Sunday, 12 May 2024
Hard News Team

รมว.สุชาติ สั่ง ปูพรมตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในโรงงาน 7 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ในสถานประกอบการในพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบายตู้ตรวจโรคไปให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ถึงสถานประกอบการ

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24 – 48 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ

"ผมได้กำชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้มได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการ เพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ " นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

ผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร ฟู้ดแพชชั่น เจ้าของแบนด์ บาร์บีคิว พลาซ่า โอด ระบาดระลอก 3 แสนสาหัส ฝากถึงผู้รับผิดชอบ หลังพบยอดขายในหนึ่งวันของร้านอาหารในเครือ ตกต่ำสุด ๆ ปิดยอด 0 บาท เชื่อร้านอื่น ๆ ก็เจอวิกฤติเหมือนกัน

นางสาวบุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการสร้างโอกาสทางการตลาดกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารบาร์บีคิว พลาซ่า, จุ่มแซ่บฮัท, ฌานา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เปิดเผยถึงยอดสั่งซื้ออาหารในเครือ 0 บาท และยังฝากถึงผู้มีส่วนรับผิดชอบในประเทศไทย ว่า...

หลายวันที่ผ่านมา ถูกชวนคุยเรื่องสถานการณ์ร้านอาหารเยอะไปหมด บางเรื่องก็ตอบได้ บางเรื่องก็ตอบไม่ได้

Covid 3 ครั้งนี้ ไม่ต่างกับซูนามิ!! กระหน่ำซ้ำในที่เดิมแบบที่ผู้คนรู้ทั้งรู้ว่า...ซูนามิมา แต่ไม่รู้จะหนีตายไปทางไหน...

Food passion เองก็โดนซูนามิครั้งนี้ไม่ต่างกับพี่น้องร้านอาหารอื่น ๆ เมื่อวาน 1 ในสาขา 1 ในแบรนด์ในเครือ 0 บาทคะ!!

แต่บอกตรง ๆ เราที่เจอแบบนี้ อาจเป็นแค่ 1 ในตัวอย่างของร้านอาหารที่เจอแบบนี้ ยังมีร้านเล็ก ๆ ร้านกลาง ๆ หรือร้านใหญ่ ๆ ก็คงไม่ต่างกัน

ขอฝากโพสนี้ไปถึงผู้มีส่วนรับผิดชอบในประเทศไทย หากยังดำเนินแบบนี้ธุรกิจรายย่อย ๆ ที่ไม่มีสายป่าน ไม่มี connection เขาจะอยู่อย่างไร...ไม่ใช่แค่ธุรกิจร้านอาหาร แต่ยังมีอีกหลายธุรกิจที่กำลังนับถอยหลังระเบิดเวลา...กับถังออกซิเจนถังสุดท้าย

มาถึงบรรทัดนี้ ไม่ใช่แค่คิดให้บริษัทตัวเองรอด ยังคิดเผื่อผู้คนที่เดือดร้อน ผ่านทั้งตัวเองและผ่านไปยังบริษัท

แม้ไม่ได้อยู่ในบทบาทนั้น แต่คิดว่าในฐานะคนไทยคนนึงที่ยังมีสมอง สองมือ ใจที่แข็งแกร่ง ก็คงยังเป็นสิ่งที่ควรทำต่อไป...

“นายกฯ ห่วงประชาชนหลังสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง สั่งด่วนทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 


มีความห่วงใยประชาชนจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้  ส่งผลให้อาจมีภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมและจากพายุได้ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเร่งด่วน อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักบางแห่ง และสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงได้ จึงขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล หากมีฝนตกหนัก อาจมีปัญหาการจราจรติดขัดได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้รับทราบว่ามีการจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ยานพาหนะ และเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่มีน้ำท่วมขังและจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ตาม หากมีฝนตกในปริมาณมากซึ่งอาจส่งผลให้มีน้ำท่วมขังบนผิวจราจรในบางพื้นที่ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมจัดเจ้าหน้าที่หน่วยเบสของสำนักการระบายน้ำ และของสำนักงานเขตพื้นที่เข้าเร่งระบายน้ำเพื่อบรรเทาความดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้ 

“ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 8 - 10 พ.ค. 64  กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้ ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 13 พ.ค. 64 ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

