Sunday, 28 April 2024
Hard News Team

“บิ๊กตู่” ถกสภากลาโหมเห็นชอบขยายแผนแม่บทพัฒนากำลังพลสำรองกลาโหม ปี60-65 แต่งตั้งกก. จัดทำร่างปี 66-70  ต่อ หวังสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ หนุนแก้ปัญหาภัยคุกคามประเทศ เร่งปฏิรูปกองทัพด้วยวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีให้มีความทันสมัย

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ไปยังห้องประชุมต่างๆในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

ภายหลังการประขุม  พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าว่า ที่ประชุมสภากลาโหมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2560-2565 โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาของแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2560-2564 ออกไปอีก 1 ปี ( พ.ศ.2565) และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหมในระยะเวลาต่อไป พ.ศ.2566-2570 เพื่อให้สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยแผนแม่บทฉบับดังกล่าวกำหนดเป็นแนวทางการบริหารและพัฒนากิจการกำลังสำรองของชาติ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ตามแนวคิดทางยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม ทั้ง 3 ด้าน คือ การสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง การผนึกกำลังป้องกันประเทศ และการป้องกันเชิงรุก 

พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาเรื่องการเร่งปฏิรูปกองทัพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ความสำคัญกับการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ติดตามเร่งขับเคลื่อนการปฏิรูปกองทัพให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสภาพแวดล้อมภัยคุกคามด้านความมั่นคง ทั้งนี้ให้แสวงความร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอกกระทรวงกลาโหมและต่างประเทศนำสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสองทางมากขึ้น คือทั้งด้านความมั่นคงและการประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะให้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับระบบบริหารจัดการให้มากขึ้นควบคู่กับเร่งพัฒนาบุคลากรด้านทักษะด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้านความมั่นคงและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการของกองทัพในอนาคต และรองรับการปรับลดกำลังพลและโครงสร้างกองทัพที่มีขนาดเหมาะสมและคล่องตัวกับการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบต่าง ๆ 

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยยอดติดเชื้อใหม่พุ่งกว่า 2,070 ราย!  ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

“บิ๊กตู่” สั่งเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์ในเมียนมา ย้ำ! เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในและชายแดน พร้อมสั่งทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญกับภารกิจหลัก ในการป้องกันและรักษาความมั่นคงภายใน โดยให้ปรับปรุงแผนป้องกันประเทศให้ทันสมัย

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ไปยังห้องประชุมต่าง ๆ ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

ภายหลังการประชุม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯ และรมว.กลาโหม สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะในเมียนมา และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในและการสู้รบในพื้นที่ชายแดนที่มีขึ้น โดยให้กองกำลังป้องกันชายแดนของทุกเหล่าทัพ ประสานการทำงานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดกวดขัน การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนในทุกช่องทาง

โดยย้ำการแสดงท่าทีต่อสถานการณ์ในเวทีระหว่างประเทศ ให้ยึดกรอบของกระทรวงการ ต่างประเทศและแนวทางของอาเซียนเป็นหลัก พร้อมทั้งให้เตรียมความพร้อมในการอพยพคนไทยออกจากเมียนมา กรณีที่สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งเตรียมการรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามแนวชายแดน ตามแนวทางที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้กำหนด โดยยึดหลักมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคเคร่งครัด

นอกจากนี้ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯและรมว.กลาโหม ได้เน้นย้ำถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่กองทัพเข้าไปสนับสนุนรัฐบาลช่วยเหลือประชาชนในหลายภารกิจ ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และทุกเหล่าทัพ ยังคงให้ความสำคัญกับภารกิจหลัก ในการป้องกันประเทศและการรักษาความมั่นคงภายใน โดยให้ปรับปรุงแผนป้องกันประเทศให้ทันสมัย และยังคงต้องเตรียมกำลังให้พร้อม โดยเฉพาะการฝึกในระดับต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมใช้กำลังตอบสนองในทุกภารกิจหลักอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ต้องมีแผนเผชิญเหตุและมีการซักซ้อม

“ให้ดำรงความต่อเนื่องในการสนับสนุนรัฐบาล ในการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายที่ยังเป็นปัญหาสำคัญของชาติ โดยให้น้ำหนักกับการควบคุมโรคและการช่วยเหลือประชาชนฝ่าวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปด้วยกัน” พล.ท.คงชีพกล่าว 

