Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

กรมโรงงานฯ ตรวจสุดซอยตามนโยบาย ‘เอกนัฏ’ ลั่น พบโรงงาน - ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมทำความผิด เจอคดีทันที

(24 ธ.ค.67) นายพรยศ กลั่นกรอง รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมโรงงานฯ มีพันธกิจในการบริหารจัดการ กำกับดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมให้มีการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัย ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงระหว่างประเทศ ภายใต้นโยบายที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบไว้ “ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่” ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย 3 ด้าน 'สู้ เซฟ สร้าง' 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษ 'เซฟ' พี่น้องอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ และ 'สร้าง' อุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก 

อธิบดีพรยศฯ กล่าวต่อว่า การจะ 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ 'การปฏิบัติการตรวจสุดซอย' จึงเป็นปฏิบัติการเชิงรุก ในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักอาชีวอนามัย เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย  และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น พร้อมกับบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั่วประเทศ

และจากประเด็นที่ รัฐมนตรีเอกนัฏฯ ส่งชุดตรวจสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รวอ.พร้อมด้วย นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจโรงงานในอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พบการละเมิดคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมถึง 3 ครั้ง ที่มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ และปิดโรงงาน โดยโรงงานมีการฝ่าฝืนประกอบกิจการโรงงาน รวมถึง เคลื่อนย้ายของกลาง ติดตั้งเครื่องจักร ติดตั้งเตาหลอมโลหะโดยไม่มีวิศวกรรับรอง และลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในบริเวณบ่อน้ำขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโรงงานเพิ่มขึ้น และยังพบ 'เอกสารลับ' ชี้มีการเบิกจ่ายเงินนอกระบบให้กับบุคคลหลายตำแหน่ง จากหลายหน่วยงาน ทำให้เกิดเป็นข่าวในสื่อหลายสำนัก

อธิบดีพรยศฯ เพิ่มเติมว่า จากประเด็นดังกล่าว ทางกรมโรงงานฯ มิได้เพิกเฉยแต่อย่างใด การที่โรงงานจงใจฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมหลายครั้ง ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หากตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานฯ มีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างเฉียบขาด

“ผมมีนโยบายที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กำกับดูแล ตรวจสอบโรงงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้มารับบริการตามขั้นตอน ไม่มีเรียกรับสินบน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อคุ้มครองหรือดูแลผู้ประกอบกิจการโรงงาน ให้เกิดความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ 'ไม่ปลอดภัย ไม่อนุญาต' การตั้งและประกอบกิจการโรงงานต้องสะอาด สะดวก โปร่งใส ไม่เกรงใจอิทธิพล เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยอยู่ร่วมกับสังคมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายรัฐมนตรีเอกนัฏฯ" นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

โฆษกรัฐบาลชี้ช่วยหนุนการค้า - ลงทุน คาดปี 68 โอกาสทองดันสินค้าไทยโกอินเตอร์

(24 ธ.ค. 67) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ธันวาคม 2567 ได้รับทราบว่าประเทศไทยได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ รวมถึงสมาชิกใหม่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เอธิโอเปีย ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน  

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ ครม. รับทราบถึงการที่ไทยได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมเป็น "ประเทศหุ้นส่วน" (BRICS Partner Country) ตามมติของการประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย  

การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในกลุ่ม BRICS จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการเงินระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ  

กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ยังช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบพหุภาคี (multilateral system) และเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบในอนาคต  

หลังการตอบรับเข้าร่วม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเตรียมความพร้อมในการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของ BRICS เช่น การเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีในสาขาต่างๆ และการสนับสนุนเอกสารผลลัพธ์จากการประชุมผู้นำ รวมถึงการตั้งงบประมาณเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมในการประชุมเหล่านี้  

คาดว่าในปี 2568 สินค้าไทยภายใต้แบรนด์ "Made in Thailand" จะมีโอกาสขยายตลาดในระดับโลกมากขึ้น ด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นจากกลุ่ม BRICS ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและสร้างความคึกคักให้กับการค้าระหว่างประเทศ

