Saturday, 5 July 2025
Hard News Team

ศูนย์คุณธรรม ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย ๖ ภาคส่วน จัดงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒ “อยู่รอด อยู่ร่วม สังคมไทยเป็นสุขอย่างยั่งยืน”

วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ ศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและภาคีเครือข่ายแถลงข่าวการจัดงาน “สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติครั้งที่ ๑๒” ภายใต้แนวคิด Sustainable with Moral : อยู่รอด อยู่ร่วม สังคมไทยเป็นสุขอย่างยั่งยืน” ณ ห้องสโรชา ชั้น ๓ โรงแรมสวิสโฮเต็ล ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพ 

ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานภาคีเครือข่ายทางสังคม ๖ ภาคส่วน มีกำหนดจัดงาน สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ภายใต้แนวคิด “Sustainable with Moral : อยู่รอด อยู่ร่วม สังคมไทยเป็นสุขอย่างยั่งยืน” ในรูปแบบไฮบริดออนไลน์ ผสมผสานระหว่างการจัดงานในสถานที่จริงและเข้าร่วมงานผ่านระบบออนไลน์ ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นเวทีกลางขององค์กรเครือข่ายทางสังคมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ชม แชร์ เชียร์” การกำหนดแนวทางการส่งเสริมคุณธรรม การจัดทำมติสมัชชาและพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรม ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๕) และเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านคุณธรรมที่เกี่ยวข้อง   

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมประธานพิธีเปิดงานแถลงข่าว กล่าวว่า การจัดงานสมัชชาคุณธรรม ครั้งที่ ๑๒ ภายใต้แนวคิด“Sustainability with Moral

: อยู่รอด อยู่ร่วม สังคมไทยเป็นสุขอย่างยั่งยืน” ซึ่งจัดโดย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา และองค์กรภาคีเครือข่ายทั้ง ๖ ภาคส่วน

กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนาและศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ การขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติซึ่งที่ผ่านมา ศูนย์คุณธรรมได้มีการส่งเสริมและขับเคลื่อนเครือข่ายทางสังคม เพื่อสร้างสังคม

คุณธรรมอย่างต่อเนื่อง และกรมการศาสนาได้ร่วมบูรณาการการทำงานในด้านต่างๆ ตลอดจนการสร้างความรู้ความเข้าใจในการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ และการขับเคลื่อนชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕ ได้เห็นชอบให้หน่วยงานภาคส่วนต่างๆ นำข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมจากงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ไปดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้นำเรื่องสำคัญจากข้อเสนอเชิงนโยบายไปขยายผลการขับเคลื่อน ไปสู่การปฏิบัติ

ในระดับพื้นที่จังหวัด ภูมิภาค ซึ่งเป็นการต่อยอดแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๕ ด้วยการนำหลักคุณธรรม คือ ความพอเพียง ความมีวินัย

ความสุจริต มีจิตอาสา และความกตัญญู ที่สอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อน

แผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ที่อยู่ระหว่าง

การขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศใช้ในปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ต่อไป

สำหรับการจัดงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติครั้งนี้ ทราบว่าจะมีการนำเสนอผลสำเร็จของการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ รวมทั้งทิศทางและสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ระยะที่ ๒ โดยมีผู้แทนกลไกคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับจังหวัด ๗๗ จังหวัด และกลไกคณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับกระทรวง ๒๐ กระทรวง เข้าร่วมรับทราบแนวนโยบาย และร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการขยายผลสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ในครั้งนี้ด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวเพิ่มเติม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “งานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒” ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ครั้งนี้ จะเป็นเวทีกลางที่เปิดโอกาสให้องค์กรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมระดมความคิดเห็น และเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการส่งเสริมคุณธรรมของสังคมไทย เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ในสังคมทั้งระดับพื้นที่ ตลอดจนระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับชาติ ให้ความสำคัญ และตระหนักต่อการร่วมกันสร้างสรรค์สังคมคุณธรรม โดยเริ่มจากตัวบุคคล ชุมชน องค์กร จากพื้นที่เล็กๆ กระจายสู่วงกว้าง สู่ระดับจังหวัด ภูมิภาค และระดับประเทศ รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกันขยายผลความดีสู่สาธารณะ เพื่อร่วมกันยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศเราให้เป็นประเทศที่เป็นแบบอย่างที่ดีงามด้านพฤติกรรม เกิดเป็นอัตลักษณ์ของคนไทย สู่สายตานานาชาติต่อไป 