รมว.สาธารณสุข เผย ชี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดที่พุ่งสูงอยู่ในเกณฑ์ที่ประเมินไว้ ยันทุกฝ่ายทำงานเต็มที่แล้ว คาดอีก 2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อ โควิด-19 รายใหม่ที่พุ่งกว่า 2,000 ราย ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมาจะอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ปิดบังข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งตัวเลขบางพื้นที่รายงานเข้ามายังไม่ครบ ซึ่งบางพื้นที่ยังมีปัญหาเรื่องการส่งข้อมูลเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขทำให้ตัวเลขสะสมเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

นายอนุทิน ย้ำว่า สถานการณ์การแพร่เชื้อในประเทศขณะนี้ยังสามารถควบคุมได้ เนื่องจากยังเป็นไปตามมาตรการแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันจะสูงขึ้น แต่ตัวเลขเฉลี่ยยังอยู่ในเกณฑ์ที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าจากนี้ไป 2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลง

สำหรับคลัสเตอร์สถานบันเทิงพยายามจะควบคุมให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากการรวมกลุ่มลดลงตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งตัวเลขในวันนี้ก็เป็นกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มาตั้งแต่สงกรานต์และเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาภายใน 2 สัปดาห์อาการน่าจะดีขึ้น และหากไม่มีกลุ่มก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมาเชื่อว่า สถานการณ์จะดีขึ้น

ส่วนกรณีมีข่าวไฮโซเป็นต้นตอแพร่เชื้อโควิดคลัสเตอร์ทองหล่อนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีหน้าที่คอยรักษา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนงานป้องกันสาธารณสุขได้แจ้งข้อปฏิบัติไปหมดแล้วว่าจะต้องทำอย่างไร

ส่วนเรื่องวัคซีนที่จะให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นความหวังในการรักษานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จะเข้ามาตามกำหนดการ ซึ่งจะส่งมอบได้ในเดือนกรกฎาคมทุกอย่างต้องไปเป็นไปตามขั้นตอนความปลอดภัย และผู้ที่ติดเชื้อที่รักษาหายแล้วจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่นั้น ต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน

นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีมีผู้สูงอายุ 3 รายพักรวมกันแล้วป่วยติดเชื้อโควิด-19 แต่รอรถมารับไปส่งโรงพยาบาลนานกว่า 6 ชั่วโมงทำให้มีผู้เสียชีวิตว่า อยู่ระหว่างให้กรมการแพทย์ประสานติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจาก กทม.ว่าจะต้องปรับปรุงระบบอย่างไรให้สามารถแยกแยะผู้ป่วยที่มีความฉุกเฉินก่อน ซึ่งจะต้องแยกแยะให้ได้ โดยยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งมีการประสานกันอยู่แล้วในเรื่องเพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เช่นนี้ทุกคนก็เสียใจ และก็พยายามจะแก้ไข

สำหรับกรณีพบอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้รอฟังผลสรุปจากทางวิชาการ ส่วนตัวไม่ใช่นักวิชาการจึงไม่ขอวิเคราะห์ในเรื่องนี้ ถ้ายังมีสัญญาณว่าให้ฉีดต่อไปได้ก็ยังคงเดินหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนต่อไป ขอให้มีความมั่นใจเนื่องจากคณะแพทย์ที่พิจารณามีความเชี่ยวชาญโดยตรง และเป็นระดับอาจารย์หมอที่ได้ศึกษาเรื่องนี้

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/80533


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘อลงกรณ์’ เร่งพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบ ยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลภายใต้ ‘5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’

‘อลงกรณ์’ เร่งพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบ ยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลภายใต้ ‘5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’ ผนึก ‘อพท.’ เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ‘เกลือเม็ดสุดท้าย ทรายเม็ดแรก’ เส้นทาง ‘คลองโคน-บ้านแหลม-ชะอำ’ 100 กิโลเมตร พร้อมจับมือ ‘พาณิชย์’ ช่วยพัฒนาผู้ประกอบการและแก้ปัญหาการตลาด เตรียมประกาศขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือนอกเดือนหน้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย (Salt Board) เปิดเผยว่า ว่าการประชุมบอร์ดเกลือ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 64 ที่ผ่านมาได้พิจารณาวาระสำคัญหลายวาระด้วยกันได้แก่

