Tuesday, 1 July 2025
Hard News Team

'โฆษก สพฐ.ตร.' ห่วงประชาชน จากเหตุไฟไหม้ ยันป้องกันได้ วอนหมั่นตรวจเช็ค-บำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2565 ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สพฐ.ตร.)

พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร โฆษกสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก สพฐ.ตร.) กล่าวว่าในช่วงนี้มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สร้างความเสียหายและความสูญเสีย อย่างเช่นเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนภายในชุมชนบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 30 หลัง ส่วนคอนโดบริเวณใกล้เคียงก็ได้รับผลกระทบจากความร้อน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตปทุมวันและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ได้รับความเสียหายในเบื้องต้น โดยการตั้งโต๊ะรับแจ้งความในพื้นที่เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน หรือย้อนกลับไปกับเหตุสลดกลางดึกของคืนวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 เกิดเพลิงลุกไหม้บ้านเลขที่ 28/57 หมู่ 6 ต.บ่อพลับ อ.เมืองนครปฐม ทำให้ นาง กาณต์รวี รวงผึ้ง อายุ 46 ปี เจ้าของบ้าน เสียชีวิตพร้อมลูกหลานวัย 1,5, และ 12 ปี รวม 4 ศพ  นั้น หลาย ๆ เหตุการณ์จากการตรวจพิสูจน์ของตำรวจพิสูจน์หลักฐาน พบว่าสาเหตุมักเกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือสายไฟชำรุด จากการใช้งานมานาน และขาดการบำรุงรักษา

ด้าน พ.ต.อ.หญิง ศิริประภา รัตตัญญู นวท.(สบ๔) กสก.พฐก. กล่าวว่าเมื่อได้รับการร้องขอจากพนักงานสอบสวนให้ไปร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุ จะมีหลักในการทำงานด้วยการสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ในหัวข้อหลัก ๆ คือ
1. สถานการณ์เพลิงไหม้ขณะนั้น เพลิงสงบหรือยัง,ควันยังมีมากหรือไม่ เป็นต้น 
2. มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่
3. สถานที่เกิดเหตุเป็นอะไร เช่น บ้าน ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ อาคารสูง ชุมชน โรงงาน ฯลฯ
4. ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุก่อนเข้าตรวจ

'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' เร่งการเติบโตสตาร์ตอัปในไทย ทะยานไกลสู่ระดับสากล

เมื่อ 1 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ร่วมมือกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ เอ็นไอเอ (NIA) บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บริษัท ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ และ บริษัท แสนรู้ จำกัด เปิดโครงการการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ประจำปี พ.ศ. 2565 

งานนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยสนับสนุนและเร่งยกระดับสตาร์ตอัปไทย สร้างนวัตกรรมชั้นยอดสู่ตลาดโลก ด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญที่สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แก่กลุ่มสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ของไทย เร่งสร้างอีโคซิสเต็มอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสตาร์ตอัปไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีไอซีทีชั้นนำ แหล่งเงินทุน และองค์ความรู้ในการทำธุรกิจจากหัวเว่ย เพื่อส่งเสริมสตาร์ตอัปให้เติบโตและประสบความสำเร็จในระดับโลก ผลักดันประเทศไทยขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส (MDES) ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการเปิดการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เร่งเดินหน้าตามแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ Data Economy ของประเทศไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในด้านสำคัญ ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโทรคมนาคมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ หุ้นส่วนทางอุตสาหกรรม ธุรกิจสตาร์ตอัป ตลอดจนผู้พัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลของไทย สำหรับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสําหรับกลไกขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อรองรับอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย

กระทรวง 'พม.' ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลงพื้นที่ร่วมกับ พมจ.สมุทรปราการ ตรวจราชการแบบบูรณาการ