ด้านรองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้สถาณการณ์โควิด ๑๙ เริ่มคลี่คลาย จึงสามารถจัดงานในรูปแบบไฮบริดออนไลน์ ภายในงานมีกิจกรรมสำคัญแบ่งเป็น ๒ ส่วนหลัก ประกอบด้วย เวทีวิชาการ อาทิ การปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางใหม่ สังคมไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร” การเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เชื่อมโยงประเด็นหลักการจัดงาน Sustainable with Moral : อยู่รอด อยู่ร่วม สังคมไทยเป็นสุขอย่างยั่งยืน” ของ ๖ กลุ่มเครือข่ายทางสังคม ได้แก่ เครือข่ายองค์กร ภาครัฐ เครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน เครือข่ายองค์กรศาสนา เครือข่ายองค์กรสื่อมวลชน เครือข่ายองค์กรการศึกษา เด็กและเยาวชน และเครือข่ายภาคประชาสังคม ชุมชน ครอบครัว และงานแสดงผลสำเร็จการขับเคลื่อนคุณธรรม “ตลาดนัดคุณธรรม” ขององค์กรเครือข่ายทางสังคม ๖ เครือข่าย  การพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจในการทำความดี Moral Talk ของบุคคลและศิลปิน นักแสดง โดย คุณไดอาน่า จงจินตนาการ ผู้ก่อตั้งเพจ “เราต้องรอด” เพจอาสาช่วยเหลือผู้ป่วยในวิกฤตการณ์ Covid-๑๙ การส่งมอบมติสมัชชาคุณธรรมและข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมของภาคีเครือข่าย ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะผู้แทนคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบรางวัลคุณธรรมอวอร์ด ปี ๒๕๖๕ ประเภทสื่อมวลชน บุคคล ชุมชน และองค์กร จากทั่วประเทศ และภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการผลสำเร็จการขับเคลื่อนชุมชน องค์กร คุณธรรมของภาคีเครือข่ายกว่า ๕๐ บูธ และ Hall of fame สื่อ บุคคล องค์กรและชุมชนต้นแบบที่ได้รับรางวัลกว่า ๒๐๐ บุคคล/ผลงาน                      

การแถลงข่าวครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้แทนภาคีเครือข่าย ๖ ภาคส่วนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนได้แก่ เครือข่ายองค์กรภาครัฐ : นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการกระทรวงมหาดไทย เครือข่ายศาสนา : นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์  อธิบดีกรมการศาสนา  เครือข่ายภาคธุรกิจ : นางวรรณา ธรรมร่มดี  ที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน เครือข่ายการศึกษาเด็กและเยาวชน : ผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เครือข่ายสื่อมวลชน : นายมงคล บางปะภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทย  เครือข่ายภาคประชาสังคม ชุมชน : นายศิวโรฒ จิตนิยม ประธานธนาคารความดีชุมชนตำบล หนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี    

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ในสถานที่จริง ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสแกน QR Code ลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าเพื่อรับการยืนยันการเข้าร่วมงานในสถานที่จริง หรือผ่านระบบออนไลน์  ทั้งนี้สามารถร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านระบบ ZOOM หรือเข้าชมกิจกรรมภายในงานตลอดการจัดงาน ได้ทาง Facebook Live : ศูนย์คุณธรรม Moral Center Thailand 

ทบ.มุ่งสร้างเยาวชนสำนึกดี จัดประกวดบทเพลง สร้างรักสามัคคี พร้อมนำทัศนศึกษาเปิดประสบการณ์

วันนี้ (๑๗ ส.ค.๖๕) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในการมอบรางวัล “การประกวดขับร้องบทเพลงส่งเสริมความรักความสามัคคี” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่กองทัพบกจัดขึ้น เพื่อสร้างจิตสํานึกที่ดีงาม และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ที่มีสถาบันหลักของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ โดยได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาผ่านสถาบันการศึกษา ๒๘๕ แห่งทั่วประเทศ จัดทําคลิปวิดีโอขับร้องเพลงเนื้อหาส่งเสริมความรักสามัคคีและเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ ส่งเข้าประกวดในระดับกองทัพภาค ในห้วง ก.พ.- มิ.ย. ๖๕ จากนั้นโรงเรียนที่ชนะในระดับกองทัพภาคจะร่วมแข่งขันชิงชนะเลิศในระดับกองทัพบก โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านดนตรีจากกรมดุริยางค์ทหารบก และการโหวตให้คะแนนเป็นเกณฑ์การตัดสิน 