1.) ความก้าวหน้าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือทะเล

2.) สถิติการนำเข้าเกลือ

3.) การสร้างมาตรฐานเกลือทะเล

4.) เกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สำหรับเกษตรกรผู้ทำนาเกลือ

5.) งานวิจัยด้านเกลือทะเล

6.) การขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรของสหกรณ์นาเกลือ

7.) การกระจายผลผลิตเกลือทะเล

8.) การส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่นาเกลือ

9.) การส่งเสริมการแปรรูปเกลือทะเล

10.) การตรวจเยี่ยมเยือนหน่วยงานภาคีภายใต้คณะกรรมการฯ ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลค้างสต็อกจากฤดูกาลผลิต2562/2563 และการแก้ไขปัญหาราคาเกลือตกต่ำ

11.) การขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือจากต่างประเทศ และ ร่างกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าเกลือ

12.) แผนการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการด้านเกลือทะเล

“การยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลมีความก้าวหน้าอย่างจากโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้จัดทำ (ร่าง) คู่มือการปฏิบัติงาน Standard Operating Procedure (SOP) การตรวจรับรองแหล่งผลิต GAP นาเกลือทะเล และเกลือทะเลธรรมชาติเสร็จสิ้นแล้ว และจัดอบรมให้แก่เกษตรกรผู้ทำนาเกลือทั้ง 7 จังหวัด จำนวน 262 คน โครงการนำร่องพัฒนาแปลงนาเกลือต้นแบบซึ่งได้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบเป็นที่เรียบร้อย พร้อมจัดฝึกอบรมที่ปรึกษาเกษตรกร และผู้ตรวจประเมินตามมาตรฐานเกลือทะเล ครบทั้งระบบโดยคาดกรมวิชาการ กรมประมงและกรมปศุสัตว์จะออกประกาศกรมแล้วเสร็จในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ขณะที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้เตรียมความพร้อมเปิดรับการขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว”

ทั้งนี้ตามข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2564 มีเกษตรกรผู้ทำนาเกลือขึ้นทะเบียนในระบบจำนวน 650 ครัวเรือน 1,150 แปลง เนื้อที่ 25,707.88 ไร่

สำหรับเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินช่วยเหลือร่วมกับกรมบัญชีกลาง ในขณะที่งานวิจัยด้านเกลือโดยสถาบันเกลือทะเลไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ซึ่งเป็นศูนย์AIC เพชรบุรีได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว 2 โครงการจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติพร้อมดำเนินการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาลดสิ่งปนเปื้อนในเกลือและการลดความชื้นในเกลือเพื่อพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและผลิตภัณฑ์เกลือ

ด้านการขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรของสหกรณ์นาเหลือนั้นคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการชำระหนี้ และงดเว้นค่าปรับ โครงการสร้างระบบการผลิตและการตลาดเกลือทะเลของสถาบันเกษตรกร ด้วยวิธีการยกระดับราคาให้ยั่งยืนเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดแผนการชำระเงินคืน งบกระแสเงินสด (cash flow) เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรพิจารณาต่อไป

ที่ประชุมยังรับทราบรายงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ซึ่งได้นำเสนอรายงานการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลภาคตะวันตก (Thailand Riviera) เรียบชายฝั่งทะเลจากจังหวัดสมุทรสงครามถึงอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ในการพัฒนาพื้นที่นาเกลือเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามแผนโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษเพื่อความยั่งยืนบนเส้นทางสายเกลือ (Salt Road) งบประมาณกว่า 615 ล้านบาท ซึ่งจะมีการพัฒนาพื้นที่ตามเส้นทางตั้งแต่ถนนพระราม 2 ที่คลองโคนผ่านบ้านแหลมท่ายางถึงชะอำระยะทาง 100 กิโลเมตรเป็นเส้นทางสาย ‘Salt Road’ เช่นพิพิธภัณฑ์เกลือที่บ้านแหลม จุดชมวิวที่สะพานบางตะบูน จุดเช็คอินที่ปากทะเล บางแก้วและแหลมผักเบี้ยภายใต้คอนเซ็ปท์ เกลือเม็ดสุดท้าย ทรายเม็ดแรก ยิ่งกว่านั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็พร้อมให้การสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวและการโปรโมทโดยจะมีการประชุมร่วมกับที่ อพท. และจะเชิญสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติและมหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมในการพัฒนาแบบแปลนเชิงอัตลักษณ์ในเดือนหน้า”

นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปเกลือทะเล ได้มีกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีในการผลิต แปรรูปสินค้า พร้อมทั้งหลักการคำนวณต้นทุนการผลิต กิจกรรมการทดสอบตลาดจำนวน 2 ครั้ง พร้อมทั้งสรุปผลการทดสอบตลาด และกิจกรรมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

สำหรับการแก้ปัญหาราคาเกลือทะเลตกต่ำ และปัญหาผลผลิตเกลือทะเลค้างสต็อก ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม มีปริมาณเกลือคงค้างฤดูการผลิต ปี 2562/63 ปริมาณ 212,608 ตัน และ ปี 2563/64 ปริมาณ 197,000 ตัน โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแผน ได้แก่

1.) การกระจายและเชื่อมโยงสินค้าเกลือทะเลไปยังอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

2.) การกระจายเกลือขาวและดอกเกลือเพื่อจำหน่ายในร้านธงฟ้า

3.) เสนอให้จัดทำโครงการกระจายเกลือทะเลค้างสต็อก ผ่านทางคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คบท.)ใช้งบประมาณของกองทุน แนวทางเดียวกับสินค้าเกษตรอื่นๆโดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ

สำหรับ ร่างกฎหมายว่าด้วยการขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ ได้ส่งร่างดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติพิจารณา โดยให้รับความคิดเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาดำเนินการต่อไป

ทางด้านการพัฒนาผู้ประกอบการด้านเกลือทะเล กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีหลักสูตรเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการได้แก่ หลักสูตรการบริหารจัดการด้านการตลาด จำนวน 7 หลักสูตร ได้แก่ (1.) การเริ่มต้นธุรกิจ (2.) การเงินบัญชี (3.) วิชาบัญชี (4.) การตลาด E-Commerce (5.) การพัฒนากลยุทธ์การตลาด E – Commerce (6.) การพัฒนาธุรกิจใน AEC (7.) การพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ สมัครได้ที่ http://dbdacademy.dbd.go.th/

2.) หลักสูตรการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ (1.) หลักสูตรร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) (2.) หลักสูตรการพัฒนาหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ (Digitize Storefront) ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://saphandigital.moc.go.th/ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2564

“นับเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบครบวงจรตั้งแต่การวิจัยพัฒนา การผลิต การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์และการตลาดผสมผสานการค้าสินค้าและบริการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และโมเดล” เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาดซึ่งเป็นความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วนแบบบูรณาการใกล้ชิด” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอเหรียญทอง’ โพสต์ระดมทหารนอกราชการ เหล่าแพทย์ ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในเครือข่าย รพ.สนามทหารบก

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2564 นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เหรียญทอง แน่นหนา โดยระบุว่า ประกาศระดมทหารนอกราชการ เหล่าแพทย์ ไม่จำกัดอายุ-เพศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเครือข่าย รพ.สนามทหารบก จำแนกความชำนาญการทางทหาร(ชกท) ดังนี้

1.) แพทย์ ไม่กำหนดความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา

2.) พยาบาลวิชาชีพ ไม่กำหนดความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา

3.) นายทหารพยาบาล

4.) นายทหารรังสีเทคนิค

5.) นายสิบพยาบาล

ติดต่อ โทร.02-574-5000 ต่อ แผนกบุคคล (รุ่ง ศรีสุก)

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ

(อดีตผู้อำนวยการกองกำลังพล-นายทหารยุทธการ และผู้บังคับกองพัน กรมแพทย์ทหารบก)

23 เม.ย.64 เวลา 10.27 น.


