Monday, 30 June 2025
Hard News Team

คู่เอกประจำวัน ‘บิ๊กตู่-อมรัตน์’ ซัดกันนัว หลังถูกกล่าวหาก้าวล่วงสถาบัน

วันนี้ (21 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ชี้แจงว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมาตนติดภารกิจกราบสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาถวายเทียนพรรษา ขอมอบช่วงเวลาอันเป็นมงคลให้ทุกท่านด้วย สุดแล้วแต่ใครจะรับได้หรือไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทำกรรมดี ก็ได้รับกรรมดี ทำกรรมไม่ดี ก็จะปรากฏต่อไป ตนพยายามทำให้ดีที่สุด แต่อาจไม่ดีในสายตาของท่านก็ไม่เป็นไร วันนี้ท่านบอกว่า ชื่อตนมีความหมายนู่นนี่ ก็ไปคิดเอาว่าตู่กับเตี้ยความหมายเหมือนกันหรือไม่ ก็คงไม่เหมือน ไปดูว่าใครทำประโยชน์มากกว่า ตนเห็นท่านเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ท่านบอกว่าศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ ส่วนที่ดีไว้บ้าง สิ่งที่ท่านทำหลายๆ อย่างวันนี้ ก็ปรากฏแล้ว ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการก้าวล่วงสถาบันของชาติ ซึ่งตนรับไม่ได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำให้ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงทันที โดยถามนายกฯ ว่าตนก้าวล่วงสถาบันตรงไหน ข้อหานี้ผิดมีโทษร้ายแรง อยู่ดีๆ จะปากพล่อยว่าคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร อย่ามั่วเที่ยวพูดตีขลุม นายกฯ จึงตอบโต้ว่า ตนไม่ได้พูดอะไรเกินความเป็นจริงเท่าไหร่ ถ้าดูในคดีต่างๆ ก็มีหลายคดี เตรียมต่อสู้คดีแล้วกัน 

นางอมรัตน์ จึงประท้วงอีกครั้ง โดยขอให้นายกฯถอนคำพูด เพราะมาตรา 112 ร้ายแรง จะมาป้ายให้ใครๆ แบบนี้ได้อย่างไร อย่ามั่ว ต้องถอนคำพูด ขณะที่ นายกฯ ยืนยันว่า “ผมไม่ถอนครับ” จากนั้น ประธานในที่ประชุม กล่าวว่า ขอให้ฟังประธาน เราอภิปรายเขาก็หนัก จึงไม่มีอะไรต้องถอน ดีที่สุดคือต้องระมัดระวัง

พล.อ.ประยุทธ์ จึงชี้แจงต่อถึงการก่อสร้างแท่นประดิษฐานปรับปรุงภูมิทัศน์พระบรมราชานุสาวรีย์ เดิมมีการจัดซื้อจัดจ้างโดยผู้ประกอบการ 3 ราย ผู้ชนะการคัดเลือกเสนอวงเงินก่อสร้าง 59 ล้านบาท ระหว่างการก่อสร้างบริษัทคู่สัญญาได้แจ้งความประสงค์บริจาคสิ่งปลูกสร้างที่แล้วเสร็จ โดยไม่ขอรับเงินค่าจ้างที่ระบุไว้ในสัญญา โดยกรมยุทธโยธาทหารบกได้ส่งคืนงบประมาณดังกล่าวที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายแก่กองทัพบกแล้ว พร้อมทั้งชี้แจงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เราไม่ได้ใช้งบของทางราชการ แต่ดำเนินการภายใต้ผู้มีจิตศรัทธา 

นายกฯ ชี้แจงถึงที่มีผู้อภิปรายค่าโง่คดีคลองด่าน ยืนยันว่า ให้ความสำคัญ โดยสั่งการให้กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย กรมควบคุมมลพิษ ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด มีการยื่นคำร้องไปแล้วเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกากับศาลปกครอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ตนไม่อาจก้าวล่วง ส่วนการอายัดทรัพย์สินเหล่านั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้อายัดทรัพย์สินของกิจการร่วมค้าที่รับเงินตามคำพิพากษาไปแล้วเมื่อปี 2558 งวดที่ 1 ให้ตกเป็นของแผ่นดิน และ ปปง.ได้ยื่นร้องต่อศาลแพ่ง ดำเนินการอายัดสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษจ่ายให้แก่กิจการร่วมค้า ในงวดที่ 2 และ 3 ศาลแพ่งก็มีคำสั่งอายัดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด

นายกฯ ระบุต่อว่า ส่วนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 นั้น กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินคดีกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญา 13 คดี ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว 5 คดี อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล 6 คดี ชั้นอัยการ 2 คดี ฟ้องเรียกค่าเสียหายไป 747 ล้านบาท มีการชดใช้ค่าเสียหายมาแล้ว 17 ล้านบาท อยู่ระหว่างการติดตามคดีที่คั่งค้างอยู่ เรื่องจีที 200 เป็นปัญหาทั้งโลก มีการใช้ในสงครามต่างๆ มากมาย เช่น สงครามอิรัก สนามบินต่างๆ ก็ใช้ หลายประเทศก็มีการฟ้องร้องเช่นกัน 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มอัตราค่าไฟในอนาคต เพราะ กฟผ.ต้องแบกหนี้สินมากกว่า 1 แสนล้านบาท เพราะมีต้นทุนสูงขึ้น แต่ กฟผ.ไม่มีการปรับค่าเอฟทีตั้งแต่ปีที่แล้ว ขาดทุนไป 38,000 ล้านบาท ปีนี้อีก 44,000 กว่าล้านบาท รวมแล้ว 83,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่หลายคนพูด

วุฒิสภา-สสส.-ภาคีเครือข่าย เดินหน้ารณรงค์-ผนึกกำลังตร. สร้างความปลอดภัยทางม้าลาย หลังพบคดีอุบัติเหตุคนเดินเท้าเฉลี่ย 2,500 รายต่อปี

จับมือตำรวจไทย สร้างมาตรการควบคุม-บังคับใช้กฎหมาย ด้านไรเดอร์-ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ร่วมขับเคลื่อนขับขี่ปลอดภัยลดอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (21 กรกฎาคม 2565) ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำนักงานเขตปทุมวัน และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้ ครั้งที่ 6 “ก้าวเดินอย่างปลอดภัยบนทางม้าลาย ตำรวจจราจรไทยร่วมดูแล” พร้อมมอบสื่อให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปใช้ในการรณรงค์สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยบนทางม้าลาย

ด้วยการลดความเร็วเขตชุมชนและชะลอก่อนถึงทางแยกทางข้าม
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา กล่าวว่า “รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้เหลือไม่เกิน 12 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2570 โดยใช้แนวคิดเน้นการจัดการเชิงระบบวิถีแห่งความปลอดภัย (Safe System Approach) โดยระบบที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกัน และลดความสูญเสีย ซึ่งกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย ขับเคลื่อนทำงานรณรงค์ปลูกจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวินัยจราจร วันนี้เรายังเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนข้ามทางม้าลาย 

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญยิ่งที่มีหน้าที่กำกับดูแล บังคับใช้กฎหมาย จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้เกิดความปลอดภัย 3 ด้าน คือ

1. การบริหารจัดการ การบังคับใช้กฎหมายและการกำกับติดตาม โดยเฉพาะการบังคับใช้และมีมาตรการดูแล ณ ทางแยก-ทางข้าม โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ยังมีทั้งการจอดรถทับทางม้าลาย-ไม่หยุดให้คนข้าม 
2. มาตรการและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐานสัญลักษณ์จราจรทางถนน และการกำหนด Speed Zone จำกัดความเร็วในเขตชุมชน 
3. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เช่น นำเทคโนโลยีเสริมการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบกและกรุงเทพมหานคร วางแนวทางควบคุม/บังคับใช้กฎหมาย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัย

รัฐบาลแผ่นเสียงตกร่อง คิดอะไรไม่ออกก็โทษจำนำข้าว ‘เพื่อไทย’ ยัน หนี้ อคส. เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลประยุทธ์ทั้งสิ้น

นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการทุจริตใน อคส. (องค์การคลังสินค้า) กระทรวงพาณิชย์ กรณีถุงมือยาง โดยนายจุรินทร์ได้ลุกขึ้นชี้แจงกรณีดังกล่าว และพาดพิง ‘โยนบาป’ เหมารวมว่าโครงการในอดีตของรัฐบาลเพื่อไทยก็มีกรณีอยู่ใน อคส. เช่นเดียวกันนั้นว่า ไม่ใช่ความจริงแบบที่นายจุรินทร์พยายามจะเข้าใจ  ตรงกันข้าม การทุจริตใน อคส. เป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่มีประเด็นชัดเจนมากคือ กรณีใน อคส. ทั้งหมด เกิดจากการดำเนินการของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น 

ในฐานะอดีตคณะทำงานด้านเศรษฐกิจสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอชี้แจงว่า รัฐบาลเพื่อไทยขณะนั้น มีมาตรการการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวอย่างรัดกุมถึง 13 ขั้นตอน มีคณะกรรมการตรวจสอบทุกลำดับ และมีสัญญากับเอกชนซึ่งระบุความรับผิดชอบอย่างชัดเจน จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถรักษาคุณภาพข้าว “‘เป็นอย่างดีและครบถ้วน’ ดังนั้น จึงไม่มีข้าวหาย ข้าวเน่า และข้าวเสื่อมคุณภาพ แบบที่มีการใส่ร้ายบิดเบือนกัน 

ตรงกันข้าม หลังการยึดอำนาจรัฐประหารรัฐบาลเพื่อไทยของพลเอกประยุทธ์  หากยึดตามหลักฐานที่ยืนยันได้โดยผู้บริหารคลังสินค้าและเซอร์เวย์เยอร์ กลับพบว่า มีการนำข้าวคุณภาพดีไปขายในราคาต่ำ โดยมีการจัดเกรดคุณภาพข้าวใหม่ที่ต่ำกว่ากว่ามาตรฐานปกติ ซ้ำยังมีการสุ่มตรวจข้าวแบบ ‘ขอไปที’ แล้วอ้างว่าเป็น ‘ข้าวเสีย’ ทั้งหมด เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของการเกิดเป็นคดีความให้เอกชนคู่สัญญาเหล่านั้นซึ่งได้ทำสัญญารับผิดชอบดูแลรักษาข้าว ทั้งจำนวนและคุณภาพ ต้องลุกขึ้นใช้สิทธิต่อสู้ตามกฎหมาย เป็นคดีความฟ้องร้องมากมายต่อสู้กันในชั้นศาล 
 

'ชญาภา' แนะ 'แรมโบ้' เอาเวลาไปเตรียมข้อมูลอภิปรายให้ 'ประยุทธ์' ตอบให้ตรงคำถามฝ่ายค้านก่อนหมดโอกาสแก้ตัว

นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวหา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าออกมาฟาดงวงฟาดงาใส่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ไม่เข้าเป้าจึงต้องออกโรงเอง สะท้อนให้เห็นว่านายเสกสกลไม่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างใกล้ชิด จึงไม่รู้ว่าจากการประเมินของหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า พรรคฝ่ายค้านมีมาตรฐานการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่น่าสนใจชวนติดตาม มีข้อมูลและหลักฐานที่มีน้ำหนักจนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จนมุมกลางสภาไม่สามารถตอบประเด็นที่สังคมสงสัยได้อย่างชัดเจน แม้การตอบคำถามของรัฐบาลน่าผิดหวัง แต่ยังคงเหลือการซักฟอกรัฐบาลอีกสองวัน อยากให้ติดตามการอภิปรายอย่างใกล้ชิดเพราะข้อมูลและข้อเท็จจริงที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมนำเสนอ ยังมีหมัดเด็ดที่อาจจะสะเทือนถึงองครักษ์ที่เฝ้าพิทักษ์รับใช้ลุงตู่อยู่จนอยากจะทิ้งนั่งร้านไปเลยก็ได้