บอร์ด ธอส. เคาะ 2 มาตรการพักหนี้รายย่อย 3 เดือน

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ธอส. เห็นชอบให้ จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะออก 2 มาตรการใหม่ พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ และ พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ เปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่านแอปพลิเคชั่น GHB ALL ระหว่างวันที่ 11-29 พ.ค. 2564 

สำหรับมาตรการพักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน ระยะแรกเป็นเวลา 3 เดือน (1 พ.ค. – 31 ก.ค. 2564) สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) ครอบคลุมทั้งลูกค้าที่ไม่เคย หรือเคยใช้ หรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการความช่วยเหลือเดิมของธนาคาร และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 รวมถึงยังไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามสัญญาเงินกู้ 

ส่วนมาตรการพักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี ระยะแรกเป็นเวลา 3 เดือน (1 พ.ค. – 31 ก.ค. 2564) สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะพ้นสิทธิการปรับโครงสร้างหนี้ที่ใช้อยู่หากใช้มาตรการที่ 14 และต้องเป็น ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจากโควิด-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้หรือข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้หรือตามคำพิพากษา

ยก ราชกิจจาฯ “เสรีพิสุทธ์” ตรวจบ้านหลวง “นายกฯ” ต้องขออนุญาต “สำนักงานพระราชวัง” ผ่านทาง หลังราชกิจจา ประกาศโอนกำลังพล-หน่วย สังกัดหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ปี 2562

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 จากกรณี กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ในฐานะประธาน จะลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม กรณีการอยู่บ้านพักรับรองในค่ายทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม

ตามที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นเรื่องให้ กมธ.ตรวจสอบตามความผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 128 ที่รับผลประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท พร้อมทำหนังสือขออนุญาตจากกองทัพบกนั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า การเดินทางไปยังบ้านพักรับรอง พล.อ.ประยุทธ์  ต้องใช้ทางผ่านเข้า-ออก กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานและเป็นพื้นที่ปิด ต้องทำหนังสือขออนุญาตไปยังสำนักพระราชวังเพื่อขอผ่านทาง  ส่วนรายละเอียดการเข้าพักบ้านหลวงของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึง ค่าน้ำ-ค่าไฟ  กองทัพบก เคยส่งข้อมูล ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และ สำนักงาน ป.ป.ช. ก่อนหน้านั้นแล้ว 

รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกำหนด โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562
              
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
 
โดยที่เป็นการสมควรโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
              
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา 1 พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562”

 มาตรา 2 พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้โอนบรรดาอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนด ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์

มาตรา 4 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

“ต้องรอด” ตามหา อาสาสมัครที่พร้อมให้การช่วยเหลือ ด้านงานครัว งานประกอบอาหาร งานทำความสะอาด และงานจัดการส่วนอื่น ๆ เพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของคลัสเตอร์ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง

“ต้องรอด” ตามหา อาสาสมัครที่พร้อมให้การช่วยเหลือ ด้านงานครัว งานประกอบอาหาร งานทำความสะอาด และงานจัดการส่วนอื่น ๆ เพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของคลัสเตอร์ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง

โดยสถานที่ทำงานอยู่นอกพื้นที่ชุมชนที่เกิดการระบาดและมีความปลอดภัยจากมาตรการณ์การป้องกันการติดเชื้อ โดยรายละเอียดต่าง ๆ มีดังนี้

Team Cleaning & Screening

อาสาสมัครทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ : ตรวจสอบ ทำความสะอาดฆ่าเชื้อของที่รับบริจาค รถยนต์เข้ามาบริจาคและรับสิ่งของ ทำความสะอาดพื้นที่และเก็บล้างอุปกรณ์ โดยจะแบ่งเป็น 3 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายเช็ดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสิ่งของ

2.) ฝ่ายฉีดพ่นฆ่าเชื้อรถยนต์

3.) ฝ่ายทำความสะอาดและเก็บล้างอุปกรณ์

Stock & Store (Fresh & Dry)