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมว.สุชาติ คอนเฟอเรนซ์ หารือร่วม รองผู้ว่าฯ ระนอง ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบ (Video Conference) ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน แก้ปัญหาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำสอดคล้องบริบทในพื้นที่ 

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับจังหวัดระนอง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง มอบหมายให้ นายสมจิตร์ เขียนด้วง รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดระนองเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทย โดยมอบนโยบายให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด 

จำนวน 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และระนอง

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้จึงถือโอกาสเป็นตัวแทนของรัฐบาล ร่วมรับฟังสภาพปัญหากับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่ จ.ระนอง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาในเชิงพื้นที่ (Area Based) อย่างครอบคลุม และครบทุกมิติ สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

“สำหรับประเด็นด้านแรงงาน จังหวัดระนองมีผู้ใช้แรงงานอยู่ประมาณ 130,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตร มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในจังหวัดระนอง ประมาณ 31,000 คน และกลุ่มที่เดินทางเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ประมาณ 6,000 คน ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ต้องปิดด่านและห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายแรงงานเข้า-ออกพื้นที่ โดยกระทรวงแรงงาน พร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล และร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ของจังหวัดระนองต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย

เผย "อนุทิน" ไม่นิ่งนอนใจ ปม 3 อาม่าติดโควิด ก่อนเสียชีวิต 1 ราย ย้ำ! เข้าใจคนทำงาน แต่ก็ไม่อยากเห็นการสูญเสีย สั่งกรมการแพทย์ประสานกับกทม. บูรณาการแก้ไขปัญหาโดยด่วน

กรณีที่มีการปล่อยให้หญิงชรา 3 คน ซึ่งติดโควิด 19 ใช้ชีวิตตามลำพัง และล่าสุดได้เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย ก่อนจะมีการนำอีก 2 รายเข้ารับการรักษา จนเป็นที่วิพากษ์ วิจารณ์ ของสังคม  ล่าสุด 23 เมษายน 2564 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) กล่าวว่า นายอนุทิน คณะผู้บริหาร และบุคลากรในกระทรวงทุกคนรู้สึกเสียใจ เวลาทราบข่าว ทุกคนผิดหวัง เพราะมั่นใจว่า ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว และมองว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเรายึดนโยบายเดียวกันว่า จะต้องรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย เมื่อมีเคสเข้ามา จะทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่การระบาดรอบนี้ สถานการณ์รุนแรงกว่าทุกครั้ง พบผู้ติดเชื่อในจำนวนที่สูงขึ้น เนื่องจากเชื้อ เป็นคนละสายพันธุ์จากที่คนไทยเคยเจอ 

ขณะนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ สิ่งที่สำคัญมาก ทางกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มช่องทางการประสานทั้งขอคำปรึกษา และรับตัวผู้ป่วย ในส่วนของการรับตัวผู้ป่วยนั้น ทุกหน่วยงานพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เข้าถึงตัวผู้ป่วยอย่างเร็วที่สุด แต่หลายครั้ง ก็ติดปัญหา อุปสรรค ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป กรณีที่ผู้สูงอายุ ต้องอยู่โดยลำพังทั้งที่ติดโควิด 19 ถือเป็นบทเรียนการทำงานให้กับทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งท่านอนุทิน รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ท่านไม่ได้โทษคนทำงาน เพราะทราบว่าทุกคน ทุกฝ่าย ทำงานกันอย่างสุดความสามารถ และนี่ไม่ใช่เวลาจะมาชี้นิ้วโทษใคร ท่านย้ำเรื่องนี้อยู่เสมอว่าไม่ต้องหาคนผิด แต่ขอให้ช่วยกันทำงาน และขอให้ทุกคนช่วยเข้าไปหาทางปรับปรุงการให้บริการให้ดีขึ้น  

ส่วนที่มีการแชร์ภาพว่าสายด่วน 1668 ขาดแคลนเรื่องเครื่องมือในการทำงาน มีเพียงเจ้าหน้าที่ กับโทรศัพท์ ใช้ระบบจดด้วยมือแทนคีย์ข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์โดยตรง ขอเรียนชี้แจงว่า รูปแบบการทำงานนั้น จะให้เจ้าหน้าที่จดข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน จึงจะไปประมวล และบันทึกในคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ปกติ จะทำงานกันตั้งแต่เวลา 8.00 – 22.00 น. แต่ปัจจุบันนี้ ทำงานกันจนถึงตีหนึ่ง ก็ไม่ได้หยุด เจ้าหน้าที่ทุ่มเทเสียสละอย่างยิ่ง 