'อานนท์' อัดซักฟอกไร้เนื้อหา – ปั้นน้ำเป็นตัว งัด 10 ผลงานเด่น 'รัฐบาลบิ๊กตู่' ตบหน้าฝ่ายค้าน

'อานนท์ แสนน่าน' อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง อัดฝ่ายค้านอภิปรายไร้สาระ ใช้ข้อมูลชุดเดิม ทั้งปั้นน้ำเป็นตัว แนะเปลี่ยนจากอาชีพนักการเมืองไปเป็นพนักงานโรงน้ำแข็งดีกว่า พร้อมงัดผลงานรัฐบาลตบหน้าฝ่ายค้าน

(21 ก.ค. 65) นายอานนท์ แสนน่าน ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ของฝ่ายค้านข้อมูลมีแต่เรื่องเดิม ๆ ไร้สาระ ปั้นน้ำเป็นตัวไม่ลืมหูลืมตาเอาข้อมูลอันเป็นเท็จมาอภิปราย สงสัยต้องให้เปลี่ยนอาชีพจากนักการเมืองไปเป็นพนักงานโรงงานน้ำแข็ง เพราะชอบปั้นน้ำเป็นตัว

นายอานนท์ กล่าวว่าที่ผ่านมารัฐบาลมีผลงานเป็นจำนวนมากเข้าถึงประชาชน แก้ไขปัญหาต่าง ๆ เชื่อว่าเลือกตั้งครั้งหน้าความนิยมจากประชาชนให้กับนายกฯลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีมากกว่าเดิม ตนจึงอยากจะนำเอาความจริงการทำงานในช่วง 7 ปีก่อน ตั้งแต่เป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนถึงรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งในปี 2562 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาให้ดูกันเอาเฉพาะคร่าว ๆ นะเพราะมีเยอะมาก การบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นกรอบเป้าหมาย และแนวทางการพัฒนาประเทศ และพยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยสรุปได้ดังนี้

1. สานต่อนโยบายการส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 โดยการต่อยอด-ยกระดับ 5 อุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีศักยภาพ (First S-curve) ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และการแปรรูปอาหาร พร้อมต่อยอด 7 อุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve) ที่เป็นแนวโน้มของโลกในอนาคต ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแพทย์และสุขภาพครบวงจร การป้องกันประเทศ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

2. โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เกิดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ การลงทุนและแหล่งบ่มเพาะ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ พัฒนาเมืองแห่งนวัตกรรม หรือเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ให้เป็น “ซิลิคอนวัลเลย์” ของเมืองไทย / และ “เมืองใหม่อัจฉริยะด้วยนวัตกรรม” หรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ปัจจุบันการดำเนินงานมีความก้าวหน้าตามลำดับ

3. เตรียมความพร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม โดยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เกิดการลงทุนจริง ที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของ การลงทุนของภาครัฐ ในช่วงปี 2558 – 2562 ถึง 7.9% ต่อปี ดังนี้ ทางถนน : จากปี 2557 มี 4,271 กิโลเมตร และปี 2564 เพิ่มเป็น 11,583 กิโลเมตร มอเตอร์เวย์ : สร้างเพิ่ม 3 เส้นทางสำคัญ บางปะอิน-โคราช บางใหญ่-กาญจนบุรี และพัทยา-มาบตาพุด ทางราง : จากปี 2557 ระยะทาง 4,073 กิโลเมตร ปัจจุบันมีแผนสร้างเพิ่ม ระยะเวลา 20 ปี จะมีระยะทาง 8,900 กิโลเมตร ครอบคลุม 62 จังหวัด เป็นทางคู่-ทางสาม 5,640 กิโลเมตร และสถานีกลางบางซื่อ เป็นชุมทางรถไฟขนาดใหญ่ ทันสมัยที่สุดในอาเซียน รถไฟฟ้า (กทม.และปริมณฑล) สร้างเพิ่ม 10 สาย ระยะทางรวม 204.9 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 2 สาย นอกจากนี้ ยังมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ทางน้ำ : เพิ่มศักยภาพรองรับปริมาณการขนส่งทางน้ำ จากเดิมปี 2557 ประมาณ 279 ล้านตัน ในปี 2564 เพิ่มเป็น 355 ล้านตัน โดยพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง เปิดเดินเรือเฟอร์รี่พัทยา-หัวหิน ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เชื่อมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ปีละ 4,000 ล้านบาท และทางอากาศ : ปรับปรุงสนามบินทั่วประเทศ เพิ่มศักยภาพการรองรับผู้โดยสาร จากเดิมปี 57 รองรับ 118 ล้านคน ปี 64 เพิ่มเป็น 139 ล้านคน

4. โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล โดยในปี 2564 ความเร็วเฉลี่ยอินเตอร์เน็ตบ้านของไทย ที่ 308 ล้านบิทต่อวินาที (Mbps) ถือว่าแรงเป็นอันดับ 1 ของโลก โครงการเน็ตหมู่บ้าน 74,987 หมู่บ้าน ทั้งประเทศ โครงการสายเคเบิ้ลใต้น้ำ ที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งเป้าการเปลี่ยนแปลงสู่รัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของภาครัฐ พัฒนาระบบ “พร้อมเพย์” เพื่อสนับสนุนการชำระเงินและโอนเงินแบบทันที พัฒนาระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ในการติดต่อขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์

5. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดยจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง และเตรียมน้ำต้นทุน สำหรับภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมทั้ง EEC รวมทั้งน้ำอุปโภค-บริโภค สำหรับทุกครัวเรือน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง การฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ และโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ อุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ บริเวณถนนรัชดาภิเษก ผลลัพธ์ที่ได้รับตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ เพิ่มการกักเก็บน้ำรวม 1,452 ล้าน ลบ.ม. พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร 124 ล้าน ลบ.ม. ลดพื้นที่ประสบภัยแล้งลงอย่างต่อเนื่อง จาก 36,944 หมู่บ้าน ในปี 2556 และในปี 2564/65 ไม่มีประกาศภัยแล้ง

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา ทั้งระดับอาชีวศึกษา เน้นเรียนจบมีงานทำ และระดับอุดมศึกษา มีการปฏิรูปการอุดมศึกษาครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่ปี 2562 ได้วางแนวทางส่งเสริมการศึกษาแบบ Lifelong Learning หรือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต

รัฐสภา ‘ศรีลังกา’ ไม่สนใจเสียงม็อบ เทคะแนนเลือก ‘วิกรมสิงเห’ นั่งผู้นำคนใหม่

รานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรี 6 สมัย ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของศรีลังกาเมื่อวันพุธ (20 ก.ค.) โดยมีพรรคการเมืองของโกตาภยา ราชปักษา อดีตผู้นำที่บินหนีออกนอกประเทศให้การสนับสนุน

ก่อนการโหวตของสภา รานิล วิกรมสิงเห แถลงออกตัวว่า ตอนที่เข้าร่วมรัฐบาลของราชปักษาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจศรีลังกาพังครืนไปแล้ว แต่นับจากนั้นเขาดำเนินการจนกระทั่งสามารถลดเวลาการดับไฟฟ้าเนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิงในการผลิต จากวันละ 5 ชั่วโมง เหลือ 3 ชั่วโมง รวมทั้งสามารถแจกจ่ายปุ๋ยให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแบนซึ่งบังคับใช้อยู่ก่อนหน้านั้น

สำหรับผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการของรัฐสภา ปรากฏว่า วิกรมสิงเหได้คะแนนจากสมาชิกสภา 134 เสียง ขณะที่คู่แข่งสำคัญคือ ดัลลัส อลาฮัปเปอรูมา ได้ 82 เสียง และตัวแทนจากพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย อนุรา ดิษนายาเก ได้แค่ 3 เสียง เท่ากับว่า วิกรมสิงเหได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง และชนะแบบขาดลอยไปตั้งแต่การโหวตรอบแรก ทั้งนี้ศรีลังกาเป็นประเทศที่รัฐสภามีเพียงสภาเดียว

