปใน ‘สิงคโปร์’
จากการศึกษาข้อมูลสถิติของการสมรส และ หย่าร้างในสิงคโปร์ประจำปี 2021 ที่รวบรวมโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายที่มีระดับการศึกษาน้อยกว่าตัวเองมีแนวโน้มสูงขึ้น จาก 17.5% เป็น 18.2% ในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียว
และในขณะเดียวกัน ผู้ชายที่เลือกแต่งงานกับผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยกว่าตนเองกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาก16.3% เหลือเพียง 12.3% เท่านั้นในปีนี้
ค่าสถิตินี้ กำลังชี้ให้เห็นว่า หนุ่ม-สาว ชาวสิงคโปร์ มักเลือกคู่ครองที่มีระดับการศึกษาเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันฝั่งผู้ชายก็ไม่ติดใจหากฝ่ายหญิงจะมีการศึกษาที่สูงกว่า หรือมีหน้าที่การงานที่ไปได้ไกลกว่าด้วยความสามารถของพวกเธอ เช่นเดียวกันกับฝ่ายหญิงที่เริ่มไม่ได้เน้นว่าฝ่ายชายต้องมีการศึกษาดีกว่าตนเสมอไป ถึงจะเป็นผู้นำครอบครัวได้
Tan Ern Ser นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยยะสำคัญทางสังคมอย่างมาก เพราะนั่นกำลังสะท้อนให้เห็นว่า คุณวุฒิการศึกษา จะไม่ถูกนำมาเป็นเครื่องชี้วัดถึงรายได้ของตัวบุคคล หรือความสำเร็จในอาชีพเสมอไป แม้จะปฏิเสธได้ยากว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจยังคงมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกคู่ครองก็ตาม
ด้าน Shailey Hingorani หัวหน้าฝ่ายวิจัย สมาคมสตรีเพื่อการวิจัยและปฏิบัติมองว่า ค่านิยมแบบดั้งเดิมมักวางให้ผู้ชายต้องรับหน้าที่ผู้นำครอบครัว และการที่ฝ่ายชายมีการศึกษาที่สูง มักช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอาชีพมากกว่า จนกลายเป็นสิ่งดึงดูดใจสำหรับฝ่ายหญิงในการเลือกใครเป็นสามี แต่ค่านิยมนี้ก็ได้ลดโอกาสทางสังคมของผู้หญิง ที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นแม่บ้าน ต้องพึ่งพาสามี และมีหน้าที่ดูแลครอบครัวเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.สมุทรปราการ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ เปิดเรือนรับรองเพื่อให้การต้อนรับผู้ที่มาร่วมอวยพร เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของ ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ส.ส.สมุทรปราการ โดยตรงกับวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ โดยทางด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร ส.ส.สมุทรปราการ ได้จัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้
บริเวณสนามร้านกาแฟ M coffee ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ท่ามกลางผู้ที่เดินทางมาร่วมอวยพรอย่างเนืองแน่น โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอบางพลี นายมาชัย ไพศาลธนสมบัติ ปลัดเทศบาลตำบลแพรกษา พ.ต.อ.สุภัค วงษ์สวัสดิ์ ผกก.สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม พ.ต.อ.รณกร ประคองศรี ผกก.สภ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการเทศบาลตำบลแพรกษา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คณะผู้บริหารโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยสมุทรปราการ คณะผู้บริหารโรงเรียนวัดแพรกษา ข้าราชการตำรวจ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และประชาชนต่างทยอยเดินทางมาร่วมอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดกันอย่างเนืองแน่น
ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วันผ่านไปอย่างตั้งใจ ใจจดใจจ่อตามที่ฝ่ายค้านโหมโรง ชื่อ ยุทธการเด็ดหัวสอยนั่งร้าน ฟังแล้วตื่นเต้นดี พร้อมกับออกโปสเตอร์หนังมาสร้างวันก่อนทำศึก ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็คิดว่าเงียบ ๆ คอยเตรียมข้อมูลเพื่อตอบโต้ฝ่ายค้าน แต่คืนสุดท้ายก่อนเปิดอภิปราย ก็มีหมัดเด็ดมาเบา ๆ โปสเตอร์เจมส์ตู่ 008 พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย หรือ NO TIME TO DIE ออกมาสู้พอเป็นสีสันโหมโรงกัน ฟังไปฟังมาทั้งสามวันมีแต่เรื่องเดิม ๆ ข้อมูลในเฟซบุ๊กที่ปั่นกันมา 3 ปี 8 ปี ไม่มีหลักฐานเด็ดอะไรเลย
แต่ที่สะดุดจริง ๆ ปรี๊ดขึ้นมาทำให้สภาร้อน ก็ตอน ส.ส.หญิง ผู้ทรงเกียรติ จากทางอีสานติดแม่น้ำโขง ลุกขึ้นอภิปราย รมว.ดีอีเอส เรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่งฟังนึกว่าเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐมนตรี ผิดพลาด ลุแก่อำนาจ หรือทุจริต สัมปทานของกระทรวงดีอีเอส ฟังไปฟังมา เอ๊ย!! มันเรื่องส่วนตัวนี่นา พยายามฟังแล้ว น่าจะมีปัญหาเรื่องจริยธรรมของผู้อภิปรายคนนี้เองมากกว่า
ส.ส.คนนี้ไม่มีคนรู้จัก จากการดำรงตำแหน่ง ส.ส. มา 3 ปีกว่า การลุกขึ้นมาอภิปรายรอบนี้บางคนบอกว่าแจ้งเกิด หรือ แจ้งดับกันแน่ ชักสงสัย
การเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดในสภาครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เท่าที่จำได้ ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา เรื่องสัญชาติไทย โจมตีว่าเป็นคนต่างด้าว ลากเอาบรรพบุรุษ อากง อาม่า มาละเลงกันในสภาผู้แทนราษฎร แบบหยาบๆ คายๆ ทำให้ประชาชนเห็นใจอดีตนายกบรรหารขึ้นมาทันที หรือได้คะแนนสงสาร เพราะคนที่ดูการอภิปรายมองว่าบรรพบุรุษเขาไม่เกี่ยวจะขุดมาก่นด่ากันทำไมในสภา
แต่ครั้งนี้หนักกว่า ลากภรรยา รูปภรรยา และคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นภรรยาใหม่ มาขึ้นจอในสภา ถ่ายทอดสดทั้งทีวี และโซเชียลมีเดีย พร้อมคนคอมเมนต์ มากล่าวหากันสนุกปาก สนุกนิ้วที่จิ้มคีย์บอร์ด ทั้งๆ ที่ข้อมูลนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ แค่กล่าวหา กันในวง สส.แต่เอามาเผยแพร่สาธารณะ รัฐมนตรีดีอีเอส ก็ตอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง แล้วคนกล่าวหาว่าไงล่ะ
ข้อสังเกตการณ์อภิปรายเรื่องนี้ ดูแล้วทะแม่ง ๆ
1. น่าจะเป็นครั้งแรกของสภาไทย ที่มาอภิปรายกล่าวหาเรื่องซุบซิบ แบบต่ำๆ กันอย่างออกนอกหน้า
2. ผู้อภิปรายเป็นเพศหญิง พรรคเพื่อไทย นี่แสดงว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีดาราระดับแถว 1 มาเป็น ส.ส.แล้วใช่มั้ย ทำไมมาตรฐานพรรคช่างตกต่ำ
3. น่าสงสัยว่าข้อมูลนี้เอามาจากไหน คนเอาข้อมูลนี้มาให้ หวังดีหรือประสงค์ร้าย กับ ส.ส.หญิงผู้อภิปราย ท่านนี้กันแน่ หรือคนวงในจริงๆ ส่งให้
(22 ก.ค. 65) นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) และผู้อำนวยการพรรค กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ส่งสัญญาณสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 500 อาจไปต่อไม่ได้ เพราะจะมีปัญหาตามมาทีหลัง ว่า รัฐสภามีมติเห็นชอบการใช้สูตรหารด้วย 500 หากจะเปลี่ยนไปใช้สูตรหาร 100 ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.ท้วงกลับมาที่รัฐสภา ซึ่งก็อยู่ที่รัฐสภาว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ส่วนตัวตนยังสนับสนุนให้ใช้สูตรหาร 100 เนื่องจากเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่
"ต้องรอดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญหรือ กกต.จะมีความคิดเห็นกลับมาอย่างไร เห็นว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือขอให้แก้ไข ส่วนกรณีที่นายสมศักดิ์ ออกมาแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ อาจจะมีนัยยะทางการเมืองสำคัญซ่อนอยู่" นายวิเชียร กล่าว