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 เวลา 08.30 น. 'นางวรรณภา สุขคง' พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ ต้อนรับ และร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รอบที่ 2 โดยมีผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตที่ 2 "นายเจริญ ซื้อตระกูล" และคณะผู้ตรวจ ได้แก่ "นางสาวอุไร เล็กน้อย" ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ตามแผนการตรวจราชการเขตตรวจราชการที่ 2 ณ จังหวัดสมุทรปราการ 

โดยเข้าพบ "นายวันชัย คงเกษม" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อหารือข้อราชการและการขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรมตามนโยบายรัฐบาล

‘ส.ส.ชนก’ เมิน พปชร.บุกหนองคาย บอกดี จะได้มาตอบคำถามปชช. นโยบายที่หาเสียงไว้เมื่อไหร่จะทำได้จริง

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ผลการเลือกตั้งปี 2544 เป็นต้นมา พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย จังหวัดหนองคายได้ส.ส.ยกจังหวัดมาโดยตลอด พรรคเพื่อไทยครองใจพี่น้องประชาชนคนจังหวัดหนองคายตลอดมามากกว่า 20 ปี เพราะนโยบายพรรคที่ใช้หาเสียงลงมือทำได้จริง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนได้ตรงตามความต้องการ  ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP), หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน, หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน,หวยบนดิน, ครัวไทยสู่ครัวโลก, ประกาศสงครามกับยาเสพติด และอีกหลายนโยบาย ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบ เป็นนโยบายที่ทำให้พี่น้องประชาชนลืมตาอ้าปากได้ นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ส.ส.จังหวัดหนองคายจากพรรคเพื่อไทยไม่มีบ้านใหญ่ ไม่มีนายทุน และการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ได้คะแนนแบบถล่มทลาย

น.ส.ชนก กล่าวอีกว่า หลังการรัฐประหาร และการครองอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ประชาชนมีข้อเปรียบเทียบจากการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่ชัดเจน ตนรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐมาเยือนจังหวัดหนองคายในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ เพราะท่านจะได้มาตอบคำถามที่พี่น้องประชาชนที่รอคอยมาตลอดจากนโยบายที่หาเสียงไว้เมื่อปี 2562 ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน, ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน, ยางพารา 65 บาท/ตัน, นโยบายมารดาประชารัฐ, ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท, เบี้ยเลี้ยงชีพผู้สูงอายุ 1,000 บาท/เดือน เมื่อไรจะเกิดขึ้นจริง และยิ่งตอนนี้ต้นทุนการผลิตทางการเกษตร ค่าครองชีพ เพิ่มสูงขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ปุ๋ยแพงยันเกลือแพง พรรคพลังประชารัฐในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจะได้มาตอบคำถามพี่น้องประชาชน

ครม. ไฟเขียว จ่ายค่ารักษาพยาบาล - ฉีดวัคซีนโควิด กลุ่มบุคคลที่ไร้สิทธิ์ - ต่างด้าว วงเงิน 2,021 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบ โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาล แก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และเห็นชอบโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท ที่ดำเนินการไปแล้วในช่วงเดือนต.ค. 2664- มิ.ย.2565 

โดยโครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 เป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการในการดำเนินการ การตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มคนไร้สิทธิการรักษาซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 มาสู่คนไทยจากการเปิดประเทศ และเตรียมการสู่โรคประจำถิ่น รวมทั้งเป็นค่าชดเชยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรณีผู้ป่วยที่ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลให้กับหน่วยบริการกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล หรือ ผู้ไร้สัญชาติ  หรือผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มเป้าหมายที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย เพื่อจ่ายค่าบริการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทยให้กับหน่วยบริการ

‘สี จิ้นผิง’ มุ่งมั่นรวมชาติ สั่งพรรคคอมมิวนิสต์ ต้อง ‘ชนะใจ’ คนฮ่องกง-มาเก๊า-ไต้หวันให้ได้