อาสาสมัครด้านจัดการสต๊อกวัตถุดิบ : จัดสรรวัตถุดิบทั้งของสดและของแห้ง / ประมาณการณ์วัตถุดิบ / ดูแลไม่ให้วัตถุดิบหมดอายุก่อนการผลิต / จัดเตรียมวัตถุดิบก่อนการปรุง / แจ้งข้อมูลวัตถุดิบที่ต้องการให้กับอาสาสมัครด้านข้อมูล โดยจะแบ่งเป็น 3 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายคลังอาหารสด

2.) ฝ่ายคลังอาหารแห้ง

3.) ฝ่ายคลังเครื่องอุปโภค

Prepare & Cook

ทีมประกอบอาหาร คอยดูแลจัดการงานครัวทั้งหมด คอยดูแลเรื่องการปรุงอาหารจากวัตถุดิบที่มีอยู่ตามเมนูที่ได้จัดสรรไว้ โดยจะแบ่งเป็น 2 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายพ่อครัว แม่ครัว

2.) ฝ่ายผู้ช่วยงานครัว

Communication & Information

อาสาสมัครด้านสื่อสารและประสานงาน : คอยให้ข้อมูลและสื่อสารระหว่างผู้ที่เข้ามาบริจาค ผู้ที่เข้ามารับบริจาค และประสานงานด้านรายละเอียดระหว่างการดำเนินงานจากกองอำนวยการไปยังส่วนอื่น ๆ โดยจะแบ่งเป็น 2 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายประสานงาน

2.) ฝ่ายสื่อสารข้อมูล

Data Collection

อาสาสมัครด้านเก็บข้อมูล : เก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อการบริหารจัดการสัดส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของที่ได้รับบริจาค ของที่ส่งต่อให้ผู้รับบริจาค ข้อมูลปริมาณคงเหลือของวัตถุดิบและเครื่องมือต่าง ๆ จากอาสาสมัครกลุ่มอื่น ๆ เพื่อส่งต่อให้กับกองอำนวยการ

Headquarter

อาสาสมัครกองอำนวยการ : คอยรับข้อมูลจากอาสาสมัครที่ทำการจัดข้อมูลและอาสาสมัครที่ทำการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ และคอยบริหารให้ขั้นตอนการทำงานของแผนกต่าง ๆ เป็นไปตามแบบแผนที่วางไว้และคอยแจ้งรายละเอียดที่ต้องการให้กับทีมงานฝ่ายต่าง ๆ ได้รับทราบ โดยจะแบ่งเป็นสามแผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายดูแลและสวัสดิการอาสาสมัคร

2.) ฝ่าย ขนส่ง (โลจิสติก) ศูนย์

3.) ฝ่าย คัดกรองและรับสมัครอาสา

 

ทั้งนี้ ทีมงานจะติดต่อกลับหาท่านเมื่อได้กำหนดการ โดยทุกท่านสามารถลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครได้ตาม QR Code ในรูปและที่ Link ด้านล่าง

Link: http://j.mp/6mayarsa

ราเมศ เผย ฝ่ายกฎหมาย นัดถก แก้ รธน เตรียมพร้อม เปิดสภา

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อเปิดประชุมสภาว่า ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ช่วงที่ผ่านมา ส.ส.ทุกคนต่างลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ได้ยกร่างไว้เสร็จแล้ว จึงยังไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา คาดว่านายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิป ของพรรคจะได้มีการประสานเพื่อร่วมหารือกันต่อไป 

ในส่วนของฝ่ายกฎหมายพรรค โดยนายถวิล ไพรสณฑ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายได้มีการนัดประชุมทางออนไลน์ในวันพุธที่ 12 พฤษภาคมนี้เวลา 13.00 น เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ ซึ่งมีบางฉบับที่ได้แก้ไขรายละเอียดเล็กน้อย ในร่างที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง โดยจะให้เป็นไปเช่นเดิมคือ บุคคลที่พรรคสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เกิน 3 รายชื่อ โดยพรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลดังกล่าวก็ได้ เพื่อเปิดให้สิทธิพรรคการเมืองดำเนินการตามที่เหมาะสม แต่บุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีร่างที่ยกร่างไว้ ต้องมาจากบัญชีพรรคการเมืองหรือ ส.ส.เท่านั้น 