สตม. เร่งรัดปราบปราม การกระทำความผิดของแรงงานต่างด้าว 

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ให้ สตม. เร่งรัดปราบปราม การกระทำความผิดของแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงาน 3 สัญชาติ นั้น  

วันนี้ (24 ธ.ค. 67) พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.ปรก.รอง ผบช.สตม. , นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร  พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3,  พ.ต.อ.ปัณณวิช จันทร์สมบูรณ์ รอง ผบก.ปรก.รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อรรถพล มีเสียง รอง ผบก.ฯ ปรก.รอง ผบก.ตม.3

พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3
 
พร้อมด้วยกำลังข้าราชการตำรวจในสังกัด สตม. ได้แก่ ตม.จว.สมุทรสาคร, กก.สส.บก.ตม.3, บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรสาคร และเจ้าหน้าที่จัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร  รวมกว่า 100 นาย  ได้เข้าตรวจสอบบริเวณตลาดกลางกุ้ง เพื่อระดมกวาดล้างอาชญากรรมมช่วงวันคริสมาสต์ และเทศกาลปีใหม่

ตรวจสอบคนต่างด้าว บริเวณตลาดกลางกุ้ง ต.ท่าทราย อ.เมือง จว.สมุทรสาคร
เมื่อเดินทางถึงที่เกิดเหตุ พบคนต่างด้าว 3 สัญชาติ กว่า 500 ราย ทำงานอยู่ภายในสถานที่ดังกล่าว  
ผลการปฏิบัติ จับกุมผู้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ดังนี้

1. ข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 20  ราย  
2.ข้อหา เป็นคนต่างด้าว ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวไม่พักอาศัย ณ ที่ ที่ได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม  ม.37(2) จำนวน  1 ราย

รวมทั้งสิ้น 21 ราย  

ซึ่งตลอดทั้งปี 2567 ทาง ตม.จว.สมุทรสาคร ได้จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย หรือเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวนกว่า 1,500 ราย

ทั้งนี้พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.ปรก.รอง ผบช.สตม.  ยังได้เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานต่างด้าวในการทำงานในด้านต่างๆ ดูได้จากการที่ ครม. มีมติผ่อนผันการทำงานของแรงงานต่างด้าว ตลอดจนปัจจุบันก็อนุญาตให้คนต่างด้าวสามารถทำงานขายของหน้าร้านได้ โดยต้องมีนายจ้างและอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยกระทรวงแรงงาน นั้น

แต่ก็ยังคงมีการลักลอบกระทำผิดกฎหมายทั้งโดยเจตนา หรือโดยความไม่รู้ของผู้ประกอบการ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจคนเข้าเมืองก็มิได้นิ่งนอนใจ ส่วนหนึ่ง จึงได้มีการกวดขัน ปราบปราม เพื่อเป็นการป้องกันการกระทำผิดและบังคับให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ เจ้าของร้านที่มีลูกจ้างเป็นต่างด้าวขายของหน้าร้าน ผู้ประกอบการต้องอยู่ประจำที่ร้านหรือสถานประกอบการด้วย เป็นการยืนยันว่ากิจการดังกล่าวเป็นกิจการของนายจ้างคนไทยทั้งนี้ เพื่อป้องกันการแฝงตัวของคนต่างด้าว กรณีประกอบกิจการเองโดยผิดกฎหมาย

'สุริยะ' ยันมีหลักฐาน เขากระโดง 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ ลั่น ปัญหาทุกอย่างจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย

‘สุริยะ’ ลั่น เขากระโดงจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย เข้าใจ ‘ทรงศักดิ์’ ห่วงคนในพื้นที่ บอกห่วงประชาชนเหมือนกัน ชี้ หากรฟท. ได้ที่กลับจะแก้ปัญหาถาวรให้เช่าถูก ยันมีหลักฐาน 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ

(24 ธ.ค. 67) เมื่อเวลา 09.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ หลังจากนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ และมีการพูดถึงว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก้าวล่วงสิทธิ์ประชาชนในพื้นที่ ว่า เรื่องนี้อยากจะทำความชัดเจน ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกา ตัดสินว่าที่บริเวณเขากระโดงนั้นเป็นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนตัวเข้าใจนายทรงศักดิ์ที่ห่วงใยประชาชนซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อมีคำพิพากษาทางการรถไฟฯจะต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามเจ้าหน้าที่รถไฟอาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนหลังจากนำที่กลับมาให้การรถไฟฯแล้ว จะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น นายสุริยะ กล่าวว่า เราสามารถเยียวยาประชาชนในพื้นที่ได้ โดยอาจจะคิดค่าเช่าในราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งก็จะมีการแก้ปัญหาที่ถาวรต่อไป ส่วนข้อห่วงใยที่เป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่างๆ 12 แห่ง เช่น ศาลากลางจังหวัด อบจ.จังหวัดนั้น เรื่องเหล่านี้ เราสามารถตรวจสอบก่อน ถ้าเป็นที่ของการรถไฟฯก็สามารถตกลงให้เช่าได้ เช่น กรณีที่ดินรัชดาที่มีศาลอาญาและกรมอัยการก็มาขอเช่า ทางการรถไฟฯก็ให้เช่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เราก็ห่วงใยประชาชนเหมือนนายทรงศักดิ์

เมื่อถามว่า 2 กระทรวงต้องมาคุยกันหรือไม่เพราะพูดกันคนละภาษา นายสุริยะกล่าวว่า ตนได้ชี้แจงไปแล้วว่าที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ ส่วนที่นายทรงศักดิ์ห่วงใยประชาชนตนบอกว่าต้องทำตามกระบวนการ

เมื่อถามว่า ในพื้นที่บอกว่าการรถไฟฯไม่มีหลักฐานยืนยัน 5,000 ไร่ถ้ามีให้ไปฟ้องรายแปลง นายสุริยะ กล่าวว่า ทางศาลฎีกาสูงสุดตัดสินเรียบร้อยแล้ว ว่าที่ 5,000 กว่าไร่เป็นที่ของการรถไฟฯ โดยทางกรมที่ดินก็พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของกฤษฎีกา การรถไฟฯชี้แจงชัดเจนว่าตั้งแต่กรมรถไฟ 2462 มีการชี้แจงในพื้นที่ตั้งแต่อุบลราชธานีจนถึงนครราชสีมาซึ่งมีส่วนของ เขากระโดงว่าเป็นที่ของการรถไฟฯ

เมื่อถามว่า สามารถ ยืนยันได้ว่าศาลฎีกาวินิจฉัย 5,000 ไร่ใช่หรือไม่เพราะ เพราะชาวบ้านยืนยันว่า ผูกพันเฉพาะกรณี 35 ราย นายสุริยะ กล่าวว่า ตนไม่ได้เชี่ยวชาญกฎหมายจึงได้ปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมายและยืนยันชัดเจนว่า สามารถบังคับได้ ยืนยันว่ามีเอกสารสิทธิ์ตรงนี้ 

ส่วนเรื่องนี้จะจบหรือไม่เพราะเป็นมหากาพย์ยาวนาน นายสุริยะ กล่าวว่า ถ้าทุกฝ่ายทำตามกฎหมายมันจบได้

คองเกรสสหรัฐฯ เปิดงบช่วยยูเครน ใช้เงินภาษีคนอเมริกันไปแล้วเกือบ 5 ล้านดอลลาร์

(24 ธ.ค. 67) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตลอดทั้งปี 2024 รัฐบาลสหรัฐมีการใช้เงินภาษีของชาวอเมริกันไปแล้วเกือบ 4.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 163 ล้านบาท) ซึ่งภายหลังการเปิดเผยดังกล่าว สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี นาย แรนด์ พอล กล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการใช้งบประมาณของรัฐบาลไบเดนที่ไร้เหตุผลที่สุดของปี 2024 

รายงานยังระบุว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งในยูเครน รัฐบาลวอชิงตันได้ใช้เงินภาษีของชาวอเมริกันในการให้การสนับสนุนรัฐบาลเคียฟและช่วยเหลือทหารยูเครนไปแล้วเกือบ 174 พันล้านดอลลาร์ โดยนายพอล กล่าวว่า "บางคนในกระทรวงการต่างประเทศยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่จะใช้เงินภาษีชาวอเมริกันอีก  4.8 ล้านดอลลาร์เพื่อกิจการในยูเครน 