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนเรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินนโยบายเพื่อ “เอาชนะใจ” ประชาชนทั้งในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันให้ได้ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการฟื้นฟูชาติจีน (national rejuvenation)

คำสั่งซึ่งมีขึ้นระหว่างการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ผู้นำจีนได้มอบหมายให้แก่กรมการแนวร่วม (United Front Work Department) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีหน้าที่แผ่ขยายอิทธิพลของจีนทั้งในและต่างประเทศ

“การสร้างแนวร่วมถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นที่สำคัญ (ว่าพรรคคอมมิวนิสต์) จะสามารถเอาชนะศัตรู บริหาร และฟื้นฟูชาติบ้านเมืองได้ และยังเป็นการรณรงค์ให้คนจีนทั้งในและนอกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของการฟื้นฟูชาติ” สำนักข่าวซินหวาอ้างถ้อยแถลงของ สี ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง

ผู้นำจีนย้ำว่า โลกกำลังเผชิญ “ความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง” ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นภารกิจของกรมการแนวร่วมจึงยิ่งมีความสำคัญ และจำเป็นที่จะต้อง “สร้างสมดุลระหว่างความธรรมดาสามัญ (Commonality) กับความหลากหลาย (Diversity)” เพื่อ “เอาชนะใจประชาชนในฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวัน รวมไปถึงชาวจีนที่อาศัยอยู่ในต่างแดน”

‘บิ๊กตู่’ มั่นใจปีนี้ เศรษฐกิจไทยโต 3.3% ลั่นปีหน้าดีขึ้นอีกจากส่งออก -นทท.ทะลัก

‘ประยุทธ์’ ชี้ ศก.ไทยโตต่อเนื่อง 3.3% คาดปีหน้าแตะ 4.2% ผลจากเอกชนฟื้นตัว - นทท.เข้าปท.กว่า 6 ล้านคน ด้านส่งออกยังมีข่าวดี ขยายตัว 7.9% ขอเชื่อมั่นเสถียรภาพการเงินประเทศ เตรียมกดอัตราเงินเฟ้อจาก 6.2% เหลือ 2.5% ภายในปี 2566 
 

เมื่อเวลา 12.20 น.วันที่ 2 ส.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า วันนี้ครม. รับทราบภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2565 โดยตนแจ้งครม. ทราบว่ามีหลายประเด็นมีแนวโน้มไปในทางที่ดี ซึ่งต้องแยกจากกันระหว่างเศรษฐกิจระดับมหภาคกับเศรษฐกิจระดับจุลภาค และประชาชนข้างล่างก็อีกเรื่องที่เราต้องแก้ปัญหาตรงนั้น แต่นี่คือภาพใหญ่ของประเทศที่เทียบเคียงกับทุกประเทศในโลก สรุปว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี แต่ยังมีประเด็นที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านการเงิน การคลังภายนอกประเทศเพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบกิจการและเตรียมการรับกับอนาคตที่จะมาถึง เนื่องจากเศรษฐกิจนั้นผูกติดกันหมดทั้งโลก 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 3.3 ในปีนี้ และคาดการณ์จะเพิ่มเป็นร้อย 4.2 ในปีหน้า จากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้สูงในประเทศในครึ่งปีหลัง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ประมาณการอยู่ที่ 6 ล้านคน จากเดิมที่ประเมินไว้ 5.6 ล้านคน โดยเฉพาะเดือนนี้เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจำนวนมากพอสมควรจากมาตรการเปิดประเทศของไทย และต่างประเทศที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ฉะนั้นในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 19 ล้านคน และภาคเศรษฐกิจก็คาดว่าจะมีการระดมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้ เราต้องเร่งพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนคือเรื่องค่าเงินบาท ที่มีผลต่อการนำเข้าและส่งออกซึ่งด้านการส่งออกสินค้าไทยถือเป็นข่าวดีที่แนวโน้มขยายตัว ร้อยละ 7.9 จากที่เดิมที่ประมาณการไว้ร้อยละ 7.0 และในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องอีก แต่ก็มีปัจจัยที่ทำการเกิดความผันแปรของผู้ค้าโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น จีน โดยปัจจัยหนึ่งคืออัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากผลของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผ่านไปยังต้นทุนสินค้าต่าง ๆ โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 6.2 แต่คาดว่าจะลดงเหลือร้อย 2.5 ในปี 2566  ขอให้ประชาชน และภาคธุรกิจเชื่อมั่นเสถียรภาพการเงินของไทยยังมันคงและแข็งแกร่งจากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่รอบคอบและมีวินัยของเรา และเป็นที่เชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ นักลงทุนต่างประเทศจากความสนใจในการเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเรื่องการลงทุนมีหลายอย่าง หลายประเทศ หลายโครงการ ที่ตนยังไม่สามารถชี้แจงได้เนื่องจากอยู่ช่วงการเจรจาร่วมกัน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดเล็กจำนวนมากพอสมควร 