'เฉลิมชัย'หารือแคนาดากระชับความร่วมมือด้านการเกษตรขยายส่งออกสินค้าเกษตร 2 หมื่นล้าน

วันที่ 16 ส.ค. 65 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ดร.ซาราห์ เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย (H.E. Dr. Sarah Taylor) (Ambassador of Canada to the Kingdom of Thailand) ร่วมหารือการส่งเสริมและขยายความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องรับรองกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

สำหรับการหารือในครั้งนี้ ไทยและแคนาดาพร้อมร่วมมือในเรื่อง Smart agriculture-Canadian technology ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านเกษตรอัจฉริยะ โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรในปัจจุบัน ให้มุ่งสู่เกษตร 4.0 มีเป้าหมายสำคัญที่มุ่งเน้นให้เกิดการทำเกษตรแบบทำน้อยได้มาก ใช้ทรัพยากรในการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ลดการสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มากขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยกล่าวขอบคุณฝ่ายแคนาดาสำหรับความร่วมมือในโครงการ Offshore Program ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการด้านความปลอดภัยอาหาร ระหว่างองค์การตรวจสอบอาหารของแคนาดา (Canadian Food Inspection Agency: CFIA) และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)

เพื่อให้ประเทศคู่ค้าสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารของแคนาดาได้อย่างถูกต้อง และป้องกันอาหารที่ไม่ปลอดภัยเข้าสู่ตลาด โดยเน้นด้านการตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยอาหาร การตรวจสอบสถานประกอบการ และกิจกรรมความช่วยเหลือด้านเทคนิค โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน มกอช. และ CFIA ได้จัดการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการด้านความปลอดภัยอาหาร จำนวน 4 ครั้ง และอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อหารือถึงการขยายความร่วมร่วมมือระหว่างกันในการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอาหารตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งรวมถึงการผลักดันการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การเฝ้าระวังและตรวจติดตาม และการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

'เสี่ยหนู' สวน 'แม้ว' แขวะภท.เจาะอีสานไม่เข้า ยัน!! ไปทุกภาค ของพวกนี้อยู่ที่ประชาชน

(17 ส.ค. 65) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี ระบุว่าพรรคภูมิใจไทยกำลังเจาะพื้นที่ภาคอีสาน แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยมีความแข็งแรงในพื้นที่ว่า... 

“ท่านพูดแบบนั้นเหรอ ผมไม่ได้ทราบรายละเอียด ยืนยันว่าเราไม่ได้พยายามเจาะพื้นที่ใคร เราทำหน้าที่พรรคการเมือง ไปใต้ก็ไป ไปเหนือก็ไป ในพื้นที่ กทม. แม้ไม่มีฐานเสียง เราก็พยายามอยู่ เราเป็นพรรคการเมืองต้องนำเสนอให้มากที่สุด ยิ่งเป็นสูตรหาร 100 ก็ต้องส่งผู้สมัครส.ส.ทุกเขตมากหน่อย ขอย้ำว่าเราทำหน้าที่พรรคการเมือง ในสิ่งที่พรรคการเมืองทั่วไปทำ ของพวกนี้อยู่ที่ประชาชน” 


ที่มา: https://www.thaipost.net/politics-news/202346/

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สั่งปฏิบัติการตรวจสอบเรือประมง ลักลอบดัดแปลงอวนทั่วประเทศ