นายอนุทิน และผู้บริหาร ได้เดินหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา เรื่องการประสานงานแล้ว เป็นทีมประเทศไทย มุ่งหวังให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด สายด่วน1668 เป็นสายด่วนเฉพาะกิจ บูรณาการหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยในเรื่องของการดูแลแก้ไข เรื่องการสื่อสารกับประชาชนในสถานการณ์โควิด 19 โดยเฉพาะ แบ่งเป็น 1. ทีมรับสาย Hotline 1668 จากผู้ป่วยโควิด-19 สอบถามข้อมูลรายละเอียดของผู้ป่วย 2. ทีมข้อมูล มีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจากทีมงานสายด่วนและทีมประสานงาน วิเคราะห์ข้อมูล จัดทำฐานข้อมูล สรุปข้อมูลรายวัน 3. ทีมแพทย์ มีทีมแพทย์ประเมินอาการระดับความรุนแรงของผู้ป่วย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงของโรค และ 4. ทีมตอบสนองและประสานงาน มีหน้าที่ประสานขอเตียงจากโรงพยาบาลเป้าหมาย รวมทั้งโทร.เยี่ยมติดตามอาการของผู้ป่วย ซึ่งแต่ละสายใช้เวลาในการพูดคุย จนกว่าจะเข้าใจตรงกัน ทางเจ้าหน้าที่จะไม่ถามคำ ตอบคำ แต่จะให้ความสำคัญกับทุกสายที่โทรเข้ามา โดยแต่ละวันมีประชาชนโทรเข้ามา 200 - 300 สาย จนทำให้คู่สายล้น ได้จัดให้มีการส่งต่อข้อมูล 

ขณะที่ ในส่วนของการรักษา ได้ปรับมาตรการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์จาก 5 แสนเม็ด เป็น 2 ล้านเม็ด พร้อมปรับเกณฑ์ การใช้ยาให้เร็วขึ้น ทุกคนใน กระทรวงสาธารณสุข ทำสุดความสามารถในการแก้ไขวิกฤติ สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ต้องขอความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชนคนไทย ขอให้ตั้งการ์ดให้สูงที่สุดใส่ หน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดการเดินทาง ทุกคนสามารถช่วยประเทศไทยได้

“อนุทิน” เผย แก้ปมบินไทย เดินหน้าตามแผนฟื้นฟู แจง ยังมีอีกหลายขั้นตอน ปัด ยังไม่ถกตั้งสายการบินแห่งชาติใหม่

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ยังไม่ได้สรุปเลือกวิธีไหน ยังใช้แนวทางเดิมที่ให้เข้าสู่แผนฟื้นฟู 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการบินไทยต้องกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกัน วันนี้หารือว่าแผนการฟื้นฟูดำเนินการไปถึงไหน แต่ยังไม่มีการสรุปอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการก่อน โดยต้องรอถึงวันที่ 12 พ.ค. จึงจะสรุปได้ว่าเจ้าหนี้จะตอบรับแผนหรือไม่

เมื่อถามว่าหากเจ้าหนี้ไม่รับแผนฟื้นฟูเังกล่าว สามารถกลับมาปรับแผนฟื้นฟูได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าหนี้ไม่รับ แล้วแผนการฟื้นฟูจะจบ ตราบใดที่มูลหนี้ยังมีอยู่ขนาดนี้ ก็ยังมีกระบวนการอยู่ ยังไม่มีแผนปรับเรื่องสายการบินแห่งชาติแห่งใหม่ของไทย 

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ เพื่อให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ได้ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องการกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจจะต้องช่างน้ำหนัก ว่าควรกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่และในการประชุมวันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ยังไม่มีการช่างน้ำหนัก เรื่องนี้สรุปกันแค่ชั่วโมงหนึ่งไม่ได้หรอก ต้องรับฟังข้อมูล แล้วให้เวลาไปคิดก่อน

ศบค.เร่งจัดระบบรับข้อมูลติดเชื้อ แยกระดับรุนแรง วอนให้ปชช.รอติดต่อกลับ ขอโทษผู้ป่วยรอนาน รับ เตียงไอซียูอาจไม่พอ เร่งเบ่งเตียงขยายรองรับ เผย 1,423 คนในกทม. รอเตียงหวั่น หากติดเชื้อ 2 พันต่อวันน่ากังวล