หลังจากนั้น วิกรมสิงเห ที่เคยล้มเหลวในการสมัครลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมา 2 ครั้ง 2 ครา กล่าวสั้น ๆ ว่า ขณะนี้ความแตกแยกจบลงแล้ว และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อนำประเทศพ้นจากวิกฤต พร้อมแสดงความหวังว่า จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแบบเรียบง่ายภายในอาคารรัฐสภาที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดให้แล้วเสร็จภายในวันพุธเลย

‘เทสลา’ เทขายบิตคอยน์ 75% ของที่ถือครอง หลังราคาทรุดหนัก ส่งผลกระทบกำไรบริษัท

บริษัทเทสลา อิงค์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ขายบิตคอยน์ในสัดส่วนสูงถึง 75% ของจำนวนบิตคอยน์ที่บริษัทถือครองอยู่ คิดเป็นมูลค่าการขาย 936 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ เทสลาได้เทขายบิตคอยน์ หลังจากมูลค่าของบิตคอยน์ทรุดตัวลงอย่างหนัก โดยร่วงลงมากกว่า 50% แล้วในปีนี้

“ณ สิ้นสุดไตรมาส 2 ปีนี้ เทสลาได้เทขายบิตคอยน์ไปประมาณ 75% ของจำนวนบิตคอยน์ที่เราถือครอง ซึ่งทำให้งบดุลบัญชีของเรามีเงินสดเพิ่มขึ้น 936 ล้านดอลลาร์”

เทสลาระบุในการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันพุธ (20 ก.ค.)

เทสลาระบุในแถลงการณ์ดังกล่าวว่า บิตคอยน์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้

ที่ผ่านมานั้น นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัทเทสลาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี โดยเขามักจะโพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์และส่งผลให้ราคาคริปโทเคอร์เรนซีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์และดอจคอยน์

Starbucks เล็งถอนตัวจากสหราชอาณาจักร หลังเจอพิษเงินเฟ้อ - การแข่งขันรุนแรง

Starbucks เล็งถอนตัวจากตลาดสหราชอาณาจักร หลังเจอพิษเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์เจ้าถิ่น

มีรายงานข่าวจากบีบีซี ระบุว่า Starbucks เชนร้านกาแฟยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ อเมริกา อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้กับธุรกิจในกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร (United Kingdom) เหตุเพราะเศรษฐกิจของ UK กำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก

จากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและปัญหาข้าวยากหมากแพง รวมไปถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนี้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าสู้ต่อไม่ไหว อาจนำไปสู่การขายกิจการ เหมือนกับที่เคยขายธุรกิจสิทธิ์การบริหารในประเทศไทยให้กับบริษัทในกลุ่มไทยเบฟไปแล้วก่อนหน้านี้ 

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของ UK ไม่ต่างจากคนไข้ที่แพทย์ต้องจับตาดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 9.1% สูงสุดในรอบ 40 ปี นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) อีกด้วย และหากสถานการณ์ยังเลวร้ายต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าปีนี้ตัวเลขเงินเฟ้ออาจพุ่งเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 11%

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ประเมินเศรษฐกิจของ UK กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย และปี 2023 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจไม่ขยายตัวเลย

ข้อมูลเชิงลบดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดให้รอบคอบว่าจะกินจะดื่มอะไร เพราะอาหารทุกจานและเครื่องดื่มทุกแก้วย่อมส่งผลต่อจำนวนเงินในกระเป๋า ในภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ทาง Starbucks ยังคงจับตาสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจใน UK อย่างใกล้ชิดด้วยความกังวล แม้ว่าปัจจุบันยอดขายกำลังกระเตื้องกลับขึ้นมา หลังคนวัยทำงานต่าง ๆ ถูกเรียกตัวกลับบริษัท ทั้งแบบเต็ม 5 วันทำงานหรือสลับกับการทำงานอยู่บ้านก็ตาม

ขณะที่ The Times หนังสือพิมพ์เก่าแก่ของอังกฤษรายงานว่า Starbucks กังวลต่อสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของ UK อย่างมาก และกำลังคิดหาทางว่าจะทำอย่างไร