ส่วนประเด็นอื่นๆทั้ง 6 ร่างยังเป็นเช่นเดิม พร้อมนำเสนอให้พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมพิจารณาในส่วนของพรรคชัดเจนว่าพร้อมผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราอย่างเต็มที่ จึงเตรียมความพร้อมไว้เมื่อเปิดสภามาก็สามารถดำเนินการได้ในทันที

‘หมอเฉลิมชัย’ ตั้ง 3 ข้อสังกตุ ‘โรคประจำตัว-สายพันธุ์อินเดียร้ายแรง-ภูมิต้านทานไม่ขึ้น’ เป็นเหตุ แม้ฉีดวัคซีน Pfizer ครบสองเข็มแล้ว ยังติดเชื้อเสียชีวิต

นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัว Chalermchai Boonyaleepun ระบุว่า...

ต้องค้นหาความจริง !! พบผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฉีดวัคซีน Pfizer ครบสองเข็ม ติดโควิดและเสียชีวิตในอินเดีย ต้องเร่งหาสาเหตุว่า ทำไมถึงติดโควิดได้ แล้วเสียชีวิตจากโควิดจริงหรือไม่

รายงานข่าวจากหลายสำนักข่าว พบว่าผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกาคือ Dr.Rajendra Kapila ซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย Rutgers รัฐ New Jersey

ได้เดินทางไปยังกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยก่อนเดินทาง เขาและภรรยาได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของ Pfizer ครบสองเข็ม การเดินทางเข้าสู่อินเดียนั้น เกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคม 2564 และได้ติดโควิดในวันที่ 8 เมษายน เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงนิวเดลี และในที่สุดวันที่ 28 เมษายนก็เสียชีวิต

โดยไม่ได้มีการเปิดเผยสาเหตุที่ชัดเจน นอกจากมีการระบุว่าเขาได้มีผลตรวจโควิดเป็นบวก

โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ มีโรคประจำตัว เป็นเบาหวาน หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แล้วก็มีอายุมากถึง 81 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิตจากโควิดได้ทั้งสิ้น

นอกจากนั้นในอินเดีย มีการเก็บตัวอย่างพบว่า ไวรัสสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 มีความครอบคลุมถึง 61% จาก 220 ตัวอย่างใน 361 ตัวอย่าง

ในกรณีนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันระหว่างสื่อตะวันตก และสื่อตะวันออกต่อไป

อย่างไรก็ตาม กล่าวเฉพาะเคสนี้ คิดว่าสาเหตุของการเสียชีวิตมีโอกาสเกิดได้หลายประการดังนี้

1.) เสียชีวิตจากโรคประจำตัวอื่น เช่น หัวใจ หรือเบาหวาน โดยไม่ได้เกี่ยวกับโควิดโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเหตุบังเอิญพ้องกันพอดี

2.) กรณีที่เสียชีวิตจากโควิดจริง อาจจะเป็นเพราะฉีดวัคซีนแล้ว มีภูมิต้านทานขึ้นได้ดี แต่ไม่สามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียได้

3.) เสียชีวิตจากโควิดจริง โดยที่ฉีดวัคซีนแล้วภูมิต้านทานไม่ขึ้น ทำให้ไม่มีภูมิต้านทานที่จะต่อสู้กับเชื้อโรค

ส่วนจะเป็นจากกรณีใด คงจะมีรายละเอียดของการวินิจฉัยหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป

ก็เป็นข้อเตือนใจ ไม่ว่าผลจะออกมาว่าเป็นอย่างไร

การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้ 100%

การฉีดวัคซีน ภูมิต้านทานไม่ได้ขึ้นครบทุกคน

และการฉีดวัคซีน ควรจะต้องป้องกันตัวเองต่อไปอีกระยะหนึ่งอย่างน้อย จนกว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่หรือจนกว่าโรคจะสงบ


ที่มา : https://www.facebook.com/237959479586026/posts/3823765717672033/

"ศรีสุวรรณ"ร้อง กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่นายกเทศมนตรีช่องแค ปมเคยถูกไล่ออกจากราชการเหตุศาลสั่งจำคุกมาแล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อให้วินิจฉัยว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เหตุพบข้อพิรุธเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนานกเทศมนตรีดังกล่าว บางรายว่าอาจมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เนื่อจากมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลช่องแค รายหนึ่งซึ่ง น่าจะเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตาม มาตรา50 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 เนื่องจากในอดีตเคยรับราชการทหารอากาศ ได้เคยถูกปลดออกจากราชการ เพราะถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดอาญา ซึ่งศาลพิพากษาสั่งให้จำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี 3 เดือน โดยไม่รอลงอาญาและคดีถึงที่สุดแล้ว 
           