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า กระทรวงสาธารณสุข รับทราบปัญหาเรื่องเตียง ทรัพยากรและบุคลากรทางการแพทย์ โดยพยากรณ์เรื่องการใช้เตียงที่มีความน่าเป็นห่วงเรื่องเตียงไอซียู ของกรุงเทพฯมีจำนวน 262 เตียง ว่างอยู่ 69 เตียง และเป็นห้องความดันลบ มี 479 เตียง ใช้ไป 410 เตียง ว่าง 69 เตียง คาดการณ์ว่าถ้ามีการติดเชื้อประมาณ 1,500 รายต่อวัน จะใช้เตียงประมาณ 52 เตียงต่อวัน ถ้าใช้ต่อวัน 10-13 เตียงรองรับเต็มที่ 6-8วัน สำหรับเตียงทั่วประเทศเหลือประมาณ 1,000 เตียง ถ้าใช้ต่อวัน 52 เตียง จะรองรับได้อีกประมาณ 19 วัน หรือสามสัปดาห์ของทั้งประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากผู้ติดเชื้อเกิน 2,000คน จะกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และเตียงผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน และศบค.มีแผนรองรับอย่างไร นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีผลกระทบแน่นอน เพราะยังไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร ในภาวะวิกฤตรุนแรงจะต้องทำอย่างไร ขณะนี้มีเตียงไอซียูรองรับในระยะหนึ่ง ยังไม่เพียงพอและต้องเพิ่มมากขึ้นโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง

กทม.โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง โรงเรียนแพทย์ มีการเบ่งเตียงคือเพิ่มจำนวนเตียงในสถานที่เดิม เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ไอซียู ขยายกว้างขึ้นจากการปรับปรุงวอร์ดอื่นเพื่อรองรับคนไข้กลุ่มนี้เข้าไปอยู่ร่วม และกันคนไข้ที่ไม่เกี่ยวข้องออก 

นอกจากนั้นมีการพูดคุยเรื่อง ไอซียูสนาม ซึ่งจะมีความยุ่งยากและต้องปรับปรุงสถานที่ ทั้งนี้โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักจะเป็นผู้ขยายเตียงเพื่อรองรับเพิ่มเติมก่อน ยืนยันว่าเราพยายามทำเต็มที่เมื่อป่วยหนักจะรักษาและทุกคนทำงานเต็มที่เช่นกัน

เมื่อถามถึงระบบคัดกรองผู้ติดเชื้อ มีข้อติดขัดอย่างไร เพราะมีเสียงสะท้อนว่าผู้ป่วยรอเตียงนานยังไม่ได้เข้ารับการรักษาในระบบ และบางรายเสียชีวิตในระหว่างรอรักษา นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ต้องกราบขออภัยประชาชนทุกคนทุกสาย ที่โทรเข้ามา 1668 1669 และ 1330 ซึ่งพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผอ.ศปก.ศบค.มช.ได้แจ้งให้ที่ประชุมศบค.รับทราบว่ามีสายเข้ามาจำนวนมากและยังไม่เพียงพอ และได้ให้ปรับระบบคู่สายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งทีม 50 คู่สาย  เพื่อรับข้อมูลจากทีมแรกที่รับสายเก็บข้อมูลที่สำคัญเบื้องต้นแลเวส่งต่อให้กับชุด 50 สายนี้เพื่อจะโทรศัพท์ติดต่อกลับไปที่ผู้ป่วย โดยผู้ที่ทราบผลเป็นบวกติดเชื้อโควิด ให้ฝากเบอร์โทรศัพท์และข้อมูลที่สำคัญชุดตรวจเตรียมไว้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ เวลานี้มีผู้ป่วยรอเตียงในระบบ 1,423 เพิ่มขึ้น 224 คน รับรักษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา 474 คน 

ทั้งนี้จะแยกผู้ป่วยเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง โดยผู้ป่วยสีเขียว ต้องแยกคนไข้กลุ่มนี้ก่อนเพื่อให้ได้มีที่อยู่และไม่แพร่เชื้อไปที่อื่น ส่วนกลุ่มสีเหลืองและสีแดง ซึ่งเตียงยังไม่พอต้องขอให้อดทน และบุคลากรของเราพยายามบริหารจัดการ ยืนยันว่าไม่มีใครที่มีเจตนาไม่ดีหรือทำไม่ดี และเวลานี้ต้องสร้างกำลังใจและสร้างโอกาสที่ดี เพื่อเราจะผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปด้วยกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top