ภูมิธรรม ซัด!! ประยุทธ์ ถึงเวลามียางอาย คืนอำนาจกลับไปให้ประชาชน

23 สิงหาคม 2565 นี้ ‘ประยุทธ์’ จะครองอำนาจครบ 8 ปี จะได้รู้กันว่าใครสนับสนุนเป็นเนติบริกรคุ้มครองให้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยไม่รู้จักอายและไม่สนใจว่าจะ ย่ำยี หลักการรัฐธรรมนูญซ้ำ ๆ ครั้งที่เท่าไหร่
...ถึงเวลา มียางอาย คืนอำนาจกลับไปให้ประชาชน

ภูมิธรรม เวชยชัย 
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
2 สิงหาคม 2565

ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘สิงหาคม 2565 ประยุทธ์ ครองอำนาจที่ยึดมาจากประชาชน และเป็นนายกฯ ต่อเนื่อง ครบ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ ได้เวลา มียางอาย คืนอำนาจกลับไปให้ประชาชน’ ระบุว่า 8 ปี ภายใต้ระบอบการเมืองแบบ ‘ประยุทธ์’ ซึ่งใช้อำนาจที่ยึดมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศ 4 ปีกว่า แล้วจัดแจงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับ ‘เผด็จการอุ้มสม’ โดยอาศัยฐานอำนาจของ 3 ป. ทั้งส่วนของกลุ่มทุน ทหาร ข้าราชการเกษียณ จัดการเลือกตั้งสร้างกลไก ส.ว. และ พรรคการเมืองบางส่วนที่ไร้อุดมการณ์กลับคำที่ให้ไว้กับประชาชน ยกมือยอมให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคยใส่ใจทุกข์ยากของประชาชนเข้ามาบริหารประเทศต่อเนื่อง

‘ประยุทธ์’ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยฟังเสียงประชาชน ไม่เคยมีนโยบายที่สร้างความหวังให้ประชาชนและประเทศชาติ จะมีก็แต่มาตรการเจียดเงินมาจ่ายแจกทีละน้อย คิดแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แบบ ‘ปัดปัญหาออกพ้นตัว’ มากกว่าการดำเนินนโยบายที่ส่งผลเชิงโครงสร้าง และภาพรวมของการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะปัญหาเหลื่อมล้ำซึ่งส่งผลในระยะยาว

การครองอำนาจยาวนานถึง 8 ปีภายใต้ฐานอำนาจ ฐานทุนที่จับมือร่วมกัน เป็นการบริหารที่สร้างผลประโยชน์ผูกขาดอย่างมหาศาลให้ประยุทธ์และพวกพ้อง เป็นการบริหารประเทศโดยผู้นำที่ขาดคุณสมบัติทุกประการ ทั้งความรู้ วิสัยทัศน์ มารยาท วุฒิภาวะทางอารมณ์ และความชอบธรรม