จากกรณีที่ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2565 หรือ TIP Report (Trafficking in Persons Report 2022) โดยยกระดับประเทศไทยจาก “เทียร์ 2 ที่ต้องจับตามอง” (Tier 2 Watch List) เป็น Tier 2 ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ทำให้ประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดี และขยับระดับที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา และยังมีความพยายามแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและแรงงานข้ามชาติในภาคการประมง รวมทั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามที่ทราบแล้ว นั้น ในการนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอยทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) และการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการประมง และประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร./รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) อย่างเร่งด่วน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา คณะทำงานติดตามสถานการณ์ ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมง และแรงงานในภาคประมงฯ ได้ออกปฏิบัติการ “Air Land Sea” เป็นปฏิบัติการในการตรวจสอบการทำประมงโดยผิดกฎหมายของเรือประมง ซึ่งที่ผ่านมามีการตรวจพบเรือประมงที่มีการดัดแปลงอวนลาก ทำให้ตาอวนมีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถดักจับปลาขนาดเล็กได้ ซึ่งการใช้อวนขนาดดังกล่าว ผิดเงื่อนไขจากที่ได้รับอนุญาต และเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 ร่วมกับ กรมเจ้าท่า กรมประมง ศรชล. ตำรวจน้ำ พร้อมชุดปฏิบัติการคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพ ฯ ออกตรวจสอบเรือประมงอวนลากคู่ที่ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบเรือที่ใช้อวนมีลักษณะผิดไปจากเงื่อนไขในใบอนุญาต โดยพบที่ จ.สมุทรสาคร จำนวน 4 ลำ ประกอบด้วย เรือ ฮ.ธวัชชัยนาวี 3 , ฮ.ธวัชชัยนาวี 4 , ฮ.สินธุ์ชัยนาวี 8 และ ฮ.สินธุ์ชัยนาวี 9 โดยตรวจพบที่บริเวณท่าเทียบเรือศาลเจ้าปุ้นเถ้ากง ถ.เจษฎาวิถี ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาครและที่ จ.ชลบุรี อีกจำนวน 4 ลำ ประกอบด้วย เรือ ส.ตะวัน 17, ส.ตะวัน 18, ส.ตะวัน 23 และ ส.ตะวัน 24 ตรวจพบที่บริเวณท่าเรือคณาศรีนุวัติ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดยเรือประมงทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีฐาน ดัดแปลงเครื่องมือประมงให้ผิดไปจากลักษณะของเครื่องมือที่ระบุไว้ในใบอนุญาต  ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 มาตรา 42 และ มาตรา 132 มีโทษปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท ขึ้นอยู่กับขนาดเรือ ซึ่งพบว่ามีเพียง 131 ลำ ที่จะถูกตรวจสอบ จาก 10,0000 ลำ เทียบเป็น 1.31 %

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายในประเทศไทย ยังคงมีการตรวจสอบการทำประมงของเรือประมงไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทำความเข้าใจกับชาวประมงให้สามารถทำการประมงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งเป็นการบังคับใช้กฎหมายประมงเพื่อปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายด้วย ซึ่งจากปฏิบัติการของคณะทำงานดังกล่าว ยังตรวจพบเรือประมงที่ยังฝ่าฝืนลักลอบใช้อวนตาถี่ในการทำประมง หวังจะให้ได้ปลามากที่สุด แต่แท้จริงแล้วการใช้อวนตาถี่จะเป็นการทำลายทรัพยากร ไม่ปล่อยให้ปลาขนาดเล็กเติบโตเพื่อให้สามารถทำประมงได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีกำหนดขนาดอวนที่ใช้ตามกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อตรวจพบความผิดดังกล่าว จึงต้องมีการดำเนินคดีโดยเด็ดขาด เพื่อให้การทำประมงของไทยเป็นไปตามกฎหมายและหลักสากล เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ

‘ไอติม’ ชำแหละงบปี 66 ยังไม่ตอบโจทย์ ชี้ชัด กระจุกตัวแค่บางจังหวัดที่เป็นรัฐมนตรี

กมธ. งบฯ สัดส่วนก้าวไกล อภิปรายขอตัดลดงบปี 66 ชี้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งระยะสั้นและระยะยาวของประเทศ ด้าน “ไอติม” ตั้งข้อสังเกต งบถนนและปรับปรุงแหล่งน้ำ กระจายให้จังหวัดของรัฐมนตรีคมนาคม และรัฐมนตรีเกษตรฯ มากกว่าจังหวัดอื่น สะท้อนการจัดสรรงบเพื่อประโยชน์การเมือง

พริษฐ์ วัชรสินธุ ในฐานะสมาชิกกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายสงวนคำแปรญัตติ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ในมาตรา 4 ภาพรวม โดยเสนอให้พิจารณาปรับลดงบประมาณของประเทศลง 5%