นายพอล ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ กลับไปใช้วิธีการทางการทูตที่จริงจัง แทนที่จะพึ่งพากลยุทธ์ผ่านการทหาร พร้อมเน้นย้ำว่า ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจำนวนมากที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้พอเพียงในการดำรงชีวิตกำลังเป็นผู้จ่ายเงินในการใช้จ่ายนี้

พอลกล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่ “น่าฉงน” ที่เห็นรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนในช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกำลัง “ประสบปัญหาทางการเงิน”

รายงานที่มีความยาว 41 หน้าครอบคลุมถึงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสว.พอลเรียกว่า "เป็นการใช้จ่ายที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล"

ก่อนหน้านี้ ในการสัมภาษณ์กับ NBC News ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวว่า ภายใต้การบริหารของเขา รัฐบาลเคียฟไม่น่าจะได้รับความช่วยเหลือในระดับเดียวกับที่พวกเขาได้รับในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน

จันทบุรี พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและคณะเยี่ยมบำรุงขวัญทหาร/ตชด

(24 ธ.ค.67) พลเรือโท สมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด พันตำรวจเอก พรชัย แช่มช้อย ผู้กำกับการ ตชด.11และพันตำรวจโท คณิศร์ ผิวขาว รองผู้กำกับการ ตชด.11พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ร่วมให้การต้อนรับพลเรือเอก สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและคณะ ในการตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญหน่วยปฏิบัติงานสนามในพื้นที่ กปช.จต. ณ บก.กปช.จต. จ.จันทบุรี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและคณะ ขึ้นแท่นรับความเคารพจากหน่วยทหาร ตชด. ที่หน้ากองบัญชาการ ป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้มีทหารและตชด.ร่วมต้อนรับ ทหารเข้ารายงาน ภารกิจต่างๆ การบฏิบัติงานตามแนวชายแดนด้านจันทบุรี ต่อท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ท่านได้กล่าวชื่นชมการทำงาน ของหน่วยทหารและ ตชด.

อนึ่งในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ:
- ส่งเสริมขวัญกำลังใจของหน่วยปฏิบัติงาน ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ตรวจสอบการปฏิบัติงานและความพร้อมของหน่วยทหารและตชด.ในพื้นที่ จ.จันทบุรีการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานทหาร ตชด.ตำรวจ ฝ่ายปกครองในพื้นที่ 

ไปที่ห้องประชุม พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ ได้เข้าร่วมประชุมกับหน่วยทหารที่ปฏิบัติตามแนวชายแดนด้านจันทบุรี พร้อมกับหน่วย ตชด. ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ได้กำชับถึงการทำงานในพื้นที่ตามตะเข็บชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชาให้เน้นถึงความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง รวมถึงการกระทบกระทั่งระหว่างกองกำลังทั้งสองประเทศ การป้องกันปราบปรามการกระทำผิดทุกรูปแบบ ในเรื่องของการลักลอบขนถ่ายสินค้าที่หนีภาษีอาทิเช่นเนื้อหมู เนื้อไก่ สัตว์ต่าง ๆ เพราะไม่ได้ผ่านการตรวจของกรมปศุสัตว์ อาจมีเชื้อโรคเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศของเราได้เนื่องจากไม่ได้ผ่านการตรวจอย่างถูกต้อง และยังเน้นย้ำ ถึงเรื่องการลักลอบขนของหนีภาษี ตามชายแดน อาทิเช่นบุหรี่ เหล้า ไพ่ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ผ่านการเสียภาษี สิ่งของต่างๆที่ไม่ได้ผ่านศุลกากร หรือตามช่องทางที่ถูกต้อง หรือแอบลักลอบขนย้ายตามช่องทางธรรมชาติ 