8 ปีภายใต้การบริหารของ ‘ประยุทธ์’ เราได้เห็นการทำสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูก แบบหน้าไม่อาย ทำลายหลักนิติธรรม นิติรัฐ เพียงเพื่อให้ตัวเองและพวก ยังคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ พร้อมกับสกัดกั้นกลุ่มคนที่มีความเห็นแตกต่างในทุกรูปแบบ

วันนี้เราจึงได้เห็น วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประชาชนและหลักการประชาธิปไตย กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ซ่อนเร้นอำนาจและผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ซึ่ง ‘ประยุทธ์และพวก’ ร่วมกันออกแบบ แก้ไข เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ โดยไม่คำนึงถึงหลักการใด ๆ ทั้งที่รัฐธรรมนูญในประเทศประชาธิปไตยทั่วไปเป็นกฎหมายสูงสุด ใช้เป็นหลักในการปกครองของทุกประเทศ โดยให้เกียรติให้คุณค่ากับประชาชน เห็นประชาชนเป็นใหญ่ และต้องออกแบบให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงเป็นเสมือนหลักยึด เพื่อให้เกิดระบบการเมืองที่สร้างสมดุลและคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพตลอดจนผลประโยชน์ของทุกคนในสังคม

แต่…สำหรับรัฐธรรมนูญประเทศไทย ภายใต้การนำของประยุทธ จันทร์โอชา ที่ยกมือยิ้มร่ายอมรับว่าเป็นผู้นำรัฐประหาร อย่างหน้าชื่นตาบาน นอกจากจะยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ยังสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะควบรวมครอบอำนาจกลับมาไว้ที่ตนเองทั้งหมด ไม่เคยตระหนักรู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกขมขื่นแค่ไหน ไม่เคยรู้ว่าสังคมโลกมองผู้นำประเทศไทยอย่างไร เพราะผู้นำคนนี้ ไร้สำนึกรู้ถึงความน่าละอายของการทำรัฐประหาร ที่เป็นต้นเหตุฉุดรั้งประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม ให้ตกต่ำถึงขีดสุด

ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ จึงไม่ได้ทำเพราะผลประโยชน์ประชาชน แต่ใช้อำนาจ สั่งการแก้ไขเพื่อให้ตนและพวกพ้องอยู่ในอำนาจได้ยาวนานที่สุด ทำให้รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ขาดความน่าเชื่อถือ ไร้หลักการประชาธิปไตย

….ประเทศไทย รัฐบาลไทย รัฐสภาไทย เราเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ?

คำตอบ คือ เพราะ 8 ปีของประยุทธ์นั้นกล้ากระทำการทุกเรื่องที่ผิดหลักการ ผิดกติกาได้เพราะถือดีว่า ‘พวกตนยึดกุมและควบรวมอำนาจการปกครองในประเทศ’ ไว้เพียงกลุ่มเดียว …ดังนั้น อยากทำอะไรก็ทำได้ไม่เกรงกลัวใคร เนื่องจากมีกลไก ส.ว. 250 คน ซึ่งล้วนเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาและพวกพ้อง กำหนดให้มีอำนาจล้นพ้น สามารถ ควบคุมกติกา กำหนดตัวนายกรัฐมนตรี และทำทุกอย่างตามใบสั่ง โดยไม่ได้ตระหนักและคำนึงถึงเกียรติศักดิ์ศรีของตำแหน่ง ส.ว. แต่ทำให้กลายสภาพจากที่ปรึกษาในสภาฯ มาเป็นลิ่วล้อหุ่นยนต์ ยกมือเพื่ออุ้ม ‘ประยุทธ์’ คนเดียว

ก้าวไกล ติง ‘ทัพฟ้า’ ควรฟังเสียงประชาชน อย่าดึงดันซื้อบินรบ F-35A ในภาวะวิกฤติ

อดีตทหารอากาศ ‘พรรคก้าวไกล’ จวกกองทัพบก ของบซื้อเครื่องบินรบ ในขณะที่ประชาชนเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ

ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตลาดพร้าว วังทองหลาง พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่พลอากาศตรี ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ชี้แจงผลกระทบกรณีการเลื่อนโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน หลังจาก กมธ. ตัดงบประมาณจัดซื้อ ‘F-35 A’ ว่า ปัจจุบันกองทัพอากาศมีเครื่องบินขับไล่โจมตี 5 ฝูงบิน โดยได้ปรับปรุงขีดความสามารถของอากาศยานที่มีอยู่ เพื่อให้ดำรงขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจเอาไว้

ธนเดช ระบุว่า ตนในฐานะอดีตทหารอากาศ ตระหนักและเข้าใจดีถึงความสำคัญของการจัดเตรียมกำลังให้มีขีดความสามารถและศักย์กำลังรบพร้อมรับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ การจัดซื้ออาวุธหรือฝูงบินรบที่ทันสมัยอย่าง F-35A  ที่กำลังเป็นข่าวก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรอยู่บนยุทธศาสตร์ที่มีการวางแผนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดและสามารถตอบคำถามประชาชนได้ ไม่ใช่จัดซื้อเพราะได้ลดราคา

ที่สำคัญคือตอนจะซื้อก็ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ กรณี F-35A นี้ ถ้าจำกันได้ ในเดือนมกราคมก็ผ่านเข้าครม. ทั้งที่ประชาชนกำลังอยู่ในช่วงข้าวยากมากแพง แถมยังโดนผลกระทบต่อเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ปุ๋ย อาหารสัตว์แพงไปหมด ส่งผลให้ค่าครองชีพต่าง ๆ ก็แพงไปด้วย มีหลายครอบครัวครับที่ถึงกับต้องให้ลูกหลานออกจากโรงเรียนกลางคัน และมีการประเมินกันว่า ตัวเลขในปีนี้อาจมีเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากการศึกษาถึงล้านคน แทนที่ท่านจะเอาเงิน 7,400 ล้านบาทก้อนแรกที่ท่านจะใช้ ไปทำในสิ่งที่จำเป็นเฉพาะหน้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือเด็ก ๆ กองทัพควรตระหนักได้ว่าทรัพยากรมนุษย์นี่ล่ะ คือ ความมั่นคงในอนาคตของจริง แต่ท่านกลับเอาแต่งอแงเหมือนเห็นของเล่นใหม่ 

สวนนงนุชพัทยา ต้อนรับคณาจารย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมฟังบรรยายหัวข้อการพัฒนาแนวทางการศึกษาและงานวิจัย การจัดสวนพฤกษศาสตร์ในอนาคตและร่วมกันปลูกต้นจามจุรี

วันที่ 2 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ สวนนงนุชพัทยา โดยคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ให้การต้อนรับ  รองศาสตราจารย์ ดร.สีหนาท  ประสงค์สุข (หัวหน้าภาควิชาพฤกษศาสตร์) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และคณะคณาจารย์และเจ้าหน้าที่  ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าเยี่ยมชมสวนสวนนงนุชพัทยา พร้อมฟังบรรยายจากคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา เรื่องหัวข้อการพัฒนาแนวทางการศึกษาและงานวิจัย การจัดสวนพฤกษศาสตร์ในอนาคต 

จากนั้นร่วมกันปลูกต้นจามจุรี ที่“สวนรุกขชาติ”บริเวณพื้นที่ราบเชิงเขาบันไดกฤษ เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่รวบรวมพันธุ์ไม้หายากสำหรับ“สวนรุกขชาติ”  ทางสวนนงนุชพัทยาดำเนินการให้แก่ประเทศไทยโดยขออนุญาตเช่าพื้นที่จากกรมป่าไม้จำนวน 43 ไร่ โดยค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการต่าง ๆ สวนนงนุชเป็นคนดูแลทั้งหมด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top