จนต้องไปหารือกับ Houlihan Lokey บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินของสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญการปรับโครงสร้าง ควบรวมและขายกิจการ โดยทางออกต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณานี้มีการขายกิจการรวมอยู่ด้วย

แถลงข่าว - โครงการปั่นเทิดพระเกียรติมิตรภาพไทย-มาเลเซีย

วันที่ (20 กรกฎาคม 2565) เวลา 15.30 น. มีแถลงข่าวโครงการปั่นเทิดพระเกียรติมิตรภาพไทย-มาเลเซีย ในบรรยากาศสุดอบอุ่นใต้ต้นไม้ บริเวณตรงข้ามด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก โดยนำกีฬามาเป็นสื่อ ภายใต้ความร่วมมือของสองประเทศ โดยนายวิเซษฐ์ ไทยทองนุ่ม ผู้แทนกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และนายกสมาคมการกีฬาแห่ง จ.นราธิวาส ซึ่งมีนายทศพล สวัสดิสุข รองผู้ว่าราชการ จ.นราธิวาส มาร่วมเป็นประธานเปิดพิธี รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะนราธิวาส และผู้ใหญ่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ร่วมเป็นเกียรติ

โครงการฯ ได้กำหนดจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในรัชกาลที่ 10 และส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายมีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง พร้อมทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์เมืองน่าท่องเที่ยวที่เชิญชวนให้มาเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัดนราธิวาส ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ นายวิเซษฐ์ ไทยทองนุ่ม ผู้แทนกองทุนกล่าวว่า นราธิวาสมีศักยภาพและมีความพร้อมสามารถเป็นโมเดลเมืองกีฬา พร้อมสนับสนุนผลักดันผ่านสามคมการกีฬาแห่งจังหวัดนราธิวาสต่อไป

ในส่วนเส้นทางการปั่นในครั้งนี้ เริ่มต้น อ.สุไหงโกลก ไปยังด่านบูเกะตาเข้าสู่อำเภอยือลี รัฐกลันตัน ร่วมทำกิจกรรมปลูกต้นไม้และพักตามอัธยาศัยที่ตลาดยือลี รวมระยะทางการปั่นไปกลับทั้งสิ้น 96 กิโลเมตร 

นายวิเซษฐ์ ไทยทองนุ่ม ผู้แทนกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และนายกสมาคมการกีฬาแห่ง จ.นราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ได้กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่ายพร้อมเปิดบ้าน และสร้างความมั่นใจในการเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยว ได้กลับมาชื่นชมบรรยากาศ และสิ่งสวยงามที่พร้อมให้มวลชนมาเยี่ยม สร้างมิตรไมตรี ที่ผู้คนพร้อมต้อนรับนักปั่นเกือบ 2000 ชีวิตที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

‘จิรัฏฐ์’ ซัด 13 ปี GT200 คนสั่งซื้อได้เป็นรมต. ส่วนคนขายยังได้ดี รับงานกองทัพต่ออีก 8,000 ล้าน

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.จังหวัดฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด GT-200 ที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง

จิรัฏฐ์ กล่าวว่า คดี GT-200 ถือเป็นมหกรรมการทุจริตครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในช่วง 2549-2552 จากการจัดซื้อ จัดจ้าง เครื่องค้นหาวัตถุระเบิดและสารเสพติดต่าง ๆ ที่ต่อมาถูกแหกว่าไร้คุณภาพ จนมีการให้ฉายาความห่วยแตกว่าไม่ต่างอะไรกับ ‘ไม้ล้างป่าช้า’ ส่วนสาเหตุที่สังคมไทยไม่ลืมเรื่องค่าโง่ GT-200 ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 13 ปี ก็เพราะยังคงมีคำถามที่ยังไม่เคยได้รับคำตอบว่า ใครต้องรับผิดชอบจากการจัดซื้อเครื่อง GT-200