ต้องขยันออกเดินเท้าตามแนวชายแดน ที่มีรายงานว่าแอบลักลอบหรือแอบขนข้ามคลอง หรือข้ามแนวเขตตามป่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ของหนีภาษีเคลื่อนย้ายเข้ามาในจังหวัดจันทบุรี นั้นทำรายได้กับผู้ที่ลักลอบขนย้ายเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากไม่ต้องผ่านการเสียภาษีแต่ไปขายในราคา ดีได้กำไรมาก สินค้าที่รอบขนข้ามฝั่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน จะเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดนด้านอำเภอสอยดาวและโป่งน้ำร้อนในพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรีเพื่อ กระจายสินค้าไปจังหวัดต่าง ๆ อีก ส่วนด้านการค้ามนุษย์ ก็ต้องตรวจเข้มตรวจการเข้าออก ตามด่านที่มีอยู่ในจังหวัดจันทบุรี ในสองด่านคือด่านบ้านเขาแหลมและด่านบ้านเขาเกลือ ในการตรวจพาสปอร์ตหรือหนังสือผ่านแดน สำหรับบุคคลที่จะเข้าออก เดินทางเข้ามาในจังหวัดจันทบุรี และการป้องกันอธิปไตยตามแนวชายแดน การป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า  

ซึ่งเป็นภารกิจที่ทหารและ ตชด. ทั้งสองหน่วยนี้ปฏิบัติและประสานงานทำงานร่วมกันบูรณาการในการจับ กวดขันและการออกลาดตระเวนร่วมกัน ในพื้นที่ตามตะเข็บชายแดน ด้านจังหวัดจันทบุรี กันเป็นประจำการปฏิบัติครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของหน่วย และชื่นชมหน่วย กก.ตชด.11 ในการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานหทหารที่ร่วมปฏิบัติ งานของการปฏิบัติในการตรวจตราและเสริมกำลังของทหารอย่างดีเยี่ยม จึงมีผลงานในการปฏิบัติเป็นที่น่ายกย่อง นี่คือทหารของประชาชน 

ชลบุรี-รวมผู้กระทำผิดกว่า 600 ราย จาก ผบก.ชลบุรี ผนึกกำลังเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" 

(24 ธ.ค. 67) สืบเนื่อง จากปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต" ที่ได้เปิดปฏิบัติการภายใต้นโยบายของ พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เปรียบเสมือน "ปรสิต" ที่คอยกัดกินความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และยังคอยทำร้ายพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นปฏิบัติการที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและมีผลการจับกุมได้จำนวนมาก

ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีนำโดย พลตำรวจตรีธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการต่อยอดโดยเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" มุ่งเน้นกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมายอาคารพาณิชย์ ภายในซอยจอมเทียนซอย 2,3 และ 4 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีการแพร่กระจายของยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้จำหน่ายและผู้เสพ จนปรากฎเป็นภาพข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งระดมกวาดล้างชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามาและทำงานผิดกฎหมาย โดยได้เปิดปฏิบัติการในช่วงเช้า เวลา 06.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ได้ดังนี้

1. ปฏิบัติการจอมเทียน 3 ซอยโมเดล
- จับกุมยาเสพติดในข้อหาจำหน่าย 5 ราย ,คดีครอบครองยาเสพติด 15 รายและข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ 82 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 93 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน 981 เม็ดและยาไอซ์รวม 53 กรัม
- จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay  5 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 6 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 16 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาใน พรบ.คนเข้าเมือง 27 ราย

2. ปฏิบัติการบุกทลายแก๊งชาวต่างชาติทำผิดกฎหมาย
- ตรวจค้นบ้านพักย่าน ถ.เทพประสิทธิ์ ตามหมายค้นศาลแขวงพัทยา 2 หลัง จับกุมชาวต่างชาติรวมกลุ่มกันในลักษณะแก๊งคอลเซนเตอร์ และหลอกขายสินค้าโดยใช้ประเทศไทย เป็นฐานที่มั่น ได้ 13 ราย (จีน 10 ราย เกาหลี 3 ราย) พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกว่า 60 รายการ
- จับกุมชาวต่างชาติ (จีน) 2 ราย ในข้อหาลักทรัพย์ เครื่องรับ-ส่งสัญญาณติดเสาสัญญาณโทรศัพท์ บริษัทเครื่อข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายใหญ่ ตรวจยึดของกลางเป็นเครื่องขยายสัญญาณโทรศัพท์ 94 เครื่อง รวมมูลค่า 8 ล้านบาท ได้ที่บริเวณพื้นที่ สภ.หนองขาม
- จับกุมชาวต่างชาติ (ฮ่องกง) ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าขาย โดยตั้งฐานการผลิตในโรงแรมหรูกลางเมืองพัทยา พร้อมตรวจยึดหัวบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1,300 ชิ้น (จากการล่อซื้อ), ตัวบุหรี่ไฟฟ้า, ก้นบุหรี่ไฟฟ้า, น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า, ผงส่วนผสมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนมาก และอาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติไม่มีทะเบียน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน

3.ปฏิบัติการกวาดล้างความผิดตาม พรบ.คนเข้าเมืองของ สตม. ตั้งแต่เปิดปฏิบัติการ "กวาดล้างปรสิต" จนถึงปัจจุบัน
-จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay 10 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 253 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 116 ราย, ความผิดตาม พรก.การทำงานของคนต่างด้าว 28 ราย และหมายจับ 26 ราย 

โดยปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดที่เป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติ และคดีอื่นๆ รวมแล้วกว่า 600 ราย

อีกทั้ง หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก จะเป็นภัยแก่สังคมและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตและใช้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยาเสพติด โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ผบก.ตม.1 ร่วมพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 (Happy New Year 2025)

(24 ธ.ค. 67) เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมาย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในช่วงวันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2568 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานในพื้นที่ในการจัดพิธีปล่อยแถวป้องกันปราบปรามอาชญากรรมฯ  

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม.ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 เป็นผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นำกำลังข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 เข้าร่วมการปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 (Happy New Year2025) ซึ่งจัดโดยกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว บริเวณลานศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พิธีจัดขึ้นโดยมี นายสรสงงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี และมีหน่วยงานเข้าร่วมพิธีปล่อยแถว เช่น ....

พิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 (Happy New Year 2025) จัดขึ้นเพื่อเเสดงให้เห็นถึงความพร้อม ของสำนักงานตำรวจเเห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน และนักท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวปีใหม่ที่จะถึงนี้ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมืองได้มีการบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตรวจนครบาล 1 – 9 โดยจัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสืบสวนหาข่าว และเจ้าหน้าชุดเคลื่อนที่เร็วใช้รถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ (SMART PATROL CAR : SPC)ออกสืบสวนหาข่าวและตรวจพื้นที่บริเวณสถานที่จัดงานและในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น

ทั้งนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงวันคริสต์มาส และวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2568 ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 17 – 23 ธันวาคม 2567 (7 วัน) และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2567 – 2 มกราคม 2568 (7 วัน) โดยกำหนดเป้าหมายในการระดมกวาดล้าง เช่น
1. เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบุคคลและหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ที่เดินทางเข้าออกประเทศ หรือมายื่นคำร้องขออยู่ต่อในราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราวด้วยความระเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ มีพฤติกรรมน่าสงสัย หรือเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาให้เข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
2. เตรียมความพร้อมด้านกำลังพล อุปกรณ์และยานพาหนะ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานตำรวจท้องที่ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงเมื่อได้รับการร้องขอ พร้อมทั้งจัดทำแผนเผชิญเหตุตามมาตรฐานการปฏิบัติ (SOP)
3. เพิ่มความเข้าในการสืบสวน ปราบปราม และจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เช่น นำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หลบหนีเข้าเมือง ช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวให้พ้นการจับกุม อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVER STAY) หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบของขวัญปีใหม่ 2568 “สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน”แถลงผลการระดมกวาดล้างในช่วงวันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2568 

ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย ตลอดจนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้แก่ประชาชน ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

(24 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และผลการระดมกวาดล้างก่อนวันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมีผู้แทนกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  ฯลฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งในภาพรวมการจัดงานทั่วประเทศ มีจำนวน 695 แห่ง แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร 258 แห่ง และจังหวัดอื่น ๆ 437 แห่ง โดยแบ่งเป็นพื้นที่การจัดงานขนาดใหญ่ 47 แห่ง และได้เตรียมพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จัดงานเฉลิมฉลองทั่วประเทศ 8,468 นาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศร่วมกันกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ในห้วงวันที่ 17 - 23 ธันวาคม 2567 มีผลการดำเนินการ ดังนี้