โดยพริษฐ์ ได้ตั้งข้อสังเกต ว่างบประมาณปี 2566 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท มีลักษณะของการใช้เงินผิดจุด ยังไม่ตอบโจทย์ ไม่จำเป็น และ ไม่เป็นธรรม โดยยกตัวอย่าง โครงการซ่อมแซมถนน และ โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำ ซึ่งรวมกันทั้งประเทศแล้วมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมด ว่ามีความกระจุกตัวในบางจังหวัดอย่างชัดเจน โดยในส่วนของโครงการซ่อมแซมถนนของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท พบว่า 7 จังหวัดที่ได้งบประมาณสูงสุด ได้รับงบประมาณรวมกันเป็นสัดส่วนถึง 25% ของงบประมาณซ่อมแซมถนนทั้งประเทศ ขณะที่โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำของกรมชลประทาน 7 จังหวัดที่ได้งบประมาณสูงสุด ได้รับงบประมาณรวมกันถึง 36% ของงบประมาณปรับปรุงแหล่งน้ำของทั้งประเทศ

Apple เตรียมย้ายฐานผลิตออกจากจีน จ่อผลิต Apple Watch-MacBook ในเวียดนาม

กลายเป็นข่าวดีสำหรับแวดวงอุตสาหกรรมไฮเทคของเวียดนาม หลังมีรายงานว่า 'แอปเปิล' อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเตรียมสร้างฐานการผลิต Apple Watch และ MacBook ในเวียดนามเป็นครั้งแรก

หนังสือพิมพ์นิกเกอิเอเชียอ้างแหล่งข่าวที่ทราบข้อมูลโดยตรง 3 ราย ซึ่งระบุว่า บริษัท Luxshare Precision Industry และฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ซึ่งเป็นซัปพลายเออร์หลักของแอปเปิล ได้เริ่มทดสอบสายการผลิต Apple Watch ในภาคเหนือของเวียดนามแล้ว โดยตั้งเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าตัวนี้ภายนอกจีนให้ได้เป็นครั้งแรก

เวียดนามเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดของแอปเปิลรองจากจีนอยู่แล้วในปัจจุบัน โดยมีการผลิตสินค้าเรือธงให้แอปเปิลมากมายหลายตัว รวมถึง iPad และ AirPod เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมชี้ว่า กระบวนการผลิต Apple Watch นั้นจะต้องอาศัยทักษะแรงงานและเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก และการถูกเลือกให้เป็นฐานผลิตอุปกรณ์ตัวนี้ก็ถือว่าเป็น 'ชัยชนะ' ครั้งสำคัญของเวียดนาม ซึ่งมุ่งมั่นที่จะยกระดับภาคการผลิตสินค้าไฮเทคของตนเองอยู่แล้ว

นิกเกอิรายงานด้วยว่า แอปเปิลยังกระจายสายการผลิต iPad จากจีนมายังเวียดนาม หลังจากมาตรการล็อกดาวน์นครเซี่ยงไฮ้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อห่วงโซ่อุปทาน และยังอยู่ระหว่างพูดคุยกับซัปพลายเออร์เพื่อทดสอบสายการผลิตลำโพงอัจฉริยะ HomePod ในเวียดนามเช่นกัน

‘CPN’ ผนึก ‘ปตท.-อีโวลท์’ ทุ่ม 200 ล้าน ผุดที่ชาร์จรถอีวีในเซ็นทรัล 37 แห่งทั่วปท.

เซ็นทรัลพัฒนาจับมือกลุ่ม ปตท.ภายใต้แบรนด์ ‘ออน-ไอออน’ (on-ion) เดินหน้า The Future of eMobility Lifestyle อัดงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาทขยายความร่วมมือให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (on-ion EV Charging Station) ในศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนากว่า 350 ช่องจอด นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วย บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ร่วมขยายสถานีกว่า 50 ช่องจอด รวมกว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปี 2565 นี้

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อตอบรับเทรนด์ EV ที่คนไทยหันมาให้ความสำคัญต่อการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น เราจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจพลังงานรายใหญ่ ร่วมขยายสถานีฯ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 400 ช่องจอดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือว่ามากที่สุดและเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มศูนย์การค้าของไทย โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2565 ตอบรับการเดินทางในทุกๆ วัน (short haul) หรือจะเดินทางแบบเมืองเชื่อมเมือง (long haul) สะท้อนความเป็นศูนย์กลางของทุกจังหวัด ท่องเที่ยวได้จากเหนือจดใต้ ผ่าน 37 สาขา กว่า 18 จังหวัดทั่วประเทศ

สำหรับความโดดเด่นของจุดชาร์จรถไฟฟ้าในเซ็นทรัล คือ... 