“ปัญหาสำคัญของการจัดซื้อเครื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทุจริตที่ทำให้ประเทศชาติสูญเงินฟรีนับพันล้าน แต่ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารและพลเรือนหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดเพราะเครื่องที่ใช้การไม่ได้ ทั้งยังทำให้ผู้บริสุทธิ์นับร้อยรายต้องโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการโดนคุมขัง ดำเนินคดี เพราะเครื่องชี้ผิดชี้ถูก ดังนั้น เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เพียงได้เงินคืนแล้วจบ แต่ต้องมีการเอาผิดไปถึงผู้ที่อนุมัติการซื้อเครื่องนี้เข้ามา เพราะมันได้ทำร้ายชีวิตของผู้คนไปมากมาย”

จิรัฏฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เพิ่งมีความคืบหน้าไปอีกขั้น เมื่อวันที่ (28 มีนาคม 2565) ที่ผ่านมานี้  อัยการสูงสุด โดยอัยการศาลทหารกรุงเทพ ได้ยื่นฟ้องทหารจำนวน 22 คน ในข้อหาว่ากระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีที่กองทัพบกสั่งซื้อ GT-200 เป็นจำนวน 12 สัญญา ทั้งหมด 757 เครื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 682,600,000 บาท สำนวนนี้รับต่อจาก ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดทหารทั้ง 22 นาย แต่ประเด็นสำคัญคือ คดีนี้กลับชี้ไปไม่ถึงผู้มีส่วนสำคัญในการอนุมัติเลย ทั้งที่ GT-200 เกือบทั้งหมด ถูกอนุมัติสั่งซื้อโดย พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ขณะนั้น ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขณะนั้น

“การซื้อครั้งที่ 3, 11 และ 12 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะ ผบ.ทบ. เป็นผู้เซ็นอนุมัติซื้อด้วยตัวเอง การซื้อครั้งที่ 2, 3, 6, 7, 8 และ 11 ซึ่งเป็นวงเงินไม่เกิน 40 ล้านบาท อยู่ในอำนาจอนุมัติของ ผบ.ทบ. ก็พบว่ามีผู้ช่วย ผบ.ทบ. หรือ เสธ.ทบ. เป็นผู้เซ็นอนุมัติโดยรับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ โดยการสั่งซื้อครั้งที่ 11 พบว่า เสธ.ทบ. ผู้รับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. ให้เซ็นอนุมัติซื้อ มีชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วน พล.อ.ประวิตร ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม ก็มีลายเซ็นอนุมัติสั่งซื้อในครั้งที่ 9, 10 และ 12 ซึ่งมีวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ด้วยเช่นกัน เอกสารนี้เป็นเอกสารในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้ง 12 สัญญา ซึ่ง ป.ป.ช. ถืออยู่มา 10 ปีแล้ว คำถามคือทำไมชื่อเหล่านี้หายไป”

จิรัฏฐ์ ยังยืนยันว่า คดีนี้มองมุมไหนก็ส่อเค้าทุจริตและ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร ต้องรับผิดชอบด้วย แต่สาเหตุที่ไม่สามารถนำไปสู่การชี้มูลความผิดได้ เพราะ ป.ป.ช. ซึ่งรู้กันว่ามีที่มาเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารเพิกเฉยในการทำหน้าที่จึงไม่สามารถไปสู่การดำเนินคดีต่อได้ ตามที่พนักงานอัยการ ท่านหนึ่งมีความเห็นไว้ใน เอกสาร อก.4 ว่า

“ประวิตร รัฐมนตรีกลาโหม ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อ ในการจัดซื้อครั้งที่ 4 /7 /12  อนุพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อครั้งที่ 2/3/6/7/8/11 เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อครั้งที่ 1/5  มีหน้าที่ต้องตรวจสอบให้มีความชัดเจนว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถตรวจสารวัตถุระเบิดและสารเสพติดได้หรือไม่ก่อนที่จะอนุมัติให้มีการสั่งซื้อ แต่ไม่ได้ดำเนินการตามนั้นจึงปฏิเสธว่าไม่รู้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถตรวจสารวัตถุระเบิดและสารเสพติดได้ เพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ได้”

“คดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่แจ้งข้อกล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อ ผู้บัญชาการทหารบกผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อ อัยการสูงสุดจึงไม่มีอำนาจพิจารณาการกระทำความผิดของบุคคลดังกล่าวได้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top