1. อาชญากรรมทั่วไป รวมจับกุม 36,609 คดี ผู้ต้องหา 37,574 คน ตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 114,225,749 บาท
- ความผิดเกี่ยวกับการพนัน ยาเสพติด พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และสถานบริการ รวมจับกุม 31,036 คดี ผู้ต้องหา 32,172 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 103,490,764 บาท / ในส่วนคดียาเสพติด จับกุมได้ 10,465 คดี ผู้ต้องหา 10,461 คน ตรวจยึดยาเสพติดของกลาง ยาบ้า 10,833,177 เม็ด ยาไอซ์ 8,209.51 กรัม เคตามีน 620.59 กรัม เฮโรอีน 81.3 กิโลกรัม ฝิ่น 3,428 กรัม ยาอี 273 เม็ด โคเคน 213 กรัม กัญชา 18.16 กิโลกรัม น้ำกระท่อม 44,000 มิลลิลิตร 

- ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน รวมจับกุม 1,664 คดี ผู้ต้องหา 1,595 คน ของกลางอาวุธปืนสงคราม 10 กระบอก อาวุธปืนไม่มีทะเบียน 1,062 กระบอก อาวุธปืนมีทะเบียน 345 กระบอก วัตถุระเบิด 1,075 ลูก พลุ/ดอกไม้ไฟ 248 ดอก เครื่องกระสุนปืน 7,618 นัด มูลค่า 5,574,133 บาท

- จับกุมบุคคลตามหมายจับ รวม 3,909 หมายจับ ผู้ต้องหา 3,807 คน

2. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 
- ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ด้านการเงิน หลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย เผยแพร่ข่าวปลอม ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก และพนันออนไลน์ รวมจับกุม 3,519 คดี ผู้ต้องหา 3,490 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 712,266,009 บาท      

- ความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 (บัญชีม้า ซิมม้า) รวมจับกุม 447 คดี ผู้ต้องหา 427 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 284,940 บาท 

พร้อมกันนี้ได้วาง 10 มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ในช่วงวันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ 2568 ได้แก่ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนถึงกำหนดการจัดงานตามเทศกาล สืบสวนหาข่าว เฝ้าระวังการลักลอบขนย้ายและการจำหน่ายยาเสพติดให้กับนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่จัดงาน เฝ้าระวังการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรของบุคคลกลุ่มเสี่ยง รักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ตลอดจนการดำเนินโครงการ “ร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ” (ฝากบ้าน 4.0) ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2567 ถึง 2 มกราคม 2568 และแสวงหาความร่วมมือจากภาคประชาชน 

อีกทั้งยังได้วาง 3 มาตรการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เช่น ลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 และเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย มุ่งเน้นลดอุบัติเหตุทางถนน ตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก โดยเฉพาะข้อหาเมาแล้วขับ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1 – 9 ดำเนินการปล่อยแถวป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงวันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ 2568 พร้อมกันทั่วประเทศ 71 จุด โดย พล.ต.อ.ประจวบฯ เป็นประธานพิธีปล่อยแถวป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้แทนหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานภาครัฐ องค์กรส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร มูลนิธิ และภาคประชาสังคมในพื้นที่ เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า วันคริสต์มาส และห้วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและพักผ่อนในแต่ละภูมิภาคเป็นจำนวนมาก ตลอดจนมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว 

ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระดมสรรพกำลังป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและลดอุบัติทางถนน และอำนวยการจราจรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดวามสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับประชาชนและสังคมในช่วงเทศกาลปีใหม่ 

'กิตติรัตน์' ไม่ผ่านคุณสมบัติปธ. บอร์ดแบงก์ชาติ หลังกฤษฎีกาตีตก! เหตุเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67)  นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

และนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ที่ขัดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการแบงก์ชาติ โดยไม่ได้ลาออกจากกรรมการบริษัทแห่งหนึ่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการสรรหาได้เปลี่ยนเป็นนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดต้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูล

“มีการยืนยันทางกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว คุณกิตติรัตน์ ไม่ผ่านคุณสมบัติ รายละเอียด ซึ่งคงต้องมีการสรรหากันใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2568″ นายลวรณ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top