หลังจากนั้น จึงมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ออกจากยศทหารจากบุคคลดังกล่าวแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.50 ซึ่งเป็นวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เนื่องจากกระทรวงกลาโหมได้ปลดออกจากราชการเพราะกระทำความผิดอาญา ซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า ดังนั้นเมื่อบุคคลดังกล่าว เคยถูกปลดออกจากราชการ เคยถูกจำคุก จึงอาจถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา50 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ที่บัญญัติไว้ความว่า “บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือ ถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ”  การที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเทศบาลตำบลช่องแค ได้ตรวจสอบคุณสมบัติและประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี และได้ออกหลักฐานการสมัครให้ด้วยนั้น ย่อมเป็นการขัดต่อกฎหมายข้างต้นและหรือขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยชัดแจ้ง เพราะหลักฐานชี้ชัดว่าบุคคลดังกล่าวย่อมรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีคุณสมบัติจะลงสมัคร ดังนั้นเราจึงมาเพื่อให้กกต.วินิจฉัยเรื่องนี้ และหากใช่ก็ขอให้เพิกถอนเสีย พร้อมกับสั่งให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะ และสั่งให้มีการเลือกตั้งตำแหน่งนายกเทศมนตรีเสียใหม่ รวมทั้งต้องดำเนินคดีเอาผิดบุคคลดังกล่าว ตาม มาตรา120 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ต่อไป  

'บิ๊กป้อม' คุมเข้มแก้ค้ามนุษย์   ประชุม ปคม. สั่งเร่งขับเคลื่อนมาตรการ ปก./ปราบปราม/เยียวยาผู้ถูกกระทำ  ให้กำลังใจ จนท.ทำงานระวังโควิด-19  เน้นสร้างความเข้าใจ ปชช.  ย้ำจนท.รัฐห้ามยุ่งเกี่ยวรับผลประโยชน์ เด็ดขาด  มุ่งขจัดการค้ามนุษย์ ให้หมดสิ้นไป  ยกระดับส

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าวันนี้ เวลา10.00น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 2/2564  ณ  ห้องประชุมวิจิตรวาทการ  สมช. ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานผลการดำเนินงานของ ปคม.ซึ่งมีความคืบหน้า ตามแผนงาน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา จัดระดับประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี2564 โดย กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งรายงานแล้ว เมื่อ 2 เม.ย.64  ซึ่งประเทศไทยได้พยายามแก้ปัญหา และตั้งเป้า ยกระดับสู่เทียร์ 1 ในปีนี้

พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำว่า การค้ามนุษย์ ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องมุ่งมั่น ร่วมมือกันขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการป้องกัน การล่อลวง การละเมิดทางเพศกลุ่มเปราะบาง เด็กและสตรี ในสื่อออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ และให้เร่งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการติดตามการลักลอบผู้โยกย้ายถิ่น และการติดตามนำเงินที่ได้จากการยึด อายัดทรัพย์ไปเยียวยาผู้เสียหาย พร้อมกำชับ การบริหารจัดการกองทุนเพื่อปกป้องและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่ต้องมีความโปร่งใส ให้ความสำคัญกับการจัดทำรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอให้มีการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชน ได้รับทราบการดำเนินงาน ของรัฐบาล อย่างต่อเนื่องโดยทั่วกัน

พล.อ.ประวิตร  ยังได้กล่าวขอบคุณ เจ้าหน้าที่ทุกส่วนราชการ ที่เสียสละ ทุ่มเท ปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายของรัฐบาลด้วยดี ที่ผ่านมา พร้อมกำชับไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวหาผลประโยชน์ ในการนำพา ช่วยเหลือลักลอบ โดยเด็ดขาด เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และได้แสดงความห่วงใยขอให้ระมัดระวัง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top