1.) จุดชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey การเดินทางแบบไร้กังวล

2.) ความสะดวกสบาย ชาร์จไฟกับรถยนต์ได้ทุกแบรนด์ ทุกค่าย

3.) สถานที่และระบบชาร์จมีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง

4.) ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากกลุ่มเซ็นทรัล ส่งเสริม Eco-lifestyle Marketing ทั้งโปรโมชัน และส่วนลด เช่น ชาร์จฟรี 1 ชั่วโมงแรก เมื่อช้อปในศูนย์การค้าครบ 800 บาท สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด เฉพาะ 1 เดือนแรก เพื่อสนับสนุนการใช้รถ EV ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย และร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดตามดีมานด์ของลูกค้าในอนาคต และขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงานโดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซ CO2 ให้ประเทศไทยได้มากกว่า 5,250 ตันต่อปี 

ขณะที่ นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ได้ขยายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา รองรับการเติบโตของตลาด EV ให้พลังงานทางเลือกอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ในรูปแบบของ ‘Green Charging Network’ ผ่าน on-ion Mobile Application

BOI เผยยอดขอส่งเสริมการลงทุน 6 ด.กว่า 2 แสนลบ. พร้อมเคาะ 4 โครงการใหญ่มูลค่าหลายหมื่นล้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ รวม 4 โครงการ ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก มูลค่า 17,891 ล้านบาท จากประเทศจีน กิจการผลิตก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลค่า 18,000 ล้านบาท กิจการขนส่งทางเรือของบริษัท ฐิตติ ภูมิ จำกัด มูลค่า 4,310 ล้านบาท และบริษัท ศานติ ภูมิ จำกัด มูลค่า 4,310 ล้านบาท  

รวมทั้งได้เห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 4 ประเภท ได้แก่ 1.กิจการผลิตเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง รวมถึงการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วน และการซ่อมแซมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ผลิตเอง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ 2. กิจการซ่อมแซมเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี (ไม่จำกัดวงเงิน) 3.กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ (Additive Manufacturing) ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี และ 4.กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไมโครเทคโนโลยีในการผลิต ได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี 

ทั้งนี้การเพิ่มประเภทกิจการใหม่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและการซ่อมแซมเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูงเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรมในภาพรวม นอกจากนี้ การผลิตแบบ Additive Manufacturing ได้กลายเป็นแนวโน้มใหม่ในการผลิต จึงจำเป็นต้องสร้างนโยบายสิทธิประโยชน์ที่ปรับเปลี่ยนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

'พิธา' ถาม 'บิ๊กตู่' เรียกตัวเองเป็นนายกฯ มากี่ปี ซัด!! หากมีจิตสำนึก เรื่องคงไม่ถึงศาลรธน.

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์กรณีเสียงวิจารณ์การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หากนับตั้งแต่ปี 2560 ก็จะสามารถดำรงตำแหน่งได้อีก 2 ปี ว่า

ตอนนี้แบ่งเป็น 3 แพร่ง คือ ปี 57 ปี 60 และปี 62 แต่ที่ดูกฎหมาย คิดว่าเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากปี 57 มันไม่ได้เป็นเรื่องของกฎหมายย้อนหลังหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของความต่อเนื่องของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บันทึกไว้ในบทเฉพาะการชัดเจน ว่า หากเป็นครม.ที่มาก่อนรัฐธรรมนูญนี้ขอให้เป็นครม.ต่อไปซึ่งใช้คำว่า 'เป็น' ไม่ได้ใช้คำว่า 'ทำหน้าที่' หรือคิดว่าเป็น แต่ใช้คำว่า 'เป็นเลย'

โดยกฎหมายจะย้อนหลังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นกฎหมายอาญาหรือกฎหมายมหาชน และนี้เรื่องของกฎหมายมหาชน ก็จะต้องตีความว่าการกระทำแบบนี้เป็นการคุ้มครองหรือการควบคู่ หากเป็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากเป็นการควบคุมจำกัดจากการใช้อำนาจของรัฐก็เป็นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top